All Blog
ตอนที่ 07 +++ วินาทีแห่งความกลัว +++



+++ ต่อเรื่อง +++




คำพูดสั้นๆของหมอทำให้โต้งถึงกับเข่าทรุด นั่งลงกองกับพื้น สุนีย์เข้าไปประคองกอดลูกชาย โต้งซบใบหน้าลงกับไหล่ของแม่ น้ำตาอาบใบหน้าและดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้น ชายหนุ่มร้องไห้อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ไม่เคยเป็นมาตลอดหกปี ใบหน้าอมเศร้าตลอดหกปีของโต้งไม่ได้เปื้อนคราบน้ำตามานานแล้ว นับแต่คืนนั้น คืนที่พ่อกรใช้สุราเป็นที่พึ่ง พร่ำรำพันถึงพี่แตง ขณะที่สุนีย์ก็เอาแต่ร้องไห้ไปกับหมอน คืนนั้นโต้งว้าเหว่ และไร้หนทางไป ผู้ใหญ่สองคนในบ้าน ไม่สามารถปลอบประโลมจิตใจที่หดหู่ของเด็กชายที่พึ่งสูญเสียพี่สาวไปได้ ท้ายที่สุด โต้งก็ต้องไปนอนกับมิว เด็กเพื่อนบ้านที่เข้าอกเข้าใจและพร้อมให้โต้งได้พักใจเสมอ จากคืนนั้น ถึงวันนี้ โต้งไม่เคยร้องไห้เสียใจกับการสูญเสียอีกเลย แม้แต่ตอนที่โต้งกำลังสับสนจิตใจของตนเองในเรื่องความรักที่มีต่อมิว ครั้งที่โต้งปรับทุกข์กับหญิง น้ำตาของชายหนุ่มก็ไม่ได้ไหลออกมาแบบนี้ สุนีย์ไม่รู้จะใช้คำพูดใดมาปลอบโยนลูกชาย เพียงได้แต่ใช้มือลูบเส้นผมเพื่อปลอบโยนเท่านั้น





โดนัทเองก็สะเทือนใจจากข่าวร้ายที่ได้ยินจากปากของคุณหมอเวร แต่คนที่ทรุดลงไปกับพื้นอีกคนก็คือเอิร์ธ เพราะรถที่ชนมิวเป็นรถของเอิร์ธ เท่ากับว่า เค้าต้องกลายเป็นฆาตกรที่ขับรถชนคนตาย ที่แย่ไปกว่านั้น คนที่โดนชนยังเป็นคนรักของเพื่อนอีกด้วย ชายหนุ่มทำอะไรไม่ถูก ได้แต่นั่งหน้าซีดอยู่กับพื้น ใบหน้าปกติที่ไม่ค่อยจะขาวเท่าไหร่ ถึงจะมีเชื้อสายจีนก็ตาม กลับขาวจนซีดจนน่ากลัว น่าตกใจ และก็น่าสงสารในเวลาเดียวกัน โดนัทเห็นเอิร์ธในสภาพนั้นก็นึกสงสารและเห็นใจขึ้นมา นี่แค่ความคิดโง่ๆเพียงชั่ววูบของเรา กลับต้องทำร้ายคนที่เรารัก รวมทั้งคนที่ห่วงใยเราขนาดนี้เชียวเหรอเนี่ย ‘ เห็นรึยังโดนัท ว่าแกทำอะไรลงไป ความผิดพลาดเพียงชั่วแล่น แต่ต้องแลกมาด้วยความสูญเสียถึงเพียงนี้ มิวต้องตาย เค้าตายแทนแกนะ โต้งต้องเสียใจ และคงเสียใจไปตลอดชีวิต เค้าคือผู้ชายคนแรกที่รักนะ เอิร์ธอาจจะต้องติดคุก เค้าเป็นเพื่อนแกมานานแล้วนะ ‘ ความคิดเหล่านี้วิ่งเข้าวิ่งออกอยู่ในห้วงแห่งความรู้สึกนึกคิดของหญิงสาว จนสุดท้าย เธอก็หลั่งน้ำตาออกมา เป็นน้ำตาแห่งความรู้สึกเสียใจ ความรู้สึกผิด เธอไม่คิดมาก่อนว่า ผู้หญิงสวยและรวยความมั่นใจแบบเธอ จะมีความรู้สึกเช่นนี้ได้ โดนัทปลดปล่อยความรู้สึกของผู้ที่รู้จักเห็นใจคนอื่นออกมา ความรู้สึกซาบซึ้งกับความดีของคนอื่น ความรู้สึกเสียใจอย่างจริงใจที่มีให้คนอื่น นี่ถ้าวันนี้ไม่ผ่านเรื่องราวผ่านเหตุการณ์ร้ายแบบนั้นมา ก็ไม่รู้ว่า หญิงสาวอย่างโดนัทจะรู้จักแคร์และรู้จักหลั่งน้ำตาเอคนอื่นหรือไม่ บางครั้ง คนบางคนต้องรอให้ประสบการณ์มาสอน ถึงแม้ว่ามันอาจจะสายเกินกว่าจะแก้ไขไปแล้วก็ตาม







ประตูห้องฉุกเฉินเปิดออก บุรุษพยาบาลเข็นเตียงคนไข้ออกมา บนเตียงนั้นมีร่างที่นอนนิ่งอยู่หนึ่งร่าง ผ้าสีขาวคลุมรอบตัวมิสามารถเห็นใบหน้าได้ โต้งมองเตียงนั้นผ่านหน้าไปอย่างช้าๆ หัวใจแทบสลาย ร่างสูงค่อยๆลุกขึ้นยืน ก่อนจะผละจากสุนีย์ผู้เป็นแม่ แล้ววิ่งไปดักหน้า ขวางเตียงรถเข็นนั่นเอาไว้





“มิว มิว มิว มิวลุกมาคุยกับเราสิมิว ไหนว่าจะไม่ทิ้งกันไปไหนไงล่ะ มิวบอกว่าจะไม่ปล่อยให้ความเหงามันกลับมาเชี่ยใส่แล้วไง แล้วนี่มิวทำไม มิวทำไมถึงจะปล่อยให้ความเหงามันมาเชี่ยใส่เราซะล่ะ ลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้นะ ลุกมาสิ ได้โปรด มิววววววววว” โต้งร้องห่มร้องไห้ กอดร่างไร้วิญญาณที่นอนนิ่งสนิทอยู่ใต้ผ้าคลุมสีขาว น้ำตาและเสียงเพรียกของโต้ง สร้างความแปลกใจแก่เหล่าพยาบาลและบุรุษพยาบาลที่ทำหน้าที่อยู่ใกล้เคียง ว่าทำไม เด็กผู้ชายวัยรุ่นคนนึง ถึงได้เสียอกเสียใจกับการจากไปของเพื่อนคนนึงขนาดนี้ ทำยังกับว่าเป็นคนรักกันอย่างนั้นแหละ แต่ถึงจะแปลกใจเพียงใด แต่ที่รู้สึกมากกว่า ก็คือความสะเทือนใจ เห็นอกเห็นใจ และเสียใจที่ใครคนนึงจะต้องพลัดพรากจากอีกคนนึงอย่างไม่มีวันที่จะมาพบกันได้อีก น้ำตาของโต้ง เสียงร่ำไห้ของโต้ง ทำเอาพยาบาลบางคนถึงกับน้ำตาคลอไปด้วย แม้แต่สุนีย์เอง เมื่อได้เห็นความเศร้าเสียใจของลูกชาย ก็อดที่จะหลั่งน้ำตาไม่ได้ เธอค่อยๆเดินไปหาลูกชายช้าๆ เอามือลูบหลังศีรษะของโต้งที่ตอนนี้ซบลงใกล้ๆกับด้านข้างศีรษะร่างที่นิ่งสนิทนั้น เสียงพร่ำของชายหนุ่มยังคงดังเบาๆ



“มิว ....... มิวตื่นมาหาโต้งสิ”



..........

..........



“มิว มิว มิว”



เสียงเรียกของคนคุ้นเคยดังแว่วอยู่ในที่ไกล ร่างโปร่งของชายหนุ่มคนนั้น กำลังเดินหาที่มาของเสียง แต่มันชั่งว่างเปล่าเหลือเกิน ที่

ไหนกันนะ ทำไมถึงได้เคว้งคว้างแบบนี้ แล้วทุกคนหายไปไหนกันหมดล่ะ



“โต้ง โต้งอยู่ไหน เราอยู่นี่นะ โต้ง โต้งงงงงงงง” ร่างโปร่งนั้น ตะโกนเข้าไปในความว่างเปล่า รอคอยเสียงที่จะตอบกลับมา



“มิว” โต้งรำพึงเบาๆเป็นครั้งสุดท้าย ชายหนุ่มตัดสินใจจะจูบลามิวเป็นครั้งสุดท้าย เผื่อบางที มิวอาจจะเหมือนเจ้าหญิงในนิทานที่รอให้เจ้าชายมาจุมพิต เจ้าหญิงที่รอคอยเจ้าชายมาปลดปล่อยจากอำนาจร้ายของแม่มด เหมือนกับมิว ที่รอให้โต้งมาช่วยปลดปล่อยพันธนาการแห่งความเหงา ร่างสูงของชายหนุ่มไม่เกรงกลัวสายตาของใครทั้งนั้น สิ่งที่โต้งกำลังจะทำ อาจจะไม่เป็นที่พอใจหรือยอมรับในสายตาคนอื่น โดยเฉพาะสถานที่นี้เป็นที่สาธารณะ ไม่ใช่ที่บ้าน การกระทำอย่างนี้อาจจะเป็นที่ตำหนิติเตียน อาจทำให้แม่ไม่พอใจ เพราะจะกลายเป็นขี้ปากชาวบ้านให้มาตั้งวงจับกลุ่มนินทา ยิ่งการมีญาติเป็นอาจารย์หมอของโรงพยาบาลแห่งนี้ด้วยแล้ว ถึงจะกังวลและแคร์ความรู้สึกของแม่อยู่บ้าง แคร์สายตาของผู้อื่นอยู่บ้าง แต่นี่คงเป็นสิ่งสุดท้ายที่โต้งจะสามารถทำเพื่อมิวได้ ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมาจากร่างนั้น แล้วค่อยๆใช้มือดึงผ้าคลุมสีขาวนั้นออกมาจากทางด้านศีรษะของร่างที่นอนนิ่งอยู่ ถึงแม้ว่าบรรดาพยาบาลอยากจะห้าม แต่ความสงสารเห็นใจที่มีมากกว่า จึงได้ปล่อยให้โต้งทำตามที่ใจต้องการ

............

............




