All Blog
ตอนที่ 06 +++ ร่องรอยแห่งความหลัง +++




‘ ไม่เคยคิดมาก่อนว่าตัวผมเองจะฟุ้งซ่าน หวาดระแวงอะไรขนาดนั้น แต่ก็นะ บางครั้งคนเราก็คงจะต้องมีเรื่องที่ทำให้กังวลใจกันบ้าง ยิ่งเป็นเรื่องแบบนี้ด้วย อย่างว่าล่ะ ความรักที่ผมมีต่อเค้าไม่ได้เกิดขึ้นแบบฉาบฉวย ผมเชื่อมั่นว่าเราผูกพันกันด้วยความรู้สึกที่ต่างคนต่างมอบให้กันและกันด้วยความบริสุทธิ์ใจ ความเข้าใจกันและกันที่เราสองเท่านั้นสัมผัสได้ ถึงจะแตกต่างจากที่หลายๆคนคาดหวังหรือคุ้นเคยก็เถอะ และแม้ว่าจะมีใครต่อใครที่อาจจะยังไม่เข้าใจ แต่เท่าที่เป็นอยู่นี้ มันก็ทำให้โลกที่เคยว้าเหว่ และแสนจะเงียบเหงาของผม กลับสดใสและอบอุ่นขึ้น เมื่อมีเค้าคนนั้นอยู่ข้างๆ ให้เราได้เฝามองจ้องตา



อยากให้คืนนี้ยาวนานออกไปเหลือเกิน ได้มองหน้าเค้าไปตลอด ไม่ต้องพะวงถึงวันข้างหน้าที่อาจจะมีอุปสรรคอะไรอีก ไม่ใช่ว่าจะไม่กลัวนะ กลัวเหมือนกันแหละ โชคดีที่อย่างน้อยน้านีย์ก็ไม่ได้รังเกียจเรื่องความรักแบบนี้เหมือนเมื่อก่อน กว่าน้ากรกับน้านีย์จะเข้าใจได้นะ โต้งเล่าว่า พวกท่านสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของโต้ง แล้วคงทนเห็นลูกชายที่เหลืออยู่ต้องมานั่งจมกับความเศร้าไม่ได้ ช่างโชคดีจัง ถ้าปราศจากความรักของน้านีย์กับน้ากร เรื่องดีๆของผมกับโต้งคงยังไม่เกิดขึ้น แล้วป๊าเราล่ะ แม้ว่าท่านจะไม่มาสนใจใยดีอะไรกับเราก็เถอะ แต่ก็ไม่ได้ตัดขาดกันซะหน่อย ถึงจะไม่ได้พบหน้าคล่าตามาเป็นปีแล้วก็ตาม ก็คงได้แต่หวังว่าท่านจะเข้าใจเราแบบที่น้ากรกับน้านีย์เข้าใจโต้ง ... เฮ้อ!!! อย่าพึ่งคิดเลยนายมิว ตอนนี้นายมีคนๆนี้นอนอยู่ตรงหน้าแล้วนะ รักษาความสุขตรงหน้าให้ดีที่สุด ความรักจากคนที่ทำให้นายมีความสุข ไม่ต้องทนให้ความเหงาเชี่ยใส่อีกต่อไป .................. ยิ่งมองนานๆยิ่งสบายใจ เวลาโต้งหลับนี่ น่าจูบจัง .... อย่าทะลึ่งสินายมิว!!! โต้งเค้าไม่ได้ยินยอมพร้อมใจซักหน่อย ‘

เจ็ดโมงเช้าแล้ว นักร้องหนุ่มลุกไปเข้าห้องน้ำเพื่อทำธุระส่วนตัว ชายหนุ่มเจ้าของแววตาสีน้ำตาลยังคงนอนหลับอยู่ มิวอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้วก็เดินมาที่เตียงนอน มือขวากำลังจะเขย่าตัวโต้งให้ตื่น แต่ก็ชะงักไว้ก่อน เจ้าของห้องมองคนที่นอนอยู่ด้วยแววตาประกาย อมยิ้มเล็กน้อย นึกถึงครั้งแรกที่โต้งมานอนที่บ้านหลังจากได้พบกันอีกครั้งเมื่อเดือนก่อน จำได้ว่าตนเองตื่นมาแล้วไม่พบคนที่นอนอยู่ข้างๆ นอกจากกระดาษโน้ตสีฟ้าที่เขียนด้วยปากกาหมึกสีเขียวแปะไว้ที่หัวเตียง ‘ เห็นนอนอยู่....ก็เลยไม่ปลุกนะ ‘




ลายมือหวัดเล็กน้อย แต่ก็อ่านออกอยู่ดี ทุกวันนี้กระดาษโน้ตแผ่นนั้นยังคงอยู่ มิวเก็บมันไว้ด้านในของกรอบรูปถ่ายสมัยเด็ก ที่ตัวเค้าเองและโต้งถ่ายร่วมกันในงานคริสต์มาสของโรงเรียน ถึงความคิดเรื่องภาพถ่ายที่ผุดขึ้นมาจะทำให้มิวอมยิ้ม แต่เพียงชั่วครู่ มิวก็อดเกิดอาการโหยหาไม่ได้ เพราะคนที่ถ่ายถาพนี้ คืออาม่า คนที่มิวคิดถึงที่สุดในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ‘ อาม่า มิวเข้มแข็งขึ้นแล้วนะ ตอนนี้ มิวมีโต้งอยู่ด้วย โต้งกลับมาหามิวแล้ว อาม่าไม่ต้องห่วงมิวแล้วนะครับ ‘ นักร้องหนุ่มยิ้มให้กับความคิดของตนเอง แล้วกลับไปจ้องใบหน้าที่กำลังหลับของโต้ง ด้วยความที่เห็นว่ายังคงเช้าอยู่ และยังห่างจากเวลานัดอีกพอควร ปล่อยให้โต้งหลับอีกซักครึ่งชั่วโมงก็คงไม่เป็นไรมั้ง นักร้องหนุ่มจึงเปลี่ยนใจ จะเดินลงไปข้างล่างเพื่อดูว่าเช้านี้มีอะไรบริโภคบ้าง ‘ ตึ๊ดๆ ตึ๊ดๆ ‘ เสียงข้อความเข้า ดังมาจากโทรศัพท์มือถือของโต้ง ตอนแรกมิวก็ไม่ได้คิดอะไร แต่ความอยากรู้อยากเห็น ก็เอาชนะมารยาทที่ควรจะเป็นซะได้ เจ้าของห้องจึงคว้าโทรศัพท์มาเปิดดูข้อความ ‘ เอาน่า ..... เผื่อเป็นเรื่องด่วน ‘ มิวคิดในใจ



“ โดนัท “ มิวอ่านทวนชื่อของผู้ที่ส่งข้อความมาหาโต้ง สีหน้าตึงเล็กน้อย แต่ใจกลับสั่นไหว ลังเลว่าจะเปิดอ่าน หรือจะลบทิ้งไปเลย หรือเปิดอ่านดูก่อน ถ้าไม่ชอบใจค่อยลบทิ้งทีหลัง แต่พอคิดอีกที นี่เป็นเรื่องที่โต้งควรจะจัดการด้วยตัวเอง ดังนั้น มิวจึงวางเฉยกับข้อความใหม่ที่โดนัทส่งเข้ามา ขณะกำลังจะวางมือถือกลับไปที่เดิมนั้นเอง สองตาหวานๆของนักร้องหนุ่มเจ้าของห้องก็เหลือบไปเห็นอีกข้อความที่ส่งมาก่อนหน้า ชื่อของผู้ส่งที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอโทรศัพท์มือถือของโต้งทำให้มิวยิ้มออกมาได้ เพราะมันคือชื่อของเขานั่นเอง ไม่รอช้า นักร้องหนุ่มนัยน์ตาสีน้ำเงินรีบเปิดข้อความขึ้นอ่านทันที ‘ กลับบ้านดีๆนะ ‘ คือข้อความที่ปรากฏให้เห็น



“ เกือบเดือนแล้วนะ โต้งยังเก็บข้อความนี้เอาไว้อีกหรือเนี่ย ขอบคุณนะโต้ง “ มิวเปรยออกมาเบาๆ พร้อมกับเอนตัวลงไปข้างๆผู้ที่กำลังนอนอยู่ จากที่ตนเองคิดว่าจะไม่เป็นฝ่ายจูบโต้งก่อน โดยเฉพาะตอนที่กำลังหลับอยู่อย่างนี้ แต่อารมณ์ดีใจที่ได้พบว่า โต้งแคร์ตนเองมากเพียงไหน แม้แต่ข้อความสั้นๆที่ตนเคยส่งไปหาเมื่อเกือบเดือนมาแล้ว โต้งก็ไม่ได้ลบทิ้งไป นักร้องหนุ่มจึงคิดที่จะถ่ายทอดความรักและความรู้สึกขอบคุณกลับไปหาโต้งบ้าง



จมูกของนักร้องหนุ่ม ที่ถึงแม้ว่าจะไม่โด่งเท่ากับจมูกของชายหนุ่มที่กำลังนอนหลับอยู่ ได้เลื่อนเข้าไปสัมผัสกับหน้าผากหนาๆที่รองรับทรงผมสกินเฮดของโต้ง พร้อมกับสูดดมกลิ่นลมหายใจที่อบอุ่น ลมหายใจที่คนทั้งคู่มอบให้เป็นของกันและกัน นับแต่ที่ได้แลกจมูกไม้กันไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ริมฝีปากเอิบอิ่มของมิวค่อยๆเลื่อนเข้าไปใกล้ริมฝีปากของคนตรงหน้า มิวค่อยๆประกบริมฝีปากของตนเข้ากับปากที่เอิบอิ่มไม่แพ้กันของโต้ง นี่เป็นครั้งแรกที่มิวจูบคนอื่นก่อน ความที่ไม่เคยมาก่อน ทำให้ร่างกายของมิวเกร็งซะยิ่งกว่าตอนที่ถูกโต้งจูบครั้งแรกที่ม้าหินในสวนซะอีก ขณะที่นักร้องนำแห่งวงออกัสต์กำลังจะถอนริมฝีปากออกมานั้น ปรากฏว่า ริมฝีปากของตนถูกริมฝีปากของคนตรงหน้าดูดรั้งเอาไว้ไม่ยอมให้ถอนออกมาได้ จากผู้จูบ มิวกลับกลายเป็นผู้ถูกจูบซะเอง ชายหนุ่ม ที่ทีแรกเหมือนจะยังคงนอนหลับอยู่ กลับตอบรับความรักของนักร้องหนุ่มด้วยการจูบคืน ไม่เพียงแค่นั้น มือขวาที่ซุกซนก็คว้าเอาร่างโปร่งของนักร้องหนุ่มมากอดไว้ จนเวลาผ่านไปซักครู่ มือที่สวมกอดอยู่นั้นจึงค่อยๆคลายออก ริมฝีปากที่ประกบอยู่ก็ค่อยๆแยกออกจากกัน พลันนัยน์ตาสีน้ำตาลที่ก่อนหน้านี้ปิดสนิท ก็ค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้นมา พร้อมกับจ้องมองใบหน้าที่บัดนี้เป็นสีแดงด้วยความเขินอายของมิว รอยยิ้มอย่างผู้มีชัยปรากฏขึ้นบนใบหน้าของโต้ง ยิ่งทำให้ใบหน้าเขินอายของมิวเป็นสีแดงยิ่งขึ้น



“ คิดจะเอาเปรียบเราเหรอมิว ไม่มีทางซะหรอก ใครจะยอมง่ายๆกันล่ะ “ โต้งทำหน้ายียวนออกไป

“ ใครบอกว่าเราจะเอาเปรียบอะไรโต้งล่ะ เราก็แค่จะปลุกโต้ง แล้วมันก็แค่บังเอิผญเท่านั้นเอง “ มิวแถไปข้างๆคูๆ

“ บังเอิญให้จมูกของมิวมาชนหน้าผากเรา แล้ว ปากมิวมาถูกปากเราเนี่ยนะ “

“ ก็ใช่อะดิ เรื่องบังเอิญทั้งนั้นแหละ เราไม่ได้คิดทะลึ่งกับโต้งซะหน่อย “ มิวยังคงไม่ยอมรับ แต่ทั้งใบหน้า กับหูทั้งสองข้างนั้น แดงซะยิ่งกว่าลูกตำลึงซะอีก

“ อ๋อหรอ แล้วไป แต่สงสัยมิวจะเป็นไข้นะ หน้างี้แดงเชียว “ ปากบอกออกไปแต่โต้งก็คงยังไม่ละสายตาจากใบหน้าของมิวเลย



“ อย่ามาจ้องหน้าเราอย่างงี้สิโต้ง แน่ะ ว่าแล้วยังไม่เลิกมองอีก “

“ ก็เราเห็นปากของมิวแล้ว ก็อยากจะจูบอีกนี่นา อีกทีได้ปะ “

“ ไม่เอา ไม่พูดด้วยแล้ว คนอะไร ชอบรังแกคนอื่น “ มิวพูดไป ทั้งๆที่ใบหน้ายังไม่หายแดง

“ เห็นมั้ย มิวอายเราหน้าแดงจริงๆด้วย “ โต้งยังคงตอกย้ำให้มิวเขินยิ่งขึ้น

“ ใคร ไม่มี ใครที่ไหนหน้าแดง เราว่าขี้ตาติดหน้าโต้งเยอะไปจนมองผิดไปแล้วล่ะ “

“ ฮ่าฮ่าฮ่า ไม่ต้องมาทำแถเลยมิว ไม่เนียนหรอก ยอมรับมาซะดีๆ “ โต้งคะยั้นคะยอบวกกับแกล้งบีบคั้นจนในที่สุด มิวก็ยอมแพ้

“ อือ ยอมรับก็ได้ พอใจรึยังล่ะ “ นักร้องหนุ่มหน้าบึ้งเล็กน้อยด้วยความงอนโต้ง ที่ดันมาจับได้ว่าตนจะจูบก่อน แล้วดันจูบกลับซะนี่

“ แล้วมิวยอมรับเรื่องอะไรล่ะ “

“ ก็เรื่องที่ ................... เหอะน่าโต้ง ขอเหอะนะ ไม่เอาแล้ว เราเขิน โต้งไปอาบน้ำก่อนเถอะไป จะได้ลงไปหาอะไรทานเป็นมื้อเช้า แล้วจะได้พาเฮียของหญิงไปห้องอัดด้วยกัน “

“ ก็ได้ ว่าแต่ มิวชอบปะ “ โต้งแกล้งหยั่งเชิง

“ ชอบ ........ เฮ้ย!!! โต้งอะ หลอกเราอีกแล้วนะ “ มิวที่ลุกขึ้นแล้ว ทำหน้าบึ้งใส่โต้ง

“ 555 โอ่.... อย่างอนเลย ไม่รักไม่แกล้งมิวหรอกนะ “ โต้งรีบลุกตามมาง้อมิว



“ อันที่จริงเราก็จะชอบมากกว่านี้หรอกนะโต้ง ถ้า..... “ มิวทำท่าคิด จนโต้งต้องเร่งรัด

“ ถ้าอะไรอะมิว “ โต้งจับมือมิวขึ้นมาแนบอก พร้อมกับรอคำตอบ

“ ถ้าโต้งใช้ยาสีฟันเดนทิสเต้ก่อนนอนอะดิ “ มิวพูดจบก็ยิ้มขำๆ

“ มันหมายความว่าไงอะมิว “ โต้งยังคงทำหน้าสงสัยต่อไป

“ ไม่รู้ไม่ชี้ ลงไปรอข้างล่างดีกว่า “ มิวทำทีว่าจะเดินออกไปจากห้อง โต้งที่เก๊ทคำพูดของมิวแล้ว รีบวิ่งมาดักหน้าทันที

“ เดี๋ยวก่อนดิ มาแซวคนอื่นว่ามีกลิ่นปากเหรอ นี่เลย แบบนี้ต้องลงโทษ “ โต้งจับสองไหล่ของมิวแน่น แล้วพ่นลมปากใส่จมูกของมิว มิวเองก็ได้แต่หันหน้าหลบ พร้อมกับทำจมูกฉุนๆ แต่โต้งก็ยังคงแกล้งมิวต่อไปอีกซักพัก

“ อุแหวะ!!! ซกมกอะโต้ง ไปแอบอมขี้มาตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย ไปเลย รีบไปอาบน้ำแปรงฟันอย่างด่วน ปากเหม็นอย่างงี้ ใครจะยอมให้จูบกันละ “

“ ว่าแต่เค้า มิวก็หัดว่าคนอื่นเป็นด้วยเหรอเนี่ย ไม่ยอมนะ ถ้าโต้งแปรงฟันเสร็จแล้วต้องยอมให้หอมด้วย “

“ ไม่เอาอะ กลางวันแสกๆ จะมาหอมคนอื่นแต่เช้า “

“ ถ้าไม่ยอมงั้นเราเอาคืนอีกรอบนะ “ โต้งเตรียมจะทำอย่างเมื่อกี้อีกครั้ง

“ เอาเปรียบเราอีกแล้วนะโต้ง ทำไมทำตัวแบบนี้ล่ะ “ มิวพูดจบก็มองหน้าโต้งอย่างคนผิดหวัง แววตาเศร้าสร้อยของมิว ทำเอาโต้งสงบลงและซึมลงไป พร้อมกับคิดในใจ ‘ อย่าทำหน้าแบบนั้นสิมิว ให้มิวโกรธเรา ตีเรา ดุเรา ตวาดเราก็ได้ ยังไงก็ยังดีกว่าทำหน้าเศร้า เหมือนกับว่ามิวผิดหวังในตัวเราอย่างนี้ เรารักมิวนะ เราขอโทษนะที่เล่นแรงไปหน่อยอะ ต่อไปเราจะไม่ทำอีกแล้ว มิวยกโทษให้เราเถอะนะ ‘ ในขณะที่โต้งกำลังขยับริมฝีปากเพื่อจะขอโทษมิวนั้นเอง



ริมฝีปากของนักร้องหนุ่มก็ประกบเข้ากับริมฝีปากที่กำลังจะเอ่ยวาจาขอโทษของโต้งเบาๆ ก่อนที่จะถอนออกไป ท่ามกลางสายตาที่ตะลึงและตกใจของโต้ง



“ ทีนี้ก็หายกันแล้ว โต้งรีบไปอาบน้ำแปรงฟันเถอะ เดี๋ยวเราไปรอข้างล่าง “ พูดจบร่างโปร่งของนักร้องหนุ่มก็เดินผ่านร่างสูงของโต้งที่กำลังงงและอึ้งกับการกระทำของมิว หูของชายหนุ่มมีสีแดงเรื่อๆ รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนแววตาที่หวานฉ่ำของโต้ง นี่เป็นครั้งที่สองที่มิวเป็นฝ่ายทำให้โต้งเขิน นับตั้งแต่ที่มิวร้องเพลงกันและกันให้โต้งฟังเป็นครั้งแรกเมื่อปลายปีที่แล้วที่บ้านของโต้งเอง ร่างสูงค่อยๆเอื้อมมือหยิบผ้าขนหนูที่เจ้าของบ้านเตรียมไว้ให้แล้วเดินเข้าห้องน้ำไป

........................

........................

........................



