Group Blog
 
All blogs
 

Croupier (1998): สะกิดเหลี่ยมเซียนพนัน


Croupier (1998) :
หากจะเอ่ยชื่อของ ผกก.Mike Hodges คอหนังยุคใหม่หลายคนอาจเกาหัวแกรกๆ ว่าหมอนี่เป็นใครมาจากไหนหว่า ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะไม่คุ้นเคยกับชื่อนี้กัน เพราะเขาคือผู้กำกับรุ่นเก๋าชาวอังกฤษที่เคยรุ่งในช่วงยุค 70 (ปัจจุบันน่าจะปลดเกษียณไปแล้วเพราะไม่มีผลงานออกมาเลยตั้งแต่ปี 2004) เจ้าของผลงานคลาสสิคอย่าง Get Carter (1971) นั่นเอง


มาดเฮีย Owen สมัยยังเอ๊าะ
และนี่คือผลงานลำดับท้ายๆ ของเขา ที่ถึงจะมาทีหลัง แต่คุณภาพคับจอ จนถือเป็นผลงานที่ดีที่สุดของเขาอีกเรื่องหนึ่ง และถึงขั้นถูกยกย่องให้เป็นหนังแนวนีโอนัวร์และหนังที่เกี่ยวกับคาสิโนที่แจ่มที่สุดเรื่องหนึ่งแห่งยุคเลยทีเดียว หนังเกือบได้เข้าชิงออสก้าร์แต่ดันมีคนเอาไปฉายออกทีวีในฮอลแลนด์เสียก่อน เลยต้องโดนตัดสิทธิ์อดเข้าประกวดไปในที่สุด ส่วนนักแสดงหนุ่มไฟแรงในช่วงนั้นอย่าง Clive Owen ก็แจ้งเกิดอย่างงดงามจากเรื่องนี้นั่นเอง

เรื่องนี้พี่แกเดี๋ยวก็หัวทองหัวดำอุตลุดไปหมด
หนังว่าด้วยเรื่องของ Jack (Owen) นักเขียนหนุ่มไส้แห้งที่กำลังสมองตันเขียนงานไม่ออกพอดี และแล้วเขาก็มีโอกาสเข้าไปทำงานเป็นเจ้ามือประจำโต๊ะในบ่อนคาสิโนแห่งหนึ่ง ซึ่งที่นั่นเองที่เขาได้พบกับเรื่องราว ผู้คน ต่างๆ มากมาย (และแน่นอน อาชญากรรม) จนเขาเอาไอเดียมาแต่งเป็นนิยาย และสร้างตัวละครเอกชื่อ Jake ขึ้นมา ซึ่งมันก็ค่อยๆ กลายเป็นอีกตัวตนหนึ่งของเขานั่นเอง

นี่คือหนังที่ดีที่สุดเรื่องหนึ่งของ Clive Owen
หนังมาด้วยขนบของหนังนัวร์คือมีการใช้เสียงบรรยายความคิดของตัวละครเอก ซึ่งไดอะล็อกที่ออกมาก็แสนฉลาด มีอารมณ์ขัน ดูแสนเพลิน ซึ่งเฮีย Owen ก็คือทุกสิ่งของหนัง เขาเล่นดีมีเสน่ห์ดึงดูดใจให้คนดูคอยเอาใจช่วยเขาได้ตลอดเรื่อง (แม้เขาจะไม่ใช่คนดีสักเท่าไหร่ก็ตาม) ในขณะที่เรื่องราวก็ผกผันซ่อนเงื่อนพอสมควร แต่ไม่ซีเรียสดูยากเลยสักนิด นี่จึงเป็นหนังดีอีกเรื่องที่ถูกมองข้ามไปอย่างน่าเสียดาย แต่กาลเวลาก็คงไม่สามารถกลบเกลื่อนความดีของหนังลงได้ เพราะหนังดีก็ย่อมเป็นหนังดีอยู่วันยังค่ำ มันแค่กำลังรอให้คุณค้นพบมันอยู่ที่ไหนสักแห่งหนึ่งแหล่ะนะ พี่น้อง
  • + หนังนัวร์ที่ฉลาด ดูเพลิน เฮีย Clive Owen ก็เล่นดีมีเสน่ห์
  • - ไม่มีฉากโหด บู๊ ให้สะใจสักเท่าไหร่

