หนัง เพลงที่ฟัง หนังสือที่อ่าน และการเมืองด้วยครับ
Group Blog
 
All Blogs
 

Hostel - บทสั่งสอนนักท่องเที่ยว

เมืองไทยเรานี้ เป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยม แต่ก็นั่นแหละ บางครั้งผมรู้สึกไม่ชอบใจในบางเรื่อง



ใบปิดหนังเรื่องนี้ในฮ่องกง (มั้ง) ขาย เควนติน ตาเรนติโน ผู้อำนวยการสร้างก่อนเลย

Hostel เป็นหนังสยองขวัญที่ผมชอบมากๆ ในรอบปี ผมเองเป็นขาประจำหนังโหด เกรดบีพวกนี้อยู่แล้ว ได้แผ่นแบบ no rate มายิ่งสะใจ หลายๆคนมักจะประนามว่าไร้สาระ แต่จริงๆแล้วผมรู้สึกเสมอมันแฝงอะไรไว้ให้คิดมากกว่านั้น โดยเฉพาะประเด็นทางสังคม อย่างในยุค 50 หนังสยองขวัญเกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาว จานบินต่างๆ คือการสะท้อนปัญหาเสียดสีสังคมยุคสงครามเย็น และการหวาดกลัวลัทธิคอมมิวนิสต์กันเกินเหตุของรัฐบาลตอนนั้น

เนื้อหาของหนังง่ายดายมาก หนังพุดถึงนักท่องเที่ยวประเภท แบ๊คแพ๊คกิ้ง กลุ่มหนึ่งที่ดูเหมือนจะลืมทำบุญก่อนออกเดินทาง 3 คน แพ็กซ์ตัน และ จอร์จ เป็นอเมริกัน อีกคน โอลิ เป็นไอริช พวกเขาเจอกันที่กรุงอันสเตอร์ดัม โดยมีเจตนาคล้ายกันคืออยากเดินทางหาประสบการณ์ทางเพศกับสาวๆท้องถิ่นให้มากที่สุดเท่าที่มีโอกาส ทั้ง 3 พบกับอเล็กซ์ก่อนจะได้รับคำแนะนำ (พร้อมคลิปวีดีโอ ) ถึงเมืองๆหนึ่งที่สาวพร้อมจะมีเซ็กส์กับนักท่องเที่ยวแทบทุกคนอย่างง่ายดาย

ผมเองเคยเดินทางไปหลายๆที่ในประเทศหลายครั้งตอนเด็กจนโต มันต่างกันมากกับเมื่อก่อน เมืองท่องเที่ยวตั้งแต่เชียงใหม่ยันไปถึงสงขลา บาร์เบียร์ เกสเฮาส์ รถเช่า ผุดเป็นดอกเห็ด นักท่องเที่ยวเกือบร้อยละ 90 ไม่ได้สนใจในวิถีชาวบ้าน วัฒนธรรม สังคมท้องถิ่น พวกเขามาเพื่อดื่มกินสินค้าราคาถูก และจ้องแต่จะหาสาวๆเพื่อจุดประสงค์ทางเพศ

ที่เซ็งที่สุดสำหรับผมคือคนไทยเรานี่แหละที่จัดหาทุกอย่างที่พูด สนองนักท่องเที่ยวเหล่านั้นอย่างเต็มคราบ อยากได้อะไรก็ได้เลย

วันแรกที่พวกเขาทั้ง 3 ไปถึงเมืองนั้นก็ตรงรี่เข้าพักในโรงแรมและก็ได้เจอสาวๆอย่างที่หวังทันที พวกเขาจับคู่ออกไปเที่ยวกลางคืน (ส่วนที่เสียดสีอีกอย่างคือเมืองนั้นสวยจริงๆครับ แต่พวกนั้นกลับไม่เสียเวลาเดินชมเมือง ตรงรี่ไปโรงแรมเลย ) เช้ามาพบว่า โอลิ หายไปก่อนที่คืนนั้นและอีกวัน จอร์จ กับ แพ๊กซ์ตัน จะเจอประสบการณ์ที่สยองขวัญที่สุดที่พวกเขาเคยพบเคยเจอ