เสียงเพลงที่คุ้นเคยดังมาจากบ้านหลังตรงข้ามกันของบ้านมิว เป็นเพลงภาษาจีนที่ชื่อว่า “หมิง เยวี่ย เชียน หลี่ ฉี เซียง ซือ” อาม้าของหญิงเปิดเพลงนี้เป็นประจำ บอกให้มิวรู้ว่า บ้านนั้นตื่นกันแล้ว นักร้องหนุ่มหวนคิดถึงเพื่อนที่ดีที่อยู่ในบ้านนั้น ความทรงจำในค่ำคืนนั้นปรากฏขึ้นมา เมื่อมิวเข้าไปในห้องนอนของหญิงเพื่อขอฟังเพลงนี้ จะได้จำไปเล่นให้เหมือน แล้วก็มาสะดุดกับความหมายบางท่อนที่มิวแปลไม่ออก




“ ฮือม... เพลงจีนนี่ก็ความหมายดีๆทั้งนั้นเลยเนอะ “ มิวเอ่ยปากเมื่อได้อ่านเนื้อเพลง

“ อือ “ หญิงพยักหน้าตอบออกไป

“ หญิง “

“ ฮึ “

“ อันนี้ แปลว่าอะไรอะ “ มิวส่งเนื้อเพลงให้หญิงอ่าน

“ ไหน ...... นี้หญิงก็ไม่รู้เหมือนกันน่ะมิว เดี๋ยวหญิงไปถามเฮียให้นะ “

“ อือม “ แล้วหญิงก็ถือเนื้อเพลงเดินออกไปจากห้อง



นักร้องหนุ่มมองสำรวจห้องนอนของหญิงไปเรื่อยๆจนมาสะดุดตากับสิ่งที่อยู่ใต้เตียง หมวก ร.ด. ของมิวที่หายไปเมื่อสัปดาห์ก่อน เข้ามาอยู่ที่ห้องนอนของหญิงได้ยังไง ร่างโปร่งลุกจากเก้าอี้ เดินไปนั่งคุกเข่ากับพื้นที่หน้าเตียง แล้วล้วงมือหยิบหมวกออกมาพิจารณา พลันนัยน์ตาสีน้ำเงินก็เหลือบเห็นกรอบรูปเล็กๆสีฟ้า ที่มีรูปของตัวเค้าเองในเสื้อสีเขียวอยู่ภายใน แล้วยังมีกรอบรูปสีเหลืองที่ใหญ่กว่าเล็กน้อย ข้างในก็เป็นรูปภาพของมิวเองอีกเช่นกัน ทำให้เป็นครั้งแรกที่มิวรับรู้ความรู้สึกของหญิงที่มีต่อตนนั้นเป็นความรู้สึกที่เกินกว่าคำว่าเพื่อน ร่างโปร่งหยุดนิ่งชั่วครู่ ก่อนที่จะดึงกล่องไม้ออกมาจากใต้เตียงเพื่อเปิดดูสิ่งที่อยู่ภายใน กองภาพถ่ายจำนวนมากของมิว ที่ถูกแอบถ่ายไว้ด้วยหลายอิริยาบถ มีทั้งภาพที่น่าจะถ่ายมานานแล้ว และภาพที่พึ่งจะถ่ายไว้ไม่นานนัก ทำให้นักร้องนำวงออกัสต์ถึงกับนิ่ง และตะลึงกับความรู้สึกที่ถูกแอบรักโดยเพื่อนรักที่แสนดีคนนี้



“ มิว .... หญิงรู้แล้วว่ามันแปลว่า..... “ หญิงที่ไปถามคำแปลเนื้อเพลงมาจากเฮียเรียบร้อยแล้ว วิ่งขึ้นมาบนห้องด้วยอารามดีใจ ทว่า สิ่งที่เธอเห็นก็คือ ชายหนุ่มที่เธอแอบหลงรักมาหลายปี นั่งดูรูปภาพของเจ้าตัวเอง ที่เธอแอบถ่ายไว้มานานแล้ว ร่างบางของหญิงสาวหยุดนิ่ง ก่อนจะเดินช้าๆไปนั่งคุกเข่าตรงหน้าร่างโปร่งของนักร้องบ้านตรงข้ามที่เธอมีใจให้มาหลายปี ก่อนจะดึงรูปภาพออกไปจากสองมือที่ไม่ไหวติงของชายหนุ่มที่นั่งอยู่ก่อน ซึ่งก็คงตะลึงไม่แพ้กัน

“ แล้ว .......... มันแปลว่าอะไรอะหญิง “ มิวเอ่ยปากออกมาก่อนด้วยน้ำเสียงที่เบาบางและสับสน ก่อนจะรับแผ่นเนื้อเพลงสีเหลืองมาจากมือของหญิงสาว แล้วก้มหน้าลง

“ มันแปลว่า ถ้าหากมีความรัก ก็ย่อมมีความหวัง “ หญิงตอบออกมา ทำให้นักร้องหนุ่มที่ก้มหน้าอยู่ เงยหน้าขึ้นมา ก่อนที่จะถามกลับไปใหม่

“ แล้วหญิงยังจะหวังอยู่รึเปล่า “ น้ำเสียงของมิวอ่อนบางราวกับไม่มั่นใจในคำถามของตน

“ แล้วเราควรจะหวังอยู่มั้ยอะ “ คำถามย้อนกลับของหญิงสาวทำให้มิวต้องหายใจเข้าหนึ่งครั้ง ก่อนจะตอบออกไปด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน กระพริบตาเล็กน้อยพร้อมกับส่งแววตาที่แสดงออกถึงความเห็นใจ ความเข้าใจ และความบริสุทธิ์ใจออกไป เพราะนี่คงเป็นสิ่งเดียวที่มิวจะสามารถตอบสนองความรักที่หญิงมีแก่มิวได้ ในเมื่อหัวใจของมิวมีคนอื่นอยู่แล้ว คนที่ไม่มช่หญิง ไม่ใช่ผู้หญิง

“ หญิงเป็นเพื่อนที่ดีของเรานะ “

หญิงสาวได้ฟังแล้วก็ได้แต่ยิ้มตอบอย่างฝืนๆ ในเมื่อเธอเองก็รู้อยู่แล้วว่า ความรักที่ตัวเธอมีต่อนักร้องหนุ่ม คงได้คำตอบเพียงเท่านี้ ถึงอาจจะเจ็บปวด แต่เธอก็ต้องยอมรับความจริง



ร่างโปร่งเดินกับเข้ามาในบ้านของตัวเอง สองเท้าพาร่างกายที่ระโหยเหมือนไร้เรี่ยวแรงมานั่งที่เก้าอี้หน้าเปียโนตัวเก่าของอากง สองตามองขึ้นไปยังรูปถ่ายคู่ของตนในวัยเด็กกับอาม่า คนเดียวที่มิวรักและคิดถึงที่สุด

“ ทำไมนะอาม่า ทำไมนะ “ คำถามที่คงไม่ได้คำตอบ ว่าทำไมตนเองถึงไม่รักคนที่แอบรักตนและตนควรจะรัก แต่กลับรักคนที่ตนเองก็รู้อยู่ว่ามันเป็นไปได้ยาก และไม่ถูกต้อง





“ มิว “ เสียงชายหนุ่มหัวสกินเฮด นัยน์ตาสีน้ำตาลตะโกนลงมาจากห้องนอน พร้อมกับเสียงฝีเท้าของร่างสูงที่วิ่งลงบันไดมา ทำให้นักร้องหนุ่มที่บัดนี้มานั่งอยู่ตรงหน้าเปียโนโดยไม่รู้ตัวตื่นจากพวังค์ ความรู้สึกเมื่อครั้งนั้น ‘ นั่นสินะ ตอนนี้ เราก็มีโต้งอยู่ด้วยแล้ว แต่หญิงสิ ยังไม่มีใครเลย ขอโทษนะหญิง ที่เราทำให้หญิงเสียใจ แต่ก็ขอบคุณนะ ที่เข้าใจเรา ‘ มิวคิดกับตนเองคนเดียว จากนั้นก็ชวนโต้งไปทานข้าวเช้าด้วยกัน ซึ่งวันนี้เป็นข้าวต้มปลาทรงเครื่องฝีมือป้าอรอีกเช่นเคย



“ โต้งอ่านข้อความรึยัง ในมือถือน่ะ “ มิวเอ่ยปากถามขณะที่ยังทานข้าวต้มอยู่

“ ข้อความไหนหรอมิว ใครส่งมาล่ะ “ โต้งถามกลับไป แล้วก้มหน้าทานต่อ

“ โดนัท “ น้ำเสียงหงุดหงิดเล็กน้อยของมิวทำให้โต้งต้องเงยหน้าขึ้นมอง

“ อือ...อื่ม... “ โต้งมีอาการสะอึก เหมือนมีอะไรติดคอ

“ แล้วเค้าส่งมาว่าไงล่ะมิว “ โต้งถามกลบเกลื่อนออกไปเพราะกลัวว่ามิวจะโกรธ

“ ไม่รู้สิโต้ง ธุระไม่ใช่นี่นา โต้งจะไม่เปิดดูหน่อยเหรอ เผื่อเป็นเรื่องด่วน “

“ ไม่เป็นไรหรอก ทานข้าวก่อนดีกว่า “

“ เดี๋ยวอิ่มแล้ว เราว่าจะเข้าไปหาหญิงกับเฮียนะ ป้าอรใอยู่ฝากโต้งล้างให้ด้วยแล้วกัน “ พุดจบมิวก็วางช้อนแล้วเดินออกจากบ้านไปทันที โต้งก็ได้แต่มองตาละห้อย

“ ตกลงนี่เค้าหึงรึเปล่าวะเนี่ย ทำตัวไม่ถูกเว้ย ช่างเหอะ “ โต้งเก็บถ้วยของตนกับมิวไปล้างแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาอ่านข้อความ



‘ วันนี้ไปดูหนังด้วยกันหน่อยสิ จะรออยู่ที่เซนเตอร์พอยต์ตอนเที่ยงนะ ....... โดนัท ‘

“ เมื่อไหร่จะเข้าใจซะทีนะโดนัท เฮ้อ!!! “ โต้งเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋ากางเกงแล้วเดินออกไปตามมิวที่บ้านหญิง

................

................



“ อ้าวมิว จะไปแต่เช้าเลยหรอ เฮียยังไม่เสร็จงานเลยนะ “ หญิงบอกกับมิว ที่เข้ามารอได้พักนึงแล้ว

“ หุบปากเลยยายบ๊อง เสร็จตั้งนานแล้ว ไปกันเถอะมิว จะเก้าโมงแล้ว เดี๋ยวจะสาย อยากเจอหน้าคนเล่นเชลโล่เต็มแก่แล้ว “ เฮียตอบออกมาจากด้านในของบ้าน

“ ใช่มิว เฮียแกอยากเห็นพี่ผู้หญิงที่เล่นเชลโล่เต็มแก่แล้ว ย้ำว่าเต็มแก่นะ คนแก่แต่ยังโสด หาแฟนไม่ได้ก็แบบนี้แหละ คงหวังว่าจะได้จีบเค้าอะดิ .... ฝันไปเหอะ ใครเค้าจะมาสนใจคนอ้วนลงพุงปากจัดแบบเฮียกัน “

“ พอเลยอาหญิง ลื้อก็เหมือนกันนั่นแหละ อย่างน้อยอั๊วะก็ไม่เคยหลงรักอามิวข้างเดียวอย่างลื้อแล้วกัน จะต้องได้มานั่งน้ำตาเช็ดหัวเข่า “ อาเฮียเอาคืนกับน้องสาวบ้าง

“ อาเฮียบ้า ปากหมาจริงๆเลย “ หญิงด่าเสร็จก็วิ่งขึ้นห้องไปเลย



นักร้องหนุ่มฟังแล้วก็ได้แต่เสียใจว่าตนเองเป็นสาเหตุที่ทำให้เพื่อนอย่างหญิงต้องมาร้องไห้เสียใจ แต่จะทำอะไรได้ล่ะ ความรักมันห้ามกันได้ซะที่ไหน






Create Date : 03 กุมภาพันธ์ 2553
Last Update : 5 มีนาคม 2553 15:03:11 น.
Counter : 547 Pageviews.

6 comments
  

โต้งเดินมาถึงประตูทางเข้าบ้านพอดี แต่พอก้าวเท้าเข้ามาในเขตบ้าน ความรู้สึก ความทรงจำบางอย่างที่พยายามจะลืมไปนานแล้วก็กลับมาอีกครั้ง



ที่โต๊ะกินข้าวรูปสี่เหลี่ยม

“ โอ๋ย ... ไก่ย่าง เย่ๆๆ ไก่ย่างๆๆ “ เสียงแตงที่วิ่งมาถึงโต๊ะกินข้าว ตะโกนด้วยความดีใจ

“ วันนี้ใครจะนำสวด “ สุนีย์ถามลูกทั้งสองคน

“ โหย....... อีกแล้วเหรอ “ แตงบ่นเสียงดัง มีโต้งร่วมบ่นด้วย

“ อะ คนที่มาช้าสุดแล้วกัน “ กรเริ่มพูดชวนให้ลูกชายคนเล็กนำสวด

“ โอย.... “ โต้งโวย ทั้งๆที่ในปากยังเคี้ยวหมากฝรั่งอยู่

“ เคี้ยวอะไรโต้ง เคี้ยวหมากฝรั่งอีกแล้วใช่มั้ยฮึ คลายออกเดี๋ยวนี้เลย “ แล้วเธอก็หยิบกระดาษทิชชู่ส่งให้โต้ง “ นี่!!! คาย บอกกี่ครั้งกี่หนแล้ว ว่าไม่ให้เคี้ยวหมากฝรั่งไง ถ้ามันติดคอขึ้นมาแล้วจะว่ายังไง แตงก็ไม่สอนน้องเลยนะ “ สุนีย์บ่นลูกทั้งสองตามประสาแม่เจ้าระเบียบ ส่วนโต้งก็คายหมากฝรั่งใส่ทิชชู่ที่แม่ส่งมาให้ด้วยความกึ่งรำคาญเล็กน้อย

“ เอาน่า ก็ คายทิ้งแล้ว ช่างมันเถอะ “ กรก็เลยต้องสร้างบรรยากาศให้ดีขึ้น

สุนีย์ส่ายหน้ากับนิสัยที่แก้ไม่หายของทั้งสามีและลูกจากนั้นทั้งครอบครัวก็เริ่มสวดพร้อมกัน



ที่โต๊ะกินข้าวตัวเดิม

“ เดชะ พระนาม พระบิดา .... “ เสียงเด็กชายดังขึ้น

“ โต้ง!! ไม่ต้องแล้ว “ ผู้เป็นพ่อเอ่ยขึ้นด้วยเสียงเริ่มสั่นเล็กน้อย เหมือนมีความจะกล่าว ก่อนจะหันมาบอกภรรยาและลูกชายด้วยเรื่องที่ตนต้องการพูด

“ สุนีย์ โต้ง ....... “ และนั่นก็เป็นครั้งสุดท้ายที่เด็กชายได้ทานข้าวพร้อมพ่อกับแม่ที่โต๊ะสี่เหลี่ยมตัวนั้น โต๊ะสี่เหลี่ยม ที่เหลือคนนั่งทานข้าวร่วมกันเพียงสามคน



“ โต้ง ...... โต้ง “ เสียงของมิวปลุกให้โต้งตื่นจากความทรงจำ

“ เป็นอะไรรึเปล่าโต้ง “ นักร้องหนุ่มเอ่ยถามด้วยความห่วงใย

“ เปล่า ไม่มีอะไร “ โต้งตอบออกมาอย่างเดิม กับคำตอบที่มิวคุ้นเคย หัวหน้าวงออกัสต์ใคร่ครวญอีกนิด ก่อนจะย้อนถามออกไป

“ ยังไม่ลืมอีกเหรอโต้ง พอเข้ามาในบ้านนี้ มันทำให้โต้งคิดถึงเรื่องเก่าๆใช่ปะ “ มิวถามโต้งด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ห่วงใย โต้งรับรู้ได้ถึงความเป็นห่วงที่มิวส่งมาให้ผ่านเสียงพูดและแววตา ก่อนจะยิ้มตอบกลับเพื่อให้มิวรู้ว่า ‘ ไม่เป็นไรมิว ‘



เฮียของหญิงที่ทั้งเห็นและได้ยินสิ่งตรงหน้า สามารถรับรู้และเข้าใจท้งสองคนได้ดี เพราะอันที่จริง เฮียเองก็เคยมีความรักมาก่อน เมื่อคนสองคนมองตากัน เฮียก็สามารถเข้าใจได้ว่ามีความรักต่อกันหรือไม่ อีกทั้งตนเองก็มีประสบการณ์ชีวิตที่โลดโผนบนถนนสายดนตรีมาก่อน มีเพื่อนฝูงที่เป็นแบบมิวไม่น้อย จึงพอจะเข้าใจความรักของทั้งคู่ ที่ถึงแม้จะเป็นผู้ชายเหมือนกัน แต่ก็ไม่ได้รังเกียจอะไร กลับเห็นใจด้วยซ้ำ แล้วก็นึกถึงน้องสาวตนเองขึ้นมาก็อดสงสารไม่ได้ ที่ต้องมาตกหลุมรักนักร้องหนุ่มบ้านตรงข้าม แต่ด้วยความที่ตนเองเป็นคนปากเสียปากจัด จึงมักจะกัดน้องสาวให้เสียใจโดยมิได้ตั้งใจเสมอ



ทั้งสามคนนั่งแท็กซี่ไปด้วยกันเพื่อมุ่งหน้าสู่ห้องบันทึกเสียงที่พี่อ๊อดจองไว้ เก้าโมงครึ่งแล้ว ตอนนี้ห่างจากเวลานัดครึ่งชั่วโมง เฮียก็เลยอดไม่ได้ ที่จะถามถึงผู้หญิงที่จะมาเล่นเชลโล่คู่กันกับตน



“ ว่าแต่ผู้หญิงคนที่จะมาเล่นเชลโล่กับพี่นี่ เป็นใครเหรออามิว “ เฮียถามขึ้นมาด้วยความสงสัย

“ เป็นผู้จัดการวงคนใหม่น่ะครับ เห็นว่าเป็นรุ่นน้องของโปรดิวเซอร์ พึ่งกลับจากเมืองนอก “

“ เป็นผู้จัดการวง ต้องเล่นดนตรีเก่งขนาดนั้นเลยเหรอ “

“ ปกติก็ไม่จำเป็นหรอกครับ แต่พี่แกจบมาทางด้านดนตรีโดยตรงเลย ยิ่งตอนเล่นวีโอล่านะ สุดยอดมากๆเลยครับ ผมฟังแล้วยังทึ่งเลย เหมือนกับที่ฟังเฮียสีไวโอลินคราวก่อนนั่นแหละ “

“ แล้วเค้าชื่ออะไรล่ะ “

“ ชื่อพี่หลิวครับ “



เฮียนั่งนิ่งมือเย็นลงทันทีเมื่อได้ยินชื่อนั้น โต้งที่นั่งหน้าคู่กับคนขับ มองไม่เห็นด้านหลัง ก็เลยไม่ได้ใส่ใจอะไร แต่คนที่นั่งมาข้างหลังคู่กับเฮียอย่างมิว มีหรือจะไม่สังเกตคนที่นั่งคุยมาด้วยกัน นักร้องหนุ่มยื่นมือของตนไปสัมผัสกับมือที่สงบนิ่งของนักไวโอลินร่างใหญ่ และรับรู้ได้ว่ามือเฮียเย็นมาก ไม่รู้เป็นเพราะแอร์หรือตื่นเต้นกันแน่ มิวจึงได้แต่บอกให้คนขับเบาแอร์ลงหน่อย แต่ก็นึกในใจว่า ‘ผอมๆอย่างเรายังไม่หนาวเลย’ หรือว่าเฮียจะตกใจเมื่อได้ยินชื่อของพี่หลิวกันแน่



“ เฮียรู้จักกับพี่หลิวมาก่อนเหรอครับ “ คนที่นั่งมาข้างๆถามชายร่างใหญ่ที่นั่งนิ่งอยู่

“ ทำไมอามิวถามอย่างงั้นล่ะ “ เฮียที่คืนสติแล้วถามกลับนักร้องข้างบ้าน

“ ก็เฮียน่ะ นิ่ง ใจลอยไปตั้งแต่ได้ยินชื่อพี่หลิว นี่เป็นครั้งที่สองแล้วนะครับที่เฮียใจลอยแบบนี้ ครั้งแรกก็วันก่อนที่ผมเอาโน้ตเพลงไปให้นั่นแหละ พอเห็นลายมือพี่หลิว เฮียก็นิ่งไปแบบเนี้ย ทีแรกผมก็ไม่ได้คิดอะไร แต่พอมาตอนนี้ เริ่มจะคิดขึ้นมาแล้ว ว่าต้องเกี่ยวกัน ก็ผมรู้จักเฮียมาเกือบหกปี ไม่เคยเห็นเป็นแบบนี้มาก่อน “ มิวสาธยายความคิดของตนให้เฮียฟัง จนเฮียเองเริ่มคิดขึ้นมาว่า ‘ ไอ้เด็กคนนี้นี่ เมื่อก่อนเห็นเงียบๆ ที่จริงก็เอาใจใส่คนอื่นเหมือนกันนี่หว่า นี่ถ้าไม่ติดว่าอีเป็นกระเทยนะ ได้เป็นแฟนกับอาหญิง เราก็คงหมดห่วงอาหญิงอีซักที มิน่าล่ะ อาหญิงอีถึงได้หลงรักขนาดนั้น ‘

“ ไหงเงียบไปอีกล่ะครับ “ นักร้องหนุ่มยังคงถามต่อ

“ เปล่าหรอก แค่คิดอะไรเพลินๆน่ะ “ แล้วหลังจากนั้น ก็ไม่มีการสนทนาอีกจนถึงห้องบันทึกเสียง

.............

............. รถแท็กซี่นำมิว โต้ง และอาเฮียมาถึงห้องบันทึกเสียง ทันทีที่ก้าวลงจากรถ เสียงสัญญาณข้อความเข้าก็ดังขึ้นที่โทรศัพท์มือถือของโต้ง ชายหนุ่มหยิบโทรศัพท์มือถือของตนขึ้นมาดู ‘ โดนัท ‘ ชื่อของผู้ส่งปรากฏอยู่บนหน้าจอ ร่างสูงเงยหน้าขึ้นหันไปมองร่างโปร่งของนักร้องหนุ่มที่หยุดคอยอยู่ สีหน้าและแววตากังวลผสมกลัวมิวโกรธของโต้ง บอกให้มิวรู้ว่า ผู้ที่ส่งข้อความเข้ามาคงหนีไม่พ้นคนเดียวกันกับเมื่อเช้า นักร้องร่างโปร่งเจ้าของนัยน์ตาสีฟ้าเข้มกล่าวถ้อยคำออกมาก่อนที่ร่างสูงเจ้าของนัยน์ตาสีน้ำตาลจะได้เอ่ยคำพูด



“ โต้งไปทำธุระของโต้งก่อนเถอะ เสร็จแล้วค่อยตามเข้าไปก็ได้ กว่าจะเข้าห้องอัดเสร็จก็คงจะเที่ยงนั่นแหละ “ นักร้องหนุ่มพูดออกไปด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยจนคนฟังใจคอไม่ดี

“ มิว คือว่า............ “ โต้งมีคำพูดที่อยากบอกมิว แต่ก็ติดอยู่ที่ปาก พูดไม่ออก

“ เราเชื่อใจโต้งนะ “ น้ำเสียงที่ฟังดูเรียบ แต่แววตาฉายความเชื่อมั่นในตัวผู้ที่อยู่ตรงหน้าของมิว ทำให้ผู้ฟังยิ้มออกมาได้อีกครั้ง ความรู้สึกที่ได้เห็นคนรักเชื่อใจ ทำให้ชายหนุ่มมีกำลังใจและพร้อมจะแก้ไขปัญหาที่กำลังจะเกิดขึ้น ทำให้โต้งใคร่ครวญว่าจะจัดการอย่างไรในเรื่องของตนกับโดนัทดี

“ งั้นเราไปจัดการธุระของเราก่อนนะมิว “

“ อือ “

“ เอ่อ....มิว ขอกุญแจบ้านหน่อยดิ เราว่าจะกลับไปเอาของบางอย่างก่อนน่ะ “

“ อือ “ พูดจบนักร้องนัยน์ตาสวยก็ส่งกุญแจบ้านให้โต้งไป



มิวกับอาเฮียเดินเข้าไปในตัวตึก เพื่อนๆออกัสต์ถึงกันเกือบหมดแล้ว ขาดแต่มือกีตาร์คิ้วหนาคนเดียว นักร้องนำมองสำรวจดูเพื่อนๆและรุ่นน้อง มือเบสเพื่อนร่วมห้องในโรงเรียนนั่งตาละห้อยด้วยความเซ็งที่เพื่อนสนิทมือกีตาร์อย่างเอ๊กซ์ไม่สามารถมาออดิชั่นได้ในวันนี้ มือทรัมเปตรุ่นน้องที่วันนี้รับหน้าที่ดีดกีตาร์ก็ยืนเหม่อลอยเหมือนคนสิ้นความหวัง และขาดความเชื่อมั่น อากัปกิริยาของเพื่อนและรุ่นน้องทั้งสองทำเอามิวใจฝ่อไปอีกคน อาเฮียที่ถือไวโอลินเดินตามหลังมาก็สังเกตเห็นได้เช่นกันว่าบรรยากาศไม่ชวนหรรษาซักเท่าไหร่ แล้วแบบนี้จะเล่นดนตรีได้อย่างไร ก็ไหนว่าจะบันทึกเสียงกันแล้ว



“ แบบนี้แล้วจะไหวเหรออามิว เพื่อนเราแต่ละคน ทำเซ็งกะตายกันทั้งนั้น “

“ ไม่รู้สิครับ ยังไงก็ต้องไหว บ่ายนี้มีออดิชั่นด้วย “



“ อ้าวมิวมาแล้วหรอ แล้วนี่ คนที่มิวว่าจะมาสีไวโอลินใช่ปะ “ พี่อ๊อดเดินมาพอดี

“ สวัสดีครับพี่อ๊อด “ มิวยกมือไหว้ จากนั้นก็แนะนำพี่อ๊อดให้รู้จักกับอาเฮีย

“ พี่อ๊อดครับ นี่อาเฮีย......”