*ปล.สำหรับคนที่อยากดูก็สามารถหาดูได้ใน Youtube จ้า (พูดอังกฤษไม่มีซับ)*




*รีวิวหนังของ ผกก.Mike Hodges และ Clive Owen เรื่องอื่นๆ ภายในบล็อก*




 

Create Date : 08 กุมภาพันธ์ 2555    
Last Update : 9 กุมภาพันธ์ 2555 0:00:22 น.
Counter : 4429 Pageviews.  

Footloose (2011): ดิ้นสุดตีน



Footloose (2011) :
ขบวนการหนังรีเมคจากยุค 80 มีสมาชิกใหม่อีกเรื่องแล้ว ซึ่งคราวนี้ถึงคิวของหนังวัยรุ่นดิ้นกระจายของ Kevin Bacon สมัยยังเอ๊าะอย่าง Footloose (1984) ที่ถึงแม้จะไม่ได้รับการต้อนรับจากบรรดานักวิจารณ์เลยตอนออกฉาย แต่ตัวหนังและเพลงประกอบก็โดนใจวัยโจ๋ (ยุคนั้น) จนกวาดเงินไปได้กว่า 80 ล้านเหรียญ (จากทุนสร้าง 8 ล้าน) ซึ่งถือว่าฮิตเถิดเทิงไปโลด


หนังรีเมคเต้นสุดฮิตจากยุค 80 มาแล้วจ้า
เวอร์ชั่นรีเมคนี้ได้ผกก.ที่ถนัดในการทำหนังเพลง/ดราม่า ระดับคุณภาพอย่าง Craig Brewer (Hustle & Flow [2005]) มารับหน้าที่เล่าเรื่องใหม่ กับเรื่องราวของ Ren (Kenny Wormald) ไอ้หนุ่มเมืองกรุงที่ต้องย้ายไปอยู่กับลุงที่บ้านนอก ซึ่งเขาพบว่าเมืองนี้ออกกฏหมายแบนการเต้นรำทุกชนิด (?!) ดังนั้นเขาและเพื่อนๆ จึงขอลุกขึ้นมาเป็นฮีโร่ของบรรดาวัยรุ่นเท้าไฟทั้งหลาย ในการหาทางทำให้ผู้หลักผู้ใหญ่เข้าใจว่า การเต้นน่ะมันคือสิ่งจำเป็นสำหรับชีวิตเชียวนะคร้าบ (ป๊าด)


หน้าตาพระนางของเรื่อง
หนังต้นฉบับก็ใช่ว่าจะดีเด่นคุ้มค่าน้ำตาไหล แต่ก็เหมาะสมกับยุคสมัยของมันแล้ว ทว่าพอมาเป็นเวอร์ชั่นรีเมค พล็อตเรื่องแบบนี้มันไม่เชยไปหน่อยเหรอ (แบนการเต้นเนี่ยนะ?) ส่วนสองพระนางเราก็ถึงจะหน้าตาดี เต้นเก่ง แต่ทว่าเหมือนจะไม่ค่อยมีเสน่ห์ยามอยู่บนจอร่วมกัน (ความเห็นส่วนตัว) ครั้นจะดูที่ฉากการเต้น ก็มาแบบธรรมดาๆ ภูธรๆ ไม่ชวนอู้หูอ้าหาเหมือนพวก Step Up หรือหนังเต้นๆ ส่วนใหญ่ในทุกวันนี้


