|
ใครจะได้ขี่ลา มาทำเนียบขาว
นัดเพื่อนๆสองสามคนไว้จะคุยเรื่องเลือกตั้งอเมริกากันเลย วันนี้ผมก็ขอบันทึกเรื่องนี้ก็แล้วกัน
ความทรงจำผมที่มีต่อการเลือกตั้งที่อเมริกาครั้งแรกสุดคือ คราวเมื่อเกือบ 16 ปีก่อนในปี 1992 ที่ นาย บิล คลินตัน เฆี่ยน เจ้าของตำแหน่งอย่าง จอร์จ บุช ผู้พ่อเสียยับเยิน ได้เป็น ปธน. ตอนอายุแค่ 46 ปีเท่านั้น
ก่อนอื่นจะต้องบอกว่าพรรคการเมืองใหญ่ๆที่อเมริกา เรารู้ว่ามีอยู่สองพรรค ปัจจุบันพรรคที่ครองทำเนียบขาวอยู่คือพรรค รีพับรีกัล ที่นาย บุช สังกัดอยู่ ซึ่งทำนโยบายได้น่าสังเวชจนหลายๆคนคิดว่าควรจะเกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่างได้แล้ว
ความสนใจจึงมุ่งมายังพรรคเดโมแครต ที่จะหาใครเป็นตัวแทนพรรคเข้าชิงตำแหน่ง เพราะตัวเก็งทั้งสองคือ นาย บารัก โอบาม่า กับ นาง ฮิลลารี่ คลินตัน มีจุดที่น่าสนใจทั้งคู่ เพราะคนหนึ่งคือคนผิวสี อีกคนเป็นสุภาพสตรี
ในการเลือกตั้งของอเมริกา พรรคของเขาถือว่าเป็นของประชาชนจริงๆ ดังนั้น การที่ใครสักคนจะเสนอตัวเป็น ปธน. ประเทศในนามของพรรค จะต้องผ่านการคัดเลือกครับ ไม่ใช่เอามติพรรคคัดกันเอง แล้วบอกว่า นายสมัคร นี่แหละ หัวหน้าพรรคและจะได้เป็นนายกฯ
อย่างนาย บุช หรือ นาย บิล คลินตัน นี่ไม่ใช่หัวหน้าพรรค รีพับรีกัล หรือ เดโมแครต นะครับ เป็นแค่ ตัวแทนที่ได้รับการคัดเลือกเท่านั้น
การเลือกครั้งนี้เขาเรียกว่า ไพมารี่ โหวต ซึ่งไม่ใช่แค่ตำแหน่ง ปธน. เขาใช้สำหรับคัดตัวแทน วุฒิสมาชิก / สส. / ผู้ว่าการรัฐ ด้วย คือ จะมีคนมากมายเสนอตัวเป็นตัวแทนพรรคชิงตำแหน่งต่างๆ
ที่นี่คนที่ลงทะเบียนไว้ว่าเป็นเดโมแครตก็จะเลือกเอาคนเหล่านั้น และทำกันทุกรัฐนะครับ ใครได้คะแนนเสียงเท่าไรก็ตุนกันเอาไว้เขาเรียกว่า Delegate พวกรีพับรีกัลก็เช่นกัน ก็เก็บคะแนนกันไป
มวยคู่เอกตอนนี้ก็เป็นคู่ที่ว่า เพราะถึงตอนนี้ นางฮิลลารี่ คลินตัน วุฒิสมาชิกรัฐนิวยอร์กและอดีตสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งของสหรัฐชนะที่รัฐนิวแฮมเชียร์ ถือว่าฮือฮา เพราะฉีกโพลล์กระจุยและนิวแฮมเชียร์เป็นรัฐใหญ่คะแนนแยะ แต่ นาย โอบาม่าที่เคยชนะในรัฐเล็กอย่างไอโอว่าก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ ขณะนี้ก็ไปหาเสียงในรัฐนิวเจอร์ซีย์และยังได้รับการต้อนรับอย่างดี
เดือนกุมพาพันธ์ยังมี 20 กว่ารัฐให้เลือกกัน ก็คงเห็นหน้าเห็นหลังกันคราวนั้น แต่อย่างไรก็ตามการที่สื่อและคนอเมริกันจ้องการแข่งไพมารี่โหวตของแดโมแครตกันขนาดหนักอย่างนี้ คงทำให้ฝั่งรีพับรีกัลวิตกไม่น้อย เพราะแสดงว่าคนไม่พอใจการบริหารงานของ นาย บุช อย่างมากจนอยากจะเปลี่ยนอะไรๆเสียที