“ พี่อ๊อด “ เสียงอาเฮียอุทานเสียงดังด้วยความตกใจ

“ สมเกียรติ นี่นายจริงๆหรือเนี่ย ไม่เจอกันตั้ง หกปีได้แล้วมั้ง “ พี่อ๊อดพูดกับอาเฮียด้วยความตื่นเต้นดีใจที่ได้เจอเพื่อนเก่า รุ่นน้องนักดนตรีที่เคยเล่นด้วยกันมาก่อน

“ อย่าบอกนะครับว่าพี่อ๊อดเป็นโปรดิวเซอร์ให้วงของอามิวน่ะ งั้นอย่างนี้ก็หมายความว่า .............. ผมว่าแล้ว ลายมือคุ้นตาชะมัด ที่แท้ ผู้จัดการวงคนใหม่ของอามิวก็เป็นอาหลิวนี่เอง ตอนที่ได้ยินชื่อบนรถก็ไม่ค่อยเท่าไหร่ คิดว่าอาจจะ.......เอาเหอะ ถ้าลองพี่อ๊อดอยู่นี่ล่ะก็ ไม่ผิดคนแน่นอน อามิว เฮียขอตัวกลับบ้านก่อนนะ ถือว่าเฮียผิดสัญญาแล้วกัน เรื่องเล่นไวโอลินเป็นอันยกเลิก “ พูดจบ เฮียสมเกียรติก็เตรียมเดินออกไปทันที

“ เฮียกลัวกระทั่งจะพบหน้าหลิวเหรอคะ ไม่กลัวคนอื่นเค้าจะว่า ว่าไม่โปรเฟชชันน่อลหรอคะ “ เสียงหญิงสาววัยยี่สิบปลายๆดังมาจากหน้าประตู

หนุ่มใหญ่ร่างท้วมยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น หลังจากที่เห็นหน้าของผู้จัดการวงคนเก่ง คนที่อาเฮียคุ้นเคยเป็นอย่างดี แฟนเก่าที่คบกันมาตั้งแต่เริ่มเรียนมหาวิทยาลัย สาขาดุริยางคศิลป์ สี่ปีที่คบหาดูใจ ร่วมเรียนและบรรเลงเพลงรักมาด้วยกัน กับอีกหกปีที่แยกทางกัน ทำให้ต่างคนต่างเลือกที่จะมีวิถีชีวิตของตนเอง คนหนึ่งกลับมาอยู่กับครอบครัว ดูแลแม่และน้อง อีกหนึ่ง เลือกที่จะไปเรียนต่อต่างประเทศในศาสตร์และศิลป์ที่ตนใฝ่ฝัน

“ อาหลิว “ เสียงอาเฮียดังขึ้น สีหน้าแสดงออกถึงความสับสน ทั้งตื่นเต้นดีใจ ทั้งโกรธผิดหวัง สมหวัง รัก คิดถึง โหยหา งอน บึ้งตึง ปนเปไปหมด คนที่ยืนมองอยู่ใกล้ๆทั้งมิวและพี่อ๊อด ก็เดาอารมณ์ของเฮียไม่ถูก

“ ใครบอกว่าพี่กลัว ........ ก็ได้ ........ งานเป็นงาน เดี๋ยวหาว่าไม่เป็นมืออาชีพ ได้ข่าวว่าเปลี่ยนมาเล่นเชลโล่ เล่นให้ดีแล้วกัน “ อาเฮียพูดออกไป แต่ก็ยังไม่ค่อยกล้าสบตากับพี่หลิว

“ งั้นเราไปซ้อมด้วยกันห้องโน้นดีกว่าค่ะ ให้พวกเด็กๆตั้งเครื่องเสียงและซ้อมย่อยไปก่อน อีกครึ่งชั่วโมงค่อยอัดเสียงจริงกัน “ หลิวพูดจบก็เดินเข้าไปอีกห้องนึง จากนั้นเฮียก็ตามเข้าไป



วงออกัสต์ที่ไม่มีเอ๊กซ์ตั้งเครื่องเสียงเสร็จ ก็ซ้อมกันไปเรื่อยๆ แต่ปัญหายังคงเหมือนเมื่อวาน อาร์มเล่นได้ดีเวลาที่พี่อ๊อดออกไปข้างนอก แต่พอพี่แกกลับมาจ้องเมื่อไหร่ มือกีตาร์จำเป็นอย่างอาร์มก็เล่นรวนทุกที มือไม้รนไปหมด ควบคุมความตื่นเต้นไม่ไหว พี่อ๊อดกลุ้มใจหนัก ขืนเป็นแบบนี้กว่าจะบันทึกเสียงเสร็จ แล้วยังจะออดิชั่นอีก อนาคตวงออกัสต์ รวมทั้งเครดิตในวงการของพี่อ๊อดคงย่อยยับอัปราชัยกันในคราวนี้แน่ๆ เพราะตั้งแต่ที่ได้พี่หลิวมาเป็นผู้จัดการวง พี่อ๊อดก็เชื่อมั่นในวงออกัสต์มากกว่าเก่า อีกทั้ง หลังจากงานคริสต์มาสที่ผ่านมา เพลงของวงออกัสต์รวมทั้งเหล่าสมาชิกก็เริ่มเป็นที่รู้จัก ผู้ใหญ่ในค่ายก็ชื่นชม แล้วเพลงใหม่ที่มิวแต่งมาอีกสามเพลงก็ไพเราะล้นเหลือ โปรดิวเซอร์หน้าดุอย่างพี่อ๊อดที่หวังจะกู้หน้าจากออดิชั่นครั้งที่แล้ว จึงเที่ยวได้โฆษณาศิลปินใหม่ในความดูแลของตนไว้เยอะ แต่ถ้ายังเป็นแบบนี้ เห็นทีจะต้องเก็บกระเป๋า อำลาวงการแน่ๆ



ขณะที่หลายๆคนกำลังเครียดอยู่นั้น เสียงเอะอะอึกทึกก็ดังมาจากห้องข้างๆที่เฮียสมเกียรติและพี่หลิวเข้าไปกันสองคน ทุกคนที่เหลือรวมทั้งพี่อ๊อดเอง จึงหันเหความสนใจไปยังห้องดังกล่าว



“ ก็หลิวบอกแล้วไง ว่าหลิวอยากไปเรียนต่อจริงๆ พี่ก็รู้ ว่ามันสำคัญต่อหลิวมากแค่ไหน “

“ ใช่สิ ไปโลดแล่นอยู่เมืองนอก มันก็ต้องสำคัญกว่าอยู่กับนักไวโอลินกระจอกที่เมืองไทยอยู่แล้วแหละ ไปอยู่โน่นมาหกปี เปลี่ยนแฟนใหม่กี่คนแล้วล่ะ “

“ อย่ามากล่าวหากันนะ เฮียนั่นแหละ บอกให้ไปอยู่ด้วยกันก็ไม่ยอมไป แค่ทำเรื่องขอทุนหน่อยเดียว ทำเป็นเล่นตัว “

“ เฮียเคยบอกหลิวแล้วไง ว่าเฮียเป็นห่วงอาม้า กับอาหญิงอี ถ้าเฮียไม่อยู่ อีสองคนจะลำบาก “

“ ไม่ต้องมาอ้างว่ากตัญญูเลย เฮียเบื่อหลิวแล้วก็พูดมาเถอะ มีคนเค้าเห็นเฮียไปยุ่งกับน้องเหมยที่เรียนกฎหมายนะ อย่ามาทำพูดเอาดีเข้าตัวเลย “

“ อาเหมยอีเป็นญาติ มาช่วยเรื่องจัดการทรัพย์สินของเตี่ยเฮีย ไม่ได้มีอะไรกันซะหน่อย หลิวนั่นแหละ ไปควงหนุ่มฝรั่งเที่ยวซะทั่วกรุงเวียนนามาเลยไม่ใช่หรอ คงถูกทิ้งล่ะสิ ถึงได้กลับเมืองไทย “



ผั่วะ!!! หลิวตบเฮียสมเกียรติด้วยมือขวาที่บอบบางอย่างเต็มแรง ทำเอาหน้าฉุของเฮียมีรอยมือเปื้อนอยู่บนใบหน้า ทำให้เฮียสงบนิ่งลง แม้แต่คนตบเองก็นิ่งไปด้วยเหมือนกัน พี่อ๊อดที่แอบฟังอยู่ถึงกับตกใจรีบวิ่งเข้าไปดูในห้อง กลัวว่าจะกลายเป็นเรื่องปวดหัวขึ้นมาอีก ถึงจะหวั่นใจ แต่ก็ต้องเข้าไปเคลียร์ในฐานะที่เป็นทั้งเจ้านาย และรุ่นพี่ของสองคนนั้น และแล้วสิ่งที่พี่อ๊อดกับสมาชิกออกัสต์เห็นก็คือ



“ เจ็บรึเปล่าล่ะ “ พี่หลิวใช้มือนุ่มๆข้างเดียวกับที่ตบหน้าเฮียเมื่อครู่นี้ลูบเบาๆที่รอยฝ่ามือของตนเอง

“ เจ็บดิ ..... หลิวมือหนักขึ้นนะเนี่ย “ เฮียสมเกียรติคว้ามือที่ลูบอยู่บนใบหน้ามาจับไว้ พร้อมกับลูบมือข้างนั้นไปมา

“ หกปีมานี้ หลิวคิดถึงเฮียมากเลยรู้มั้ย กว่าจะเรียนจบลำบากแทบแย่ เพราะในสมองมัวแต่คิดถึงตาทึ่มอ้วนๆที่ขี้โมโห ปากร้าย งอแง จนเรียนเกือบไม่รู้เรื่อง “ หลิวคุยกับเฮียด้วยน้ำเสียงนิ่มนวลอ่อนหวาน

“ เฮียก็คิดถึงหลิวเหมือนกัน ตัวอยู่บ้าน แต่ใจก็โหยหาอีกคนที่หนีไปเรียนไกลถึงเมืองนอก “ เฮียสมเกียรติใช้น้ำเสียงที่อ่อนหวานไม่แพ้กัน

“ หลิวรู้ ว่าเฮียลำบากใจที่ต้องแยกกัน แต่หลิวก็ภูมิใจที่เฮียยอมเสียสละความฝันของตนเองเพื่อครอบครัว “

“ เฮียก็ดีใจกับหลิว ที่ไล่ล่าความฝันของตัวเองจนสำเร็จ “

“ นั่นแค่เบื้องต้นค่ะ ต่อไปนี้เรามาร่วมทำความฝันด้วยกันใหม่อีกครั้งนะ “

“ จ้ะ “

กิริยาอาการของเฮียกับพี่หลิวที่ดูจะเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา เดี๋ยวร้ายเดี๋ยวดี เดี๋ยวทะเลาะกันรุนแรง เดี๋ยวก็หวานจนจะเลี่ยน ทำเอากลุ่มเด็กๆวงออกัสต์สับสนและมึนงง ต่างจากพี่อ๊อดที่ดูเหมือนจะเข้าใจสองคนนี้ดีกว่าเด็กๆทั้งหลาย



“ กรูว่าแล้ว ไอ้คู่นี้ บทจะดีกัน ก็ดีจนกรูจะอ้วก บทจะตีกัน ก็เล่นซะยังกับทำสงคราม หกปีผ่านไป ไม่ยอมเปลี่ยนกันเลย “ พี่อ๊อดบ่นออกมาเสียงดัง

“ ยังไงเหรอครับพี่ “ มิวเอ่ยปากถามพี่อีอดเพื่อไขข้อข้องใจ

“ ก็เป็นอย่างนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้วอะดิ สองคนนี้เค้ารักกันมาก เมื่อก่อนนี้นะ ตัวติดกันอย่างกับเป็นคนเดียวกันเลย เข้าอกเข้าใจ รู้ใจกันไปซะหมด ยิ่งเวลาจับไวโอลินกับวีโอล่ามาเล่นพร้อมกันนะ สุดยอด!!! แต่พอจะทะเลาะกันล่ะก็ แค่เชียร์บอลคนละทีมก็ตีกันจนทีวีเกือบพังมาแล้ว แต่พออีกคนเกิดเจ็บตัวขึ้นมา ไอ้คนที่เหลือก็แทบจะขาดใจ ยังกะว่าเจ็บแทนกันอย่างนั้นแหละ ไม่รู้จะเรียกยังไงดี คู่สร้างคู่สม คู่เวรคู่กรรม โอ้ย!!! พี่ปวดหัวกับไอ้คู่นี้มาจนไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว มิวอยู่ใกล้สองคนนี้ ก็เตรียมพาราไว้ด้วยละกัน จะเอาของพี่ก็ได้นะ พี่เตรียมไว้เป็นกระปุกเลยวันนี้ “

“ นึกถึงตอนที่พี่อ๊อดใช้พี่จูนไปซื้อพารานะครับ “ มิวเอ่ยถึงเรื่องเก่า

“ พี่ก็ชักคิดถึงจูนเหมือนกัน ยังโมดหตัวเองอยู่เลย ที่รีบร้อนตัดสินใจไล่จูนออกไป เกิดสมมติว่าออดิชั่นครั้งนี้ผ่านฉลุยล่ะก็นะ พวกเราก็จะมีงานเยอะขึ้น แล้วต้องเตรียมออกอัลบั้มอีก ไม่ใช่แค่ซิงเกิ้ลเหมือนแต่ก่อนแล้ว พี่ก็อาจจะตามจูนกลับมาดูแลพวกเราอีกก็ได้ “

“ จริงเหรอครับ “ นักร้องหนุ่มมีอาการดีใจจนพี่อ๊อดสังเกตเห็น

“ เออสิวะ คราวนี้ตั้งใจทำให้ดีแล้วกัน เพื่อความฝันของพวกเราทุกคน “

“ ครับพี่ “ มิวรับปากพี่อ๊อดด้วยรอยยิ้ม

.........

.........



โต้งกลับมาถึงที่บ้านของมิวอีกครั้งตอนเกือบสิบเอ็ดโมง ร่างสูงเหลียวมองบ้านเก่าของตนเอง เห็นหญิงมองมาที่โต้งด้วยความสงสัย หลังจากไขประตูเข้าบ้านมิวแล้ว ชายหนุ่มก็ขึ้นไปหยิบกระเป๋าเป้ของตนลงมา มือขวาล้วงไปที่ช่องซิปเล็กๆที่ดูเหมือนว่าจะไม่ได้เปิดมานานแล้ว พวงกุญแจรูปเสือขาวขนปุยถูกหยิบออกมา มันเป็นของที่ระลึกชิ้นเดียวที่โดนัทเคยซื้อให้โต้งเมื่อปีที่แล้ว ชายหนุ่มเก็บพวงกุญแจอันนี้ใส่ช่องซิปนี้ไว้ตั้งแต่ครั้งนั้น จนถึงวันนี้โดยที่ไม่เคยใช้เลยแม้แต่ครั้งเดียว โต้งลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าเคยมีพวงกุญแจอันนี้ ถ้าไม่บังเอิญคลำไปเจอเมื่อเช้าล่ะก็ ป่านนี้ก็คงเอามันทิ้งไว้ที่เดิมอย่างนั้น ชายหนุ่มกำลังคิดอยู่ว่าจะทำยังไงกับโดนัทดี พลันคิดได้ว่า ถ้าโดนัทชวนกินข้าวล่ะ แต่ตนไม่อยากกินด้วยซะหน่อย สุดท้ายจึงตัดสินใจด้วยการรองท้องด้วยข้าวต้มปลาที่ยังเหลือค้างหม้อจากเมื่อเช้า ชายหนุ่มทานข้าวต้มเพียงลำพัง แล้วก็เก็บจานไปล้างด้วยความเหงากึ่งกังวลใจ

.................

.................
โดย: Niramitr วันที่: 3 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:17:35:55 น.
  
ต่อด้วยส่วนที่น้องปอนด์แต่งต่อนะครับ มีอีกหน่อยนึง





+ + + ต่อเรื่องง๊าฟ!!!!+ + +






ในระหว่างที่ 1 หนุ่ม กับ 1 คนแก่ ไปอัดเพลงกัน



"เอาไงดีว่ะกรู เฮ้อ!!" เสียงบ่นของโต้งระหว่างล้างจาน.. เพราะโต้งไม่รู้จะบอกโดนัทอย่างไรเกียวกับเรื่องของ เขา และ มิว



"อ้าวโต้ง ล้างจานเป็นด้วยหรอ"

"อาว.. หยิง มาได้ไงเนี่ย"

"ก้อ เดินมาอะ" หน้าตาใสๆ พร้อมรอยยิ้มของหญิง เดินเข้ามาหาโต้งที่กำลังล้างจานอยู่

โต้งเห็นหญิงเดินเข้ามาก้อไม่ได้เอะใจอย่างไร

"เออ หญิง ช่วยอะไรเราอีกสักอย่างได้เป่าอะ"



"อารายอะโต้ง"

"คือ..." โต้งยื่นโทรศัพท์และข้อความที่โดนัทส่งมาให้หยิงดู



"เอ่อ.. เราก้อไม่รุ้เหมือนกันนะโต้ง เราว่า.. โต้งต้องตัดสินใจเองแล้วหล่ะ"

"หญิง เราตัดสินใจที่จะไปกับเขาน่ะ แต่ว่า..."

"แต่ว่าอะไรหรอโต้ง..."

"ที่เราไปเนี่ย เราจะไปบอกเขาเรื่องเรากับมิว เราไม่อยากให้เขามาเจ็บกับความรักที่เขามีให้เรา"

"เขายังรักโต้งอยู่หรอ??"

"เราคิดว่าน่ะ.. เราควรทำไงดีละหญิง"

"หญิงอยากจะช่วยน่ะ แต่หญิง ... ขอคิดหน่อยละกัน"

"อืมม ขอบคุณน่ะ"



. . .

. .

.

.

. .

. . .



"โหย นี้ก้อจะเที่ยงแล้ว ยังไม่ได้คำตอบจากหญิงเลย"

โต้งนั้งอยู่บนโซฟาของอาม่า นั้งรอคอยคำตอบจากหญิง แต่ก้อยังไม่มีวี้แววใด้ๆ



"โต้ง!!!"

"อาวหญิง ว่าไง ได้คำตอบละหรอ"

"คือ ก้อไม่เชิงอะ หญิงขอโทดน้า หญิงคิดมะออกจิงๆ"

"อาวว งั้น ช่างมันเหอะ"

"ขอโทดน่ะ"

"งั้น เราไปก่อนน่ะหญิง ขอบคุณมากเรยน่ะ ที่คอยให้คำปรึกษา"

. .

โต้งบอกลาหญิง และปิดประตูเหล็ก แล้วออกไปเรียกแท๊กซี่หน้าปากซอย
โดย: Niramitr วันที่: 3 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:17:36:47 น.
  