ชายหนุ่มนั่งลงกับพื้นที่เย็นเยียบ เหลียวมองไปรอบกาย กลับพบแต่เพียงความว่างเปล่า หัวใจของมิวเต้นช้าๆ แต่แรง บอกเจ้าของให้รู้ว่ากลัวเพียงใด เกิดอะไรขึ้น ทำไมเราถึงมาอยู่ที่นี่ แล้วทุกคนหายไปไหน โต้งหายไปไหน ทำไมถึงได้ทิ้งเราไปอีกแล้ว เสียงเรียกเมื่อครู่นี้กลับเงียบหายไป ใช่ เมื่อครู่นี้ มิวได้ยินเสียงของคนรักเรียกหา ว่าให้ตื่นขึ้น ตื่นขึ้น แต่นี่เราก็ตื่นอยู่ไม่ใช่หรอ หรือว่าเราหลับไป เราอยู่ในความฝันใช่มั้ย ถ้าเราฝัน แล้วเสียงเรียกของโต้งเมื่อครู่นี้ล่ะ มันคืออะไร ความเหงา ความกลัว เริ่มกลับมาพันธนาการหัวใจของนักร้องหนุ่มนัยน์ตาสีน้ำเงินอีกครั้ง ความเหงามันกลับมาเชี่ยใส่มิวอีกครั้ง มิวก้มหน้ากอดเข่าตัวเอง ด้วยร่างกายและหัวใจที่สั่นเทิ้ม





“ โต้ง ....................................................... เรากลัว “









โต้งค่อยๆเปิดผ้าคลุมศพสีขาวด้วยมือที่สั่นเทา อย่างช้าๆ เริ่มจากทางด้านบนของศีรษะ ผ่านทรงผมรองทรงที่มิวตัดเป็นประจำ ผ่านหน้าผากที่ยังคงมีเลือดแห้งๆเกาะอยู่บ้าง รอยแผลค่อนข้างใหญ่ จนชายหนุ่มตกใจ ‘ นี่แผลของมิวสาหัสเพียงนี้เลยเหรอเนี่ย ‘ โต้งคิดในใจ มือข้างนั้นยังคงดึงผ้าคลุมต่อไป ผ่านนัยน์ตาที่ปิดสนิท ยามที่ร่างของผู้ที่นอนนิ่งสนิทปิดตาลง ในใจของร่างสูงที่ยืนอยู่ข้างๆกลับคิดว่า ‘ ทำไมนะ ทำไมเราไม่เคยคิดที่จะมองมิวให้ชัดๆ ทำไมเราไม่เคยคิดจะมองมิวเวลามิวหลับตานะ ‘ โต้งเกือบจะห้ามใจไม่อยู่ ก้มลงไปจุมพิตดวงตาที่กำลังปิดสนิทของร่างตรงหน้า แต่ก็เพราะมืออุ่นๆของสุนีย์ที่มาแตะบ่าของโต้ง แล้วถ่ายทอดความห่วงใยมาให้ ทำให้ชายหนุ่มได้สติ แล้วก็ค่อยๆเลื่อนผ้าคลุมต่อไป แต่ในใจก็คิดขึ้นมาว่า ‘ เอาวะ เป็นไงเป็นกัน ให้มันรู้กันไป ‘ ความกลัวที่จะต้องเห็นใบหน้าของคนรักที่นอนสิ้นลมตรงหน้าปลาศนาหายไป เหลือไว้แต่ความต้องการที่รุ่มร้อนของหัวใจ ความต้องการที่จะมอบความรักผ่านจุมพิตแห่งริมฝีปากของตนไปสู่มิว หวังใจว่ามิวจะสัมผัสได้ และปาฏิหาริย์จะเกิดขึ้น จากนั้น โต้งก็กลั้นใจ เปิดผ้าคลุมออกมาทั้งหมดเพื่อจะได้เห็นหน้าของมิวให้ชัดๆ ผ้าขาวไปกองอยู่ตรงอกของร่างที่นอนนิ่งอยู่ ชายหนุ่มผู้หลับใหล อายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับโต้งนอนนิ่งสนิทอยู่บนเตียง แต่ทว่า ......................







นี่ไม่ใช่............................................. มิว









“เฮ้ย!!!!” โต้งอุทานเสียงดังด้วยความตกใจ แล้วรีบเอาผ้าคลุมร่างนั้นไว้อย่างเดิม สุนีย์ที่ยืนอยู่ใกล้ๆก็แปลกใจไม่แพ้กัน สองแม่ลูกต่างมองหน้ากันด้วยความงงงวย ไม่เข้าใจว่า เกิดอะไรขึ้น



‘เกือบไปแล้วเรา ดีนะที่ไม่จูบที่ตาของหมอนั่นซะก่อน หวิดงานเข้าแล้วมั้ยล่ะ ดีที่ไม่ซวย ไม่งั้น แหวะ......ไม่อยากคิด’ โต้งรำพึงอยู่ในใจ

‘แล้วมิวอยู่ที่ไหนซะล่ะ ถ้างั้น มิวก็อาจจะไม่เป็นไรอะดิ’ โต้งเริ่มยิ้มให้กับความหวังเล็กๆที่พึ่งจะปรากฏขึ้นในห้วงความคิด ชายหนุ่มเหลียวไปมองทางคุณหมอเวร และพยาบาล ที่คอยอยู่ไม่ห่างนัก แล้วเดินไปถามถึงมิว



“นี่ไม่ใช่เพื่อนผมนี่ครับคุณหมอ เพื่อนผมที่ถูกรถชนน่ะครับ ไม่ใช่คนนี้ครับ” โต้งถามเรื่องมิวกับคุณหมอ

“ก็คนนี้ไงครับ ที่ถูกรถชนเสียชีวิต อายุอานามก็น่าจะเท่ากับเรานะพ่อหนุ่ม ไม่ใช่เพื่อนของเราหรอกเหรอ” หมอตอบด้วยสีหน้างงงวยไม่แพ้โต้งเหมือนกัน

“ไม่ใช่ครับ เพื่อนผมที่ใส่เสื้อแจ๊กเก็ตสีเขียวน่ะครับ ที่หัวแตกน่ะครับคุณหมอ”

“อ๋อ ....... อ้าว หมอนึกว่าพ่อหนุ่มหน้าหวานนั่นไปหกล้มหัวฟาดที่ไหนมาซะอีก โน่นแน่ะ นอนอยู่ในห้องฉุกเฉิน เสียเลือดไปมาก ก็เลยอ่อนเพลีย สลบไปเท่านั้นแหละ แต่แผลก็เอาเรื่องเหมือนกันนะ ไว้ให้น้ำเกลือเรียบร้อยแล้วค่อยเอ๊กซเรย์สมองอีกที ว่าจะย้ายเข้าห้องพัก กำลังจะให้พยาบาลติดต่อเจ้าของไข้พอดี พวกเธอเป็นเจ้าของไข้ใช่มั้ย งั้นเดี๋ยวติดต่อพยาบาลด้านโน้นเลยนะ หมอไปล่ะ”



หัวใจของผู้ได้ยินพองโตขึ้นมา ทั้งของสุนีย์ โดนัท และเอิร์ธ แต่ที่พองโตกว่าคนอื่น คือหัวใจของโต้ง ฟังจากปากคำของหมอ อย่างน้อยตอนนี้ มิวก็ปลอดภัยแล้ว ชายหนุ่มมองดูเอิร์ธที่ไปติดต่อพยาบาลให้มิวเข้าพักในห้องพิเศษ ค่าใช้จ่ายคงมากอยู่ แต่บ้านเพื่อนคนนี้รวยมาก คงไม่คณนากระเป๋าเท่าไหร่ นัยน์ตาสีน้ำตาลของร่างสูงที่บัดนี้เช็ดคราบน้ำตาออกไปแล้วเฝ้ามองแต่ประตูห้องฉุกเฉิน รอให้เจ้าหน้าที่เข็นเตียงผู้ป่วยออกมา จนซักพัก สิ่งที่ชายหนุ่มรอคอยก็ปรากฏให้ได้เห็น



เตียงผู้ป่วยถูกเข็นออกมา ร่างโปร่งนอนนิ่งสนิทภายใต้ผ้าห่มที่คลุมห่มไว้ ใบหน้าอ่อนหวานของมิวเอียงมาด้านที่โต้งยืนอยู่ โต้งมองเห็นวงพักตร์ของคนรักได้อย่างชัดเจน ลมหายใจรวยรินแต่ยังคงไหลเวียน ร่างสูงเดินตามเตียงนั้นไปจนถึงห้องพิเศษ สายน้ำเกลือที่โยงระยางอยู่กับเสาแขวนลอยจากเพดาน ปลายข้างหนึ่งเชื่อมต่อกับเข็มที่ปักเข้าแขนของนักร้องตาหวาน บุรุษพยาบาลย้ายผู้ป่วยขึ้นเตียงเรียบร้อย แล้วก็เดินออกไป เอิร์ธที่เดินตามมากำลังจะก้าวเข้าไปในห้อง แต่กลับถูกมือของสุนีย์และโดนัทรั้งไว้



“ปล่อยให้โต้งอยู่กับมิวตามลำพังดีกว่านะ” เสียงอันอบอุ่นของหญิงสูงวัย โน้มนำให้วัยรุ่นทั้งสองออกมาคุยกันข้างนอกห้อง ดีกว่าที่จะอยู่รบกวนโต้งกับมิว ทั้งเอิร์ธและโดนัทจึงตัดสินใจออกมานั่งปรับทุกข์กันด้านนอก ส่วนสุนีย์เมื่อเห็นว่า มิวปลอดภัยดีแล้ว จึงขอตัวเด็กๆกลับไปดูแลกร พร้อมกับฝากให้เอิร์ธบอกโต้งให้ด้วย

...........

...........



โต้งนั่งอยู่ข้างๆเตียงของชายหนุ่มผู้กำลังหลับใหล ยิ่งมองดวงพักตร์ที่อยู่ในห้วงนิทรานั้นแล้ว หัวใจของโต้งกับเต้นตุ๊มๆต่อมๆ หวนนึกถึงห้วงคำนึงของตนก่อนหน้า ร่างสูงก้มลงมองดวงเนตรที่ปิดสนิทของร่างโปร่ง จากนั้นก็ค่อยๆโน้มตัวลงไป ........... ริมฝีปากเอบอิ่มของโต้งสัมผัสกับเปลือกตาที่หวานใสแม้ในยามหลับใหลของมิว



“ตื่นเร็วๆนะที่รัก” เสียงชายหนุ่มกระซิบบิกกับร่างที่นอนไม่ไหวติงนั้น









ร่างโปร่งของชายหนุ่มที่ก้มหน้ากอดเข่าตนเองอยู่นั้น กำลังคร่ำครวญโหยหาความสุขที่เหมือนจะหลุดหาย และรำพึงหาความเหงาที่เหมือนจะกลับมาเยือนอีกครั้ง ขณะที่ความเศร้ากำลังถาโถมใส่ร่างที่อยู่ลำพังบนดินแดนว่างเปล่าเคว้างคว้างนั้น มิวรู้สึกเย็นที่เปลือกตาข้างขวา ความเย็นนั้นมาพร้อมกับความอบอุ่น ความรู้สึกแปลกประหลาดนั้นทำให้นักร้องหนุ่มยิ้มโดยไม่รู้ตัว เค้าหลับตาลงอีกครั้งพร้อมนึกถึงความรู้สึกที่สัมผัสได้เมื่อครู่ ก่อนจะได้ยินเสียงแว่วเบาๆของคนคุ้นเคยว่า



“ตื่นเร็วๆนะที่รัก”



............

............






“ตื่นเร็วๆนะที่รัก”









เสียงเรียกดังแว่วมาจากที่ไกล ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนอีกครั้งพื่อมองหาที่มาของเสียง แต่เมื่อเหลียวไปยังทิศใด ทุกที่ก็เต็มไปด้วยความว่างเปล่า ไขว่คว้าได้แต่เพียงอากาศธาตุเท่านั้น นักร้องหนุ่มหลับตาลงอีกครั้ง ยายามนึกให้ออกว่าเสียงที่คุ้นเคยนั้น ดังมาจากไหนกันแน่



“ตื่นเร็วๆนะที่รัก”



อีกครั้งแล้ว ที่เจ้าของดวงเนตรสีน้ำเงินได้ยินเสียง มิวมั่นใจแล้วว่า นี่คือเสียงของโต้ง คนรักเพียงคนเดียวที่มิวพร้อมทำทุกอย่างเพื่อความสุขแก่โต้งเสมอ ทว่า ครั้งนี้ มิวไม่ได้ยินเสียงผ่านโสตสัมผัส



เสียงของโต้งยังคงดังให้มิวได้ยิน แต่ไม่ได้สัมผัสได้ผ่านหู มิใช่โสตสัมผัส หากแต่เป็นใจ เป็นมโนสัมผัส เสียงนั้นดังก้องอยู่ในจิตใจของผู้ฟัง มิวรับรู้แล้ว ว่าโต้งกำลังร้องเรียกให้มิวลุกขึ้น กำลังรอให้เราตื่น ‘เราคงยังหลับอยู่สินะ’ หัวหน้าวงออกัสต์รำพึงในใจตนเอง ก่อนที่จะตะโกนกลับออกไป



“โต้ง เราอยู่นี่” เสียงของมิวดังก้องขึ้นแล้วหายไปในความว่างเปล่า ไม่มีอะไรเกิดขึ้น คล้ายกับว่า ร่างโปร่งนั้นจะต้องอยู่ในทะเลแห่งความเงียบเหงาและว่างเปล่านี้ต่อไปเพียงลำพัง แม้ได้ยินและสัมผัสได้ถึงเสียงเรียกของคนรัก แต่ก็มิอาจจะโต้ตอบกลับไปได้ ............