วันนี้ก็คุยกันแต่พรรค เดโมแครต ก่อน พรรคนี้มีตราพรรคเป็นลาครับ ผมจึงเขียนหัวเรื่องว่า ใครจะได้ขี่ลา พรรคนี้ถ้าแปลเป็นไทยก็ได้ชื่อว่า พรรคประชาธิปปัตย์ ซึ่งผมออกจะชอบมากกว่า รีพับรีกัล เพราะนโยบายจะออกไปทางซ้ายหรือเสรีนิยม (ลองเปรียบเทียบสมัย คลินตัน กับ บุช ดูก็ได้) นโยบายต่างประเทศจะออกไปทางประณีประนอม ไม่ก้าวร้าวเหมือนรีพับรีกัล
พรรคนี้ชนชั้นแรงาน คนผิวสีจะชอบครับ กว่า 70 เปอร์เซ็นต์จะเป็นคนถือศาสนาคาทอลิก เน้นการให้สิทธิ์เสรีภาพและสวัสดิการต่างๆ และเข้าไปควบคุมทุนใหญ่กับงบประมาณทางการทหารมากกว่ารีพับรีกัล
คงต้องรออีก 2-3 เดือนจึงจะชัดเจน แต่ผมว่า นาง คลินตัน น่าจะชนะ แต่การแข่งขันรุนแรงทำให้ผมเป็นห่วงนิดๆ
จริงๆ มันมีบทเรียนมาแล้ว เมื่อคราวปีที่ นาย ไมเคิล ดูกากิส ชนะ ไพรมารี่โหวต สาธุคุณ แจสซี่ย์ แจ๊คสัน ซึ่งเป็นนักเทศน์ผิวดำนั้น นาย แจ๊คสัน ผู้แพ้ไม่พอใจหลายๆอย่าง จึงไม่ยอมเทคะแนนให้คราวเลือกตั้งใหญ่ ผลก็คือ นาย ดูกากิส ต้องแพ้นาย จอร์จ บุช ผู้พ่อไปแบบขาดลอย
คราวนาย คลินตัน เขาแข่งไพมารี่โหวตกับนาย อัล กอร์ มาก่อนและพอแข่งไปได้ระยะหนึ่งจึงเจรจากันได้ และ นาย กอร์ มาเป็นคู่สมัครในตำแหน่งรอง ปธน.
ถ้านางคลินตัน เจรจากับ โอบาม่าเอามาคู่กันได้ คนที่เซ็งที่สุดก็เห็นจะเป็นผู้ชนะไพมารี่โหวตของรีพับรีกัลล่ะครับ เพราะแทบปิดประตูชนะกันเลยทีเดียว
Create Date : 12 มกราคม 2551 | | |
Last Update : 12 มกราคม 2551 12:34:00 น. |
Counter : 797 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
เรื่องของคนเขียนบทหนัง
บล๊อคนี้พักท่องเที่ยวก่อนเพราะมีเพื่อนบล๊อค(ตั้ง) 2 คนขอให้ผมบันทึกเรื่องเกี่ยวกับคนเขียนบทหนังในฮอลีวู๊ด อันนี้จากความทรงจำเลยนะครับ
คนเขียนบทในทั่วๆไปแล้วจะแบ่งเป็น 2 ประเภท
แบบแรกเขาเรียก Writing, Screenplay Written Directly for the Screen แปลว่าเป็นคนเขียนบทที่ครีเอทคิดบทออกมาด้วยตนเอง ทั้งพล๊อคเรื่องและตัวละครต่างๆเป็นความคิดริเริ่มของเขาแต่เพียงผู้เดียว(หรือทีมเดียว)
แบบที่สองคือ Writing, Screenplay Based on Material Previously Produced or Published แปลว่าเป็นผู้ที่ดัดแปลงบทภาพยนตร์มาจากนวนิยายหรือละครเวทีต่างๆ มาเป็นหนังเรื่องหนึ่ง
แต่เดิมรางวัลใหญ่ๆอย่างออสก้าร์หรือลูกโลกทองคำมีเพียงรางวัลเดียวคือบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยมเพิ่งมาเปลี่ยนเอาเมื่อไม่กี่สิบปีมานี้