+++ ต่อเรื่อง +++





การบันทึกเสียงเลวร้ายกว่าที่มิวคาด การทำงานในวันนี้ไม่เป็นที่พอใจของใครเลย โดยเฉพาะพี่อ๊อด ที่ออกจะมีอาการหนักใจกว่าคนอื่นๆ สาเหตุก็ยังคงเป็นอย่างเดิม คือดนตรีในส่วนของกีตาร์ที่เพี้ยนและผิดคีย์อยู่บ่อยครั้ง ต่างจากส่วนของเครื่องสาย ทั้งไวโอลินและเชลโล่ ที่เล่นดีขั้นเทพแซงหน้าเด็กๆออกัสต์ ทำเอาเหล่านักดนตรีวัยมัธยมกางเกงขาสั้นขาดความมั่นใจไปตามๆกัน



“ เฮียเกียรติ พี่หลิว ครับ เบามือให้น้องๆหน่อยได้มั้ยครับ พวกพี่เล่นเจ๋งจนน้องๆตามไม่ทันแล้วนะครับ อนุเคราะห์เด็กๆกันเถิดนะ ได้โปรดดดดด “ เสียงมือแซ้กขี้เล่นอ้อนผู้จัดการวงกับแฟนหนุ่มใหญ่ไซส์หมีกริสปี้

“ ไม่ต้องมาทำเนียนเลยปิงปอง ขืนเป็นอย่างนี้ อัดไม่เสร็จซักเพลงแน่ อีกชั่วโมงเดียว ทางผู้ใหญ่ในค่ายก็จะมาฟังพวกเราออดิชั่นกันแล้ว พี่ว่า พวกเราตั้งใจกันให้มากกว่านี้ดีกว่านะ “ พี่หลิวปรามปิงปองที่ออกจะทีเล่นทีจริงในเวลางานมากไปหน่อย แต่ก็ยังคงส่งสายตาห่วงใยไปทางอาร์ม ที่มีท่าทางเครียดกว่าทุกๆคน

“ เอาใหม่นะ ลองอีกที พี่เชื่อว่าอาร์มทำได้นะ “ พี่อ๊อดส่งกำลังใจให้เด็กๆ แต่แววตาเหมือนกับคนที่หมดศรัทธายังไงยังงั้น



เสียงให้จังหวะกลองของเอ็มประสานกับเสียงคีย์บอร์ดของแวนอย่างลงตัว ดนตรีเพลงคนธรรมดาถูกบรรเลงขึ้นอย่างไพเราะ กำลังจะไปได้ดีอยู่แล้วเชียว ทว่า



แปร่งงงงงงๆๆๆๆ



“ ขอโทษครับ “ เสียงขอโทษพร้อมกับอาการก้มหน้าหลบสายตาคนอื่นของอาร์มปรากฏขึ้นมาเป็นครั้งที่สิบของวันนี้

“ พี่ชักจะหมดความอดทนแล้วนะอาร์ม มันไม่ไหวจริงๆ มิว พี่ว่าถ้าวันนี้มันแย่ขนาดนี้ ก็ยกเลิกไปเลยแล้วกัน ทั้งอัดเพลง ทั้งออดิชั่น ยังดีกว่าเล่นแย่ๆให้พวกผู้บริหารค่ายมาฟัง “ พี่อ๊อดวีนใส่อาร์มแล้วก็วีนใส่มิวกับเด็กๆออกัสต์ด้วยความหัวเสียอย่างแรง

“ เอ่อ.... คือว่า..... “ มิวพยายามจะพูดบางอย่าง แต่ก็พูดไม่ออก ความรู้สึกผิดหวังของมิวในฐานะหัวหน้าวงคงมากไม่น้อย เพราะตัวมิวเองก็มีส่วนที่ทำให้เอ๊กซ์ต้องเจ็บตัว แถมยังเป็นคนที่เสนอให้อาร์มเล่นกีตาร์แทนเอ๊กซ์อีกด้วย ความรู้สึกผิดจึงถาโถมใส่นักร้องหนุ่มเจ้าของนัยน์ตาสีน้ำเงินอย่างจัง



“ อื่อ อื่อ ..... ขอโทษครับ “ อาร์มทำท่าพะอืดพะอมอะไรซักอย่าง แล้วรีบวิ่งออกไปทันที ท่ามกลางสายตาตกใจของคนอื่นๆ

“ อาร์ม “ มิวตั้งสติได้ก็รีบวิ่งตามออกไปทันที



นักเป่าทรัมเปตที่ต้องกลายมาเป็นมือกีตาร์จำเป็นให้วงออกัสต์วิ่งเข้าห้องน้ำเพื่อมาอาเจียน คราวนี้อาร์มมีอาการหนักเอาเรื่อง มิวตั้งข้อสังเกตว่า อาร์มคงเครียดมาก จนถึงกับอาเจียนกันเลยทีเดียว นักร้องหนุ่มเข้าไปลูบหลังให้รุ่นน้อง จนกระทั่งมือกีตาร์จำเป็นอาเจียนเรียบร้อย โดยไม่มีคำพูด มิวจูงมืออาร์มกลับไปยังห้องบันทึกเสียง



ความเงียบเหงาปรากฏขึ้นอย่างเห็นได้ชัด มิวพาอาร์มเข้าไปนั่งตรงมุมหนึ่งในห้องบันทึกเสียง เพื่อนร่วมวงทุกคนต่างหันมามอง รวมทั้งผู้ดูแลวงอย่างพี่อ๊อด และคู่กัดดูโอนักสีเครื่องสายคลาสสิค แต่ก็ไม่มีใครพูดอะไร เพราะต่างก็เข้าใจว่า นักดนตรีหนุ่มน้อยชั้นมัธยม 3 คนนี้เครียดมากพอแล้ว ถึงจะเครียด กังวล และกลุ้มใจแค่ไหน แต่พี่อ๊อดก็อดสงสารอาร์มไม่ได้ บรรยากาศมาคุแบบนี้ เหมือนน้ำกรดที่ลดลงกระเพาะของทุกคน เพราะนี่ก็เที่ยงแล้ว แต่ยังบันทึกเสียงไม่ได้ซักเพลง ยิ่งเครียด ก็ยิ่งหิว หลายคนเอามือกุมกระเพาะไว้ด้วยความทรมาน โดยเฉพาะแวนกับน้องอ้วน ที่ปกติก็กินเก่งกว่าคนอื่นอยู่แล้ว แต่ก็ไม่ได้บ่นอะไร แม้แต่มือกลองอย่างเอ็มที่ปกติเป็นคนขี้บ่นกว่าคนอื่นๆ ก็ไม่กล้าเอ่ยปาก ความเงียบ ความจนแต้ม ความสิ้นหวังที่เริ่มทำร้ายจิตใจของเด็กๆออกัสต์



“ ไม่เอาแล้วครับพี่มิว ผมไม่ไหวแล้วจริงๆนะ ผมเล่นกีตาร์ไม่ไหวแล้ว มันอึดอัด มันกดดันจนผมอยากจะอ้วกทุกทีเลย ผมรู้นะครับ ว่าพี่มิวหวังดี ผมเองก็อยากจะเล่นให้ได้ดีอย่างที่พี่เอ๊กซ์เล่น แต่.... นะครับพี่ ผมขอโทษ ผมไม่เอาแล้ว “ อาร์มพรั่งพรูความกดดันออกมาอีกครั้งพร้อมกับน้ำตาที่รินไหลออกมามากมายยิ่งกว่าเมื่อคืนซะอีก นักร้องหนุ่มได้แต่กอดคอปลอบใจน้องชายร่วมวงต่างวัยคนนี้ พร้อมกับหันไปมองทางพี่อ๊อดเพื่อขอความเห็นใจ ซึ่งผู้ดูแลวงเองก็ได้แต่ถอนหายใจอย่างจนปัญญา

……….

……….

……….





“ นั่งบื้ออะไรกันอยู่ได้ ไม่ทำงานกันเหรอไง “ เสียงคุ้นเคยดังขึ้นตรงประตูห้อง เหมือนเสียงที่มาจากสวรรค์ เรียกความสนใจไปจากทุกคน ความหวังสุดท้ายที่ทุกคนเฝ้ารอยืนยิ้มอยู่พร้อมคิ้วหนาๆที่ยักขึ้นยักลง กับใบหน้ากวนโมโห แต่แฝงไว้ด้วยความจริงใจ



“ ไอ้เชี่ยเอ๊กซ์ “ แวน นักคีย์บอร์ดร่างอวบตะโกนขึ้นทักเพื่อนที่เข้ามาถูกจังหวะพอดี

“ พี่เอ๊กซ์ “ ปิงปองก็เป็นอีกคนที่ร้องขึ้น พร้อมกับวิ่งเข้าไปกอดคอรุ่นพี่ด้วยความดีใจ



บรรดาออกัสต์ทั้งหลายต่างมารุมล้อมมือกีตาร์คิ้วหนาที่พึ่งจะเดินเข้ามา พร้อมพิซซ่าสามถาดใหญ่ที่หิ้วติดมือมาด้วย รอยยิ้มเริ่มปรากฏบนใบหน้าของแต่ละคนอีกครั้ง เอ๊กซ์หันไปมองทางมิวกับอาร์มที่นั่งเงียบอยู่ตรงมุมห้อง



“ เป็นไงบ้างวะ ไหวมั้ย พอกรูไม่อยู่ เกิดปัญหาเชียวนะมรึง “ เอ๊กซ์ยังคงพูดจากวนใส่เพื่อนหลังจากที่เดินเข้าไปหาใกล้ๆ

“ หมอให้กลับได้แล้วเหรอวะ “ มิวเอ่ยปากถามเพื่อน

“ เปล่า กรูหนีออกมาก่อน กรูนอนหลับอยู่แล้วฝันเห็นนักร้องนำนั่งร้องไห้ที่ออดิชั่นไม่ผ่าน กรูก็เลยรีบแจ้นมานี่แหละ “

“ ไอ้ห่า ยังจะมาล้อเล่นอีก “ มิวพูดไม่ทันไรก็แกล้งเอามือไปแตะตรงรอยโนบนหัวเอ๊กซ์

“ ยุบแล้วนี่หว่า .... ขอบใจนะเว้ย ที่ไม่ด่วนตายจากไปก่อน กรูกลัวติดคุก “

“ ไอ้เลวนี่ ว่าเพื่อนปากหมา น้อยกว่ากรูนักนี่ “ พูดจบนายคิ้วหนาก็ดึงมือนายตาหวานให้ลุกขึ้น จากนั้นทั้งสองคนก็ยื่นมือออกไปให้อาร์มลุกขึ้นตามอีกคน น้ำตาที่เมื่อครู่ไหลออกมามาก บัดนี้ได้หยุดลงแล้ว เหลือแต่รอยยิ้มแห่งความโล่งอก สบายใจ ที่ยกภาระออกไปได้

“ ขอบคุณครับพี่เอ๊กซ์ ถ้าพี่ไม่กลับมา วงเราแย่แน่ “ อาร์มเอ่ยปากขอบคุณ

“ ก็วงของพวกเรานี่นา อนาคตอยู่ตรงหน้า จะปล่อยทิ้งไปได้ยังไงวะ เร็ว เที่ยงแล้ว หาอะไรแดรกก่อน แล้วจะได้ทำงานกันต่อ “



พี่อ๊อด ที่เห็นเอ๊กซ์กลับมา เห็นรอยยิ้มของเด็กๆอีกครั้ง ก็เริ่มสบายใจ ถึงจะเสียเวลาไปหลายชั่วโมง แต่ก็เชื่อว่า อย่างน้อยก็ได้มือกีตาร์กลับมา ถึงจะไม่ได้ซ้อมมาหลายวัน แต่ก็น่าจะผ่านวันอันวุ่นวายนี้ไปได้

....................

....................

....................



เที่ยงครึ่งแล้ว โต้งพึ่งจะมาถึงสยามแสควร์ ชายหนุ่มยังคงมาสายเสมอในทุกครั้งที่นัดพบกับโดนัท อดีตแฟนสวยเลือกได้ที่ได้เลิกกันไปแล้วตั้งแต่ตอนคริสต์มาส ร่างสูงเดินมายังร้านไอศกรีมเจ้าประจำที่เค้าเคยมานั่งกินกับหญิงสาว สองเท้าชักนำร่างสูงของชายหนุ่มเข้าไปในร้านที่มีคนนั่งอยู่ค่อนข้างแน่น หญิงสาววัยรุ่นในเสื้อสีครีมนั่งอยู่ที่โต๊ะตัวเดิม ติดกระจกที่สามารถมองออกไปทางหน้าร้านเห็นถนนและผู้คนที่ขวักไขว่อยู่ในสยามได้ เจ้าของนัยน์ตาสีน้ำตาลค่อยๆเดินเข้าไปนั่งยังเก้าอี้ตัวว่างที่อยู่ตรงข้ามกับหญิงสาว ไอศกรีมถ้วยหนึ่งตั้งไว้อยู่ก่อน และก็หมดไปเกือบครึ่งถ้วยแล้ว โดนัทมองนาฬิกาที่ข้อมือข้างซ้าย พลางหันหน้ามองทางชายหนุ่มที่พึ่งมาถึง



“สายอีกแล้วนะ โต้งไปดูหนังกับเราได้ปะ” เสียงหญิงสาวเอ่ยขึ้น

“อือ” โต้งตอบสั้นๆอย่างคนเซ็ง มีบางสิ่งที่ตั้งใจมาพูดมาทำ แต่ก็ยังกลัวๆกล้า ไม่มั่นใจตัวเองเท่าไหร่ ความรู้สึกที่มีต่อโดนัทในวันนี้ ไม่มีอะไรแบบเก่าเหลืออีกแล้ว โต้งคงเป็นได้แค่เพื่อนกับโดนัทเท่านั้น แต่จะทำอย่างไร ในเมื่อหญิงสาวยังตัดใจไม่ได้ ชายหนุ่มก็ไม่อยากเชื่อ ในเมื่อโดนัทควงเพื่อนชายคนอื่นเที่ยวสยามออกบ่อย ทั้งๆที่ตอนนั้นคบโต้งเป็นแฟน เพราะฉะนั้น วันนี้ โต้งจึงตัดสินใจจะบอกเรื่องของตนกับโดนัท จะได้จบๆกันซักที แต่อีกใจก็กลัวว่าเรื่องมันอาจจะไม่จบง่ายๆก็ได้

..............

..............

การกลับมาจากโรงพยาบาลของเอ๊กซ์ช่วยให้บรรยากาศการบันทึกเสียงดีขึ้นผิดหูผิดตา หลังจากช่วยกันสวาปามพิซซ่าที่มือกีตาร์คิ้วหนาหอบหิ้วมาฝาก ทุกคนก็กลับไปประจำตำแหน่งเดิม น้องอาร์มไม่ต้องจับกีตาร์อีก แต่ได้กลับมาเป่าทรัมเปต เรื่องดนตรีชิ้นถนัดเหมือนเดิม เฮียสมเกียรติกับพี่หลิวหยิบเครื่องดนตรีประจำตัวขึ้นมา จากนั้นก็ไปประจำตำแหน่งเพื่อเตรียมบันทึกเสียงอีกครั้ง เกือบจะบ่ายแล้ว ใกล้ได้เวลาที่ผู้ใหญ่จากทางค่ายเพลงจะมาออดิชั่น พี่อ๊อดจึงสั่งให้การบันทึกเสียงเกิดขึ้นอย่างทันใจโดยทันที แทบไม่น่าเชื่อ ทั้งเสียงร้องของมิวและเหล่าคอรัสทั้งสาม ประสานกับเสียงบรรเลงดนตรีทุกชิ้นได้อย่างลงตัวและไพเราะเหลือเกิน



อย่างเรียบร้อยดี การบันทึกเสียงก็ได้ผ่านมาเรื่อยๆจนถึงเพลงสุดท้ายของการบันทึกเสียง เพลงคนธรรมดาจากเสียงร้องของมิวถูกขับขานขึ้นอย่างไพเราะเพราะซึ้ง น้ำเสียงที่หวานจับจิตจับใจดังก้องไปทั่ว บรรดาคอรัสต่างหลับตาดื่มด่ำไปกับอารมณ์เพลง ตัวนักร้องนัยน์ตาสวยก็เช่นกัน มิวนึกถึงความรู้สึกที่เกิดขึ้นในวันที่แต่งเพลงนี้ แม้ความรู้สึกในวันนี้จะต่างจากวันนั้น แต่บรรยากาศของเสียงดนตรีที่บรรเลงอยู่ใกล้ตัว เสียงไวโอลินกับเชลโล่ที่ประสานอารมณ์ได้สนิทอย่างไม่น่าเชื่อ ทำให้น้ำเสียงของมิวที่เปล่งออกมา เป็นธรรมชาติและไพเราะเหลือเกิน



“เปาะแปะ เปาะแปะ” เสียงปรบมือดังขึ้นหลังจากที่เพลงจบลง ออกัสต์ทุกคนรวมทั้งเฮียกับพี่หลิวต่างหันมามอง ผู้บริหารหนุ่มใหญ่ ท่าทางสุภาพ อายุรุ่นราวคราวเดียวกับเฮีย มายืนอยู่ข้างหลังพี่อ๊อด ด้านหลังของผู้บริหารคนนั้นมีชายหนุ่มผิวขาวที่น่าจะมีอายุมากกว่ากลุ่มออกัสต์ยืนปรบมืออยู่ด้วย พี่อ๊อดเรียกให้ทุกคนออกมาจากห้อง เพื่อจะแนะนำให้ทุกคนรู้จักกับคุณเอและคุณบี ลูกชายสองคนของผู้บริหารค่ายเพลง ซึ่งจะมารับหน้าที่ดูแลและปั้นวงออกัสต์ให้โด่งดัง



“ นี่มิว นักร้องนำครับคุณเอ “ พี่อ๊อดแนะนำให้ผู้บริหารหนุ่มรู้จักกับนักร้องนำของวง

“ สวัสดีครับ “ มิวทักทานพร้อมกับยกมือไหว้ ผู้มาใหม่ทั้งสองรับไหว้แล้วก็มองมิวอย่างพิจารณา

“หน่วยก้านดีนี่เรา หน้าตาก็ดี เสียงก็เพราะ ท่าทางจะปั้นได้ไม่ยากนะ” คุณเอเอ่ยปากชม ทำให้มิวยิ้มดีใจที่ความหวังจะสร้างวงให้ดังเริ่มใกล้ความจริงยิ่งขึ้น

“เวลานายยิ้มนี่ น่ารักดีเนอะ ยิ้มอีกดิ” ชายหนุ่มที่มาด้วยกัน คนที่อายุมากกว่ามิวเล็กน้อยเอ่ยขึ้นบ้าง คำพูดนั้นทำเอามิวและคนอื่นๆแปลกใจอยู่บ้าง

“ทุกคน นี่คือคุณบีนะ เรียนดนตรีอยู่ปีสามแล้ว ฝีมือดีมากเลย จะมาเป็นโคโปรดิวเซอร์ให้อัลบั้มของพวกเรา”

“สวัสดีครับ” ออกัสต์ทุกคนเอ่ยพร้อมกัน พร้อมกับยกมือไหว้คุณบี

“แล้วเรื่องออดิชั่นล่ะครับ จะเอาไงต่อ” ปิงปองถามพี่อ๊อด

“ไม่ต้องแล้วแหละ แค่เพลงเมื่อกี้เพลงเดียว ก็เชื่อใจฝีมือแล้ว” คุณเอบอกทุกคน

“แต่ผมอยากฟังเพลงกันและกันนะครับพี่เอ เคยไปฟังที่สยาม เพราะมากๆ ได้ยินว่ามิวแต่งเองใช่ปะ แต่งได้ไงอะ รึว่าแต่งให้กับคนพิเศษ” คุณบีพูดเชิงขอฟังเพลงกันและกัน นั่นยังไม่เท่าไหร่ แต่คำถามของคุณบีนี่สิ ทำเอาทุกคนมองหน้ากันทีเดียว

“ได้ครับ” พี่อ๊อดตอบคำร้องแทนทุกคน ทำให้เหล่าออกัสต์ต้องกลับไปประจำที่เพื่อเล่นเพลงกันและกัน รวมถึงมิวที่เริ่มมีความรู้สึกแปลกๆกับคุณบีก็พลอยเดินตามไปด้วย

........................

........................

........................



“ตื๊ดๆ ตื๊ด” เสียงข้อความเข้าที่โทรศัพท์มือถือของโต้งดังขึ้น ท่ามกลางสายตาจ้องมองอย่างรังเกียจของคนรอบข้าง ก็นี่มันในโรงภาพยนตร์นี่นา โต้งกำลังดูหนังกับโดนัท แต่ชายหนุ่มไม่ได้สนใจเท่าไหร่ ได้แต่ครุ่นคิดว่า จะบอกกับโดนัทยังไงดี



“เสร็จงานแล้ว จะให้ไปหามั้ย” ข้อความจากมิวส่งถึงโต้ง



“เดี๋ยวเราไปห้องน้ำแป๊บนึงนะโดนัท” ชายหนุ่มพูดจบและกำลังจะลุกขึ้น หญิงสาวถือโอกาสคว้าโทรศัพท์มือถือที่อยู่ในมือของชายหนุ่มมาดูว่าใครส่งข้อความมา



“มิว นักร้องคนนั้นเหรอโต้ง นี่โต้งเห็นนายนั่นสำคัญนักใช่มั้ย ถึงได้กล้าปล่อยเราไว้คนเดียว” หญิงสาวกราดเกรี้ยวใส่ พร้อมกับส่งโทรศัพท์คืนโต้ง หันกลับไปสนใจภาพยนตร์ตามเดิม หวังลึกๆว่าโต้งจะเปลี่ยนใจไม่ลุกออกไปข้างนอก ชายหนุ่มส่ายหน้าเล็กน้อย แล้วตัดสินใจลุกออกไปอยู่ดี ทำให้โดนัทโมโหมากขึ้นแต่ก็ไม่ได้ทำอะไร



“ว่าไงโต้ง” เสียงมิวดังผ่านโทรศัพท์ให้โต้งได้ยิน ทั้งที่เจ้าของเสียงยังอยู่ที่ห้องบันทึกเสียง แอบมาคุยโทรศัพท์คนเดียว ปล่อยให้คนอื่นเก็บของ

“เสร็จงานแล้วเหรอมิว เป็นไงบ้าง เรียบร้อยดีมั้ย”

“ ก็ดี ทีแรกก็แย่เหมือนกัน แต่ไอ้เชี่ยเอ๊กซ์มันคัมแบ็คพอดี ก็เลยสบายมาก แล้วธุระของโต้งล่ะ เสร็จรึยัง “

“ ยังอะ แต่อีกเดี๋ยวก็เคลียร์แล้วแหละ มิวจะมารึเปล่าล่ะ ตอนนี้เราอยู่สกาล่านะ “

“ เค้าอยู่ด้วยเหรอ “ เสียงคนพูดหม่นลงเล็กน้อย คนฟังได้ยินเลยรู้สึกผิด

“ ขอโทษนะมิว แต่เราจะเคลียร์กับเค้าในวันนี้แหละ เพราะยังไง เรากับเค้าก็ไปด้วยกันไม่ได้แล้ว “

“ แต่เค้าอาจจะยังรักโต้งอยู่ก็ได้นะ ถึงได้.............. “

“ มันเป็นไปไม่ได้หรอกมิว เค้าอาจจะแค่อยากเอาชนะเราก็เท่านั้นแหละ เพราะเท่าที่ผ่านมา เราคงไม่ใส่ใจเค้าเลยมั้ง ไม่เหมือนคนอื่นๆที่เค้าเคยคบ “

“ แล้วโต้งจะทำยังไงให้เค้าเข้าใจล่ะ “

“ ก็.....ไม่รู้ดิ.....ยังไม่รู้เหมือนกัน อาจจะบอกว่าเรามีแฟนใหม่แล้วมั้ง “

“ บ้าดิ........ ใครล่ะแฟนใหม่โต้ง “

“ อ้าว!!! ก็นักร้องตาสวย เสียงนุ่มๆ แห่งวงออกัสต์ ชื่อย่อว่า มอ ไง “

“ หรอ คนไหนนะ นึกไม่ออก เรารู้จักรึเปล่า “

“ ไม่รู้จักมั้ง แฟนใหม่เราไม่เหมือนมิวซะหน่อย คนๆนั้น ออกจะขี้เหงา ว้าเหว่ น่าสงสาร แต่เวลาร้องเพลงนะ เหมือนโลกเป็นสีชมพูเลย ยิ่งแววตาที่เค้าจ้องมองเรานะ หัวใจเราจะละลายเลยล่ะ “ ท่าทางจะเขินหน้าแดงทั้งคนพูดคนฟัง

“ พอเหอะโต้ง ขนาดอยู่ห่างตั้งไกล ยังจะเลี่ยนแล้วเนี่ย “

“ อ้าว!!! ไม่ได้เขินหน้าแดงหรอกเหรอ เรายังเริ่มจะแดงเลย “

“ ไม่เอา ไม่พูดแล้ว แค่นี้นะ แล้วเดี๋ยวเจอกัน ไปถึงแล้วจะโทรบอก “

“ แล้วจะรอนะครับ ....... รักนะ “

“ จ้ะ “ จากนั้นมิวก็วางสายพร้อมรอยยิ้ม เงยหน้าขึ้นมาก็ให้เจอกับคุณบีที่ยืนมองอยู่

....................