ร่างสูงกระชับมือของมิวให้แน่นขึ้น ร่างที่นอนนิ่งอยู่บนเตียงนั้น ไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบใดๆ ในใจของโต้งนั้น แม้จะรู้สึกดี มั่นใจว่ามิวปลอดภัยแล้วก็ตาม แต่ในใจลึกๆนั้นก็มีความกลัวเจืออยู่บ้าง กลัวว่ามิวอาจจะเป็นเจ้าชายนิทราที่ไม่ยอมฟื้น คุณหมอเองก็ไม่ได้ให้คำมั่นอะไร เพียงแต่ต้องรอให้ตรวจสมองเสียก่อนในวันพรุ่งนี้ ความกลัวที่จะต้องสูญเสีย มันมาเชี่ยใส่โต้งบ้างแล้ว ความเหงามันทรมานอย่างนี้นี่เอง มิน่า มิวถึงไม่ยอมเปิดใจให้ใครเลย ตลอดหกปีที่พรากจากกัน






“ ถ้าเรารักใครมากๆ เราจะทนได้เหรอโต้ง ถ้าวันนึง เราต้องเสียเค้าไป และไอ้การจากลา มันก็เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต โต้งก็รู้ดี

มันจะเป็นไปได้เหรอโต้ง ที่เราจะรักใคร โดยไม่กลัวการสูญเสีย

แต่อีกใจนึงก็คิดว่า แล้วมันจะเป็นไปได้เหรอ ที่เราจะอยู่ได้ โดยไม่รักใตรเลย

นี่แหละคือความเหงา เราอยู่กับมันมาห้าปี ทำไมเราจะไม่รู้ ว่ามันทำร้ายเรายังไง “



เสียงพูดของมิว ที่กล่าวกับโต้งในคืนนั้น ดังอยู่ในมโนสัมผัสของชายหนุ่ม ทำเอานัยน์ตาสีน้ำตาลของโต้ง มีน้ำตารื้นอีกครั้ง



“ มิว เรากลัวนะ เรากลัวว่าความเหงามันจะเชี่ยใส่เรา แค่ช่วงระยะเวลาสั้นๆนี้ เราก็รู้แล้วว่า ความเหงามันทำร้ายเรายังไง แล้วเมื่อก่อน มิวต้องเจ็บปวดกับมันแค่ไหน เรารู้ว่ามิวรักเรา มิวอย่ายอมแพ้นะ อย่ายอมให้ความเหงามันมาทำร้ายเราสองคนอีกนะ สู้กับมันนะมิว เราต้องเอาชนะมันด้วยกัน เรารักมิวนะ “



ร่างสูงค่อยๆก้มลงไปหาร่างที่ยังหลับสนิท ริมฝีปากสีชมพูอ่อนของชายหนุ่ม ประทับรอยจุมพิตไปบนริมฝีปากสีชมพูจางๆของร่างโปร่งที่นอนนิ่งอยู่นั้น โต้งถ่ายทอดความรักจากหัวใจของตน ลงสู่ร่างที่นอนนิ่งบนเตียง หวังใจว่า มิวจะเหมือนเจ้าหญิงในนิทาน ที่สัมผัสพลังรักจากเจ้าชายหนุ่ม ก่อกำเนิดเป็นพลังชีวิตให้เธอฟื้นคืนมาจากห้วงนิทราได้ ชายหนุ่มประทับรอยรักให้กับคนรักที่หลับใหลโดยเชื่อมั่นในหัวใจว่า ร่างที่นอนอยู่นั้น จะตอบสนองความรักของตนด้วยการตื่นขึ้นมา





ความรู้สึกซาบซ่านแผ่ไปทั่วสรรพางค์กายของร่างโปร่ง เหมือนอะดรีนาลีนฉีดทั่วร่าง ความสุขไหลซึมผ่านเซลล์แทรกผ่านทั่วอณูแห่งจิตวิญญาณของนักร้องหนุ่ม เริ่มจากริมฝีปาก แผ่ซ่านไปเรื่อย ผ่านลำคอ ไหลมาถึงทรวงอก กระทบเข้าไปในหัวใจที่ใกล้จะหยุดเต้นนั้น ไฟรักที่ถูกจุดประกายโดยชายหนุ่มเจ้าของดวงตาสีน้ำตาลจากโลกจริงเบื้องบน ช่วยขับเร่งไฟชีวิตของร่างนิ่งสนิทให้กลับมาเรืองโรจน์อีกครั้ง ร่างโปร่งในดินแดนแห่งความว่างเปล่า ร่างที่ร้องหาคนรักในโลกเสมือน กลับสว่างไสวขึ้นมา แสงสว่างจากเบื้องบน ฉุดร่างที่กำลังเดียวดายนั้นให้ล่องลอยขึ้นไปสู่แสงสว่างเบื้องบน





โต้งถอนริมฝีปากของตนออกจากริมฝีปากของมิว ชายหนุ่มสังเกตเห็นว่า ริมฝีปากที่ซีดจางของร่างที่นอนนิ่งอยู่นั้น กลับระเรื่อด้วยสีชมพูเข้มขึ้น คล้ายกับว่า เลือดจากร่างกายที่นิ่งสนิท เริ่มทำงานอีกครั้ง หล่อเลี้ยงร่างโปร่งของมิว ให้มีชีวิตชีวาอีกครั้ง แม้กระทั่งใบหน้าที่เคยซีดเซียว ก็กลับสดชื่นขึ้น ชีวิตของมิวกำลังจะกลับมา ลมหายใจโรยรินกำลังกลับมา ริมฝีปากงามที่เอิบอิ่มของร่างที่นอนอยู่เคลื่อนไหวเล็กน้อย เหมือนกับว่ากำลังร้องเรียกหาอะไรบางอย่าง แม้ดวงตาของมิวจะยังคงปิดสนิท แต่โต้งก็รับรู้ได้ด้วยใจและเชื่อมั่นในสิ่งที่ตนทำ อย่างไม่รอช้า ชายหนุ่มก้มศีรษะลงไปยังใบหน้าที่เริ่มมีชีวิตนั้นอีกครั้ง ริมฝีปากของมิวถูกโต้งประทับจุมพิตอีกครั้ง ถูกฝากรอยรักอีกครั้ง จุมพิต ที่สร้างทั้งรอยรักและสร้างพลังชีวิตให้กับร่างที่กำลังรอคอยพลังนั้น จากวินาทีกลายเป็นนาที ริมฝีปากของชายหนุ่มทั้งสองยังไม่แยกจากกัน หนึ่งคือร่างโปร่งที่นอนนิ่งสนิทบนเตียง อีกหนึ่งคือร่างสูงที่ยืนอยู่ข้างๆ ริมฝีปากทั้งสองเหมือนมีปฏิกิริยาต่อกัน เมื่อโต้งเริ่มกระชับริมฝีปากให้แน่นขึ้น อีกหนึ่งก็จะดูดดื่มและซึมซับร่องรอยแห่งความรักเอาไว้ เหมือนเวลาหยุดลงชั่วกาลสำหรับคนทั้งคู่ ดวงตาของร่างที่นอนนิ่งอยู่บนเตียงผู้ป่วยนั้น ค่อยๆเปิดขึ้นอย่างช้าๆ เผยให้เห็นนัยน์ตาสีน้ำเงินคู่งาม นัยน์ตาซึ่งเป็นที่ใฝ่ฝันและถวิลหาของดวงตาอีกคู่ ที่งามไม่แพ้กัน ถึงจะต่างสีด้วยสีน้ำตาลก็ตามที ทำให้เจ้าของนัยน์ตาสีน้ำตาลที่ยืนอยู่ ค่อยๆถอนริมฝีปากขึ้นช้าๆ ค่อยๆจ้องมองสะท้อนแววตาสีน้ำตาลของตนเองในแววตาสีน้ำเงินของผู้ที่นอนอยู่ ก่อนจะร้องเรียกเบาๆ



“ ตื่นแล้วเหรอที่รัก “



ร่างที่นอนอยู่นั้นไม่ได้ตอบด้วยคำพูด อาจเป็นเพราะยังรู้สึกเจ็บอยู่บ้าง จึงได้แต่ยิ้มให้กับคนตรงหน้า ยิ้มให้กับความรักของโต้งที่ช่วบปลุกพลังชีวิตของมิวให้ตื่นขึ้น ก่อนที่จะขยับริมฝีปากกลั่นกรองคำพูดออกมา แม้ว่าจะไม่มีเสียงหรือกระแสลมเล็ดลอดออกมาจากร่องฟันนั้น แต่โต้งก็อ่านคำพูดจากริมฝีปากของมิวได้ว่า



“ขอบคุณนะ”

...............

...............

...............




Create Date : 03 กุมภาพันธ์ 2553
Last Update : 5 มีนาคม 2553 15:02:44 น.
Counter : 477 Pageviews.

4 comments
  

+++ ต่อเรื่อง +++



สองทุ่มแล้ว ป้าอรกำลังนั่งคอยมิวอยู่หน้าประตูบ้าน อาเฮียกลับบ้านมาได้พักใหญ่แล้ว ดูเหมือนว่าจะอารมณ์ดีเป็นพิเศษจนมาม้าและหญิงสังเกตเห็น แต่ก็ยังไม่อยากถามอะไรให้มากความ ‘ไว้รอถามมิวดีกว่าว่าเฮียแกเป็นอะไรกันแน่’ หญิงคิดในใจ



“อ้าว!!! นี่มิวยังไม่กลับมาอีกเหรอคะป้าอร เห็นออกไปพร้อมกับเฮีย หนูก็นึกว่าจะกลับมาพร้อมกันซะอีก” หญิงแปลกใจที่มิวกลับมาช้ากว่าที่ควรจะเป็น

“เค้าออกไปเที่ยวกับเพื่อนๆต่อรึเปล่าคะป้าอร วันนี้วันเสาร์นี่นา”

“ไม่นะหนูหญิง ทุกที ถ้าหนูมิวจะกลับช้า ก็ต้องโทรบอกป้าก่อน แกเป็นเด็กดี กลัวป้าเป็นห่วง แต่คราวนี้แปลก ไม่โทรมาเลย ป้าโทรไปก็ไม่ติด ไม่รู้เป็นอะไรรึเปล่าน่ะสิ” สีหน้าของป้าอรแสดงถึงความเป็นห่วงอย่างเห็นได้ชัด

“ใจเย็นๆค่ะป้า เดี๋ยวหนูไปถามเฮียให้นะ ออกไปด้วยกัน คงจะรู้มั้ง ว่ามิวไปที่ไหน” หญิงที่เป็นห่วงมิวเช่นกันรับวิ่งเข้าไปในบ้านของตนทันที





“ป้าอรคะ เฮียเค้าบอกว่า มิวออกมาก่อนตั้งนานแล้วค่ะ”

“ตายจริง แล้วนี่หนูมิวเค้าหายไปไหนล่ะ หญิงมีเบอร์โทรศัพท์ของเพื่อนๆหนูมิวรึเปล่าลูก” สีหน้าป้าอรเป็นกังวลจนแสดงออกอย่างเห็นได้ชัด

“เดี๋ยวหญิงจะลองโทรหาโต้งนะคะป้า” หญิงพูดจบก็กดโทรศัพท์เบอร์ของโต้งทันที





“ต่อไม่ติดค่ะป้าอร สงสัยปิดเครื่อง แล้วทำไมถึงต้องมาปิดเครื่องพร้อมกันทั้งมิวทั้งโต้งเลยนะ บ้าชะมัด สองคนนี้เค้าไม่คิดรึยังไงนะ ว่าจะมีใครเค้าเป็นห่วงรึเปล่า” หญิงบอกป้าอรหลังจากพยายามโทรหลายครั้ง พลางบ่นเป็นหมีกินผึ้งอย่างน่ากลัว แต่ที่จริง หญิงเองก็เป็นห่วงมิวไม่น้อย

....................