ดาราดังในอดีตตบเท้ามารับบทคุณพ่อคุณแม่ในเรื่องนี้
มีคนบอกว่าการดูหนังรีเมคให้สนุกคือห้ามนำไปเปรียบเทียบกับต้นฉบับ แต่คงต้องบอกว่าแม้จะไม่นำไปเปรียบเทียบก็ยังพบว่าหนังเรื่องนี้มาด้วยพล็อตที่เชยและออกมาธรรมดาไป นี่เราไม่ได้กำลังบอกว่าหนังห่วยหรอกนะ คือถ้าจะดูก็โอเค ไม่เสียหายเสียเวลาเสียเซลฟ์อะไรหรอก แต่ว่าถ้าจะดู Footloose ล่ะก็ ดูเวอร์ชั่นต้นฉบับของ Kevin Bacon น่ะดีที่สุดแล้วล่ะครับพี่น้อง ขอบอก
  • + อัพเดทหนังฮิตสมัยคุณน้ายังเอ๊าะให้คนรุ่นใหม่ได้รู้จัก คอหนังเต้นกระจายทราบแล้วเปลี่ยน
  • - พล็อตธรรมดาและเชยไปแล้วในยุคนี้ ฉากการเต้นก็ยังธรรมดาซะอีกนั่น





*ย้อนรอยหนังต้นฉบับ*

Kevin Bacon สมัยยังเอ๊าะ
หนังวัยรุ่นเต้นกระจายของ Kevin Bacon เรื่องนี้นั้นแต่เริ่มแรกเดิมทีผู้สร้างเล็งสองดาราวัยรุ่นมาแรงแห่งยุค (นั้น) ไว้สองคนคือ Tom Cruise และ Rob Lowe แต่สองคนนั่นติดโน่นติดนี่เลยไม่ได้มาเล่น ส้มเลยหล่นไปที่ Bacon ที่ถึงไม่ดังเท่าแต่ก็กำลังสดน่างาบ แม้หนังจะไม่ได้รับการตอบรับจากบรรดานักวิจารณ์แต่ก็ฮิตกระจายซะทั้งหนังทั้งเพลงประกอบชื่อเดียวกับหนังของ Kenny Loggins (ราชาเพลงป็อปขายพ่วงหนังแห่งยุคนั้น) จนทำเงินไปกว่า 80 ล้านเหรียญเลยทีเดียว

ทุกวันนี้หนังขึ้นหิ้งคลาสสิกไปซะแล้ว เพราะสามารถสะท้อนยุคสมัย สะท้อนไลฟ์สไตล์ของวัยรุ่นยุคนั้นได้ดี วัยรุ่นยุคโน้นที่กลายเป็นคุณพ่อคุณแม่แล้วในทุกวันนี้ยังนิยมหยิบหนังมาตอบสนองอารมณ์ถวิลหาอยู่เนืองๆ จนวันดีคืนดีก็มีคนเอามารีเมคใหม่นี่แหล่ะ นี่ได้ข่าวว่า Kevin Bacon ก็ถูกชวนให้โผล่มาเป็นดารารับเชิญในเวอร์ชั่นรีเมคนี้เหมือนกัน แต่เขาก็ปฏิเสธไปด้วยเหตุผลที่ว่า 'นักแสดงนำไม่เข้าตา' ฮ่าๆ ให้เหตุผลขวานผ่าซากแบบนี้เลยเหรอครับเพ่ :D


เพลงฮิตของ Kenny Loggins จากหนัง





 

Create Date : 06 กุมภาพันธ์ 2555    
Last Update : 6 กุมภาพันธ์ 2555 8:37:43 น.
Counter : 3306 Pageviews.  

The Iron Lady (2011): นายกหญิง โลกจารึก


The Iron Lady (2011) :
ไม่มีบทบาทไหนจะท้าทายบรรดานักแสดงเจ้าบทบาทได้เท่ากับการรับบทผู้มีชื่อเสียงระดับโลกที่ยังมีชีวิตอยู่ ยิ่งถ้าเป็นระดับเจ้าคนนายคนด้วยแล้วล่ะก็ มันช่างท้าทายฝีมือแบบสุดๆ เพราะมีของจริงเปรียบเทียบกันให้เห็นจะๆ เรียกได้ว่าถ้าฝีมือไม่ถึงจริงก็ต้องถูกรุมสับเละเทะ แต่ถ้าทำได้ดีถูกใจชาวประชาก็ย่อมส่งผลดี การันตีได้ว่างานนี้ต้องมีสิทธิ์ขึ้นไปเฉิดฉายบนเวทีแจกรางวัลหนังต่างๆ ได้เลยนะขอบอก (โดยเฉพาะออสก้าร์)