....................



“ อย่างนี้นี่เอง “ เสียงของหญิงสาวดังขึ้นไม่ไกลจากจุดที่โต้งพึ่งจะยืนคุยโทรศัพท์

“ โดนัท ............. ได้ยินหมดแล้วเหรอ “ โต้งถามออกไปอย่างคนประหม่า ไม่กล้าสบตา

“ นี่แปลว่าโต้ง.........โต้งเป็น......... “

“ คงจะอย่างที่โดนัทคิดนั่นแหละ “

“ โต้งรักหมอนั่นมากกว่าโดนัทเหรอ “

“ เปล่า “

“ หมายความว่ายังไง เปล่า ก็เราได้ยิน ........... “

“ เราหมายความว่า เราไม่เคยรักกันต่างหากโดนัท ยอมรับเถอะ เราไม่เคยรักกัน ที่ผ่านมา มันเป็นแค่ความหลงใหลเพียงชั่วครู่แค่นั้น โดนัทเราขอโทษนะ แต่เรารักมิวคนเดียวจริงๆ รักมาตั้งนานแล้วด้วย ตั้งแต่ก่อนที่เราจะเจอโดนัทซะอีก “ ในที่สุด ชายหนุ่มก็ได้พรั่งพรูความรู้สึกที่อยากระบายแก่หญิงสาวออกไป มือขวาล้วงพวงกุญแจรูปเสือขาวขนปุยออกมาจากกระเป๋าเป้ของตน

“ แต่เรารักโต้งนะ ........ โต้ง ....... กลับมาเป็นอย่างเดิมเถอะนะ “ น้ำตาไหลรินมาจากสองตาของหญิงสาว นี่เป็นครั้งแรกที่โต้งเห็นน้ำตาของโดนัท

“ อย่าหลอกตัวเองเลยโดนัท มันเป็นไปไม่ได้หรอกนะ หัวใจของเราจะกลับไปเป็นเหมือนแต่ก่อนไม่ได้อีกแล้ว ไม่ได้อีกแล้วจริงๆ “ ชายหนุ่มส่งพวงกุญแจเสือขาวใส่มือของโดนัท หญิงสาวรับคืนมาอย่างไม่ค่อยเต็มใจ แล้วเดินกลับออกไปอย่างช้าๆ

......................

......................

......................


“มิวโทรคุยกับใครเหรอ คงสนิทกันมากสินะ” เสียงคุณบีเอ่ยถามขึ้น

“เพื่อนน่ะครับ” นักร้องหนุ่มตอบสั้นๆ ก่อนจะเลี่ยงหลบไปด้านข้าง โดยไม่สบตากับคุณบีเลย ต่างจากคุณบี ที่ส่งสายตามองมาทางมิวอย่างไม่วางระยะ



“เฮียจะให้มิวไปส่งที่บ้านรึเปล่าครับ” นักร้องหนุ่มถามนักไวโอลินที่ร่วมเดินทางมาด้วยกัน

“ไม่ต้องหรอก เฮียว่าจะชวนพี่หลิวไปดูหนังกันซักเรื่อง แล้วก็แวะทานข้าวด้วยกันเลย” นักดนตรีร่างอ้วนตองออกไปด้วยรอยยิ้ม

“ใครเค้าไปรับปากว่าจะไปดูหนังกับเฮียกัน พูดเองเออเองอีกแล้วนะ”

“ก็เฮียรู้อะดิ ว่าหลิวอยากไปอยู่แล้ว ไปเถอะ หลิวเลี้ยงข้าวเฮียด้วยนะ”

“อ้าว!!! ไหงโยนมาให้หลิวเลี้ยงล่ะ ดูสิเนี่ย กินจุจนเอวหายพุงปลิ้นไปหมดแล้ว เดี๋ยวหลิวว่าหลิวพาเฮียไปกินสลัดดีกว่า จะได้คุมน้ำหนักได้” นักดนตรีสาว ผู้จัดการวงใช้สองมือจับรอบเอวกลมๆของหนุ่มใหญ่พลางนวดไปมา

“เป็นอันว่าหลิวตกลง .......... (หันไปมองที่มิว) ....... ไม่ต้องห่วงนะมิว เดี๋ยวพี่หลิวไปส่งเฮียเองแหละ” พูดจบก็คว้าเอวบางๆของหญิงสาวตรงหน้ามากอดบ้าง

“บ้าดิเฮีย โตแล้วเล่นเป็นเด็กไปได้ อายพี่อ๊อดเค้า ดูสิ ขนาดคุณเอยังจ้องเลย เห็นมั้ย”



“คุณสมเกียรติครับ คุณหลิวครับ รบกวนคุยเรื่องงานในห้องประชุมเล็กหน่อยครับ” คุณเอพูดเสร็จก็เดินนำทั้งสองคนรวมทั้งพี่อ๊อดด้วย เข้าไปในห้องเล็กที่เปิดรออยู่แล้ว



“กรูขอตัวก่อนนะเว้ย” มิวเก็บของเสร็จก็บอกลาเพื่อนๆร่วมวง

“จะรีบไปหาพี่ตะ.........” ปิงปองกำลังจะหลุดคำพูดล้อเลียนมิวออกมา ก็ถูกมือหนาของแวนอุดไว้ซะก่อน พลางสะกิดให้มองไปอีกด้านของห้อง ที่ซึ่งคุณบียืนจ้องมิวอยู่ ปิงปองเหมือนจะรู้ตัว จึงพยักหน้ารับรู้ พลางส่งยิ้มแห้งๆเชิงขอโทษไปให้มิว นักร้องหนุ่มยิ้มให้กับรุ่นน้องและเพื่อนร่วมวงอย่างแวนที่รอบคอบและระมัดระวังได้ดี คอพยักเชิดขึ้นเล็กน้อย พร้อมกับยักคิ้ว ส่งแววตาสดใสไปให้เพื่อน แล้วยกเป้สะพายบ่า เดินออกไปจากห้องบันทึกเสียง ผ่านคุณบีที่ยืนอยู่ใกล้ประตู มิวเลือกที่จะเดินเลี่ยงไปห่างๆ แล้วอ้อมไปด้านข้าง คุณบีมองตามซักพัก แต่ความที่สายตาทุกคู่ของเหล่าสมาชิกออกัสต์ที่เหลือจ้องมองอยู่เช่นกัน ทำให้คุณบีวางตัวเฉยๆ แล้วตามพวกคุณเอกับพี่อ๊อดเข้าไปในห้องประชุมเล็ก

.......................

.......................

.......................



บ่ายสามโมงแล้ว หญิงสาวเดินอยู่ในสยามแสควร์อย่างคนเลื่อนลอย ไร้จุดหมาย ภาพหญิงมั่น สวยเลือกได้ ที่เคยเดินโฉบเฉี่ยวในสยามเคียงคู่ไปกับบรรดาชายหนุ่มหน้าตาดีทั้งหลายของโดนัทไม่เหลือเค้าลางให้เห็น เธอยังคงใจลอยเดินต่อไปอย่างคนสิ้นหวัง พ่ายแพ้

‘นี่เรื่องจริงรึนี่ ....................
ผู้หญิงอย่างชั้น ต้องมาหลงรักคนที่เค้าไม่เคยรักเราเลยจริงๆงั้นเหรอเนี่ย .....................
ดาวโรงเรียนที่ชายหนุ่มทั้งหลายต่างหมายปองให้เป็นแฟน..................
ต้องมาหลงรักผู้ชายที่ชืดชาซังกะตายอย่างเค้ารึเนี่ย มิหนำซ้ำ ...................
ชั้นยังต้องมาอกหักเพราะผู้ชายที่ชั้นรักดันไปรักผู้ชายด้วยกันอย่างงั้นเหรอ
............ ฮึ..... โดนัท.........
ยายโง่......... ที่ผ่านมา......เค้าไม่เคยรักแกเลย........
แกมันก็แค่.... ส่วนหนึ่งที่ผ่านเข้าไปในชีวิตของเค้าเท่านั้น .....................
แกมันผู้หญิงไร้ค่า.........ไม่มีใครเค้ารักแกจริงหรอก ................
เค้าก็แค่มาคบกับแกเพราะแกสวยเท่านั้นเอง...........
ไม่มีใครเค้าจริงใจกับแกหรอก’

ความคิดเหล่านี้วนเวียนอยู่ในสมองของโดนัทตลอดทางที่เธอเดินวนไปมาในสยาม จากร้านที่เคยเดินผ่านไปแล้ว เมื่อเวลาผ่านไป สองเท้าของเธอ ก็พาเธอเดินกลับมายังจุดเดิม ซ้ำไปซ้ำมา เหมือนห้วงความคิด ที่เวียนวนซ้ำไปซ้ำมาเช่นกัน





ชายหนุ่มเสื้อยืดสีเทาเข้มในแจ๊กเก็ตสีเขียว ก้าวขึ้นบันไดโรงภาพยนตร์สกาล่า ม้านั่งยาวตัวนนั้นมีชายหนุ่มอีกคนนั่งคอยอยู่ก่อน ผมเกรียน นัยน์ตาสีน้ำตาล เสื้อยืดคอกลมสีฟ้าเข้มกำลังหันมามองผู้มาใหม่ แววตายิ้มสีน้ำตาลคู่นั้นแฝงความกังวลอยู่บ้าง แต่ก็เริ่มผ่อนคลาย เมื่อได้ประสานกับแววตาสีน้ำเงินของร่างโปร่งที่พึ่งมาถึง


โดย: Niramitr วันที่: 3 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:17:40:07 น.
  


“รอนานมั้ยโต้ง” เสียงของผู้ที่พึ่งจะมาถึงเอ่ยออกมาก่อน

“ซักพักแล้วแหละมิว” ร่างสูงที่นั่งอยู่ก่อนตอบออกไป

“แล้วธุระของโต้งล่ะ” นักร้องนำแห่งวงออกัสต์ยังคงถามต่อไป

“ไม่มีแล้วแหละ แล้ววันนี้ มิวต้องกลับไปซ้อมอีกรึเปล่า” โต้งถามกลับไปบ้าง

แทนการตอบเป็นคำพูด มิวส่ายหน้ายิ้มๆออกไป สีหน้าของชายหนุ่มทั้งสอง ไม่ค่อยจะสู้ดี เหมือนมีความในใจบางอย่างที่ไม่กล้าเอ่ยออกมา ความเงียบเกิดขึ้นรอบตัวของมิวกับโต้ง ทำให้พวกเค้าทั้งสองหวนนึกถึงการได้นั่งคุยกัน ณ ที่แห่งนี้เมื่อเดือนก่อน









“แล้วธุระของโต้งล่ะ” มิวในเสื้อพละของโรงเรียนเซนต์นิโคลัสถามขึ้นก่อน

“ไม่มีแล้ว.........แล้วมิวล่ะ.....ไม่ไปซ้อมดนตรีหรอ” โต้งในชุดนักเรียนเอ่ยมาบ้าง

ร่างโปร่งตอบเพื่อนด้วยการส่ายหน้าแล้วยิ้มเจื่อนๆ ใคร่ครวญครู่หนึ่ง ก่อนจะหันมาถามคำถามสำคัญบางอย่างกับร่างสูงที่นั่งข้างๆ

“โต้ง.........................โต้งว่า........เรามีอะไรที่.....ต่างจากคนอื่นรึเปล่าอะ” มิวถามออกไปด้วยสีหน้าไม่มั่นใจว่าจะเจอคำตอบอย่างไร โต้งหันกลับมาตอบด้วยความไม่เข้าใจคำถามเท่าไหร่

“ก็ไม่เห็นมีนี่” คำตอบของโต้ง ไม่ตรงกับสิ่งที่มิวอยากถาม นักร้องหนุ่มจึงถามอีกครั้ง

“ไม่ใช่โต้ง เราหมายถึงเรื่องแบบ......” คำพูดติดที่ปากจนต้องลืนลงคอ ทำให้โต้งสนใจมอง

“อะไรหรอ” สีหน้าของร่างสูงแสดงความสงสัย

“ก็...........เรื่องแบบ......” คำถามไม่ได้ถูกสื่อออกมาเป็นคำพูด แต่อาการระตุกปากเหมือนพยายามจะพูด ประสานกับแววตาสีน้ำเงินที่สะท้อนความในใจของคนถาม ทำให้คนฟังที่นั่งข้างๆ มองไปที่แววตาคู่นั้นเข้าใจคำถามทันที

“ไม่หรอก ไม่แปลกเลย” เสียงตอบสั่นนิดๆ แต่แววตาสีน้ำตาลที่แสดงออกถึงความเข้าใจ ก็สะท้อนให้ผู้ถามได้เห็น และยิ้มออกมาได้ในที่สุด





“โต้งบอกกับโดนัทไปว่ายังไงเหรอ” มิวเป็นฝ่ายทำลายความเงียบก่อนอีกครั้ง

“เปล่าหรอก ยังไม่ทันได้บอกอะไรเลย โดนัทเข้ามาได้ยินเราคุยโทรศัพท์กับมิวพอดีน่ะ”

“แล้วเค้าว่าไงบ้างล่ะ”

“ก็ไม่รู้เหมือนกันน่ะมิว เหมือนจะร้องไห้ แล้วเดินออกไปเฉยๆ”

“เค้าคงจะรักโต้งจริงๆมั้ง”

“ไม่รู้ดิมิว เราก็ได้แต่หวังว่า เค้าจะทำใจยอมรับได้ และไม่คิดโกรธเราก็พอ อย่างน้อย ก็กลับมาเป็นเพื่อนกันก็ได้ เพียงแต่ว่า..............” แววตาของโต้งหม่นลงเล็กน้อย

“อะไรเหรอโต้ง” มิวที่สังเกตเห็น พลอยเป็นกังวลไปด้วย

“ก็เค้าเป็นคนเพื่อนเยอะ ..... เอ่อ.... สมมติว่า เค้าแค้นเราขึ้นมา แล้วเอาเรื่องของเราไปโพนทะนาล่ะก็ .................................กับเราน่ะ คงไม่เท่าไหร่หรอกนะมิว แต่กับมิวนี่สิ มิวจะทำยังไงต่อไปล่ะ ....... เกิดเรื่องของเรามันโจษไปทั่ว ขนาดตอนแรก แม่ยังรับไม่ได้เลย มิวก็รู้ ว่าช่วงนั้นมันเจ็บปวดแค่ไหน ทั้งมิว ทั้งเรา ยิ่งมิวเป็นนักร้องดัง ชื่อเสียงของมิว อนาคตของมิว อาจจะพังลงมาก็ได้ เรายอมรับนะมิว ว่าเรากลัว กลัวว่า ถ้ามีวันนั้นจริงๆ เราอาจจะต้องเสียมิวไปอีกครั้ง”

นักร้องหนุ่มใช้มือซ้าย ข้างที่สวมนาฬิกาสีเขียวดึงมือขวาของคนรักมากุมไว้ ค่อยๆหันไปมองอย่างช้าๆ ถึงจะมีความกลัวเจืออยู่บ้าง แต่แววตาสีน้ำเงินคู่นั้น ก็สะท้อนความหวังออกมาให้เห็น ทำให้แววตาสีน้ำตาลของหนุ่มเสื้อฟ้าฉายแววเชื่อมั่นขึ้นมาบ้าง



“แล้วสมมติว่า............................”

“ว่าอะไรเหรอมิว”

“สมมติว่าเค้ารักโต้งมากซะจนทำใจไม่ได้ล่ะ ถ้าเค้าคิดอะไรหรือทำอะไรโง่ๆล่ะ”

“อย่างโดนัทเนี่ยนะ ไม่รู้ดิ ไม่หรอก เป็นไปไม่ได้หรอกมั้ง”

“อือ......................แล้วไปไหนกันต่อดีล่ะ”

“แล้วเฮียของหญิงล่ะมิว ไม่กลับด้วยกันหรอ” โต้งถามอย่างสงสัย

“จริงดิ ลืมบอกไป โต้งรู้รึเปล่า ว่าเฮียน่ะ แฟนเกาพี่หลิว” คนพูดยิ้มไปด้วยขณะพูด

“ให้ตายสิมิว โลกมันลมอย่างนี้เชียว .... ไหนมิวเล่ามาให้หมดเลยนะ เอาให้ละเอียดๆล่ะ”

จากนั้น นักร้องหนุ่มก็เล่าเรื่องราวความรักของเฮียกับพี่หลิวที่ตนได้รู้มาให้โต้งฟัง

......................

......................

...................... บ่ายสามโมงครึ่ง ชายหนุ่มสองคนเดินลงมาจากบันไดโรงภาพยนตร์สกาล่า ร่างสูงในเสื้อยืดสีฟ้าเข้มเจ้าของนัยน์ตาสีน้ำตาลใช้มือขวาจับมือซ้ายของร่างโปร่งในเสื้อแจ๊กเก็ตสีเขียวผู้มีนัยน์ตาสีน้ำเงิน เดินจูงกันอย่างใกล้ชิดสนิทสนม โชคดีที่วันนี้ไม่ค่อยมีคนพลุกพล่าน ไม่อย่างนั้น คงถูกผู้คนจับตามองแน่ๆ ลงบันไดมาพ้นแล้ว นักร้องหนุ่มก็ค่อยๆคลายมือซ้ายของตนออกจากมือขวาของคนข้างๆอย่างช้าๆ โต้งพยายามจะยึดมือของมิวไว้ แต่กลับถูกปฏิเสธ



“ไม่เอาโต้ง อายคนอื่นเค้า”

“ไม่เห็นมีใครเลยมิว น่านะ แค่จับมือกันเอง”

“จะออกถนนอยู่แล้วโต้ง ไม่เอาง่ะ ไปเหอะ ตกลงจะไปโรงพยาบาลรึเปล่าเนี่ย”

“ไปดิ บอกแม่เอาไว้ ว่าถ้ามิวทำงานเสร็จแล้ว จะแวะไปด้วยกันเลย”

“อืม ........................ โต้ง ..............เอ่อ ............ คือ......”

“ว่าไงมิว”

“เอ่อ.....คือ.....โต้งไม่เสียใจหรอ ที่ต้องเลิกกับโดนัท ยังไงเค้าก็เป็นผู้หญิง เป็นสิ่งที่ถูกต้องสำหรับโต้ง.................... อย่างน้อย.................อย่างน้อยคนอื่นๆก็ยอมรับ”

“ใช่มิว...............การเป็นแฟนกับโดนัทเป็นสิ่งถูกต้อง มีคนอิจฉา ชื่นชม ......แต่........ไม่มีความสุข ไม่มีชีวิตชีวา ไม่ใช่ตัวเรา ความสุขของเราอยู่ที่มิวนะ ลมหายใจของเราอยู่ที่มิว ชีวิตเราจะเป็นชีวิตก็เพราะมิว บางครั้ง ถ้าสิ่งที่ถูกต้องในสายตาคนอื่นๆกลับเป็นสิ่งที่ทำร้ายเราล่ะก็ เราก็ยอมทำสิ่งที่อาจจะผิดในความคิดของพวกเค้า แต่มันคือความสุข คือชีวิตของเรา ตราบเท่าที่เราไม่ทำให้ใครเสียใจ ไม่ทำให้คนที่เรารักและรักเราต้องผิดหวัง เราเชื่อว่า ซักวันมันจะดีขึ้นเอง ต่อให้มีอุปสรรคอะไรก็ตาม”

“โต้งรู้จักพูดเป็นงานเป็นการตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย เมื่อก่อนไม่เห็นพูดเก่งอย่างนี้เลย”

“ตั้งแต่ที่ได้คุยกับพ่อเมื่อวันก่อนนั่นแหละ พ่อบอกว่า ความสุขมันอยู่กับเราไม่นาน ถ้าไม่อยากเสียใจภายหลัง ก็ต้องไขว่คว้ามาให้ดีที่สุด ทำเพื่อความรักให้ดีที่สุด อย่าเป็นอย่างพ่อ ที่ทำร้ายตนเองอยู่หลายปี มิวรู้มั้ย ว่าสิ่งที่เราบอกมิวเมื่อวันคริสต์มาสน่ะ มันอาจจะเจ็บนะ แต่ตอนนั้น เราก็ได้คิดดีแล้วจริงๆ ก็ตอนนั้น..”