....................



“แค่มิวไม่เป็นไร เราก็ดีใจแล้วแหละ ........... อย่าพึ่งพูดเลยมิว พักผ่อนเยอะๆดีกว่า ....... อะไรนะ....................โทรศัพท์ ...................ป้าอร ............... เอ่อ....มิว......คือตอนนี้ โทรศัพท์ของมิวพังไปแล้วอะ..................อย่าทำหน้าเสียใจขนาดนั้นดิ.............ฮึ......อ๋อ.....ให้เราโทรบอกป้าอรหรอ แต่เราไม่มีเบอร์บ้านมิวเลยนะ... ว่าไงนะ..... โทรหาหญิง.................เออใช่.......หญิงเคยให้เบอร์เราไว้ เดี๋ยวก่อนนะ” โต้งล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงเพื่อหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา



“อ้าว!!! โทษทีมิว ของเราแบตหมดอะ เดี๋ยวเราไปหาเอิร์ธก่อนนะ มันมีเบอร์ของหญิง เดี๋ยวให้มันช่วยโทรให้ก็ได้” โต้งพูดจบก็เดินออกไปทางด้านนอก โดยมีผู้ป่วยที่พึ่งจะฟื้นมองตามด้วยความอิ่มใจที่มีคนรักคอยเอาใจใส่ดูแล

..................

..................





“จะทำยังไงดีล่ะเนี่ย มิวนะมิว ทำให้เพื่อนเป็นห่วง ปกติตัวก็ไม่ค่อยจะมีเพื่อนอยู่แล้ว นอกจากพวกออกัสต์ ออกัสต์หรอ จริงดิ ตาบ้าคิ้วหนานั่น เคยให้เบอร์เราไว้นี่นา เดี๋ยวหาดูก่อน” หญิงที่บ่นจนเริ่มเหนื่อยรีบกดโทรศัพท์หาเบอร์โทรของเอ๊กซ์







‘ตั๋วใบนี้ ไม่มีที่สำหรับฉัน แม้เค้าจะขายให้ทุกคนได้เท่ากัน เพียงแต่..............’



“ใครน่ะ...................” เอ๊กซ์รับโทรศัพท์ด้วยสีหน้างงเล็กน้อย เพราะมาจากเบอร์ที่ตนไม่เคยรู้จักมาก่อน

“ใช่เอ๊กซ์รึเปล่าน่ะ นี่เราหญิง เพื่อนข้างบ้านมิวนะ” หญิงพูดออกไปผ่านสัญญาณเสียงโดยที่ไม่เห็นว่าปลายสายอีกด้านรีบกระโดดผึงมานั่งฟังอย่างตื่นเต้นและสนอกสนใจทันที

“หญิงเหรอครับบบบ มีอะไรให้รูปหล่อรับใช้ครับผม” มือกีตาร์ไม่วายทำเลี่ยนใส่หญิง ที่แลบลิ้นแหวะให้กับคำพูดของเอ๊กซ์ทันทีหลังจากได้ยิน

“นายเห็นมิวบ้างปะ ป่านนี้ยังไม่กลับมาบ้านเลย โทรหาก็ไม่ติด” น้ำเสียงหญิงแสดงความเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด จนปลายสายรู้สึกแปลกใจผสมงอนเล้กน้อย

“มันก็ไปกับแฟนมันอะดิ โต้งอะ เห็นว่านัดเจอกันที่สยามไม่ใช่หรอ”

“เราลองโทรหาโต้งแล้ว ไม่รับสายเหมือนกัน”

“เป็นห่วงมิวมันมากอะดิ เธอก็รู้นี่ ว่ามันรักโต้ง เรื่องของเธอกับไอ้มิวมันน่ะ ไม่มีทางเป็นไปได้หรอก หยุดให้ความหวังกับตัวเองซะเถอะน่า” เอ๊กซ์ที่คิดไปเองว่าหญิงยังคงรักและหวังกับมิวแบบเดิมอยู่ แบบที่คงไม่อาจตัดใจได้ เกิดหึงมิวกับโต้งขึ้นมาพูดกรอกเสียงผ่านสัญญาณโทรศัพท์จนคนที่ได้ฟังตกใจ

“นายคิดอะไรของนายอยู่เนี่ย ชั้นก็แค่เป็นห่วงมิวเท่านั้น ตอนนี้ป้าอรห่วงมิวมากจนกลุ้มใจใหญ่แล้ว ชั้นเลิกคิดแบบนั้นกับมิวไปแล้วยะ รู้ไว้ด้วยนะ”

“จริงดิ แล้วเธอมีใครรึยังล่ะ” เอ๊กซ์ที่ได้ยินหญิงบอกว่าตัดใจจากมิวไปแล้วดีใจจนลืมเรื่องเพื่อนสนิทไปเลย ถึงขั้นขายขนมจบหยิงต่อไป

“อีตาบ้า ชั้นโทรมาเรื่องมิวนะ คนเค้าเป็นห่วงเพื่อนจะแย่ อีตานี่ยังจะมาจีบอยู่ได้” หญิงว่าเอ๊กซ์กลับไปจนนายคิ้วหนารู้สึกตัว

“เออใช่.....ลืมไป ..... งั้นเดี๋ยวเราลองไปเดินหาแถวสยามดูมั้ย”

“เรา...................หมายถึงชั้นกับนายสองคนเนี่ยนะ”

“ก็ใช่น่ะสิ หรือเธอไม่กล้า ก็ไหนว่าห่วงเพื่อนไง กลัวเราเหรอ”

“ใคร ใครกลัวนาย ไปดิ เดี๋ยวอีกครึ่งชั่วโมงเจอกันหน้าลิโด้นะ”

“อืม.......ตกลง” เอ๊กซ์วางสายแล้วรีบไปแต่งตัวออกไปข้างนอกทันที

.....................

.....................





“ลองหลายทีแล้วโต้ง แต่โทรไม่ติดเว้ย สายไม่ว่างตลอดเลยว่ะ” เอิร์ธบอกโต้งที่เป็นห่วงแทนมิว กลัวคนที่บ้านจะกังวล

“ขอบใจมากเอิร์ธ ไม่เป็นไร จริงดิ แม่กรูล่ะ”

“กลับไปดูแลพ่อมรึงโน่นแล้ว ฝากให้บอกมรึงว่าห้องเดิม”

“เออ...........ขอบใจเว้ย ใช่สิ แม่กรูรู้เบอร์บ้านมิวนี่หว่า เฮ้ยเอิร์ธ ยืมโทร........” โต้งยังพูดไม่ทันจบ เอิร์ธก็ส่งโทรศัพท์มือถือให้ทันที

“ขอบใจเว้ย”

“ไม่ต้องหรอก มรึงเพื่อนกรู อีกอย่าง เรื่องวุ่นวายก็เพราะกรูขับรถประมาทด้วย”

“เพราะความโง่ของเราต่างหาล่ะเอิร์ธ” เสียงของโดนัทที่พึ่งกลับจากห้องน้ำดังมาจากด้านหลัง สีหน้าแววตาดูสดชื่นขึ้นเมื่อรู้ว่ามิวฟื้นแล้ว และปลอดภัยดี



โต้งมองดูเพื่อนคนนี้ แววตาที่มองโดนัท คล้ายกับแววตาที่ตนเคยมองมิว ชายหนุ่มเข้าใจทันทีว่าเอิร์ธคิดยังไงกับโดนัทจึงขอตัวหลบไปโทรศัพท์ห่างๆ โดนัทเองก็มองตามโต้งไปอย่างคนหัวใจสลาย คนพ่ายแพ้ แต่พอนึกถึงคำพูดของมิวตอนที่เข้ามาช่วยชีวิตตนเอง



“เราไม่อยากจะให้โต้งเสียใจ”



คำพูดที่ทำให้ผู้หญิงเอาแต่ใจคนนึง รู้ว่า คนที่เค้าทำเพื่อความรัก คนที่มีความรักอย่างแท้จริงเป็นยังไง “มิว ที่รักและพร้อมจะทำเพื่อโต้ง” คนที่เธอไม่สามารถจะเป็นได้ ความรักที่เธอมิวต่อโต้งแบบเก่าพลันกลายเป็นอากาศธาตุ เหลือแต่ความรู้สึกดีๆที่เคยมีให้กันฉันเพื่อนเท่านั้น ความว้าเหว่เลื่อนลอยรู้สึกว่าตนไม่มีใครจู่โจมใส่โดนัท หญิงสาวพยายามสลัดความรู้สึกผิดหวังออกไป พร้อมกับเงยหน้าขึ้นเพื่อจะมองโต้ง ชายหนุ่มที่กำลังจะเดินไกลห่างไปจากเธอ แต่แววตาของหญิงสาวกลับสบพบแววตาตีๆของชายหนุ่มอีกคน ที่มองเธออย่างแปลกประหลาด แววตาที่เธอไม่เคยได้เห็นจากนัยน์ตาสีน้ำตาลของโต้ง และไม่เหมือนกับแววตากรุ้มกริ่มของบรรดาเพื่อนชายที่เธอเคยควงเที่ยวในสยาม แต่เป็นแววตาแห่งความรู้สึกห่วงใย แววตาที่คล้ายคลึงกับแววตาของโต้งขณะปลอบโยนมิวตรงบันไดโรงหนังสกาล่าเมื่อช่วงก่อนหน้านี้



โดย: Niramitr วันที่: 3 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:17:53:15 น.
  