หนังเขียนบท - กำกับโดย อีลี ร๊อธ - Eli Roth ใช้เวลาปูเรื่องให้คนดูเห็นความไม่ชอบมาพากลเกือบๆครึ่งเรื่อง แพ๊กซ์ตัน คือคนเดียวที่รอดมาได้จากเมืองที่มีรายได้หลักๆจากการล่อนักท่องเที่ยวกลุ่มหนึ่งที่สนแต่เหล้ากับสาวๆ มาจับไว้ ให้นักท่องเที่ยวอีกกลุ่มที่รวยพอจะจ่ายเงิน เพื่อจะทรมานกลุ่มแรก จะทำอย่างไรก็ได้ และหนังเปิดโอกาสให้ผมเห็นความรุนแรงอย่างจะๆตา ไม่ว่าการเอามีดเชือด เลื่อยหั่น ตัดคอ ไปจนถึงเอามีดเจาะลูกตาจนห้อยร่องแร่ง !!!???



คนขวามือคือตัว ผกก.ซ้ายมือคือ ทาคาชิ ไมกิ ผู้กำกับหนังขาโหดสุดรุ่นใหม่ของญี่ปุ่น (หนังของเขาเสียดสีสังคมญี่ปุ่นอย่างรุนแรง ตั้งแต่การเอาเด็กมาฆ่าคน การทารุณทางเพศในครอบครัว และกินเนื้อคนกันเอง )เขามารับบทเล็กๆเป็นนักท่องเที่ยวที่มาจ่ายตังค์เพื่อฆ่าคนเล่น !!

การท่องเที่ยวทุกวันนี้มันทำให้สังคมบิวเบี้ยว นักท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่มาเพื่อหาชมสิ่งทีดีงามเหลือน้อยกว่าน้อย พบเจอแต่นักท่องเที่ยวที่มุ่งมาหาความสุขใส่ตัวอย่างเต็มที่ - คนถึงขั้นเอาไปลงหนังสือกันว่า เมืองไทยมันดินแดนแห่งโสเภณี ส่วนกัญชาน่ะ หาง่ายสบายมาก

โทษพวกเขาก็ไม่ได้ ถ้าเราไม่หาให้พวกเขาจนเต็มคราบอย่างนี้

หนังเสียดสีอย่างใจว่านักท่องเที่ยวเดี๋ยวนี้น่ะมีแค่ 2 กลุ่ม กลุ่มแรกพวกเหยื่อคือพวกที่มุ่งแต่เรื่องอย่างว่า อีกกลุ่มคือพวกคนรวยที่เดินทางมาแบบพร้อมจะจ่ายเต็มที่ เพื่อซื้อสิ่งที่ซื้อไม่ได้ในบ้านตัวเอง ซึ่งในที่นี้หนังเสียดสีว่าพวกเขาจ่าย เพื่อซื้อชีวิตคนมาทรมานเล่นก่อนจะฆ่าทิ้ง - หนังสรุปได้สะใจผมคือ สุดท้ายก็นักท่องเที่ยวสองกลุ่มนี้แหละที่ฆ่ากันจนเลือดสาดกันไปข้าง

เมืองไทยเรานี้ เป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยม ครับ - บางครั้งผมรู้สึกไม่ชอบใจในบางเรื่อง

นักท่องเที่ยวบางคนดูถูกพวกเราเกินไป บางคนมาแบบเจตนาที่น่าสมเพศ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องถามด้วยว่าเราทำตัวให้พวกเขาดูถูกหรือไม่ อยากได้เด็กชาย - เด็กหญิงขอให้บอก จัดให้ แล้วไม่ให้ฝรั่งมันดูถูกอย่างไรได้

ผมเองแม้จะไม่ชอบใจ แต่ก็เข้าใจว่าในสังคมทุนนิยมนี้ทุกคนต่างก็ต้องเอาตัวรอด ทำทุกอย่างเพื่อหารายได้ยังชีพ เพราะภาครัฐเองก็ไม่เคยคิดจะดูแล แถมยังสนับสนุนทางอ้อมโดยการเลยตามเลยในหลายๆเรื่อง และปล่อยไปตามยถากรรมจนเรื่องการท่องเที่ยวกลายเป็นปัญหาสังคมแบบนี้ - จนแทบไม่มีทางแก้แล้ว ตราบใดยังยึดแค่เงินเป็นใหญ่ มีอะไรก็เอามาขายกันหมดแหละครับ