Meryl Streep จะซิวออสก้าร์จากเรื่องนี้ (หรือไม่?)
หลังจากห้าหกปีก่อนป้า Helen Mirren คว้าออสก้าร์นำหญิงจากการรับบทพระราชีนี Elizabeth ที่สองแห่งสหราชอาณาจักร ใน The Queen (2006) คราวนี้ก็ถึงคิวของป้า Meryl Streep มาสวมบทบาทสตรีโลกจารึกอีกท่านจากสหราชอาณาจักรบ้างล่ะ ซึ่งนั่นก็คือนาง Margaret Thatcher (ปัจจุบันได้รับบรรดาศักดิ์เป็นบารอนเนส) นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกและคนเดียวแห่งอังกฤษที่ดำรงตำแหน่งระหว่างปี ค.ศ.1979-1990 ด้วยคาแร็คเตอร์ที่เด็ดขาด เด็ดเดี่ยว แข็งกร้าว ยอมหักไม่ยอมงอ ของท่านทำให้ได้รับสมญานามว่า 'สตรีเหล็ก' (The Iron Lady) นั่นเอง


ดูมาดนางพญาที่ผู้ชายยังต้องหดไปตามๆ กัน
ผกก.Phyllida Lloyd ขอคิดการใหญ่ โดยจูงมือป้า Streep มาร่วมงานกันอีกครั้ง (หลังจาก Mamma Mia! [2008]) และเล่าเรื่องของนาง Thatcher ในวัยเหลาเหย่ ที่หวนระลึกถึงชีวิตของตนตั้งแต่ครั้งยังแรกรุ่น เป็นลูกสาวเจ้าของร้านของชำผู้ฝักใฝ่การเมือง ไปยันเริ่มเข้าสู่เส้นทางการเมือง แต่งงานมีครอบครัวกับชายที่เกิดมาเพื่อเธอ ได้เป็นนายกหญิงคนแรกของอังกฤษ และผ่านสงครามการเมืองอันโชกโชน ผ่านร้อนผ่านหนาว ทั้งยุคสมัยแห่ง ชัยชนะ หยาดน้ำตา ความล้มเหลว ซึ่งทุกสิ่งเหล่านี้ล้วนทำให้ประวัติศาสตร์โลกต้องจารึกชื่อของผู้หญิงคนนี้ไว้ตลอดกาล


เบื้องหลังสตรีเหล็กยังมีผัวสตรีเหล็ก
หนังเล่าเรื่องตัดสลับไปมาระหว่างยุคสมัยต่างๆ ของเธอ ด้วยลีลาท่าทางที่ค่อนข้างชวนสับสนอยู่บ้าง และเสนอเรื่องราวทางการเมืองแบบผ่านๆ เผินๆ ไม่ค่อยลงลึกมากนัก แต่จะเน้นไปที่การเป็นผู้หญิงแกร่ง ความเด็ดเดี่ยวมุ่งมั่นของเธอในสังคมที่ปกครองโดยผู้ชาย ซึ่งเธอมักโดนผู้ชายดูถูกไว้ก่อนแม้กระทั่งได้เป็นนายกแล้วก็ไม่วายจะโดน และความรักมั่นคงของเธอที่มีต่อสามีสุดที่รัก (รับบทโดย Jim Broadbent) ที่ก็ชวนซึ้งแบบหลอนๆ ประมาณหนังผีอยู่เหมือนกันนะ (อิอิ)