ชายหนุ่มคิ้วหนามาถึงหน้าโรงภาพยนตร์ลิโด้ตอนเกือบสามทุ่ม หญิงสาวในชุดสีชมพูคนหนึ่งยืนคอยอยู่อย่างกระวนกระวาย สองตาคอยจับจ้องนาฬิกาสีชมพูเข้มที่มือซ้ายผสมกับการชะเง้อมองหาใครบางคนไปพร้อมๆกัน มือกีตาร์หน้าทะเล้นแห่งวงออกัสต์เดินมาถึงผู้ที่คอยอยู่ก่อนพร้อมรอยยิ้มกวนประสาทเหมือนเคย



“มาช้านะนายน่ะ เลตไปตั้งห้านาที” หญิงเป็นฝ่ายบ่นก่อน

“โห!! แค่ห้านาทีเนี่ยนะ ทำบ่นเป็นแม่แก่ไปได้ “ เอ๊กซ์ตัดพ้อ

“อย่ามาเสียเวลาเลย ไปหามิวกันก่อนดีกว่า”

“อืมมม ลองไปดูแถวสกาล่ากันก่อนมั้ย มิวมันเคยนัดโต้งดูหนังที่นั่น อาจจะกำลังดูหนังอยู่ด้วยกันก็ได้ อย่าพึ่งกังวลไปเลยน่า”

“จะไม่ให้ห่วงได้ยังไงล่ะ มิวไม่เคยเหลวใหลมาก่อนนี่ ไปเหอะ ชั้นรู้สึกใจคอไม่ดียังไงก็ไม่รู้ เหมือนกับว่ามิวจะเกิดเรื่อง”

“พูดยังกับว่าเธอสื่อใจกับมิวได้อย่างงั้นแหละ ไหนว่าตัดใจจากมิวได้แล้ว”

“ถึงยังตัดใจเด็ดขาดไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้แปลว่าห่วงใยกันไม่ได้นี่ตาชินจังปากเสีย ชั้นเป็นถึงแม่สื่อให้มิวกับโต้งเชียวนะ”

“ครับคุณแม่สื่อ ไหนว่าห่วงเพื่อน เดินเร็วๆสิครับ”



เอ๊กซ์และหญิงเดินเลาะไปตามริมถนนพระรามหนึ่ง สี่เท้าของคนสองคนที่มีใจเป็นห่วงเพื่อนเหมือนกันเดินไปอย่างรีบร้อน จ้ำเอา จ้ำเอา โดยไม่ใส่ใจกับลมฤดูหนาวที่โชยมากระทบ ถึงแม้ว่าหญิงสาวจะรู้สึกหนาวอยู่บ้าง แต่ความเป็นห่วงเพื่อนมีมากกว่า ความรีบร้อนทำให้หญิงลืมคว้าแจ๊กเก็ตตัวโปรดมาสวมก่อนออกจากบ้าน เมื่อเดินมาถึงโรงหนังสกาล่า ลมกรรโชกแรงก็พัดมากระทบหยิงสาว ลมฤดูหนาวที่ทำให้หญิงสาวถึงกับต้องกอดอก ร่างกายสั่นเทิ้มเล็กน้อย สองไหล่ยกขึ้นมาพร้อมกับสั่นระริกมือขวากอดต้นแขนซ้าย มือซ้ายกอดต้นแขนขวา ปากเป่าลมอุ่นๆออกมา ขณะที่หญิงกำลังอดทนต่อความหนาวอยู่นั้น........................................



สองมือจับชายเสื้อแจ๊กเก็ตสีดำสวมเข้ากับไหล่บางเบาของหญิงสาว ช่วยคลายความหนาวกายให้กับหญิงสาวผู้พึ่งจะคลายความผิดหวังจากรักครั้งแรก ทว่าความหนาวใจเริ่มจะเกาะกุม ถ้าเมื่อก่อนนี้ คนที่ทำแบบนี้กับเธอคือชายหนุ่มบ้านตรงข้าม คนที่เธอเฝ้าคะนึงหามาตลอดหลายปีล่ะก็ เธอคงจะมีความสุขไม่น้อย แต่จะทำเยี่ยงไรได้ ในเมื่อ”มิว” ไม่สามารถมอบความรักในแบบที่เธอต้องการได้อีกต่อไป หญิงสาวต้องทำใจยอมรับ และยืนหยัดเพื่อตัวเอง แม้จะยากเพียงใดก็ตาม บัดนี้ เธอเกือบจะพร้อมแล้ว เกือบจะพร้อมที่จะลืมความผิดหวังครั้งเก่า แล้วหันมาตั้งตนสร้างความหวังในความรักอีกครั้ง “ตราบใดมีความรัก ก็ย่อมมีความหวัง” เป็นสโลแกนประจำตัวของหญิงสาวไปแล้วในตอนนี้



หญิงเข้าใจโดยทันทีว่า เอ๊กซ์ เพื่อนสนิทของรักครั้งแรกของเธอ คงมีความรู้สึกดีๆจะมอบให้กับเธอเป็นแน่ อย่างน้อย นายคิ้วหนาคนนี้ก็เป็นสุภาพบุรุษพอ ที่ยอมสละเสื้อแจ๊กเก็ตของตนเพื่อป้องกันไม่ให้หญิงสาวที่กำลังหนาวเหน็บต้องเหน็บหนาวเพราะสายลมแห่งฤดูกาลที่เปลี่ยนแปลง ถึงจะหนาวใจอยู่บ้าง แต่หญิงก็มีความรู้สึกอุ่นเล็กๆเกิดขึ้นที่หัวใจ แล้วเธอควรจะทำอย่างไรดี ถึงแม้ว่าเอ๊กซ์จะไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับเธอ แต่ก็ไม่ใช่คนใกล้ชิดแต่อย่างใด พึ่งจะได้คุยกันแค่ไม่กี่ครั้งเท่านั้น ตัวเธอเองพร้อมแน่แล้วหรือ ที่จะเปิดใจยอมรับเพื่อนชายคนใหม่ เพื่อนชายที่เธอไม่ได้รัก ไม่เคยคิดจะรัก แต่อีกใจนึงก็คิดว่า ทุกอย่างมีการเริ่มต้นเสมอ เอ๊กซ์เองก็ไม่เลว เล่นดนตรีก็เก่ง นิสัยก็แมนใช้ได้ แถมยังเป็นเพื่อนสนิทของมิว อย่างน้อย ถ้าคนอย่างมิวคบใครจนกลายเป็นเพื่อนสนิทล่ะก็ แปลว่าต้องเป็นคนที่ไว้ใจได้แน่นอน ”อย่าพึ่งใจร้อนอาหญิง ลื้อต้องปล่อยให้มันค่อยเป็นค่อยไป” หญิงคิดกับตัวเอง



ตอนนี้นักกีตาร์คิ้วหนาเหลือเพียงเสื้อยืดสีเทาที่ใส่มาด้านในแจ๊กเก็ตเท่านั้น แต่เพราะเป็นคนแข็งแรง จึงไม่ได้รู้สึกหนาวแต่อย่างใด หลังจากยกเสื้อตัวนอกให้หญิงไปแล้ว ชายหนุ่มก็เฝ้ารอคำพูดที่ตนอาจจะได้ยินจากปากของหญิง คำพูดที่จะช่วยให้ตนอบอุ่นขึ้นมาบ้าง



“ขอบคุณนะ” หญิงเอ่ยปากขอบคุณเอ๊กซ์ ทำเอาชายหนุ่มยิ้มกริ่มทีเดียว







ลมกระโชกแรงพัดมายังตำแหน่งที่ชายหนุ่มหยิงสาวยืนอยู่ หอบเอาสิ่งของที่เรี่ยอยู่ตามพื้นพัดปลิวมาด้วย ผ้าเช็ดหน้าสีเขียวผืนหนึ่งปลิวตามลมมาปิดหน้าของนักกีตาร์คิ้วหนาที่กำลังยิ้มแก้มปริ ด้วยความตกใจ เอ๊กซ์ดึงผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นออกมา ก่อนที่จะตัดสินใจทิ้งลงถังขยะ สองตาก็เหลือบเห็นลายปักอักษรจีนตรงมุมผ้าผืนนั้น



“แปลกดีเว้ย มีภาษาจีนด้วย”

“อะไรหรอเอ๊กซ์”

“นี่ไงหญิง ผ้าเช็ดหน้าผืนนี้มีภาษาจีนปักเอาไว้ด้วย ดูดิ”

“นี่มัน.......................................” หญิงหยิบผ้าเช็ดหน้ามาดูชัดๆ

“อะไรเหรอหญิง”

“รักมิว”

“ฮะ...................นี่หญิงยังไม่เลิกรักมิวอีกหรอ ไหงกลับไปกลับมานักเนี่ย”

“ไม่ใช่เรื่องนั้นตาบ้า!!! ชั้นหมายถึงภาษาจีนนี่ต่างหาก มันแปลว่ารักมิว”

“แต่ไม่ยักกะเคยเห็นไอ้มิวใช้มาก่อนเลย”

“หญิงก็ไม่เคยเห็นผ้าผืนนี้มาก่อนเหมือนกัน มันยังไงกันนะ”



ลมแรงพัดโชยมาอีกครั้ง หญิงสาวกระชับเสื้อแจ๊กเก็ตที่ตนสวมไว้แล้ว ทำให้ผ้าเช็ดหน้าหลุดออกจากมือ ปลิวไปด้านหลัง ผ้าเช็ดหน้าหลุดลอย เบาะแสเดียวที่พึ่งจะค้นพบก็หลุดลอย หญิงหน้าเสียจนเอ๊กซ์เป็นกังวล



“ เดี๋ยวเราไปตามหามาให้นะ หญิงคอยแถวนี้แล้วกัน” พูดจบก็วิ่งไปทันที







เอ๊กซ์วิ่งไปแล้ว เหลือเพียงหญิงที่ยืนอยู่ลำพังใกล้โรงหนังสกาล่า ผ่านไปเพียงห้านาที ฝนหลงฤดูก็เทกระหน่ำลงมาโดยไม่เกรงใจผู้คนมากมายที่กำลังเดินบนถนนหัวใจบนเส้นทางและซอกซอยในสยามสแควร์ ถึงจะเป็นคืนวันเสาร์ก็ตามที แต่คืนนี้ ที่แห่งนี้ กลับเงียบอย่างประหลาด คงเป็นเพราะสายฝนที่ทำให้ผู้คนทั้งหลายกระจัดกระจายแยกย้ายกันไปตามเป้าหมายของตน ทิ้งให้บริเวณนั้นกลับเงียบลงทันตาเห็น หญิงเองก็อยากจะไปหาที่หลบฝนตรงอื่นอย่างคนอื่นเค้าบ้าง แต่เพราะรับปากเอ๊กซ์ว่าจะคอยอยู่ตรงนี้ กลัวว่าถ้าตนหลบไปซะตรงอื่น เอ๊กซ์กลับมาก็คงไม่เจอกัน แล้วใครจะมาเป็นเพื่อนตนตามหามิวกันเล่า จึงต้องทนหลบฝนอยู่ตามลำพังภายใต้ชายคาของร้านรวงที่ปิดลงแล้ว สยามฯไม่เคยเงียบเหงาอย่างนี้มาก่อน หญิงแปลกใจกับบรรยากาศที่เงียบเกินไป เงียบในแบบที่ตนไม่เคยเห็น ถึงจะมีไฟพอให้สว่างอยู่บ้าง แต่ก็เปลี่ยวกว่าเคยเป็น เปลี่ยวจนน่ากลัว





“มาทำอะไรอยู่คนเดียวจ๊ะน้องสาว” เสียงคนแปลกหน้าดังมาจากในซอยที่มืดมิด

“ไปเที่ยวกับพี่มั้ยจ๊ะคนสวย” อีกเสียงดังมาจากทิศทางเดียวกัน

“ใครน่ะ” หญิงตอบสวนออกไป น้ำเสียงกึ่งกังวลกึ่งกลัว ไม่เข้าท่าแล้ว เสียงแบบนี้ น่าจะเป็นแก๊งวัยรุ่นที่มามั่วสุมในคืนวันหยุด หญิงค่อยๆก้าวถอยหลัง พยายามจะเดินหนีไปในทิศทางที่เอ๊กซ์จากไป เสียงก้าวเท้าของคนในซอย เตือนให้หญิงรู้ว่า พวกนั้นกำลังเข้ามาใกล้แล้ว

.......................

.......................

.......................



โดย: Niramitr วันที่: 3 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:17:53:34 น.
  