เห็นว่าหนังประสบความสำเร็จทั้งรายได้และคำชมเห็นว่าตอนนี้มีภาค 2 แล้วด้วย - ในโลกแห่งสังคมทุนฟุ้งเฟ้อแบบนี้ ใครมีอะไรก็ยอมขายให้นักท่องเที่ยวที่พร้อมจะยอมจ่ายเหมือนกัน เราก็จะเจอแต่นักท่องเที่ยวแบบนี้กว่า 80 % ที่มาใช้บริการ

ดูหนังไปทำให้ผมสะใจว่าไอ้พวกนักท่องเที่ยวคิดตื้นๆต้องเจอบทเรียนแบบนี้ซะมั้ง เจ๋งแฮะ - แต่มามองความจริงเรื่องท่องเที่ยวบ้านเรา ก็เข้าใจลำบากจริงๆครับ ไม่รู้ทำไงดี.........




 

Create Date : 05 กันยายน 2550    
Last Update : 5 กันยายน 2550 17:07:03 น.
Counter : 770 Pageviews.  

บทเพลงของพระเจ้า

ผมเพิ่งดูหนังเรื่อง United 93 จบ เป็นหนังที่ดีจัง มีฉากหนึ่งที่ดูแล้วได้คิดพอสมควรคือฉากที่ทั้งผู้โดยสารและตัวผู้ก่อการร้ายเองต่างสวดขอการช่วยเหลือจากพระเจ้า (ทั้งๆที่ผมก็พอรู้ว่าพระเจ้าของชาวคริสต์และมุสลิมก็องค์เดียวกัน) ในสถานการณ์ที่คับขัน

ผมว่าทุกวันนี้ศาสนาที่นับถือพระเจ้าถ้านับเป็นนิกายให้หมดแล้วคงมีเป็นพันๆนิกายแน่นอน แต่ละนิกายก็ย่อมมีพระเจ้าในแบบที่พวกเขานับถือ บางทีเราก็ไม่อาจจะเข้าใจได้ แต่ผมก็ชอบที่จะเรียนรู้ถึงทัศนคติของแต่ละคนเกี่ยวกับ “พระเจ้า”

ในแง่ของบทเพลง มุมของของพระเจ้าในแต่ละบทเพลงนั้นขึ้นอยู่กับตัวของศิลปินคนนั้น เช่น เอลวิส เพสลี่ส์ ในเพลง Crying in the chapel เขาพูดถึงพระเจ้าไว้อย่างนอบน้อม และให้พระองค์เป็นผู้นำทางแก่อย่างแท้จริง โดยเฉพาะท่อนที่ว่า “ให้พวกคุณนำเรื่องทุกข์ร้อนมาในโบสถ์เถิด คุกเข่าลงและสวดมนต์ และคุณก็จะพบหนทางเอง”
-Take your troubles to the chapel
Get down on your knees and pray
Your burdens will be lighter And youll surely find the way



คณะจูบอสุรกาย kiss

วงร๊อคสุดโหดอย่างวง คิส (kiss) ก็สรรเสริญพระองค์ว่าเป็นผู้มอบดนตรีร๊อคให้มวลมนุษย์ในเพลง God gave rock and roll to you โดยพวกเขาเชื่อว่า “มันอยู่ในวิญญาณของทุกคน”-Put it in the soul of everyone

ในแง่สนับสนุนก็มีคัดค้าน หลายๆคนเชื่อว่า จอนห์ เลนนอน ไม่เชื่อในพระเจ้าเพราะได้รับอิทธิพลจากโยโกะ(ที่นับถือศาสนาพุทธ) แต่ผมว่าจอนห์เขาไม่ค่อยศรัทธาในเรื่องนี้อยู่แล้ว ตอนบีทเทิ้ลโด่งดังใหม่ๆ เขาก็กล้าพูดออกมาว่า “ตอนนี้ พวกเราได้รับความนิยมมากกว่าพระเยซูซะอีก”(ผลที่ตามมาคือ เพลงของพวกเขาโดนแบนในหลายๆเมือง หลายโบสถ์เอาแผ่นเสียงออกมาเผาและเรียกร้องให้ลูกหลานเลิกฟัง บีทเทิ้ล)