ผู้เขียนบทมีอิทธพลมากแค่ไหนในวงการภาพยนตร์เป็นเรื่องพูดยาก เพราะในการขายบทให้ผู้สร้างในฮอลีวู๊ดนั้นมีหลายรูปแบบ บรรดาผู้อำนวยการสร้างต่างๆจะมีทีมงานที่เรียกว่า book editer คือผู้ที่ย่อเอาหนังสือต่างๆที่มีอยู่ในตลาดและมีแววว่าจะเป็นหนังที่นิยมส่งมาให้ผู้อำนวยการสร้างทั้งหลาย หรือทีมการตลาดในสตูดิโอนั้นๆได้วางแผนแล้วว่าหนังรูปใดใด หรือดาราคนไหนเป็นที่นิยม ก็จะว่าจ้างให้นักเขียนบทมาเขียนบทภาพยนตร์ให้ต่อไป
ว่ากันว่า book editer นั้น สามารถย่อหนังสือหนาถึงหลายพันหน้าอย่างพระคัมภีร์ไบเบิ้ลได้เหลือเพียง 2 หน้าเท่านั้น
ถ้าในสองกรณีที่ว่ามานี้ผู้เขียนบทจะไม่ค่อยมีอิทธิพลเท่าไรเพราะถ้าไม่ทำ สตูดิโอสามารถจ้างคนอื่นๆที่ต้องการทำงานซึ่งมีมากมายได้ไม่ยาก อีกอย่างผู้กำกับบางคนก็มีความเชื่อมั่นในทางกำกับของตัวเองสูง และไม่สนใจในฝีมือคนอื่นๆก็มีไม่น้อย
วู๊ดดี้ อัลเลน ไม่เคยให้ใครเขียนบทให้เลย
ผู้กำกับบางคนจึงไม่ยอมให้คนอื่นเขียนบทให้เลย จะกำกับภาพยนตร์จากบทของตนเองเขียนเท่านั้น ยุคเก่าก่อนก็เช่น นาย ชาร์ลี แชปปลิ้น / ปีเตอร์ ฟอนดา หรือ ยุคกลางๆเก่าก็เช่น จอร์จ ลูคัส หรือ วู๊ดดี้ อัลเลน ท่านมุ้ย ส่วนยุคใหม่ๆก็เช่น เอ๊ดเวิทร์ เบรินท์ / เควนติน ทราแรนติโน แต่ในอีกทางผู้กำกับที่เก่งๆหลายๆคนก็ไม่เคยเขียนบทเองเลย ใช้แต่มือเขียนบทที่จ้างเอาเท่านั้น เช่น Alfred Hitchcock / สตีเว่น สปริลเบริกท์ / มาร์ติน สกอร์เซอร์เซ่ / ไมเคิล เบย์ เป็นต้น อย่างไรก็ตามผู้กำกับเหล่านี้(ยกเว้นสปริลเบริก) ก็จะมีมือเขียนบทที่รู้ใจประจำตัวเอาไว้ คอยเขียนบทให้กำกับเรื่อยๆ
แต่ก็มีนักเขียนบทบางคนที่สามารถสร้างบทดีๆได้ด้วยตนเองจนมีชื่อเสียงและสตูดิโอเกรงใจ เช่น ซิลเวอร์เตอร์ สตาโลน ที่เขียนบทหนังอย่าง ร๊อคกี้ จนทำให้ตนเองเป็นดาราค้างฟ้าติดต่อมาจนเกือบ 20 ปี จะว่าไปบรรดาคนเขียนบททั้งหลายต่างก็มุ่งหมายที่จะได้เป็นผู้กำกับกันทั้งนั้น แต่จะประสบความสำเร็จหรือไม่ก็อีกเรื่อง เช่น นาย Kevin Williamson ผู้เขียนบทเรื่อง scream ที่พอกำกับหนังเองก็แทบจะหมดอนาคตในวงการเลยทีเดียว หรือนักเขียนบางคนอย่าง สไปท์ จอนห์ ( being john malcovic / adaptation ) ก็ไม่ยอมกำกับเลย เขียนแต่บทเพียงอย่างเดียวก็โด่งดัง
ปรกตินักเขียนบทจะมีรายได้จากค่าบท บางคนที่มีชื่อเสียงสตูดิโอก็จะจ่ายค่าจ้างไปก่อนเลย โดยที่ไม่ต้องดูบท ที่ฮือฮามากๆก็เช่น ราว 15 ปีก่อนที่นาย เชน เบล๊ค ที่เพิ่งประสบความสำเร็จจาก Lethal Weapon (ริกส์ คนมหากาฬ) ทั้ง 3 ภาคสตูดิโอจึงยอมจ่ายเงินถึง 3.75 ล้านเหรียญ สำหรับบทหนังอย่าง the long kiss goodnight (ซึ่งล้มกระจุย) ที่ตอนจ่ายเขายังไม่ได้เขียนเลยซักตัว
นาย เชน แบล๊ค เคยครองตำแหน่งนักเขียนบทค่าตัวสูงสุดคือ 3.75 ล้าน / เรื่อง