เปรียบเทียบหน้าตาตัวปลอมกับตัวจริง
และแน่นอน ส่วนที่ดีที่สุดของหนังก็คือการแสดงของป้า Streep ที่เล่นดีมีพลังเสียจนดูแล้วอยากจะปูผ้ากราบงามๆ (ให้ออสก้าร์แกไปอีกสักตัวเห๊อะ) ป้าแบกรับหนังทั้งเรื่องไว้ได้อย่างสบาย เอาเป็นว่ารวมๆ แล้วหนังออกมาระดับดูได้ ให้ความรู้ทางประวัติศาสตร์ของอังกฤษและสังคมโลกยุคนั้น มีวลีเด็ดๆ ของนายกปูเอ๊ย! นายก Thatcher ให้ฟังและเก็บไปคิด แต่การได้ป้า Streep มาชูโรงนั้นทำให้หนังออกมาดูดีขึ้นอีกสิบเท่า ด้วยการแสดงระดับคุ้มค่าน้ำตาไหล แฟนๆ ป้าจะพลาดได้อย่างไรล่ะงานนี้
  • + โดดเด่นที่การแสดงของป้า Streep ล้วนๆ ชนิดที่ดูแล้วขอเชียร์ป้าให้ซิวออสก้าร์เลยจ้า
  • - การเล่าเรื่องยังชวนสับสนไปบ้าง และแตะประเด็นการเมืองการปกครองเผินๆ ไม่ลงลึกเท่าไหร่




*รีวิวหนังของป้า Streep เรื่องอื่นๆภายในบล็อก*





 

Create Date : 05 กุมภาพันธ์ 2555    
Last Update : 5 กุมภาพันธ์ 2555 7:59:58 น.
Counter : 2345 Pageviews.  

Take Shelter (2011): บ้าก็บ้าสิจ้ะ


Take Shelter (2011) :
นี่ก็เป็นนักแสดงชายยอดฝีมืออีกรายที่หน้าตาไม่หล่อแต่การแสดงเร้าใจยิ่ง เขานั้นหรือก็คือยอดชายนาย Michael Shannon (37 ขวบ) ซึ่งมักเล่นบทคนที่แลไม่ค่อยปกติสุขนัก และโผล่เรื่องไหนก็มักจะเล่นดีจนเป็นตัวขโมยซีน เลยแจ้งเกิดอย่างงดงามใน Revolutionary Road (2008) ที่ส่งให้เขาได้เข้าชิงออสก้าร์สมทบชายยอดเยี่ยมเสียด้วยนะ (แต่แห้วกินให้แก่ Heath Ledger ผู้ล่วงลับ)


หอบลูกวิ่งหนีอะไรน่ะเพ่?
สำหรับเรื่องนี้ของพี่แกนั้นก็ไปได้สวยทางด้านคำวิจารณ์ (ซึ่งสวนทางกับรายรับ) จนหนังเดินสายขึ้นเวทีแจกรางวัลต่างๆ เสียให้วุ่น แต่ก็ดันตกขบวนรถด่วนสายออสก้าร์ไปอย่างน่าเสียดาย หนังว่าด้วยเรื่องราวของ Curtis (Shannon) คนธรรมดาๆ ที่เริ่มฝันว่าจะมีพายุรุนแรงเกิดขึ้นจนเขาวิตกจริตและเริ่มสร้างหลุมหลบภัยขึ้นมาท่ามกลางความมึนงงของคนรอบข้างที่มองว่าไอ้หมอนี่มันบ้าไปแล้ว ซึ่งแม้แต่ตัวเขาเองก็ยังแอบคิดอยู่เหมือนกันว่า 'เอ๊ะหรือตูจะบ้าจริงหนอ?' (ซะงั้น)


ไหงทำหน้าซีเรียสเยี่ยงนั้น
ผกก.Jeff Nichols ที่เคยร่วมงานกับ Shannon มาก่อนในหนังดีที่ไม่ค่อยมีใครได้ดูอย่าง Shotgun Stories (2007) กลับมาแท็กทีมกันอีกครั้งได้อย่างน่าพอใจ หนังมาในสไตล์ระทึกเงียบไม่อึกทึกครึกโครม โดยค่อยๆ สร้างบรรยากาศมาคุ ชวนสงสัยแก่คนดูว่าตกลงหมอนี่มันบ้าหรือว่าเห็นนิมิตจริงๆ กันแน่ ในขณะที่สองนักแสดงนำอย่างนาย Shannon และนักแสดงยอดฝีมือรุ่นใหม่อีกคนอย่างสาว Jessica Chastain ก็ล้วนทำหน้าที่ของตนได้แจ่มแจ๋วตามฟอร์มอยู่แล้ว