“เรารู้..........................เราเชื่อโต้ง ......................เราไว้ใจโต้ง.................... คืนนั้นนะ ........ถึงเราจะรู้สึกเสียใจมาก แต่อีกใจก็รู้สึกขอบคุณนะ ขอบคุณที่โต้งมอบความรักให้เรา ถึงจะคบกับเราเป็นแฟนไม่ได้ก็ตาม ร้องไห้ตาบวมเลยแหละ กว่าคืนนั้นจะผ่านไปได้ เราต้องทนกับความเหงาที่เชี่ยใส่อยู่ทั้งคืน ผ่านไปหลายวันก็พออยู่ได้ ถึงรู้ว่าต่อจากนี้ไป อาจจะไม่มีโต้งอีกครั้งก็ตาม แต่เพราะเข้าใจโต้ง เข้าใจน้านีย์ ก็เลยอยู่ได้”

“แล้วทำไมต้องคอยวิ่งหลบหน้าเราด้วยล่ะ”

“ไม่ได้อยากนักหรอก แค่กลัวใจตัวเองน่ะ กลัวจะไม่เข้มแข็งพอ หาทางเอาโต้งมาครอบครอง มันไม่ง่ายเลยนะ เพราะยิ่งหลบหน้าโต้ง แต่ก็กลับยิ่งคิดถึงมากกว่าเดิม”

“ตอนนี้ก็ได้ครอบครองแล้วไง ได้หัวใจโต้งไปแล้ว”

“ไม่ใช่หรอกโต้ง ไม่ใช่การครอบครอง แค่ได้มีความสุขกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า กับคนตรงหน้า ณ วันนี้ ปัจจุบันนี้ หรือแค่เช้าวันใหม่ตื่นมาแล้วพบว่าเราได้รักใครซักคน แล้วเรายังไม่สูญเสียเค้าไป เท่านี้ก็เพียงพอแล้วแหละ อย่างที่น้ากรบอกโต้งไง ขอให้ได้แค่ไขว่คว้าความสุขตรงหน้ามาก็พอ เราเลิกคิดจะครอบครองโต้งแล้วแหละ ขอแค่ได้รักไปทุกวันก็สุขใจจะแย่แล้ว ..........ใช่โต้ง ......... แค่ได้รัก ได้รู้ว่าถูกรัก ต่อให้วันข้างหน้า อาจจะเสียคนที่เรารักมากๆอย่างโต้งไปจริงๆ เราก็จะต้องทนอยู่ได้ เพราะวันนี้ ตอนนี้ เราได้ทำเพื่อความรักอย่างดีที่สุดแล้ว ต้องขอบคุณน้ากรกับน้านีย์นะ ที่เข้าใจ เชื่อใจ และรักโต้งมาก ความสุขของโต้ง ก็คือความสุขของพวกท่าน” น้ำเสียงสั่นเครือเล็กน้อย แต่แววตาสีน้ำเงินที่รื้นน้ำตาจางๆนั้น เปี่ยมด้วยความหวัง ความเชื่อมั่นของมิว

“ความสุขของมิว ก็คือความสุขของเราเหมือนกัน .......” เจ้าของแววตาสีน้ำตาลจ้องมองสะท้อนไปในแววตารื้นน้ำตาของคนตรงหน้า ยิ้มเล็กๆให้กำลังใจแก่กันและกัน ขอบคุณกันและกัน ที่คนรักทั้งสองมีให้กันตลอดมา ร่างสูงล้วงไปในกระเป๋าหยิบผ้าเช็ดหน้าสีเขียวอ่อนผืนน้อยมาเช็ดคราบน้ำตาที่รื้นอยู่บนดวงเนตรสีน้ำเงินคู่นั้น เจ้าของนัยน์ตาที่กำลังถูกซับอยู่นั้นหันมามองผ้าเช็ดหน้าสีเขียวอ่อนอย่างสนใจ มุมผ้าเช็ดหน้าถูกปักเป็นอักษรภาษาจีนที่แปลว่า”รักมิว” ดวงตาที่เลอะน้ำตาคู่นั้นเบิกโพลงด้วยความดีใจ



“อาม่า” เสียงนักร้องหนุ่มอุทานขึ้นเบาๆ

“ว่าไงนะมิว” โต้งเอ่ยถามเบาๆเช่นกัน

“ผ้าเช็ดหน้าของมิว อาม่าปักให้มิว”

“มิววว” โต้งส่งผ้าเช็ดหน้าคืนให้มิวพร้อมกับอมยิ้มเล็กๆเจ้าเล่ห์



“ยังเก็บไว้อีกเหรอโต้ง หกปีแล้วนะ ตั้งแต่ที่โต้งช่วยมิวตอนนั้น”

“ก็เราเป็นฮีโร่คนแรกและคนเดียวของมิวไง ไม่งั้นนะ น้องชายมิวเสร็จไอ้พวกนั้นแน่”

“ทะลึ่งอะโต้ง แล้วโต้งก็ไม่ใช่ฮีโร่คนเดียวของมิวซะหน่อย มีอีกตั้งหลายคน”

“ใครอะมิว ใครมันมาเป็นฮีโร่ให้มิวอีกล่ะ โต้งไม่ยอมนะ นี่แอบไปคิดถึงใครรึเปล่าเนี่ย” โต้งเขย่ามิวเบาๆเพื่อรอคำตอบ

“ขี้หึงอีกแล้วนะ ตกลงจะฟังมั้ยเนี่ย”

“ฟังดิ ...... นะ ..... ก็คนมันหวงนี่ ..... นะ ..... อย่างอนดิ..... เดี๋ยวไม่หล่อนะ”

“แหวะ....มุกเก่าแล้ว ..... คือเรื่องมันเป็นแบบนี้.......” แล้วมิวก็เล่าให้โต้งฟังถึงเรื่องเมื่อตอนมิวอยู่ ม.สอง หลังจากที่เสียอาม่าไปแล้ว



โต้งย้ายโรงเรียนไปแล้วก็จริง แต่เด็กเกเรกลุ่มนั้นก็ยังอยู่ หลายหนที่มิวรอดมาได้เพราะมีคนอื่นเข้ามาพอดี จนกระทั่ง ครั้งนึงตอนเย็นหลังเลิกเรียนเปียโน มิวก็เจอกับเด็กเกเรกลุ่มเดิมอีกครั้ง และก็เป็นเช่นเดิม เด็กพวกนั้นยังคงพยายามจะแกล้งมิวเหมือนเคย ด้วยความที่เย็นแล้ว จึงเหลือเด็กนักเรียนน้อยเต็มที ทำให้พวกนั้นได้ใจ และกำลังจะจับมิวแก้ผ้า

“ทำอะไรน่ะ ปล่อยเพื่อนกรูนะเว้ย” เสียงใครไม่รู้ ดังเข้ามาในห้องน้ำ มิวหันไปมอง เด็กผู้ชายคิ้วหนาคนหนึ่งยืนอยู่ตรงประตูห้องน้ำ ถือไม้กวาดกระชับไว้ในมือ มิวจำได้ว่า เคยเห็นในห้องดนตรี แต่ไม่เคยคุยกัน กลุ่มเด็กเกเรสี่คนจึงเข้าไปรุมผู้มาใหม่โดยที่มิวไม่กล้าไปช่วย ขณะที่เด็กคิ้วหนากำลังจะเสียที เด็กหน้าตี๋อีกสองคนก็โผล่เข้ามาพร้อมกับไม้ถูพื้น คนนึงก็ดูธรรมดา แต่มิวจำได้ว่านายคนนี้สนิทกับเด็กคิ้วหนา ส่วนอีกคนนึงอ้วนกว่าอีกคน มิวคุ้นๆว่าเคยเรียนเปียโนกับคุณครูคนเดียวกันแต่มิวไม่เคยคุยด้วย หลังจากตะลุมบอนไปเล็กน้อย ฝ่ายเด็กเกเรสี่คนเห็นว่าพวกตนไม่น่าจะได้เปรียบเท่าไหร่ ในที่สุดก็หนีออกไปพร้อมกับรอยฟกช้ำ ตั้งแต่นั้นมา มิว เอ๊กซ์ ต่อ และแวน ก็กลายเป็นเพื่อนสนิทกัน



“เมื่อก่อนไม่เห็นมิวเคยเล่าให้ฟังเลยอะ”

“ก็ตอนที่เจอกัน มันมีแต่เรื่องดีๆ ว่าแต่โต้งเถอะ เก็บผ้าเช็ดหน้าไว้ ไม่เห็นเคยบอกเราเลย”

“ขอโทษนะมิว คือเรา..............เอ่อ..............”

“ทำไมโต้งถึงเก็บผ้านี้ไว้ล่ะ”

“ก็มันเป็นสิ่งเดียวที่คอยเตือนให้เรารู้ว่ามิวยังอยู่กับเราน่ะสิ เตือนให้เรารู้ว่า ยังมีมิวอีกคน ที่เราต้องปกป้อง และเข้าอกเข้าใจเราไงล่ะ แต่พอได้เจอกัน เรื่องดีๆก็เกิดขึ้น ทำให้ผ้าผืนนี้ถูกทิ้งไว้ในกระเป๋าเป้ โดยไม่ถูกเช็ดหน้าให้ใครอีกเลย”

“ขอบคุณนะโต้ง” มิวก้มลงหอมมือที่แสนอบอุ่นของโต้ง ทำเอาเจ้าของมือยิ้มแก้มปริ

“ไปเถอะ พิไรรำพันมานานแล้ว เดี๋ยวแม่เป็นห่วง เราอยากรู้ด้วย ว่าไปตรวจคราวนี้ ลุงหมอจะว่าไงบ้าง”

“ไปดิ” นักร้องหนุ่มเชื่อว่า สิ่งที่ตนทำไม่มีใครเห็น โดยที่ไม่ทันสังเกตว่า มีดวงตาหนึ่งคู่ของหญิงสาวที่จ้องมองอย่างเคืองแค้นผสมกับความปวดร้าว

.....................

.....................

.....................



ความโกรธแค้นที่ร้อนกรุ่นด้วยเพลิงริษยา เผาผลาญจิตใจของหญิงสาวให้มอดไหม้อย่างช้าๆ แต่ไหนแต่ไรมา เธอเชื่อมั่นว่าความสวยของเธอ ย่อมสยบชายหนุ่มทุกคนให้ศิโรราบแก่เธอ แต่ผู้ชายเสื้อยืดสีฟ้าเข้มที่เธอมองเห็นอยู่ตรงหน้า ด้วยระยะที่ไม่ไกลนักกลับกลายเป็นข้อยกเว้น โดนัทไม่อาจสยบผู้ชายอย่างโต้งได้ ไม่อาจทำให้โต้งรักได้ ทั้งๆที่โต้งไม่ค่อยเอาใจใส่ดูแลเธอเท่าไหร่ แต่กลับยึดหัวใจของผู้หญิงสวยเลือกได้จอมหยิ่งทะนงอย่างเธอลงได้ ‘ มันต้องไม่เป็นแบบนี้ ชั้นต้องไม่แพ้ ‘ ความคิดเอาชนะกำเริบขึ้นในจิตใจของหญิงสาว



‘ โดนัท เราขอโทษจริงๆนะ เราคงไปกับโดนัท ไม่ได้แล่วล่ะ ‘

‘ อ้าว! ไหนบอกจะไปไง ‘

‘ ก็ .... เราหมายความว่า เรากับโดนัท คง จะไปด้วยกันไม่ได้แล้ว เราขอโทษจริงๆ ‘



‘ เราหมายความว่า เรากับโดนัท คง จะไปด้วยกันไม่ได้แล้ว ‘



‘เราหมายความว่า เรากับโดนัท คง จะไปด้วยกันไม่ได้แล้ว ‘



‘ เราหมายความว่า เรากับโดนัท คง จะไปด้วยกันไม่ได้แล้ว ‘



เสียงของโต้งดังก้องอยู่ในโสตประสาทของโดนัทซ้ำไปซ้ำมาด้วยประโยคเดิม



ความทรงจำครั้งเก่า ปรากฏขึ้นในห้วงสมองของโดนัทอีกครั้ง เหมือนจะตอกย้ำให้หญิงสาวยอมรับความจริงว่า โต้งไม่ได้รักเธอ ไม่มีประโยชน์ที่เธอจะยื้ออีกต่อไป ความสับสนก่อตัวอย่างเหนียวแน่นในกมลความคิดของโดนัท ใจนึงก็อยากจะเอาชนะ อีกใจก็เคียดแค้นมิว ผู้เป็นเหมือนศัตรูหัวใจ แต่ภายในใจลึกๆนั้น โดนัทก็อยากจะยอมแพ้ แต่เพราะยังไม่อาจจะลืมโต้งลงได้ จึงยังอยากที่จะเป็นคนที่เข้าไปอยู่ในหัวใจของโต้งแทนมิว ความโกรธที่เริ่มมอดไหม้หัวใจที่ไม่เคยถูกครอบครองของโดนัท ประสานกับความกลัว ความเหงา ความว้าเหว่ ความสิ้นหวังที่มืดมน และเริ่มบดบังจิตใจที่เคยหยิ่งทะนงของหญิงสาวให้เริ่มมืดมัว ร่างนั้นเดินไปบนถนนอย่างสับสน หาหนทางไม่ได้ ตัดใจไม่ได้ รักก็ไม่ได้ เกลียดก็ไม่ลง ลืมก็ไม่ได้ ถึงจำได้ก็มีแต่ความเจ็บปวด สุดท้าย ความเหงาก็เชี่ยใส่เธอในที่สุด สองเท้าเรียวงาม นำพาร่างของโดนัทเดินไปอย่างไร้จุดหมาย ร่างที่เหมือนไร้วิญญาณ



“โต้ง..............นั่นใช่โดนัทรึเปล่า” นักร้องหนุ่มร้องตกใจเมื่อเห็นผู้หญิงสวยคนหนึ่งกำลังเดินเหม่อไปทางถนนพระรามหนึ่ง ที่ซึ่งถึงแม้ว่ารถยนต์อาจจะไม่ขวักไขว่เท่าไหร่ในช่วงบ่ายของวันเสาร์เช่นนี้ และรถส่วนใหญ่ก็ชะลอความเร็วเมื่อใกล้ถึงสี่แยกปทุมวัน แต่อาการเหม่อของหญิงสาวต่างหาก ที่ใครก็ตามมาเห็นเข้าก็ย่อมตกใจเป็นธรรมดา

“โดนัท” เสียงของร่างสูงตะโกนเรียก ถึงแม้จะเป็นเสียงที่หญิงสาวคุ้นเคยเป็นอย่างดี แต่ฝีเท้าของเธอก็ยังไม่ได้หยุดลง โดนัทหันศีรษะมามองที่ต้นเสียงเพียงชั่วครู่ แล้วก้าวเท้าเดินต่อไปโดยไม่สนใจเสียงเรียกจากโต้งแม้แต่น้อย



รถเก๋งโตโยต้าสีดำคันหนึ่งวิ่งมาด้วยความเร็วในช่องวิ่งที่สอง เพื่อจะให้ทันไฟเขียวตรงสี่แยกที่บอกว่ามีเวลาเหลือเพียงสิบวินาที โดยไม่ทันได้สังเกตว่า หญิงสาวคนหนึ่งได้เดินลงมาบนถนนเข้าสู่ช่องวิ่งที่หนึ่ง และกำลังจะก้าวเข้าสู่ช่องวิ่งที่สอง



คนขับรถวัยรุ่นชาย อายุรุ่นราวคราวเดียวกับโต้ง เกิดอาการตกใจอย่างแรงเมื่อเห็นหญิงสาวก้าวเท้าเข้ามาบนถนน ด้วยอารามตกใจ ทำให้ชายหนุ่มเหยียบเบรคกะทันหัน แต่ก็อาจจะช้าเกินกว่าจะระงับอุบัติเหตุได้ทัน



“เอี๊ยดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด”



ร่างสูงของโต้งหยุดนิ่งด้วยความตกใจ ชายหนุ่มไม่คาดคิดมาก่อนว่า สาวสวยเลือกได้อย่างโดนัท จะทำอะไรโง่ๆแบบนี้ นัยน์ตาสีน้ำตาลปิดลง ไม่กล้ามอง มือขวาควานหามือซ้ายของคนข้างๆ ทว่า กลับคว้าได้เพียงอากาศว่างเปล่า



“มิว” โต้งลืมตาขึ้น หันไปมองทางด้านขวามือของตนเอง แต่ตรงนั้น ไม่มีใครอยู่แล้ว





ร่างของหญิงสาว นอนนิ่งอยู่กลางถนนพระรามหนึ่ง ความคิดคำนึงหวนนึกถึง วูบสุดท้ายก่อนที่ร่างของเธอจะล้มลงกับพื้น



เดินเหม่อลอยมาเพียงลำพัง อย่างคนพ่ายแพ้ แม้แต่อดีตแฟนหนุ่มที่แย่ที่สุดในความคิดของเธอ เธอก็ไม่สามารถรั้งเค้ากลับมาได้ ‘นี่ชั้นพ่ายรักให้กับผู้ชายรึเนี่ย ทำไมผู้ชายที่ดูดี เป็นนักกีฬา ชอบเตะฟุตบอลอย่างโต้ง ถึงได้กลายเป็นเกย์ ทำไมโต้งถึงไปรักไอ้นักร้องนั่น จริงสิ หมอนั่นเป็นนักร้องนี่ เราจะแฉเรื่องของมัน ทำลายอนาคตมันไปเลย ทีนี้โต้งก็จะได้เสียใจ ที่เลิกกับเรา เพื่อไปรักไอ้นักร้องนั่น’



“โดนัท” เสียงเรียกที่คุ้นเคยทำให้หญิงสาวหันไปมอง ภาพของอดีตแฟนหนุ่มยืนเคียงกับคนรัก ยิ่งตอกย้ำความพ่ายแพ้ในใจของหญิงสาว จนต้องหันหน้าหนี ‘แล้วมันจะมีประโยชน์อะไรล่ะ เราทำลายนักร้องนั่นได้ ทำให้ชื่อเสียงของนายมิวย่อยยับได้ แต่ทำลายความรักของโต้งได้หรอ โต้งจะกลับมาหาเราหรอ ยังไงเราก็คงจะเป็นผู้แพ้อยู่ดี ทำไมนะ...... ‘





“เอี๊ยดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด


โดย: Niramitr วันที่: 3 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:17:42:40 น.
  





หญิงสาวลืมตาขึ้นช้าๆ ร่างของเธออยู่พ้นจากรถยนต์คันนั้นเพียงฟุตเศษ โดนัทกำลังมึนงงสับสนว่า ทั้งๆที่ตัวเธอ ควรจะถูกรถชนไปแล้วนั้น แต่ร่างกายของเธอกลับไม่พบร่องรอยถูกกระแทกอย่างแรงแต่อย่างใด นอจากรอยฟกช้ำเล็กๆน้อยๆจากการกระแทกพื้นเท่านั้น ดวงตาโตกลมสวยของหญิงสาวค่อยๆมองไปรอบตัวเพื่อหาสาเหตุ แล้วเธอก็เห็น





ร่างของผู้ชายวัยรุ่นในแจ๊กเก็ตสีเขียวนอนนิ่งอยู่ข้างๆเธอ สลึมสลือเล็กน้อย แต่ตาก็ไม่ได้ปิดลง นัยน์ตาสีน้ำเงินคู่นั้นหันมามองที่เธออย่างห่วงใย โดนัทค่อยๆรวบรวมความคิดปะติดปะต่อเรื่องราว ขณะที่เธอกำลังจะถูกรถพุ่งเข้าชนนั้น ร่างของเธอก็ถูกผลักจากใครคนหนึ่งที่มาจากริมถนน เพื่อให้พ้นจากการโดนชน เธอเข้าใจแล้วว่าใครมาช่วยชีวิตเธอเอาไว้



“นายมาช่วยเราทำไมมิว ถ้าเราตายไปซะ นายก็น่าจะดีใจนี่นา จะได้ไม่ต้องกลัวใครมายุ่งกับโต้งไง “ หญิงสาวถามคำถามคนที่พึ่งจะช่วยชีวิตเธออย่างโมโห ว่าทำไมต้องเป็นคนๆนี้ด้วย คนที่เหมือนเป็นศัตรูที่เธอพึ่งคิดจะทำลาย

“ เราไม่อยากให้โต้งเสียใจ “ เสียงตอบเบาๆ ก่อนจะสลบไป



........................



........................



........................ ร่างสูงในเสื้อสีฟ้าที่ยืนอยู่ลำพังริมถนนมองภาพเหตุการณ์ตรงหน้าด้วยความตกใจ หลังจากพบว่ามิวไม่ได้ยืนอยู่ข้างๆ โต้งจึงหันไปมองที่ถนน ร่างโปร่งของมิว วิ่งออกไปด้วยความเร็ว กระโดดถึงตัวหญิงสาวที่กำลังจะถูกรถชนแล้วผลักร่างอันบอบบางนั้นออกไปให้พ้นวิถีของรถยนต์ ทำให้ตนเองเข้าสู่ตำแหน่งที่รถจะชนซะเอง



โครมมมมมมมมมม....................................