จอนห์คงคิดหลายๆแบบในแง่ศาสนาเพราะในเพลง across the universe เขาก็อ้างถึงบทสวดในศาสนาฮินดูเอาไว้ว่า Jai guru deva om “ขอให้สันติภาพจงมีแก่โลกนี้ โอม”

เพื่อนร่วมวงเขาอย่าง จอร์จ แฮร์ริสัน ก็คงไม่ศรัทธาในการวางพระองค์ของพระเจ้าในศาสนาคริสต์ในบางกรณี จึงได้เปลี่ยนไปนับถือพระเจ้าของทางศาสนาฮินดูแทน และเขาก็ศรัทธาซะมากๆเราดูได้จากบทเพลง My sweet lord ซึ่งเขาก็บอกว่า ผมอยากจะเห็นพระองค์ อยากจะอยู่กับพระองค์ โอ้ พระราม
- I really want to see you (hare rama) Really want to be with you (hare rama)



bon jovi

สำหรับศิลปินบางคนพระเจ้าก็ดูจะเข้าใจยากหน่อย จอน บอง โจวี่ (คาทอลิก)เคยต่อว่าพระองค์ไว้ในเพลง hey god ว่า “ผมรู้ว่าพระองค์น่ะยุ่งมาก แต่เฮ้ พระเจ้า ท่านเคยคิดถึงผมสักหน่อยไหม”
-I know how busy you must be, but hey god...Do you ever think about me

โรเจอร์ เวอร์เทอร์ ตั้งคำถามไว้ในบทเพลง What God wants ไว้มากมายบทสรุปคือทุกๆอย่างทั้งร้ายและดีเป็นพระประสงค์ของพระองค์หรือ ทั้งครูเซด จิฮาด ฯลฯ What God wants God gets
Don't look so surprised It's only dogma-
God wants shrines God wants law God wants organised crime God wants crusade God wants jihad God wants good
God wants bad What God wants God gets

ฟิล คอนลิงค์ ก็บ่นเอาไว้ในเพลง another day in paradise ว่าทำไมพระเจ้าไม่ค่อยสนใจคนยากไร้ อดอยากเอาเสียเลย
- Oh lord, is there nothing more anybody can do Oh lord, there must be something you can say

ผมเองนับถือศาสนาพุทธจึงมองพระเจ้าอย่างเห็นพระทัยอยู่มาก ลำบากนะถ้าจะต้องทำให้ถูกใจคนเป็นพันๆล้าน บางทีอาจจะเป็นอย่างที่ โจน ออสบรอน ว่าไว้ในเพลง One of us ก็ได้แหละ บางทีพระเจ้าอาจจะเป็นแค่ หนึ่งในพวกเรานี้เอง คนที่ห่วยๆ ธรรมดา เป็นคนแปลกหน้าที่เราเจอบนรถเมล์ ท่านแค่พยายามหาทางกลับบ้านเท่านั้นเอง
What if God was one of us
Just a slob like one of us
Just a stranger on the bus
Trying to make his way home

ศาสนาฮินดูเชื่อว่าเบื้องบนส่งพระเจ้าลงมาในแบบต่างๆกัน แม้แต่พุทธศาสนานิกชนท่านก็ส่งพระพุทธเจ้ามาให้เป็นหนทางแก่ผู้ไม่เชื่อในพระเจ้า(แปลว่าพระเจ้าท่านส่งพระพุทธเจ้ามาเป็นพระเจ้าของผู้ไม่เชื่อในพระเจ้า-คิดได้ยังไงนี่) แต่ผมว่าก็ดีนะ มีความคิดความตั้งใจจะให้ทุกศาสนารวมกันอย่างสันติดี

แล้ว “พระเจ้า” ของคุณ เป็นแบบไหนกันล่ะ




 

Create Date : 01 กันยายน 2550    
Last Update : 1 กันยายน 2550 0:30:58 น.
Counter : 1907 Pageviews.  