ดูเหมือนวันนี้จะมีฝนตกฟ้าคะนอง
ด้วยความที่หนังทุนต่ำเลยไม่มีฉากวินาศสันตะโรให้เห็น แต่เท่าที่มี งานด้านซีจีก็ทำออกมาได้น่าเชื่อถือสมจริงดี และจะว่าไปแล้วมันกลับสร้างความระทึกทรวงได้มากกว่าการมีให้เห็นกันจะๆ เยอะๆ เสียอีกด้วยซ้ำไป (แต่ถ้ามีให้เห็นเยอะกว่านี้อีกนิดก็ดีนะ อิอิ) ดังนั้นใครคาดหวังจะเห็นฉากหายนะเพิงหมาแหงนถล่มทั้งหลายล่ะเมินได้เลย หนังเขาเน้นขายการแสดงและบรรยากาศอึมครึมชวนสงสัยซะมากกว่านะจ้ะ


ดูก็รู้ว่าคนไหนตด
เอาเป็นว่าถ้าคาดหวังถูกจุดจะพบว่านี่เป็นหนังที่แจ่มอีกเรื่องหนึ่ง แต่ถ้ามองแบบกลางๆ แล้วหนังก็ไม่ถึงกับดีเด่นได้โล่อะไรมากมายนัก เรียกว่าดูกันได้ดูกันดีมากกว่า แต่พับเผื่อยเหอะตอนต้นเรื่องเราก็อุตส่าห์ดีใจที่เห็นพี่แกเล่นบทคนปกติสุขกับเขาบ้าง แต่ไปๆ มาๆ แกก็ออกแนวสติแตกอันเป็นเครื่องหมายการค้าของแกอีกแล้วครับทั่น เอาน่ะ ก็แกเกิดและเกิดมาเพื่อสิ่งนี้นี่เนอะ ก็ต้องซูฮกให้แหล่ะ เหอๆ
  • + หนังดราม่าชวนสงสัย เด่นที่การแสดง บรรยากาศ ไม่เลวทีเดียว
  • - อย่าคาดหวังว่าจะเป็นหนังแนวหายนะโลกเชียวนะ







 

Create Date : 03 กุมภาพันธ์ 2555    
Last Update : 3 กุมภาพันธ์ 2555 16:45:49 น.
Counter : 3807 Pageviews.  

The Hunter (2011): พรานเหี่ยวล่าป่ากระจุย


The Hunter (2011) :
ลุงเหี่ยว Willem Dafoe (57 ขวบ) นับเป็นนักแสดงเจ้าบทบาทที่ถึงแม้หน้าตาไม่หล่อแถมเหี่ยวมาแต่ไหนแต่ไรอีกต่างหาก ทว่าก็เท่ได้ใจจนเป็นอีกคนที่มีผลงานออกมาอย่างสม่ำเสมอแม้ว่าส่วนใหญ่แกจะมาในบทสมทบประเภทตัวประกอบกิตติมศักดิ์ก็ตามที


พรานเหี่ยวตะลุยแทสมาเนีย
มาคราวนี้แกขอเป็นพระเอกเต็มตัวอีกครั้งกับบทบาทของพรานหน้าเหี่ยวแต่ฝีมือสุดเก๋าจากอเมริกาที่ถูกว่าจ้างโดยบริษัทเอกชนยักษ์ใหญ่ให้มุ่งหน้าสู่เกาะแทสมาเนีย (เป็นส่วนหนึ่งของออสเตรเลีย) เพื่อออกตามล่าตัว 'เสือแทสมาเนีย' ที่เชื่อว่าเป็นตัวสุดท้ายในโลกแล้ว ซึ่งการหาตัวมันให้เจอนั้นก็เป็นอะไรที่ยากยังกับงมเข็มในป่าดงดิบเลยทีเดียวเชียว