รถเก๋งโตโยต้าสีดำเข้าชนร่างโปร่งของนักร้องนำวงออกัสต์ โชคดีที่คนขับเหยียบเบรกไว้ได้ก่อน ทำให้แรงชนไม่รุนแรงมากนัก แต่ก็แรงพอจะทำให้ร่างโปร่งของมิวล้มลงไป ลำตัวกระแทกพื้น ทำให้เกิดรอยถลอกและบาดแผลตามลำตัวที่ถูกบดบังโดยเสื้อผ้าเพียงเล็กน้อย แต่ที่แย่ก็คือ บริเวณศีรษะเหนือคิ้วซ้ายกลับมีเลือดไหลออกมา ชายหนุ่มสลึมสลือและมึนงงอยู่บ้าง แต่ยังพอมีสติจะได้ยินคำถามของโดนัทที่ถามออกมาด้วยความกึ่งขอบคุณกึ่งโกรธกึ่งเจ็บใจ



“นายมาช่วยเราทำไมมิว ถ้าเราตายไปซะ นายก็น่าจะดีใจนี่นา จะได้ไม่ต้องกลัวใครมายุ่งกับโต้งไง “

“ เราไม่อยากให้โต้งเสียใจ “ มิวตอบออกไปด้วยน้ำเสียงเบาๆตามความรู้สึกที่อยู่ในใจของตนโดยไม่ต้องปั้นแต่งความคิดแต่อย่างใด ก่อนจะรู้สึกว่า หนังตาของตนหนักเหลือเกิน และค่อยๆปิดลง จากนั้นสติของนักร้องหนุ่มก็หายไป



โต้งวิ่งไปถึงถนนด้วยความว่องไวเช่นกัน โดยไม่สนใจโดนัทที่กำลังตกใจกับคำตอบที่ได้รับจากปากศัตรูหัวใจของเธอ ร่างสูงค่อยๆประคองกอดร่างโปร่งที่พึ่งจะหมดสติลงไป ดึงร่างนั้นมาแนบตัวแล้วเขย่าเบาๆ



“มิว มิว อย่าเป็นอะไรนะ มิว ตื่นสิ อย่าหลับดิมิว เราอยู่นี่นะ มิว ตื่นดิ”



โต้งใช้นิ้วชี้ไปอังที่รูจมูกของมิว หวังใจว่าอย่างน้อยก็ยังจะคงมีลมอุ่นๆไหลผ่านเข้าผ่านออก ทว่า กลับไม่อาจสัมผัสลมใดใดได้ เป็นสัญญาณบอกให้รู้ว่าร่างโปร่งที่หมดสติอยู่นั้น ไม่หายใจซะแล้ว



“มิว ตื่นดิมิว ทำไงดี มิวไม่หายใจ มิว ลืมตาดิ” เสียงพร่ำของโต้งทำให้โดนัทตกใจและหน้าซีด ทำไม คนๆนึงถึงได้ยอมเสี่ยงตายขนาดนี้ ทำไมมิวจึงทำได้ขนาดนี้ เพียงเพราะไม่อยากให้โต้งเสียใจ ‘ไม่อยากให้โต้งเสียใจงั้นหรอ’ นี่แสดงว่า ถึงโต้งจะไม่รักเรา แต่อย่างน้อยก็ยังมีความรู้สึกดีๆอยู่สินะ โดนัทเอ๊ย!!! นี่เรามาทำอะไรเนี่ย เรารักโต้งจริงๆรึเปล่า คนรักกันจริงๆ เค้าไม่ทำให้อีกคนเสียใจหรอก ดูความรักที่มิวมีให้โต้งซิ แค่ไม่อยากให้โต้งเสียใจเพราะการกระทำอะไรโง่ๆของเรา ขนาดยอมเสี่ยงตาย ‘เธอกล้าอย่างนั้นรึเปล่าโดนัท ‘ หญิงสาวถามตัวเอง ‘ เธอรักโต้งได้เท่ากับมิวรึเปล่า ‘ ‘ หรือแค่อยากเอาชนะเท่านั้น’ หญิงสาวคิดได้ก็ยิ้มให้กับความโง่ของตัวเอง แล้วมองดูโต้งที่พยายามช่วยชีวิตมิว



ดวงตาของนักร้องหนุ่มยังคงปิดสนิท ผ่านไปเกือบนาทีแล้ว แต่มิวก็ยังไม่หายใจ โต้งนึกถึงสิ่งที่เคยเรียนมาในวิชาสุขศึกษา การปฐมพยาบาลเบื้องต้น พลางนึกได้ถึงการผายปอดช่วยชีวิต ร่างสูงคิดดังนั้นจึงจับร่างโปร่งของมิวนอนราบกับพื้น สองมือกดลงไปที่หน้าอกของร่างโปร่งนั้น สองตาก็หลั่งน้ำตารินไหลด้วยความกลัว กลัวจะเสียคนที่รัก



“หนึ่งพันหนึ่ง หนึ่งพันสอง หนึ่งพันสาม” โต้งเริ่มลงมือผายปอดให้มิว หน้าอกที่ไม่มีร่องรอยบาดเจ็บอะไรมาก แต่เลือดสีแดงๆยังคงไหลจากศีรษะไม่หยุด



เจ้าของรถค่อยๆก้าวลงมาจากประตูด้านคนขับ ชายหนุ่มตกใจยิ่งขึ้นเมื่อเห็นว่าผู้บาดเจ็บเป็นใคร



“โดนัท โต้ง มิว ให้ตายสิ” หน้าที่ขาวอยู่แล้วกลับซีดยิ่งขึ้น

“เอิร์ธ” หญิงสาวเอ่ยเรียกชื่อของเจ้าของรถที่พึ่งจะก้าวลงมา เอิร์ธรีบเข้ามาประคองโดนัทให้ลุกขึ้นยืน แล้วหันไปคุยกับโต้ง

“กรูว่าให้กรูพาพวกมรึงไปหาหมอก่อนดีกว่านะโต้ง เร็วเหอะ เชื่อกรู เดี๋ยวอาการมิวจะแย่ลง”



โต้งยังคงผายปอดให้มิวต่อไป สองนาทีแล้ว มิวยังไม่หายใจ เมื่อเห็นว่าผายปอดไม่ได้ผล โต้งจึงเปลี่ยนใจเป็นการเม้าท์ทูเม้าท์



ริมฝีปากของโต้งประกบเข้ากับริมฝีปากรูปกระจับสีชมพูของมิว พร้อมกับเป่าลมหายใจเข้าไปข้างใน ใบหน้าที่ซีดเซียวจากการเสียเลือดยังคงไม่ไหวติง แต่โต้งก็ไม่ละความพยายาม ยังคงเป่าต่อไป เป่าต่อไป เป่าต่อไป แต่แล้ว ริมฝีปากของโต้งก็ถูกประกบไว้ด้วยริมฝีปากของคนตรงหน้าที่นอนนิ่งอยู่ ลมหายใจอุ่นๆถูกพ่นเข้าไปในปากของชายหนุ่ม โต้งค่อยๆถอยริมฝีปากของตนออกมาช้าๆ แล้วก็พบว่า คนที่พึ่งสลบไปเมื่อครู่นี้ฟื้นขึ้นมาหายใจเองได้แล้ว หน้าซีดเผือดเหมือนคนโรยแรง แต่ยังคงยิ้มออกมาได้เพื่อให้คนที่อยู่ใกล้สบายใจ ออกจะมีอาการหัวเราะแห้งๆนิดหน่อยด้วย



“มิวอะ................แกล้งเราใช่มั้ยเนี่ย” โต้งเอ่ยปากพ้อมิวที่ทำให้เป็นห่วง

นักร้องหนุ่มไม่ได้ตอบ เพียงแต่ยิ้มให้เท่านั้น แต่ใบหน้าซีดลงอย่างเห็นได้ชัด

“เป็นไรมั้ยมิว” โต้งยังคงถามมิวด้วยความห่วงใย

“ไม่เป็นไรแล้ว” เสียงตอบบางเบาจากดวงหน้าที่ซีดเซียวนั้น

“แกล้งไม่หายใจเนี่ยนะ ตั้งนานแน่ะ ไม่กลัวรึไง แล้วที่ทำไปเมื่อกี้เนี้ย ทำอะไรลงไปรู้ตัวมั้ย ทำเอาคนอื่นเป็นห่วงแทบแย่ บ้าชะมัด” โต้งออกเสียงพ้อ แต่น้ำเสียงยังคงห่วงใยเช่นเดิม แล้วเริ่มปาดน้ำตาที่ไหลมาอาบแก้มเมื่อครู่นี้

“นั่นสิ คนบ้า เหมือนใครก็ไม่รู้”

“แล้วไม่หายใจตั้งนานน่ะ รู้มั้ย เรากลัวมากเลย”

“เราเป็นนักร้องนะ หยุดหายใจแป๊บเดียว ไม่ต้องกลัวหรอก”

“ยังมาทำเก่งอีก หน้าซีดหมดแล้ว” โต้งพูดจบก็ค่อยๆประคองมิวให้ลุกขึ้นยืนช้าๆ



“ขอบคุณนะ” เสียงของคนสองคนดังขึ้นพร้อมกัน ทั้งโดนัทและโต้ง

“ฮึ” นักร้องหนุ่มหันไปทางหญิงสาว พลางยิ้มให้ แล้วก็หันไปทางโต้งด้วยความแปลกใจ

“ก็เราขอบคุณมิวที่รู้ใจและเข้าใจเราไง ถ้าใครต้องมาเป็นอะไรเพราะเรา เราคงเสียใจไปตลอดชีวิต” โต้งตอบแล้วค่อยๆประคองมิวไปที่รถของเอิร์ธ

“ไปหาหมอ ให้หมอตรวจดีกว่านะ มิวหน้าซีดมากเลย รู้ตัวมั้ย”

มิวยิ้มรับ พลางเอนศีรษะพิงไปที่เสื้อยืดสีฟ้าของโต้ง แต่แล้วก็ตกใจที่เห็นรอยจ้ำสีแดงเปื้อนไปทั่ว

“รอยอะไรอะโต้ง ชุ่มเชียว” จากนั้นก็ใช้นิ้วสัมผัสดู

“นี่มันเลือดนี่” คำพูดของมิว ทำให้โต้งฉุกใจคิด แล้วหันไปมองที่ศีรษะของมิว เลือดยังคงไหลไม่หยุด ถึงจะเริ่มช้าลงก็ตาม มิวเองก็หน้าซีดลงเรื่อยๆ เมื่อนึกได้ว่าเป็นเลือดของตนเอง ดวงตาเริ่มจะปิดลงอีกครั้ง คราวนี้ นักร้องหนุ่มไม่ได้แกล้งอีกแล้ว แต่กำลังจะสลบไปจริงๆ

“โต้ง” เสียงพูดเบาๆอีกครั้ง ก่อนร่างโปร่งจะนิ่งเงียบไป โดนัทที่ไม่เป็นไรมากนัก รีบเปิดประตูหลังให้โต้งอุ้มมิวเข้าไปในรถ แล้วไปนั่งด้านหน้าคู่คนขับ ส่วนเอิร์ธก็รีบเปิดประตู ประจำที่คนขับแล้วสตาร์ทรถทันที

....................

....................

....................


เอิร์ธขับรถไปถึงโรงพยาบาลชื่อดังแห่งหนึ่งที่ไม่ไกลจากจุดเกิดเหตุมากนัก โต้งจำได้ว่าเป็นโรงพยาบาลที่ลุงหมอประจำอยู่ และมั่นใจว่า สุนีย์กับกรต้องอยู่ที่นี่ รถเก๋งโตโยต้าสีดำจอดด้านหน้าตึกเทียบทางเข้าห้องฉุกเฉิน ชายหนุ่มอุ้มมิวออกมาจากรถเก๋งแล้วพาไปยังเตียงผู้ป่วยที่ใกล้ที่สุด บุรุษพยาบาลสามถึงสี่คนกุลีกุจอมาที่มิว และรีบเข็นรถพาร่างที่หมดสติ ใบหน้าซีดเซียวจากการเสียเลือดไปมาก ไปยังห้องฉุกเฉินที่อยู่ถัดไปเล้กน้อย โต้งรีบเดินจ้ำตามบุรุษพยาบาลเหล่านั้นไปทันที โดนัทกับเอิร์ธรีบตามไปอย่างไม่ลดละเช่นกัน พอถึงประตูห้องฉุกเฉิน พยาบาลก็ห้ามพวกเค้าทั้งสามไม่ให้ตามเข้าไป โต้งได้แต่ยืนคอยข้างนอกอย่างพะวักพะวนและกังวลใจ พยาบาลคนหนึ่งพาโดนัทไปทำแผลที่ไม่ได้มีมากมายนัก นอกจากรอยถลอกเล็กน้อย โดยมีเอิร์ธตามไปช่วยเป็นธุระเรื่องเอกสารและลงทะเบียนผู้ป่วยพร้อมกับเป็นเจ้าของไข้ให้ทั้งโดนัทและมิว แต่พอถูกถามถึงชื่อจริงของมิว เอิร์ธก็ต้องวิ่งกลับมาถามโต้ง แต่โต้งได้แต่นิ่งเงียบ ดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้นของชายหนุ่มมีไว้เพียงมองไปที่ประตูห้องฉุกเฉินเพื่อรอให้มันเปิดออกมาพร้อมกับนำคนที่ห่วงใยเดินกลับออกมาอย่างปลอดภัย





“โต้ง” เสียงที่คุ้นเคยของผู้เป็นแม่ดังขึ้นไม่ห่างไปนัก ทำให้ชายหนุ่มต้องหันไปมอง

“แม่” เสียงตอบกลับเบาๆ แล้วชายหนุ่มก็หันไปมองที่ประตูห้องฉุกเฉินอีกครั้ง ทิ้งให้สุนีย์ที่เห็นอาการของลูกชายยืนงงอยู่อย่างงั้น

“สวัสดีครับแม่” เอิร์ธเข้าไปไหว้และทักทายสุนีย์ ทำเอาสุภาพสตรีสูงวัยแปลกใจเล็กน้อย เพราะจะว่าไปแล้วเธอไม่เคยรู้จักเพื่อนของลูกชายมาก่อนเลยนอกจากมิวคนเดียว หลังจากสอบถามเรื่องราวจากเอิร์ธจนพอจะเข้าใจแล้ว สุนีย์ก็ช่วยเป็นธุระเรื่องประวัติของมิว ทีแรก สุนีย์ตั้งใจจะเป็นเจ้าของไข้ให้กับมิวเอง แต่เอิร์ธไม่ยอม บอกว่าเรื่องทั้งหมดเป็นความผิดของตน จะขอรับผิดชอบเอง สุนีย์เห็นความเป็นผู้ใหญ่ รู้จักรับผิดชอบของเพื่อนลูกชาย เธอก็สบายใจขึ้น ซักพัก โดนัทก็เดินมาสมทบอีกคน สุนีย์สนใจโดนัทมาก เธอได้สอบถามเรื่องของลูกชายจากโดนัท ทั้งเรื่องที่โดนัทเป็นแฟนเก่าโต้ง เรื่องที่ถูกโต้งบอกเลิก กระทั่งเรื่องของโต้งกับมิว



“โกรธซิคะ โกรธมาก แล้วก็อิจฉามากด้วย คุณแม่รู้มั้ยคะ ว่าโต้งเป็นผู้ชายคนแรกที่หนูแคร์ที่สุด ตอนที่รู้ว่าโต้งเป็น......นั่นแหละค่ะ หนูผิดหวัง เสียใจ แล้วก็แค้นมิวมาก มากจนคิดจะทำอะไรโง่ๆ แต่หนูก็ยอมแพ้ เพราะรู้ว่าที่สุดแล้ว เราก็เปลี่ยนใครไม่ได้ ถ้าไม่ได้รักกัน ต่อให้พยายามแค่ไหน ก็รั้งเค้าไว้กับเราไม่ได้ ไม่เหมือนโต้งกับมิว แค่ได้เห็นแววตาที่ทั้งคู่มองกัน หนูก็รู้แล้วว่า หนูไม่มีทางชนะเด็ดขาด ยิ่งได้เห็นมิวเค้ายอมเสี่ยงตายช่วยหนู เพียงเพราะไม่อยากให้โต้งเสียใจ หนูยอมแพ้ทันทีเลยค่ะ ใจเค้าจริงๆ คุณแม่คะ หนูไม่รู้ว่าคุณแม่รู้สึกอย่างไรกับเรื่องของโต้ง หนูแค่อยากบอกว่า โต้งโชคดีมากที่มีคนที่รักและเข้าใจเค้ามากขนาดนี้ ยอมทำเพื่อโต้งขนาดนี้ แม้ว่ามันอาจจะไม่ถูกต้อง อาจจะ...........อะไรก็ช่างเถอะค่ะ แต่หนูเชื่อว่า มิวเป็นสิ่งดีที่สุด และเป็นสิ่งเดียวที่จะช่วยพยุงชีวิตจิตใจของโต้ง ขนาดหนูคบกับเค้ามาหลายเดือน หนูยังแทบจะไม่เคยเห็นโต้งยิ้มเลยนะคะ เค้าไม่เคยเล่า ไม่เคยปรับทุกข์อะไรกับหนู นอกจากแสดงออกแต่สีหน้าที่มีความในใจที่ไม่อยากบอกใคร ก็เห็นมีแต่ตอนที่เค้าคุยโทรศัพท์หรืออยู่กับมิวนี่แหละ ที่หนูเห็นเค้ายิ้มได้ ไม่รู้นะคะ หนูอาจจะไม่รู้จักโต้งดีพอเหมือนคุณแม่หรือกลุ่มเพื่อนอย่างเอิร์ธ หนูก็แค่พูดในสิ่งที่หนูเห็นและเริ่มจะเข้าใจในฐานะอดีตแฟนก็แค่นั้น”



“ขอบใจนะ” สุนีย์เอ่ยคำขอบใจหญิงสาวอย่างโดนัทที่เข้าใจลูกชายของตน



“ของผมก็ไม่ค่อยต่างจากโดนัทหรอกครับ ตอนแรกที่รู้เรื่อง ก็โกรธมันบ้าง แต่ว่าเป็นเพื่อนกันที่คบกันมาตั้งแต่ตอน ม.หนึ่ง ถึงจะไม่ค่อยเข้าใจมัน แต่มันก็เป็นเพื่อน โต้งมันไม่ค่อยได้เล่าเรื่องของมันให้พวกผมฟัง ไม่รู้ว่าทำไม ถามอะไรมัน มันก็ชอบว่าไม่รู้ มันเป็นของมันแบบนั้น พวกผมก็ไม่รู้จะทำไง ขนาดพามันไปเที่ยวไปดื่ม แต่หลายครั้ง มันก็แค่ไปเพราะไม่อยากขัดเพื่อน ไม่ค่อยยิ้ม ไม่ค่อยหัวเราะ จนเมื่อเดือนที่แล้วนั่นแหละครับ ที่มันเจอเพื่อนเก่าเด็กเซ้นต์นิโคลัส คือมิวน่ะครับ มันก็เริ่มห่างจากพวกผมไปบ้าง แต่ท่าทางมันดูมีความสุข มีชีวิตชีวา จนมาเมื่อช่วงก่อนคริสต์มาสซักอาทิตย์นึงมั้ง มันก็เริ่มซึมเศร้าและไปเป็นคนเงียบ ไม่ค่อยพูดคุยเหมือนเดิม นี่พึ่งจะไม่กี่วันเองนะครับ ที่โต้งมันกลับมาร่าเริงอีกครั้ง ก็ตั้งแต่ที่มันเจอมิวเมื่อช่วงปีใหม่นี่แหละครับ พวกผมถึงได้เข้าใจและยอมรับในสิ่งที่โต้งเป็น มันพูดกับผมเอง ว่ามันรักมิว แล้วยิ่งมาเจอเหตุการณ์ในวันนี้ ผมก็ยิ่งเชื่อว่า ความรักของโต้งกับมิว ยิ่งใหญ่ไม่แพ้ความรักของคู่รักคนอื่นๆ คุณแม่ครับ ผมเชื่อว่าคุณแม่เข้าใจโต้งดีกว่าพวกเราที่เป็นแค่เพื่อน แล้วคุณแม่ก็รู้จักนายมิวมานานแล้ว เอ่อ......คือ......ผมหมายถึงว่า......”

“แม่ก็ไม่ได้บอกซักหน่อยนี่ลูก ว่าแม่ห้ามอะไร ทีแรกแม่ก็กลัวเหมือนกันนะ ว่าเรื่องแบบนี้มันไม่ถูกต้อง แต่ภายหลังก็เข้าใจ ว่าความรักมันไม่ต้องการความถูกต้องหรอก ขอแค่มีกันและกันอย่างเข้าใจก็พอแล้ว ขอบคุณพวกหนูมากนะ ที่เข้าใจและเป็นกำลังใจให้ความรักของลูกชายแม่”





โต้งยังคงนั่งมองประตูห้องฉุกเฉิน หวังใจว่ามิวจะเดินกลับออกมาอย่างปลอดภัย สุนีย์พร้อมกับเอิร์ธและโดนัทเดินมาสมทบ สุนีย์นั่งที่ม้านั่งยาวข้างๆลูกชาย มือขวากุมมือซ้ายของโต้งเพื่อให้กำลังใจ เอิร์ธเห็นสีหน้าอมเศร้าของเพื่อนก็อดสงสารไม่ได้ โดนัทก็เช่นกัน เธอยังคงรักโต้ง แต่ไม่คิดจะครอบครองโต้งอีกแล้ว หญิงสาวนับถือความรักของโต้งกับมิว และหวังเพียงให้อดีตคนรักมีความสุขเท่านั้น ครึ่งชั่วโมงผ่านไป ประตูห้องฉุกเฉินถูกเปิดออก ผู้ชายใส่แว่นในเสื้อกราวคนหนึ่งเดินออกมา ป้ายชื่อที่ติดอยู่บอกให้ทุกคนรู้ว่านี่คือแพทย์เวรประจำห้องฉุกเฉิน โต้งลุกลี้ลุกลนเดินไปหาทันที



“คุณหมอครับ เพื่อนผมที่ถูกรถชนเป็นยังไงบ้างครับ” ชายหนุ่มละล่ำละลักถามทั้งน้ำตา ความตื่นเต้นของโต้งทำเอาคุณหมอตกใจ

“ คือ ทางเราพยายามช่วยเค้าอย่างเต็มที่แล้ว แต่คนไข้เสียเลือดมากเกินไป หมอเสียใจด้วยนะครับ “

โดย: Niramitr วันที่: 3 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:17:43:48 น.
  