หัวใจของหญิงสาวเต้นส่ำไม่เป็นจังหวะ ความตื่นเต้นเข้ามาแทนที่ ทำเอาหัวใจที่กำลังโหยหาความรักพองโตอีกครั้ง แววตาประกายของชายตาตี่ที่จ้องมองมานั้น ทำเอาหญิงสาวอย่างโดนัทหน้าแดงด้วยความเขินอาย เธอรู้จักกับเอิร์ธมาหลายปี เพราะเคยเรียนพิเศษที่เดียวกัน อีกทั้งเอิร์ธยังเป็นเพื่อนของเพื่อนเธออีกด้วย แล้วก็เพราะเอิร์ธนี่แหละ โดนัทถึงได้รู้จักกับโต้ง แถมยังช่วยเป็นพ่อสื่อให้อีกด้วย แต่ว่าตอนนั้น เอิร์ธเองก็ไม่ได้มีทีท่าจะจีบเธอ หรือว่ามี แต่สายตาจองหองสวยเลือกได้อย่างเธอไม่คิดจะเหลียวมอง คงใช่ เพราะตอนนั้น สายตาของเธอมุ่งความสนใจไปที่โต้งเท่านั้น ทำให้โดนัทมองข้ามผู้ชายที่แอบเฝ้ามองเธอมานานไป



“นายชอบเราเหรอเอิร์ธ” โดนัทเอ่ยปากถามชายหนุ่มตรงหน้า

“ไม่รู้ดิ ไม่รู้เหมือนกัน” เอิร์ธตอบออกมาด้วยความประหม่า

“พูดเหมือนโต้งเลย เอะอะก็ไม่รู้ท่าเดียว”

“ก็............... เรารู้แค่ว่า ทุกครั้งที่เราเห็นโดนัทไปกับโต้ง เหมือนจะไม่รู้สึกอะไร แต่ลึกๆแล้ว เราอิจฉาโต้งมันมาก ชอบคิดว่า ทำไมถึงไม่เป็นเราบ้างนะ”

“อิจฉาเหรอ มีอะไรน่าอิจฉา เราเป็นแฟนกับโต้งหลายเดือน แต่ทุกครั้งที่ไปด้วยกัน เหมือนเราเดินกับคนที่ไร้จิตวิญญาณ”

“นั่นเพราะโดนัทไม่เข้าใจโต้ง ไม่สามารถเข้าถึงหัวใจของโต้งมันได้ ต่างกับตอนที่มันออกเที่ยวกับมิว อันนี้เราไม่เคยเห็นนะ แต่ไอ้แหวมันเล่าว่า ท่าทางไอ้โต้งออกจะแฮปปี้ยิ่งกว่าออกเดตซะอีก ก็เลยทำให้พวกเราเริ่มจะเข้าใจว่า ไอ้โต้งมันเป็นอะไร แต่ก็ใช่ว่ามันจะเป็นแบบนั้นกับคนอื่นๆนะ พวกเราคบกับโต้งมานาน มันยังไม่เคยมีชีวิตชีวาเหมือนตอนที่มันเจอเพื่อนเก่าอย่างมิวเลย”

“ช่างเหอะ เรื่องมันผ่านไปแล้ว กลับมาที่เรื่องของนายดีกว่าเอิร์ธ นายชอบเราตั้งแต่เมื่อไหร่” แววตาคาดคั้นอย่างคนต้องการเอาชนะกลับมาอีกแล้ว

“ไม่รู้ดิ ไม่รู้จริงๆนะ ไม่ต้องมามองแบบนั้นเลย โดนัทรู้รึเปล่า ว่าเราน่ะ ต้องทำใจว่าโดนัทเป็นแฟนเพื่อน ขนาดเรารู้ว่ามันทะเลาะกับเธอ รู้ว่าพักหลังมานี่ มันไม่เอาใจใส่เธอ แอบเคืองมันเหมือนกัน แต่เพราะเธอคบเป็นแฟนกับไอ้โต้งมัน ไม่ใช่เรา ก็เลยต้องวางเฉย” ท่าทางผิดหวังเล็กน้อย แต่เอิร์ธไม่ได้สังเกตว่าโดนัทแอบยิ้มชอบใจเล็กๆ

“แล้วทำไมนายถึงไม่คิดจะจีบผู้หญิงคนอื่นล่ะ เห็นออนกับเพื่อนเราบ่อยๆ น่าจะมีหลายคนที่สนใจบ้างแหละ”

“จะให้ตอบจริงๆเหรอ”

“ใช่สิ ถ้านายคิดจะให้เราสนใจ นายก็ควรให้เรารู้เรื่องของนายมากกว่านี้” ดูท่าโดนัทจะเริ่มสนใจเอิร์ธบ้างแล้ว

“เอางั้นก็ได้..............ก็............ที่จริงเราก็เคยคิดจะชอบเพื่อนอีกคนนึงเหมือนกัน” เอิร์ธพยายามจะเล่า แต่ก็ตื่นๆอยู่บ้าง

“ใครเหรอ เรารู้จักรึเปล่า” น้ำเสียงโดนัทแฝงอารมณ์ไม่ชอบใจเล็กน้อย

“ไม่มั้ง................. แต่น่าจะเคยเห็นนะ อ้อ!! ใช่แล้ว ก็ตอนที่โดนัทไปวีนใส่ไอ้โต้งที่ลานจอดรถไง เมื่อเดือนที่แล้วน่ะ”

“คนไหนล่ะ นึกไม่ออก”

“คนผอมๆ ขาวๆ ไงล่ะ”

“ไม่รู้ดิ จำไม่ได้ ก็เราสนใจแต่เรื่องเรากับโต้ง ใครจะไปแยแสคนอื่น”

“สมเป็นโดนัทเลยเนอะ ไม่ใส่ใจใครอื่น ถ้าไม่ใช่เรื่องตัวเอง”

“ชมรึด่ากันเนี่ย ไหนว่าแอบชอบเรา มาหลอกว่ากันใช่มั้ย” น้ำเสียงโมโหหลุดมาให้ได้ยิน

“เฮ้ย!!! อย่าเข้าใจผิดดิ จะว่าไป บุคลิกแบบนั้นก็มีเสน่ห์อีกแบบนะ” ชายหนุ่มพูดยิ้มๆ

“บ้า แซวกันง่ายดีโนะ เล่าต่อสิ เราอยากรู้ แล้วเค้าชื่ออะไรล่ะ”

“หญิง”

“หญิง...........ชื่อเช้ยยยยยเชย แล้วไงต่อล่ะ เค้าสนใจนายรึเปล่า ”

“เปล่า เค้าแอบรักผู้ชายบ้านตรงข้าม”

“งั้นนายก็อกหักอะดิ ใครเนาะ ชายหนุ่มที่มาชิงหัวใจของหญิงสาวที่นายชอบไปได้เอิร์ธ” โดนัทพูดติดขำ แต่ก็สังเกตสีหน้าเอิร์ธว่าไม่ได้ว่าแต่อย่างใด

“โดนัทก็รู้จัก บ้านของหญิงน่ะ เคยเป็นบ้านที่โต้งอยู่มานานหลายปี ก่อนที่จะย้ายบ้านไปเมื่อหกปีก่อน แล้วชายหนุ่มที่อยู่บ้านตรงข้าม ก็เป็นเพื่อนสนิทของโต้งตั้งแต่เด็ก คนๆเดียวที่เข้าใจโต้ง อย่างที่เพื่อนใหม่อย่างเราทุกคนเข้าไม่ถึง”

“หมายความว่า.................” สีหน้าของโดนัทตกใจเล็กน้อย

“ใช่........อย่างที่โดนัทคิดนั่นแหละ”

“ชีวิตมันเล่นตลกขนาดนี้เลยหรอ คนๆเดียวกัน ที่ทำให้เรากับนายพ่ายรัก คนๆเดียวที่เอาชนะหัวใจของคนบ้านตรงข้ามได้ทั้งหมด”

“สงสัยบ้านหลังนั้นจะมีอาถรรพ์มั้ง......ถึงได้.......”

“เพ้อเจ้อน่าเอิร์ธ แล้วหญิงเค้ารู้เรื่องของมิวกับโต้งรึเปล่า”

“รู้ดิ รู้ก่อนพวกเราซะอีก แต่หญิงเค้าไม่ยอมพูดอะไร ได้แต่เก็บความเจ็บปวดไว้ลำพัง แถมยังช่วยให้สองคนนั่นได้สมรักกันซะอีก”

“จริงดิ............... นายช่วยเล่าเรื่องของหญิงให้เราฟังหน่อยดิเอิร์ธ ชักอยากจะรู้จักซะแล้ว”

“อืมมม” จากนั้น เอิร์ธก็เริ่มเล่าเรื่องความรักของหญิงให้โดนัทฟัง

......................

......................

.....................




“ สวัสดีค่ะ” สตรีวัยกลางคนรับสายโทรศัพท์มือถือจากเบอร์ที่ตนไม่รู้จัก

“แม่ โต้งเองครับ พ่อเป็นไงบ้าง”

“ไม่รู้เหมือนกันน่ะ ลุงหมอบอกว่า คงต้องรอผลการตรวจพรุ่งนี้ แล้วมิวล่ะ ฟื้นแล้วรึยัง” สุนีย์ถามถึงมิวด้วยความห่วงใย

“ฟื้นแล้วครับ จริงดิ แม่มีเบอร์โทรศัพท์บ้านมิวปะ โต้งว่าจะโทรหาป้าอรซักหน่อยอะครับ”

“เคยมีนะ แต่ไม่ได้โทรนานแล้วนะ แม่ก็เหลือแต่เบอร์มือถือของมิวที่ได้มาจากโต้งนั่นแหละ ถ้าจะเอาเบอร์บ้าน สงสัยต้องไปค้นในสมุดจดเบอร์เล่มเก่านั่นล่ะมั้ง อยู่ไหนแล้วก็ไม่รู้”

“ว้า!!! ไม่เป็นไรครับแม่ เห็นมิวเค้ากลัวป้าอรเป็นห่วง ไม่เป็นไร เดี๋ยวให้เอิร์ธพยายามโทรบอกหญิงอีกที แต่เป็นไรก็ไม่รู้ โทรไม่ติดเลย “

“ใจเย็นๆน่า เดี๋ยวก็โทรได้เองแหละ”

“ครับ เอ่อ........แม่ .....”

“ฮึ”

“คืนนี้ โต้งขอนอนเฝ้ามิวนะ”

“รู้แล้วน่า ว่าแต่เสื้อผ้าของเราล่ะ”

“ไม่เป็นไรแม่ คืนเดียวเอง”

“ก็ตามใจเราแล้วกัน”

“งั้นแค่นี้นะครับ”

“อืม พรุ่งนี้เช้า แม่ค่อยแวะไปนะ”

“ครับ ราตรีสวัสดิ์ครับแม่”

“ จ้ะ เราก็ด้วยนะ”



โต้งวางสายจากการสนทนากับผู้เป็นมารดา ร่างสูงตั้งใจจะเดินไปหาเพื่อน เพื่อเอาโทรศัพท์ไปคืน แต่ก็เหลือบไปเห็นว่า เอิร์ธกำลังนั่งคุยอยู่กับโดนัท ชายหนุ่มไม่อยากเข้าไปเป็นก้างขวางคอ จึงเลี่ยงมาอีกด้าน ค้นเบอร์โทรออกล่าสุดของโทรศัพท์เอิร์ธ จนเจอเบอร์มือถือของหญิง จึงได้กดโทรออก



...............

...............





“ตื๊ด ๆ ๆ ๆ................................................”



เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น หญิงพยายามจะหยิบโทรศัพท์ออกมา แต่ฝนตกหนักอย่างไม่น่าเชื่อ หยาดพิรุณโปรยปรายบนสายพายุที่โหมกระหน่ำ เหมือนจะตอกย้ำความวิตกกังวลในใจหญิงสาวให้หักโหมโรมรันพัลวันความคิด ด้วยความรีบร้อน กลับทำให้หญิงคว้าไม่เจอโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าซักที ทั้งที่เสียงก็ยังคงดังอยู่อย่างนั้น



ครืนนนนนนนนน..................................