river phoenix - สายน้ำในความทรงจำ

ความทรงจำอย่างหนึ่งบางทีมันก็ผูกพันกับอีกเรื่องหนึ่ง

เร็วๆมานี้ผมกำลังขับรถไปทำงานเปิดวิทยุฟังเพลงตามปรกติ ดีเจก็ทำงานของเขาเช่นกัน เขาเลือกเพลงที่ชื่อว่า stand by me

เสียงของ จอนห์ เลนนอน ดังก้องรถแต่ผมกลับคิดไปถึงภาพในหนังเรื่องหนึ่ง เห็นเด็ก 4 คนเดินท่อมๆอยู่บนไม้หมอนทางรถไฟ และในชีวิตจริงเด็กคนหนึ่งในกลุ่มนี้ก็เสียชีวิตไปแล้ว

พุดถึงตอนนี้สำหรับคนวัยรุ่นเหมือนผม(รุ่น 30 )และสนใจดูหนังฟังเพลงพอสมควร คงพอคิดได้ว่าผมกำลังพูดถึง ริเวอร์ ฟีนิกซ์ - river phoenix นักแสดงฝีมือดีอีกคนที่จากไปก่อนวัยอันควร และภาพยนตร์ในดวงใจของหลายๆคนที่กำกับโดย ร๊อบ ไรเนอร์ -Rob reiner เรื่อง สแตนบายมี - stand by me



ริเวอร์ ฟีนิกซ์ แสดงหนังเรื่องนี้คงอายุราวๆ 14-15 ปี เรื่องราวของเพื่อน 4 คนที่เดินทางไปหาศพเด็กที่ถูกรถไฟชนตาย มิตรภาพวัยเยาว์ การเดินทางท่องเที่ยวป่า ปัญหาส่วนตัวของแต่ละคน การร่วมใจกันสู้กับพวกอันธพาลที่โตกว่ากันคนละรุ่น สำหรับเด็กอายุ 10 ขวบอย่างผมแล้วมันเป็นหนังที่สนุกที่สุดเรื่องหนึ่งเลยทีเดียว และก็จำได้ว่าชอบบุคลิกของตัวละคร คริส แชมเบอร์ โดย ริเวอร์ ฟีนิกซ์มาก ท่าทางออกจะเกเรแต่มีแววฉลาดและใฝ่ดี แม้จะมีอาการเก็บกด(จากที่ถูกมองว่าเป็นลูกหัวขโมย) แต่ก็แสดงออกอย่างพอให้รู้ว่าเขามีความอดทนแค่ไหน

นับแต่นั้นผมก็โตขึ้นพร้อมกับติดการดูหนัง และ ริเวอร์ ฟีนิกซ์เองก็โตขึ้นตามบทบาทในหนังหลายๆเรื่อง แน่นอนผมมีโอกาสได้ดูเขาแสดงเกือบทั้งหมด จากเด็กเป็นวัยรุ่น จากวัยรุ่นเป็นวัยหนุ่ม บทก็ซับซ้อนหลากหลายมากขึ้น ตั้งแต่ เด็กที่เพิ่งรู้ตัวว่าพ่อเป็นสายลับรัสเซีย / วัยเด็กของอินเดียน่า โจนส์ / นักเรียนทหารวัยรุ่นขี้เหงา / ไอ้ตัวข้างถนนที่เป็นโรคลมชัก / นักร้องเพลงคันทรี แต่สิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนเลยสำหรับผมคือ แววตาที่แข็งแกร่ง แต่สับสนในชีวิต บุคลิกที่ต่อต้านสังคมแต่ก็อ่อนโยนไม่มีความรุนแรงแฝงอยู่เลย



แสดงเป็นหนุ่มขายตัวข้างถนนกับ เคียนู รีฟ ใน My Own Private idaho

Keanu บอกว่า "River is my best friend man, and I don't have many of them."