“รอนานมั้ยโต้ง” เสียงของผู้ที่พึ่งจะมาถึงเอ่ยออกมาก่อน

“ซักพักแล้วแหละมิว” ร่างสูงที่นั่งอยู่ก่อนตอบออกไป

“แล้วธุระของโต้งล่ะ” นักร้องนำแห่งวงออกัสต์ยังคงถามต่อไป

“ไม่มีแล้วแหละ แล้ววันนี้ มิวต้องกลับไปซ้อมอีกรึเปล่า” โต้งถามกลับไปบ้าง

แทนการตอบเป็นคำพูด มิวส่ายหน้ายิ้มๆออกไป สีหน้าของชายหนุ่มทั้งสอง ไม่ค่อยจะสู้ดี เหมือนมีความในใจบางอย่างที่ไม่กล้าเอ่ยออกมา ความเงียบเกิดขึ้นรอบตัวของมิวกับโต้ง ทำให้พวกเค้าทั้งสองหวนนึกถึงการได้นั่งคุยกัน ณ ที่แห่งนี้เมื่อเดือนก่อน









“แล้วธุระของโต้งล่ะ” มิวในเสื้อพละของโรงเรียนเซนต์นิโคลัสถามขึ้นก่อน

“ไม่มีแล้ว.........แล้วมิวล่ะ.....ไม่ไปซ้อมดนตรีหรอ” โต้งในชุดนักเรียนเอ่ยมาบ้าง

ร่างโปร่งตอบเพื่อนด้วยการส่ายหน้าแล้วยิ้มเจื่อนๆ ใคร่ครวญครู่หนึ่ง ก่อนจะหันมาถามคำถามสำคัญบางอย่างกับร่างสูงที่นั่งข้างๆ

“โต้ง.........................โต้งว่า........เรามีอะไรที่.....ต่างจากคนอื่นรึเปล่าอะ” มิวถามออกไปด้วยสีหน้าไม่มั่นใจว่าจะเจอคำตอบอย่างไร โต้งหันกลับมาตอบด้วยความไม่เข้าใจคำถามเท่าไหร่

“ก็ไม่เห็นมีนี่” คำตอบของโต้ง ไม่ตรงกับสิ่งที่มิวอยากถาม นักร้องหนุ่มจึงถามอีกครั้ง

“ไม่ใช่โต้ง เราหมายถึงเรื่องแบบ......” คำพูดติดที่ปากจนต้องลืนลงคอ ทำให้โต้งสนใจมอง

“อะไรหรอ” สีหน้าของร่างสูงแสดงความสงสัย

“ก็...........เรื่องแบบ......” คำถามไม่ได้ถูกสื่อออกมาเป็นคำพูด แต่อาการระตุกปากเหมือนพยายามจะพูด ประสานกับแววตาสีน้ำเงินที่สะท้อนความในใจของคนถาม ทำให้คนฟังที่นั่งข้างๆ มองไปที่แววตาคู่นั้นเข้าใจคำถามทันที

“ไม่หรอก ไม่แปลกเลย” เสียงตอบสั่นนิดๆ แต่แววตาสีน้ำตาลที่แสดงออกถึงความเข้าใจ ก็สะท้อนให้ผู้ถามได้เห็น และยิ้มออกมาได้ในที่สุด





“โต้งบอกกับโดนัทไปว่ายังไงเหรอ” มิวเป็นฝ่ายทำลายความเงียบก่อนอีกครั้ง

“เปล่าหรอก ยังไม่ทันได้บอกอะไรเลย โดนัทเข้ามาได้ยินเราคุยโทรศัพท์กับมิวพอดีน่ะ”

“แล้วเค้าว่าไงบ้างล่ะ”

“ก็ไม่รู้เหมือนกันน่ะมิว เหมือนจะร้องไห้ แล้วเดินออกไปเฉยๆ”

“เค้าคงจะรักโต้งจริงๆมั้ง”

“ไม่รู้ดิมิว เราก็ได้แต่หวังว่า เค้าจะทำใจยอมรับได้ และไม่คิดโกรธเราก็พอ อย่างน้อย ก็กลับมาเป็นเพื่อนกันก็ได้ เพียงแต่ว่า..............” แววตาของโต้งหม่นลงเล็กน้อย

“อะไรเหรอโต้ง” มิวที่สังเกตเห็น พลอยเป็นกังวลไปด้วย

“ก็เค้าเป็นคนเพื่อนเยอะ ..... เอ่อ.... สมมติว่า เค้าแค้นเราขึ้นมา แล้วเอาเรื่องของเราไปโพนทะนาล่ะก็ .................................กับเราน่ะ คงไม่เท่าไหร่หรอกนะมิว แต่กับมิวนี่สิ มิวจะทำยังไงต่อไปล่ะ ....... เกิดเรื่องของเรามันโจษไปทั่ว ขนาดตอนแรก แม่ยังรับไม่ได้เลย มิวก็รู้ ว่าช่วงนั้นมันเจ็บปวดแค่ไหน ทั้งมิว ทั้งเรา ยิ่งมิวเป็นนักร้องดัง ชื่อเสียงของมิว อนาคตของมิว อาจจะพังลงมาก็ได้ เรายอมรับนะมิว ว่าเรากลัว กลัวว่า ถ้ามีวันนั้นจริงๆ เราอาจจะต้องเสียมิวไปอีกครั้ง”

นักร้องหนุ่มใช้มือซ้าย ข้างที่สวมนาฬิกาสีเขียวดึงมือขวาของคนรักมากุมไว้ ค่อยๆหันไปมองอย่างช้าๆ ถึงจะมีความกลัวเจืออยู่บ้าง แต่แววตาสีน้ำเงินคู่นั้น ก็สะท้อนความหวังออกมาให้เห็น ทำให้แววตาสีน้ำตาลของหนุ่มเสื้อฟ้าฉายแววเชื่อมั่นขึ้นมาบ้าง



“แล้วสมมติว่า............................”

“ว่าอะไรเหรอมิว”

“สมมติว่าเค้ารักโต้งมากซะจนทำใจไม่ได้ล่ะ ถ้าเค้าคิดอะไรหรือทำอะไรโง่ๆล่ะ”

“อย่างโดนัทเนี่ยนะ ไม่รู้ดิ ไม่หรอก เป็นไปไม่ได้หรอกมั้ง”

“อือ......................แล้วไปไหนกันต่อดีล่ะ”

“แล้วเฮียของหญิงล่ะมิว ไม่กลับด้วยกันหรอ” โต้งถามอย่างสงสัย

“จริงดิ ลืมบอกไป โต้งรู้รึเปล่า ว่าเฮียน่ะ แฟนเกาพี่หลิว” คนพูดยิ้มไปด้วยขณะพูด

“ให้ตายสิมิว โลกมันลมอย่างนี้เชียว .... ไหนมิวเล่ามาให้หมดเลยนะ เอาให้ละเอียดๆล่ะ”

จากนั้น นักร้องหนุ่มก็เล่าเรื่องราวความรักของเฮียกับพี่หลิวที่ตนได้รู้มาให้โต้งฟัง

......................

......................

...................... บ่ายสามโมงครึ่ง ชายหนุ่มสองคนเดินลงมาจากบันไดโรงภาพยนตร์สกาล่า ร่างสูงในเสื้อยืดสีฟ้าเข้มเจ้าของนัยน์ตาสีน้ำตาลใช้มือขวาจับมือซ้ายของร่างโปร่งในเสื้อแจ๊กเก็ตสีเขียวผู้มีนัยน์ตาสีน้ำเงิน เดินจูงกันอย่างใกล้ชิดสนิทสนม โชคดีที่วันนี้ไม่ค่อยมีคนพลุกพล่าน ไม่อย่างนั้น คงถูกผู้คนจับตามองแน่ๆ ลงบันไดมาพ้นแล้ว นักร้องหนุ่มก็ค่อยๆคลายมือซ้ายของตนออกจากมือขวาของคนข้างๆอย่างช้าๆ โต้งพยายามจะยึดมือของมิวไว้ แต่กลับถูกปฏิเสธ



“ไม่เอาโต้ง อายคนอื่นเค้า”

“ไม่เห็นมีใครเลยมิว น่านะ แค่จับมือกันเอง”

“จะออกถนนอยู่แล้วโต้ง ไม่เอาง่ะ ไปเหอะ ตกลงจะไปโรงพยาบาลรึเปล่าเนี่ย”

“ไปดิ บอกแม่เอาไว้ ว่าถ้ามิวทำงานเสร็จแล้ว จะแวะไปด้วยกันเลย”

“อืม ........................ โต้ง ..............เอ่อ ............ คือ......”

“ว่าไงมิว”

“เอ่อ.....คือ.....โต้งไม่เสียใจหรอ ที่ต้องเลิกกับโดนัท ยังไงเค้าก็เป็นผู้หญิง เป็นสิ่งที่ถูกต้องสำหรับโต้ง.................... อย่างน้อย.................อย่างน้อยคนอื่นๆก็ยอมรับ”

“ใช่มิว...............การเป็นแฟนกับโดนัทเป็นสิ่งถูกต้อง มีคนอิจฉา ชื่นชม ......แต่........ไม่มีความสุข ไม่มีชีวิตชีวา ไม่ใช่ตัวเรา ความสุขของเราอยู่ที่มิวนะ ลมหายใจของเราอยู่ที่มิว ชีวิตเราจะเป็นชีวิตก็เพราะมิว บางครั้ง ถ้าสิ่งที่ถูกต้องในสายตาคนอื่นๆกลับเป็นสิ่งที่ทำร้ายเราล่ะก็ เราก็ยอมทำสิ่งที่อาจจะผิดในความคิดของพวกเค้า แต่มันคือความสุข คือชีวิตของเรา ตราบเท่าที่เราไม่ทำให้ใครเสียใจ ไม่ทำให้คนที่เรารักและรักเราต้องผิดหวัง เราเชื่อว่า ซักวันมันจะดีขึ้นเอง ต่อให้มีอุปสรรคอะไรก็ตาม”

“โต้งรู้จักพูดเป็นงานเป็นการตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย เมื่อก่อนไม่เห็นพูดเก่งอย่างนี้เลย”

“ตั้งแต่ที่ได้คุยกับพ่อเมื่อวันก่อนนั่นแหละ พ่อบอกว่า ความสุขมันอยู่กับเราไม่นาน ถ้าไม่อยากเสียใจภายหลัง ก็ต้องไขว่คว้ามาให้ดีที่สุด ทำเพื่อความรักให้ดีที่สุด อย่าเป็นอย่างพ่อ ที่ทำร้ายตนเองอยู่หลายปี มิวรู้มั้ย ว่าสิ่งที่เราบอกมิวเมื่อวันคริสต์มาสน่ะ มันอาจจะเจ็บนะ แต่ตอนนั้น เราก็ได้คิดดีแล้วจริงๆ ก็ตอนนั้น..”

“เรารู้..........................เราเชื่อโต้ง ......................เราไว้ใจโต้ง.................... คืนนั้นนะ ........ถึงเราจะรู้สึกเสียใจมาก แต่อีกใจก็รู้สึกขอบคุณนะ ขอบคุณที่โต้งมอบความรักให้เรา ถึงจะคบกับเราเป็นแฟนไม่ได้ก็ตาม ร้องไห้ตาบวมเลยแหละ กว่าคืนนั้นจะผ่านไปได้ เราต้องทนกับความเหงาที่เชี่ยใส่อยู่ทั้งคืน ผ่านไปหลายวันก็พออยู่ได้ ถึงรู้ว่าต่อจากนี้ไป อาจจะไม่มีโต้งอีกครั้งก็ตาม แต่เพราะเข้าใจโต้ง เข้าใจน้านีย์ ก็เลยอยู่ได้”

“แล้วทำไมต้องคอยวิ่งหลบหน้าเราด้วยล่ะ”

“ไม่ได้อยากนักหรอก แค่กลัวใจตัวเองน่ะ กลัวจะไม่เข้มแข็งพอ หาทางเอาโต้งมาครอบครอง มันไม่ง่ายเลยนะ เพราะยิ่งหลบหน้าโต้ง แต่ก็กลับยิ่งคิดถึงมากกว่าเดิม”

“ตอนนี้ก็ได้ครอบครองแล้วไง ได้หัวใจโต้งไปแล้ว”

“ไม่ใช่หรอกโต้ง ไม่ใช่การครอบครอง แค่ได้มีความสุขกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า กับคนตรงหน้า ณ วันนี้ ปัจจุบันนี้ หรือแค่เช้าวันใหม่ตื่นมาแล้วพบว่าเราได้รักใครซักคน แล้วเรายังไม่สูญเสียเค้าไป เท่านี้ก็เพียงพอแล้วแหละ อย่างที่น้ากรบอกโต้งไง ขอให้ได้แค่ไขว่คว้าความสุขตรงหน้ามาก็พอ เราเลิกคิดจะครอบครองโต้งแล้วแหละ ขอแค่ได้รักไปทุกวันก็สุขใจจะแย่แล้ว ..........ใช่โต้ง ......... แค่ได้รัก ได้รู้ว่าถูกรัก ต่อให้วันข้างหน้า อาจจะเสียคนที่เรารักมากๆอย่างโต้งไปจริงๆ เราก็จะต้องทนอยู่ได้ เพราะวันนี้ ตอนนี้ เราได้ทำเพื่อความรักอย่างดีที่สุดแล้ว ต้องขอบคุณน้ากรกับน้านีย์นะ ที่เข้าใจ เชื่อใจ และรักโต้งมาก ความสุขของโต้ง ก็คือความสุขของพวกท่าน” น้ำเสียงสั่นเครือเล็กน้อย แต่แววตาสีน้ำเงินที่รื้นน้ำตาจางๆนั้น เปี่ยมด้วยความหวัง ความเชื่อมั่นของมิว

“ความสุขของมิว ก็คือความสุขของเราเหมือนกัน .......” เจ้าของแววตาสีน้ำตาลจ้องมองสะท้อนไปในแววตารื้นน้ำตาของคนตรงหน้า ยิ้มเล็กๆให้กำลังใจแก่กันและกัน ขอบคุณกันและกัน ที่คนรักทั้งสองมีให้กันตลอดมา ร่างสูงล้วงไปในกระเป๋าหยิบผ้าเช็ดหน้าสีเขียวอ่อนผืนน้อยมาเช็ดคราบน้ำตาที่รื้นอยู่บนดวงเนตรสีน้ำเงินคู่นั้น เจ้าของนัยน์ตาที่กำลังถูกซับอยู่นั้นหันมามองผ้าเช็ดหน้าสีเขียวอ่อนอย่างสนใจ มุมผ้าเช็ดหน้าถูกปักเป็นอักษรภาษาจีนที่แปลว่า”รักมิว” ดวงตาที่เลอะน้ำตาคู่นั้นเบิกโพลงด้วยความดีใจ



“อาม่า” เสียงนักร้องหนุ่มอุทานขึ้นเบาๆ

“ว่าไงนะมิว” โต้งเอ่ยถามเบาๆเช่นกัน

“ผ้าเช็ดหน้าของมิว อาม่าปักให้มิว”

“มิววว” โต้งส่งผ้าเช็ดหน้าคืนให้มิวพร้อมกับอมยิ้มเล็กๆเจ้าเล่ห์



“ยังเก็บไว้อีกเหรอโต้ง หกปีแล้วนะ ตั้งแต่ที่โต้งช่วยมิวตอนนั้น”

“ก็เราเป็นฮีโร่คนแรกและคนเดียวของมิวไง ไม่งั้นนะ น้องชายมิวเสร็จไอ้พวกนั้นแน่”

“ทะลึ่งอะโต้ง แล้วโต้งก็ไม่ใช่ฮีโร่คนเดียวของมิวซะหน่อย มีอีกตั้งหลายคน”

“ใครอะมิว ใครมันมาเป็นฮีโร่ให้มิวอีกล่ะ โต้งไม่ยอมนะ นี่แอบไปคิดถึงใครรึเปล่าเนี่ย” โต้งเขย่ามิวเบาๆเพื่อรอคำตอบ

“ขี้หึงอีกแล้วนะ ตกลงจะฟังมั้ยเนี่ย”

“ฟังดิ ...... นะ ..... ก็คนมันหวงนี่ ..... นะ ..... อย่างอนดิ..... เดี๋ยวไม่หล่อนะ”

“แหวะ....มุกเก่าแล้ว ..... คือเรื่องมันเป็นแบบนี้.......” แล้วมิวก็เล่าให้โต้งฟังถึงเรื่องเมื่อตอนมิวอยู่ ม.สอง หลังจากที่เสียอาม่าไปแล้ว



โต้งย้ายโรงเรียนไปแล้วก็จริง แต่เด็กเกเรกลุ่มนั้นก็ยังอยู่ หลายหนที่มิวรอดมาได้เพราะมีคนอื่นเข้ามาพอดี จนกระทั่ง ครั้งนึงตอนเย็นหลังเลิกเรียนเปียโน มิวก็เจอกับเด็กเกเรกลุ่มเดิมอีกครั้ง และก็เป็นเช่นเดิม เด็กพวกนั้นยังคงพยายามจะแกล้งมิวเหมือนเคย ด้วยความที่เย็นแล้ว จึงเหลือเด็กนักเรียนน้อยเต็มที ทำให้พวกนั้นได้ใจ และกำลังจะจับมิวแก้ผ้า

“ทำอะไรน่ะ ปล่อยเพื่อนกรูนะเว้ย” เสียงใครไม่รู้ ดังเข้ามาในห้องน้ำ มิวหันไปมอง เด็กผู้ชายคิ้วหนาคนหนึ่งยืนอยู่ตรงประตูห้องน้ำ ถือไม้กวาดกระชับไว้ในมือ มิวจำได้ว่า เคยเห็นในห้องดนตรี แต่ไม่เคยคุยกัน กลุ่มเด็กเกเรสี่คนจึงเข้าไปรุมผู้มาใหม่โดยที่มิวไม่กล้าไปช่วย ขณะที่เด็กคิ้วหนากำลังจะเสียที เด็กหน้าตี๋อีกสองคนก็โผล่เข้ามาพร้อมกับไม้ถูพื้น คนนึงก็ดูธรรมดา แต่มิวจำได้ว่านายคนนี้สนิทกับเด็กคิ้วหนา ส่วนอีกคนนึงอ้วนกว่าอีกคน มิวคุ้นๆว่าเคยเรียนเปียโนกับคุณครูคนเดียวกันแต่มิวไม่เคยคุยด้วย หลังจากตะลุมบอนไปเล็กน้อย ฝ่ายเด็กเกเรสี่คนเห็นว่าพวกตนไม่น่าจะได้เปรียบเท่าไหร่ ในที่สุดก็หนีออกไปพร้อมกับรอยฟกช้ำ ตั้งแต่นั้นมา มิว เอ๊กซ์ ต่อ และแวน ก็กลายเป็นเพื่อนสนิทกัน



“เมื่อก่อนไม่เห็นมิวเคยเล่าให้ฟังเลยอะ”

“ก็ตอนที่เจอกัน มันมีแต่เรื่องดีๆ ว่าแต่โต้งเถอะ เก็บผ้าเช็ดหน้าไว้ ไม่เห็นเคยบอกเราเลย”

“ขอโทษนะมิว คือเรา..............เอ่อ..............”

“ทำไมโต้งถึงเก็บผ้านี้ไว้ล่ะ”

“ก็มันเป็นสิ่งเดียวที่คอยเตือนให้เรารู้ว่ามิวยังอยู่กับเราน่ะสิ เตือนให้เรารู้ว่า ยังมีมิวอีกคน ที่เราต้องปกป้อง และเข้าอกเข้าใจเราไงล่ะ แต่พอได้เจอกัน เรื่องดีๆก็เกิดขึ้น ทำให้ผ้าผืนนี้ถูกทิ้งไว้ในกระเป๋าเป้ โดยไม่ถูกเช็ดหน้าให้ใครอีกเลย”

“ขอบคุณนะโต้ง” มิวก้มลงหอมมือที่แสนอบอุ่นของโต้ง ทำเอาเจ้าของมือยิ้มแก้มปริ

“ไปเถอะ พิไรรำพันมานานแล้ว เดี๋ยวแม่เป็นห่วง เราอยากรู้ด้วย ว่าไปตรวจคราวนี้ ลุงหมอจะว่าไงบ้าง”

“ไปดิ” นักร้องหนุ่มเชื่อว่า สิ่งที่ตนทำไม่มีใครเห็น โดยที่ไม่ทันสังเกตว่า มีดวงตาหนึ่งคู่ของหญิงสาวที่จ้องมองอย่างเคืองแค้นผสมกับความปวดร้าว

.....................

.....................

.....................



ความโกรธแค้นที่ร้อนกรุ่นด้วยเพลิงริษยา เผาผลาญจิตใจของหญิงสาวให้มอดไหม้อย่างช้าๆ แต่ไหนแต่ไรมา เธอเชื่อมั่นว่าความสวยของเธอ ย่อมสยบชายหนุ่มทุกคนให้ศิโรราบแก่เธอ แต่ผู้ชายเสื้อยืดสีฟ้าเข้มที่เธอมองเห็นอยู่ตรงหน้า ด้วยระยะที่ไม่ไกลนักกลับกลายเป็นข้อยกเว้น โดนัทไม่อาจสยบผู้ชายอย่างโต้งได้ ไม่อาจทำให้โต้งรักได้ ทั้งๆที่โต้งไม่ค่อยเอาใจใส่ดูแลเธอเท่าไหร่ แต่กลับยึดหัวใจของผู้หญิงสวยเลือกได้จอมหยิ่งทะนงอย่างเธอลงได้ ‘ มันต้องไม่เป็นแบบนี้ ชั้นต้องไม่แพ้ ‘ ความคิดเอาชนะกำเริบขึ้นในจิตใจของหญิงสาว



‘ โดนัท เราขอโทษจริงๆนะ เราคงไปกับโดนัท ไม่ได้แล่วล่ะ ‘

‘ อ้าว! ไหนบอกจะไปไง ‘

‘ ก็ .... เราหมาย%
โดย: Niramitr วันที่: 3 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:17:45:22 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Niramitr
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]



สาวก"รักแห่งสยาม"

New Comments