เสียงฟ้าร้องก้องไปทั่วบริเวณนั้น เสียงลั่นที่ไม่เพียงแต่ทำฟ้าสะท้าน แต่ยังรวมถึงจิตใจของหญิงที่เริ่มสะเทือน ไหนจะต้องกังวลเรื่องเพื่อนรักที่หายตัวไปเฉยๆ แล้วยังจะกลุ่มวัยรุ่นที่เฝ้าตามติด แอบเดินตามเธอมาตั้งแต่เมื่อครู่ จิตใจของหญิงสาวเสมือนหนึ่งถูกพายุโหมใส่ ความกลัวมันถาโถมเข้ามาอย่างรุนแรง สองเท้ารีบพาร่างที่เปียกปอนนั้นเดินห่างออกจากที่ๆเคยยืนอยู่ มือขวาก็ขวักไขว่ควานหาโทรศัพท์ในกระเป๋า ‘อยู่ไหนนะ’ หญิงคิดในใจ ยิ่งกังวลก็ยิ่งหาไม่เจอ ใจพะวงอย่างนั้น แต่เท้าก็ยังต้องก้าวต่อไป



“ไปไหนเหรอ” เสียงชายหนุ่มดังขึ้นตรงหน้า ทำเอาหญิงสาวต้องเงยศีรษะมอง

“นายเป็นใคร หลีกไปนะ” หญิงพยายามจะฝ่าคนตรงหน้าออกไป แต่ก็ถูกขวางไว้ ออกไปไม่ได้ ไปต่อไม่ได้ หญิงสาวก้าวถอยหลังออกมาก็ชนกับคนที่ตามติดมาถึง เหลียวกลับไปมองก็เห็นเป็นวัยรุ่นชายคนหนึ่ง สวมเสื้อยืดสีดำกางเกงยีนส์ขาดเล็กน้อย เข็มขัดหนังห้อยโซ่ยาวๆที่เอว แต่ที่เด่นที่สุดคือห่วงโลหะเล็กๆที่ร้อยอยู่ตรงจมูกและใบหู ถึงจะมืดไปบ้างแต่ก็พอสะท้อนกับแสงให้เห็น รวมทั้งแหวนวงเขื่องที่มีหัวแหวนเป็นรูปหัวกะโหลก ความตกใจกลัวยิ่งทำให้หญิงสาวคิดอะไรไม่ออก เห็นด้านข้างพอมีทางวิ่งหลบออกไปอยู่เล็กน้อย โดยไม่ต้องคิด สองเท้าก็พาร่างบางนั้นวิ่งออกไปทันที มือซ้ายถูกดึงเอาไว้ มือขวาเหวี่ยงกระเป๋าฟาดใส่ ไม่รู้ว่าโดนตรงไหนบ้าง แต่หญิงก็รีบวิ่งออกไปโดยเร็ว



“ตื๊ดดดดดดๆๆๆๆๆ “ เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอีกครั้ง หลังจากพ้นมาเพียงห้าก้าว คราวนี้ โทรศัพท์มือถือหลุดจากซอกในกระเป๋า ทำให้หยิบได้ง่ายขึ้น หญิงสาวหยิบขึ้นมาแนบหู มือที่มองไม่เห็นก็คว้าหมับทันทีที่มือข้างที่ถึอโทรศัพท์อยู่นั้น เจ้าของเครื่องไม่ทันที่จะได้พูดอะไรออกไปนอกจาก



“กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด”







สายลมที่พัดแรงขึ้น บวกกับความมืด ทำให้ชายหนุ่มมองไม่เห็นผ้าเช็ดหน้าที่ปลิวหายไป ฝนกระหน่ำรดใส่ร่างแน่นของหนุ่มคิ้วหนา เพราะกลัวว่าโทรศัพท์จะเปียกจนใช้การไม่ได้ เอ๊กซ์จึงหลบเข้าใต้ชายคาของร้านค้าที่ปิดอยู่ ผ้าเช็ดหน้าเปียกๆผืนหนึ่ง มองไม่ชัดว่าสีอะไร เรี่ยพื้นมาติดอยู่ที่รองเท้า ชายหนุ่มเหลือบเห็นรอยอักษรปักที่มุมผ้า มั่นใจว่าโชคเข้าข้าง กำลังจะคว้าขึ้นมา แต่เหมือนชะตากลั่นแกล้ง สายลมบางๆสายหนึ่ง หอบเอาผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นหลุดออกไปกลางถนน นักกีตาร์หนุ่มรีบวิ่งไปคว้าไว้ทันก่อนที่จะหลุดลอยไปอีก ทว่า เมื่อคว้าผ้าเช็ดหน้าได้แล้ว แสงไฟจากด้านข้างก็แยงตาชายหนุ่มจนต้องหันไปมอง สองดวงส่องเข้าใบหน้าจนแสบตา ชายหนุ่มใช้มือข้างที่ถือผ้าเช็ดหน้านั้นปิดตาตนเอง แสงนั้นเข้ามาใกล้เรื่อยๆ พร้อมเสียงเอี๊ยดเหมือนยางรถเสียดสีกับพื้นถนน

...................

...................





“กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด”



ชายหนุ่มที่ถือโทรศัพท์อยู่ที่ปลายสายตกใจกับเสียงที่ได้ยิน โต้งรีบวิ่งไปหาเอิร์ธที่กำลังนั่งคุยอยู่กับโดนัท กระหืดกระหอบเพราะความรีบเร่ง พูดตะกุกตะกักจนเพื่อนสนิทจับความไม่ออก ร่างสูงจึงเปลี่ยนเป็นส่งโทรศัพท์มือถือให้เพื่อนแทน แต่เอิร์ธยังคงงงอยู่ รับโทรศัพท์มาด้วยความไม่เข้าใจ กดดูเบอร์โทรออกล่าสุด เบอร์ของหญิง ชายหนุ่มหน้าตี๋รีบโทรออกทันที ไม่รับสาย ความกังวลเข้าแทนที่ อะไรกันนี่ เกิดอะไรขึ้น สีหน้าเปลี่ยนไปจนโดนัทสังเกตเห็นอีกคน







ร่างนั้นเอี้ยวตัวหลบด้วยความคล่องแคล่ว รวดเร็ว พ้นจากการถูกชนอย่างไม่น่าเชื่อ หกล้มเล็กน้อย แขนถลอกอยู่บ้าง ข้อศอกมีเลือดซิบนิดหน่อย เอ๊กซ์กลิ้งหลบรถคันนั้นได้ทันก่อนที่จะถูกชน ถึงจะเจ็บตัวแต่นักกีตาร์หนุ่มคิ้วหนาก็คิดว่าคุ้ม ถ้าสิ่งที่เค้าเสี่ยงตายกว่าจะได้มาเป็นสมบัติของเพื่อนรักอย่างมิวจริง ก็คงเป็นของที่มีความหมายมาก ‘ ก็เจ็บนิดเดียว ทำไมจะไม่คุ้มล่ะ’ เอ๊กซ์คิดในใจ กำลังจะเดินกลับไปหาหญิงก็พลันได้ยินเสียงที่คุ้นหูแว่วมา



“กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด”



ไม่รอช้าชายหนุ่มคิ้วหนาหน้าทะเล้นเริ่มเปลี่ยนสีหน้าเป็นจริงจังขึ้นแล้ววิ่งไปทางต้นเสียงทันที







โดย: Niramitr วันที่: 3 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:17:56:42 น.
  

+++ ต่อเรื่อง +++




ร่างกายล่ำสันได้สัดส่วน ผิวกายสีอ่อนนวลเนียนนั้นเปล่งประกายสีเหลืองสว่างจับตา ยามกระทบกับแสงสปอตไล้ต์จากเสาไฟสีเงินยวงด้านหน้า แขนขากำยำได้ขนาด ดวงหน้าผุดผ่องฉายแววนักเลงอันลึกซึ้งและหยิ่งทระนง ดวงตาเรียวยาว ทั้งยังคมวาวมีหางตาแหลมยาวที่เชิดขึ้นเล็กน้อย แววตาที่ทอประกายกล้าทั้งคู่ฉายแววเจ้าเล่ห์แกมซุกซนดุจแววเนตรของพญาสิงคาล คิ้วเข้มหนาดำโค้งได้รูปประหนึ่งจันทร์เสี้ยว





หญิงสาวจ้องหน้าชายหนุ่มที่พึ่งจะช่วยเธอจากแก๊งอันธพาลโดยไม่ละสายตา เพื่อนสนิทของชายหนุ่มบ้านตรงข้าม เพื่อนรักของหนุ่มน้อยน่ารักที่เธอเคยหมายปอง เพื่อนชายคนใหม่ที่ก้าวเข้ามาในชีวิตเพื่อจะปลดพันธนาการแห่งความผิดหวังของเธอ ผู้มาใหม่ที่พร้อมจะจุดเปลวเทียนแห่งความหวัง เทียนที่ส่องปลายทางไปสู่ความรัก ความรักที่เธอสามารถครอบครองได้จริง ไม่ใช่แค่เพียงในจินตนาการที่มิอาจเป็นได้ที่ตัวเธอเองหลงดิดอยู่ในทางวงกตที่เธอสร้างขึ้นมาเอง





ร่างกายกำยำที่ถูกปกปิดไว้ด้วยเสื้อยืดสีเทาที่บัดนี้มีรอยขาดตรงสีข้างด้านซ้ายเป็นทางสั้นๆไม่ยาวนัก แขนขาที่ได้สัดส่วนนั้น เต็มไปด้วยรอยถลอก รอยช้ำเป็นจ้ำสีเขียว สีม่วง สีช้ำเลือดช้ำหนอง มุมปากด้านซ้ายที่เป็นแผลแตก เจ่อนิดๆ มีเลือดซึมออกมาเล็กน้อยจากการถูกชก โหนกแก้มข้างขวาบวมเป็นจ้ำสีเขียวอมม่วงชัดเจน แต่กระนั้น ............... เจ้าของร่างที่อ่วมน่วมนั้นก็ยังยิ้ม ยืนยิ้ม ยิ้ม.............ที่เป็นเหมือนกำลังใจให้หญิงสาว ยิ้ม............. ที่เหมือนเป็นสัญญาณบอกให้อีกฝ่ายรู้ว่าปลอดภัยแล้ว ใบหน้าที่กำลังยิ้มอย่างสดใสนั้นยังคงมีสีแดงเรื่อๆ ทว่า มันกลับจางลงและเริ่มซีดจนหญิงสาวตกใจ บริเวณสีข้าง ตรงรอยขาดของเสื้อยืดสีเทาเริ่มเปลี่ยนสี จากสีเทาอ่อนที่เปียกคราบฝนจนกลายเป็นสีเทาเข้มก่อนหน้านี้ กลับเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้มขึ้น คราบน้ำนั้นเริ่มเหนียวและมีกลิ่นคาว นักกีตาร์คิ้วหนา ใช้มือซ้ายสัมผัสสีข้างของตนเอง ยกมือหนาที่ใช้จับคอร์ดกีตาร์นั้นขึ้นมาส่องดูกับแสงสว่าง สีแดงเปื้อนเต็มมือไปหมด ชายหนุ่มหน้าทะเล้นจ้องมองหญิงสาวที่เดินเข้ามาใกล้ ก่อนจะเข่าทรุดและล้มลงไป โดยที่หญิงสาวที่ตนพึ่งช่วยนั้นเข้ามาประคองได้ทัน





นักดนตรีหนุ่มมัธยมปลายแห่งวงออกัสต์สี่คนช่วยกันประคองร่างของมือกีตาร์ผู้บาดเจ็บขึ้นรถแท็กซี่ที่โบกได้เมื่อครู่ ตั้งใจจะเบียดไปด้วยกัน แต่มือเป่าแซ็กชั้นม.5 มองหน้าคนขับแล้วเกิดเกรงใจขึ้นมา จึงชวนเอ็มมือกลองรุ่นพี่และมือคีย์บอร์ดร่างท้วมออกมา ปล่อยให้มือเบสหน้าตี๋ลุคเกาหลีนั่งหน้าคู่คนขับ และให้หญิงที่ช่วยห้ามเลือดให้เอ๊กซ์ไว้แล้วไปนั่งข้างคนเจ็บด้านหลัง เพื่อคอยดูแลอย่างใกล้ชิด จากนั้นทั้งสามคนที่เหลือก็โบกเรียกแท็กซี่อีกคันเพ่อตามไปโรงพยาบาลอย่างไม่รอช้า