เหมือนจะเป็นแค่หนังแอ็คชั่นพื้นๆ
ดูหน้าหนังแล้วชวนให้คิดไปว่านี่เป็นหนังแอ็คชั่นมันส์ๆ แต่ที่จริงแล้วออกแนวดราม่าเงียบๆ เรื่อยๆ ไม่กระโตกกระตากซะมากกว่า เพราะเวลาของหนังส่วนใหญ่หมดไปกับฉากการออกตามรอยเสือแทสมาเนียของพระเอกท่ามกลางป่าเขาตามลำพัง สลับกับเรื่องราวของการผูกมิตรกับสามแม่ลูกที่แกไปเช่าห้องอยู่ด้วย และความขัดแย้งระหว่างพวกตัดไม้ทำลายป่ากับกลุ่มอนุรักษ์ธรรมชาติ

ใครอยากเห็นวิวทิวทัศน์ของแทสมาเนียเชิญเรื่องนี้
เหมือนจะมันส์แต่ก็ไม่ แต่จะว่าน่าเบื่อก็ไม่เช่นกัน เพราะหนังดูได้เพลินๆ ตลอดชั่วโมงครึ่งกับวิวทิวทัศน์ของแทสมาเนีย และเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยน่ารู้ในการเดินป่า ที่สำคัญคือประเด็นหลัก เมื่อมนุษย์บุกรุกทำลายธรรมชาติเพื่อผลประโยชน์ของตนจนสามารถกำจัดทุกคนที่ขวางทางได้ ในขณะที่พล็อตรองที่มีเด็กๆ มาเกี่ยวข้องก็น่าประทับใจทีเดียว จนนับเป็นหนังออสเตรเลียเล็กๆ ที่คุณภาพไม่เล็กอีกเรื่องหนึ่งเลยนะขอบอก
  • + หนังดราม่าท่ามกลางป่าเขาธรรมชาติที่ทำออกมาได้เข้าท่า ดูเพลินไม่ใช่เล่น
  • - ไม่บู๊ไม่มันส์อย่างที่หน้าหนังชวนคิด




*อันเนื่องมาจากหนัง*

หน้าตาของเสือแทสมาเนีย (หน้าเหมือนไอ้ด่างข้างถนนชอบกล)
สำหรับคนที่นึกหน้าตาของเสือแทสมาเนียไม่ออกเราก็มีรูปและเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยของมันมาให้ยลกัน ซึ่งมันคือสัตว์กินเนื้อที่มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า 'Thylacine' แต่ชาวบ้านส่วนใหญ่จะรู้จักกันในนาม 'เสือแทสมาเนีย' (เนื่องด้วยลายพาดตรงหลังของมัน) หรือไม่ก็ 'หมาป่าแทสมาเนีย' โดยถิ่นฐานของพวกมันจะอยู่ในแถบ ออสเตรเลีย นิวกีนี และแทสมาเนีย ซึ่งการบุกรุกไปตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ก็เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้พวกมันสูญพันธุ์ไปตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 20

แต่เมื่อเร็วๆ นี้ก็ยังมีบางคนอ้างว่าพบเห็นร่องรอยของพวกมันในป่าอยู่ จนมีการตั้งรางวัลสำหรับผู้ที่จับมันมาพิสูจน์แบบเป็นๆ ได้ ซึ่งก็สูงถึงหนึ่งล้านเจ็ดแสนห้าหมื่นเหรียญเลยก็มี แต่ก็ไม่มีใครจับมันมาได้สักคน อีกทั้งการตั้งกับดักจับสัตว์ที่ใกล้สูญพันธุ์นั้นก็ผิดกฏหมายด้วย ดังนั้นทุกวันนี้ เสือแทสมาเนีย จึงเป็นสัตว์ในตำนานอีกชนิดไปในที่สุด

*คัดข้อมูลบางส่วนมาจาก wikipedia จ้า*


*รีวิวหนังที่เกี่ยวกับเกาะแทสมาเนียเรื่องอื่นๆ ภายในบล็อก*







 

Create Date : 02 กุมภาพันธ์ 2555    
Last Update : 2 กุมภาพันธ์ 2555 21:03:44 น.
Counter : 8213 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  

Nanatakara
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 43 คน [?]




  • Friends' blogs
    [Add Nanatakara's blog to your web]
    Links
     

     Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.