แต่บางคนที่ยังไม่มีชื่อเสียงก็ต้องดิ้นรนเอามาก กว่าผลงานที่ตัวเองเขียนจะมีโอกาสได้สร้างเป็นภาพยนตร์ ผลประโยชน์พวกเขานอกจากค่าบท บางคนอาจขอถือลิขสิทธิ์ไว้ในกรณีทำภาคต่อ แต่ส่วนใหญ่มักจะเป็นการซื้อขาดจากสตูดิโอ จะได้สตางค์เพิ่มก็เมื่อหนังทำรายได้ไปถึงระดับหนึ่งเท่านั้น (เช่นถ้าได้ 100 ล้านเหรียญ เจ้าของบทได้อีก 1 เปอร์เซ็นต์)
การประท้วงในครั้งหมายถึงอะไร
เท่าที่ทราบ พวกเขาขอลิขสิทธิ์ในการนำภาพยนตร์ไปหารายได้ทางอื่นๆ เช่น ดีวีดี หรือ ขายทางเคเบิลทีวี อินเตอร์เนต เป็นต้น จาก 4 เซนต์เป็น 8 เซนต์ ซึ่งก็เป็นเรื่องใหม่และเราต้องติดตามดูกันต่อไป เพราะทุกวันนี้ค่ารายได้จากการขายและให้เช่าแผ่นดีวีดีสูงมาก จนเกือบจะได้ครึ่งส่วนหรือมากกว่าด้วยซ้ำ เพราะค่าแผ่นหนังบางเรื่องถูกกว่าตั๋วหนังเสียอีก พอตลาดพวกนี้โตมากขึ้น พวกเขาก็ย่อมจะเรียกร้องผลตอบแทนในอีกทาง นอกจากที่กล่าวไปแล้วเรื่องรายได้อื่นๆ จริงๆเรื่องนี้มันก็มีช่องทางไว้ คราวที่ จอร์จ ลูคัส เขียนบทเรื่อง สตาร์วอร์เสร็จ ข้อเสนอหนึ่งของเขาต่อสตูดิโอ คือเขาขอลดค่าบทภาพยนตร์และค่ากำกับลดลงไปอีกเท่าตัว แต่ขอเอาลิขสิทธิ์ภาคต่อและตัวละครทั้งหมดไว้
ก็เรียกว่าแทงหวยถูก เพราะจนทุกวันนี้สตาร์วอร์กลายเป็นขุมทรัพย์ที่ลูคัสและลูกหลานน่ะ อย่าว่ากินกันแต่ชาตินี้เลย กินไปอีกกี่สิบชาติก็ไม่หมด
สำหรับผมคนเขียนบทจะว่าไปก็เหมือนคนออกแบบบ้าน บางคนออกแบบตามใจคนจ้าง บางคนออกแบบตามใจตัวเองแล้วเอาไปขาย บางคนที่อารมณ์ศิลปินมากหน่อย ใครไปแก้แบบก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟเลยทีเดียว แต่เอาเข้าจริงๆสิทธิ์ขาดมักจะอยู่ที่ผู้อำนวยการสร้าง รองมาก็ผู้กำกับ รองมาอีกก็ดารานำ(ที่มักจะแก้บทโดยพละการบ่อยๆ เพราะมักคิดไปเองว่าจะทำให้ตัวเองดูดีกว่า) นักเขียนบทพอขายเรื่องไปแล้ว ก็หมดสิทธิ์จะทำอะไรไปเลยทีเดียว
เท่าที่ผมดูนะเพื่อนทั้งสอง - ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร - เพราะสมาคมนักเขียนบทภาพยนตร์ของสหรัฐหรือไรต์เตอร์สกิลด์ ออฟ อเมริกา ที่ประท้วงย่อมทำได้ตามเสรีภาพ และนักเขียนส่วนใหญ่ก็อยู่ในสมาคม คงจะร่วมมือร่วมใจเรียกร้องเอารายได้ที่พวกเขาสมควรได้รับเอามาได้
ในอดีตเคยมีมาแล้วในปี ในปี 2531 ซึ่งนานถึง 22 สัปดาห์ มีผลเสียหายแก่อุตสาหกรรมภาพยนตร์และโทรทัศน์กว่า 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือราว 17,000 ล้านบาท คิดว่าคราวนี้บรรดาสตูดิโอคงไม่ปล่อยให้เสียหายมากมายขนาดนั้น น่าจะสรุปได้เร็วๆนี้เองครับ
Create Date : 09 มกราคม 2551 | | |
Last Update : 9 มกราคม 2551 12:12:07 น. |
Counter : 1173 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
| |
|
|