หญิงที่นั่งอยู่ข้างเอ๊กซ์ที่กำลังสลบอยู่ตอนนี้และพิงศีรษะมาอิงไหล่ของเธอ จ้องมองไปด้านหน้า สังเกตเห็นสีหน้าของต่อที่กระวนกระวาย คนขับที่ร้อนรนช่วยนำคนเจ็บส่งโรงพยาบาล ก่อนจะหันกลับมามองใบหน้าคมเข้มของคนเจ็บที่หลับใหลอยู่ข้างเธอ ความทรงจำจากเหตุการณ์เมื่อครู่ผุดขึ้นมาในสมองราวกับเทปบันทึกภาพที่มีสายตาเป็นเสมือนกล้อง และไม่เพียงแต่สมองเท่านั้นที่เก็บความทรงจำเหล่านั้นไว้ บางอย่างบอกให้เธอรู้ว่า ที่หน้าอกข้างซ้ายซึ่งกำลังเต้นแรงอยู่นั้น หัวใจของเธอเอง ก็เก็บความทรงจำที่ดีๆในเหตุการณ์ที่ร้ายกาจนั้นเอาไว้ด้วย





“ปล่อยสิโว้ย” เสียงเธอร้องตะโกน ต่อสู้ขัดขืนอันธพาลที่เข้ามาจับตัวเธอเอาไว้ ร่างบอบบางของหญิงใช้กระเป๋าฟาดหน้านักเลงพวกนั้นอย่างแรง แต่ความที่อ่อนเพลีย บวกกับอาการหนาวเหน็บจากลมฝน แรงเพียงน้อยนิดจะทำอะไรเจ้าพวกนั้นได้ ชายหนุ่มสามคน ที่ถึงแม้ว่าเมื่อมองเผินๆแล้วอาจจะคล้ายพวกเล่นยาเพราะความที่รูปร่างผอมมาก แต่ใครจะคิดว่าแรงเยอะเอาเรื่องทีเดียว หรืออาจเป็นเพราะความหื่นกามผสมความกระเหี้ยนกระหือรือที่จะครอบครองร่างกายของหญิงสาวที่ทำให้ฮอร์โมนพลุ่งพล่านก็ไม่ทราบได้ แต่ที่แน่ๆก็คือหญิงสาวกำลังจะเสียท่า เสื้อแจ๊กเก็ตสีดำที่เอ๊กซ์สวมไว้ให้เมื่อครู่ถูกกระชากหลุดออกไปจากสรีระบอบบางของหญิง นิ้วมือที่สวมแหวนรูปหัวกะโหลกนั้นเข้ามาถึงบริเวณอกเสื้อ ขณะกำลังจะกระชากนั้น มืออีกข้างของใครบางคนก็เข้ามากระชากไหล่ของหนุ่มเจ้าของแหวนแล้วชกไปที่ใบหน้าด้วยหมัดขวาอย่างแรง



ร่างผอมในเสื้อยืดสีดำนั้ยล้มลง ใบหน้าที่ร้อยห่วงไว้ตรงจมูกหันกลับมามองด้วยแววตาอาฆาตโกรธแค้น อีกสองคนเข้ามาประคองร่างของเพื่อนให้ลุกขึ้น จากนั้นการตะลุมบอนก็เริ่มขึ้น สามต่อหนึ่งอาจจะเป็นเรื่องไม่ง่ายนักสำหรับคนทั่วไป แต่กับชายหนุ่มคนหนึ่งที่มีความมุ่งมั่น ความมุ่งมั่นที่จะช่วยเหลือหญิงสาวที่ตนเริ่มจะปิ๊งให้พ้นจากภยันตราย ถึงเสี่ยงกว่านี้ก็สู้ไม่ถอยอยู่แล้ว หมัดของใครซักคนอัดเข้าโหนกแก้มข้างขวา แล้วก็ถูกเท้าขวาของเอ๊กซ์ถีบกลับไป จังหวะนั้นก็โดนซัดเข้าที่มุมปากซ้ายด้วยหมัดขวาของอีกคนนึง นักกีตาร์หนุ่มก็หาจังหวะสวนกลับด้วยหมัดขวาข้างถนัดเช่นกัน ทั้งศอกเข่าแข้งเท้าสารพัดที่ถูกประเคนจากแก๊งนักเลงทั้งสามคน แต่พ่อหนุ่มคิ้วหนาก็กัดฟันสู้ไม่ถอย ด้วยความดีเดือด ทำให้พวกนั้นขยาดอยู่บ้าง แต่เพราะย่ามใจว่าฝ่ายตนมีพวกมากกว่าตั้งสามเท่า จึงใจกล้าสู้ไม่ถอยเช่นกัน สองคนเข้ามาจากด้านข้างทั้งซ้ายขวาล็อกแขนของเอ๊กซ์ไว้ให้ขยับไม่ได้ เจ้าของแหวนหัวกะโหลกที่ดูท่าจะเป็นหัวหน้ากลุ่มล้วงไปในกระเป๋ากางเกงหยิบมีดพกออกมา ใบมีดคมกริบ แววตาเหี้ยมเกรียมตัดกับใบหน้าที่ดูอ่อนหวานยามกระทบแสงไฟทำให้หญิงสาวที่ยืนมองอยู่ด้านข้างเกิดความกลัว เธอเห็นใบหน้าของหมอนั่นชัดเจน ใบหน้าที่อ่อนหวานเมื่อมองผ่านๆ แต่แววตาคู่นั้น แสดงให้เห็นถึงความดุดันป่าเถื่อน สองเท้าพาร่างที่ถือมีดเข้าไปใกล้เอ๊กซ์มากขึ้น มือขวาข้างที่สวมแหวนเงื้อมีดขึ้นเตรียมจะแทง





สองเท้าของนักกีตาร์ที่เป็นอิสระไม่ได้ถูกล็อกเอาไว้ยกลอยขึ้น ประสานคู่ ถีบเข้าใส่ร่างที่ถือมีดนั้นอย่างแรงจนล้มลงไป ร่างนั้นลุกขึ้นมาเองอย่างไม่รอช้า สีหน้าแววตาที่ดูออกว่าเหี้ยมขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และหมายมั่นจะเอาชีวิตของเอ๊กซ์ให้ได้เดินเข้าไปอีกครั้ง คราวนี้ขาของเอ๊กซ์ถูกรั้งไว้ด้วยเพื่อไม่ให้ยกถีบได้อีก มือขวาข้างเดิมเงื้อมีดขึ้นอีกครั้ง พร้อมจะแทงได้ทุกเมื่อ



“ตายซะเถอะมรึง”





หญิงคว้าเอาท่อนไม้ที่ไม่ใหญ่มากจากพื้นขึ้นมา เธอรู้ว่าไม้ท่อนนั้นบวกกับแรงของเธอที่มีเพียงน้อยนิดคงช่วยอะไรได้ไม่มาก แต่เมื่อเห็นจวนตัวก็ต้องเสี่ยงกันหน่อย มีอะไรบางอย่างบอกเธอว่าจะให้เอ๊กซ์เป็นอะไรเพราะเธอไม่ได้เด็ดขาด สองมือเงื้อไม้ขึ้นสูงแล้วฟาดลงไปอย่างแรงตรงศีรษะของคนถือมีด ท่อนไม้นั้นหักเป็นสองส่วน ได้ผล มันไม่คิดจะใช้มีดแทงเอ๊กซ์แล้ว แต่มันหันกลับมาหาเธอ จ้องมองด้วยความอาฆาต ด้วยแววตาขุ่นมัวคู่นั้น



“อีนี่อยากเจ็บตัวนักใช่มั้ย” มันพูดเสร็จก็เดินมาใกล้ หญิงสาวตื่นกลัวเดินถอยหลังหลบไป แต่เท้าเจ้ากรรมดันสะดุดฟุตบาทล้มลง เหงื่อไหลออกจากร่างกายเนื่องจากความเหนื่อยบวกกับความกลัว ร่างที่เปียกนั้นเกิดขึ้นจากทั้งน้ำฝนที่ตกใส่และเหงื่อที่ไหลย้อย ถึงฝนจะเริ่มซาและหยุดไปบ้างแล้ว แต่ร่างบางของหญิงสาวก็ยังคงเปียกอยู่ เสื้อตัวบางที่เปียกน้ำเผยให้เห็นสรีระได้ชัดเจนขึ้น ยิ่งกระตุ้นความหื่นของเจ้าบ้านั่น แต่ความโกรธที่มีมากกว่า มันจึงเงื้อมีดขึ้นชี้ไปทางหญิง



“ไม่รู้ว่าหน้าสวยๆนั่น ถ้ามีรอยแผลขึ้นมาจะเป็นยังไงนะ” คำพูดของมันทำให้หญิงตกใจกลัวหนักขึ้น แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ นอกจากนั่งกระเถิบถอยหลัง



ไม่รู้ว่าเอ๊กซ์เอาแรงมาจากไหนเพิ่มขึ้น ทั้งๆที่ร่างกายก็อ่อนล้าจากการถูกล็อกเอาไว้ รวมทั้งความบอบช้ำจากการโดนรุม แต่ถึงอย่างนั้น ชายหนุ่มก็ไม่ยอมแพ้ เค้ามั่นใจว่า ตนเองจะยอมปล่อยให้ผู้หญิงตรงหน้าเป็นอะไรไม่ได้ ด้วยแรงฮึดส่งท้าย หนุ่มคิ้วหนาสะบัดหลุดจากการถูกล็อก อัดใส่สองคนนั่นที่กำลังเผลอจนล้มลงไปกองกับพื้น แล้ววิ่งไปที่หมอนั่น ท่ำลังจะกรีดหน้าหญิงทันที



เอาตัวเข้าบังหญิงสาวที่กำลังจะถูกทำร้าย ทำให้มีดเล่มนั้นเบนเป้าเฉี่ยวเข้าสีข้างด้านซ้ายของนักกีตาร์คิ้วหนาจนเสื้อยืดขาดเป็นทางสั้นๆ ก่อนที่เอ๊กซ์จะยกเท้าเตะนายคนนั้นล้มลงอีกครั้ง ร่างที่ล้มลงลุกขึ้นอีกครั้ง มือในมือจับมีดอีกครั้ง ลูกน้องทั้งสองมายืนด้านข้าง แสงสปอตไล้ต์จากเสาไฟที่พึ่งจะสว่างหลังฝนหยุดตกส่องกระทบดวงหน้าและแววตาที่เหี้ยมหาญดุดันของนักดนตรีหนุ่ม ความเข้มแข็งที่ทำให้ผู้มองเห็นเริ่มจะหวั่นเกรง จากจุดนั้น แก๊งอันธพาลทั้งสามคนมองเห็นผู้ชายอีกสี่คนวิ่งมาจากทางด้านหลังของชายหนุ่มที่เข้ามาขัดขวางพวกตน ได้ยินเสียงหนึ่งในสี่ตะโกนแทรกอากาศมาว่า “ไอ้เอ๊กซ์” แสดงว่ามันมีพวกมาช่วย โอกาสหลุดลอยไปแล้ว ทั้งสามคนจึงพากันวิ่งหนีไปอีกทางโดยเร็ว



โดย: Niramitr วันที่: 3 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:18:00:11 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Niramitr
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]



สาวก"รักแห่งสยาม"

New Comments