เมื่อตอนผมรู้ว่า ริเวอร์ ฟีนิกซ์ เสียชีวิตเพราะเสพยาเกินขนาดเมื่ออายุได้เพียง 23 ปีนั้น ผม(ที่ตอนนั้นก็ไม่เต็ม 20 ดี) บอกไม่ถูกว่ารู้สึกอย่างไร จะเสียใจก็ไม่ใช่ เศร้าก็ไม่เชิง แต่ก็รู้สึกใจหาย เหมือนเห็นใครสักคนที่โตมาด้วยกัน รับรู้เรื่องราวเขาเป็นระยะ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอื่นนอกจากนักแสดง เช่น ความเป็นมังสวิรัติ นักต่อสู้เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและสิทธิมนุษย์ชน จู่ๆก็รู้ว่าเขาน่ะตายไปแล้ว มันก็บรรยายยากอยู่นะ ว่าไหม

ริเวอร์ ฟีนิกซ์ ก็กลายเป็นอีกบทหนึ่งของบันทึกแวดวงมายา จะในแง่ไหนก็ตาม ไม่มีใครปฏิเสธได้ว่าโลกเสียนักแสดงฝีมือดีอีกคนหนึ่งไปอย่างไม่ควรจะเสีย

แน่ล่ะ ผมก็ไม่ได้ถึงขนาด จดจำเขาตลอดไป หรือ เหมือนโลกจะแตกสลาย พูดกันตรงๆก็คือหลังจากหาหนังเขามาดูไว้อาลัย 2-3 เรื่อง อีกเดือนเศษๆผมก็ลืมไปเรียบร้อยไม่เคยอยู่ดีๆก็จะมาคิดถึงเขาขึ้นมาเฉยๆเลยสักครั้ง

แต่ก็ทุกครั้งที่ผมได้ยินเพลง stand by me ขึ้นมาล่ะครับ ผมก็จะคิดไปถึงหนังชื่อเดียวกัน และผมก็จะคิดถึง “แม่น้ำ” สายนั้นทุกครั้งไป...........

If the sky that we look upon
Should tumble and fall
And the mountains should crumble to the sea
I won't cry, I won't cry, no I won't shed a tear
Just as long as you stand, stand by me





 

Create Date : 28 สิงหาคม 2550    
Last Update : 28 สิงหาคม 2550 11:01:56 น.
Counter : 1577 Pageviews.  

Have You Ever Seen the Rain? - พูดถึงสายฝนในเวียดนาม

นานวันเข้า ผมชักรู้สึกว่าสงครามอิรักจะเป็นสงครามเวียดนามยุค 2000

ผมเกิดไม่ทันยุคนั้น แต่ก็พอรู้เรื่องราว ถ้าจะมองคล้ายๆกันมันคือความบ้าอำนาจของผู้นำประเทศไม่กี่คนแต่สร้างความเดือดร้อนไปทั่วโลก และจนวันนี้ก็ยังมองหาปลายทางที่สิ้นสุดไม่ออกจริงๆ ไม่แน่หรอกว่ามันจะหยุดแค่ประเทศอิรักด้วยซ้ำ

ผมเองรู้จักสงครามเวียดนามหลายแบบ หนังสือ ภาพยนตร์ แต่ที่ชอบที่สุดคือ ดนตรีร๊อค ในบรรดาเพลงประท้วงสงครามเวียดนาม มีหลายเพลงที่ผมชอบ หนึ่งในนั้นคือ - Have You Ever Seen the Rain?



Creedence Clearwater Revival - วงร๊อคเพื่อชีวิตแห่งอเมริกา

เมื่อครั้งแรกๆที่ผมฟังผมรู้สึกว่าดนตรีดีมาก แต่เนื้อหาฟังไม่ค่อยออก มีบางประโยคงงๆจนกระทั้งโตขึ้นมาจึงรู้ความหมายของมัน อย่างท่อนที่ว่า sun is cold and rain is hard ตะวันอะไรมันเย็นว่ะ ? จริงๆมันโยงกับวลีหลังและ rain is hard นั้นก็หมายถึงห่ากระสุนที่ยิงจากเครื่องบิน ไม่ใช่สายฝนธรรมดา !!! บทสรุปของเพลงนี้ก็เช่นเดียวกับผมรู้สึกกับสงครามอิรักปัจจุบัน คือเมื่อไรมันจะจบซะที - been that way for all my time 'till forever,
on it goes through the circle, fast and slow,
I know; it can't stop, I wonder.

บทเพลงนี้เป็นผลงานของวง ซีซีอาร์ CCR - Creedence Clearwater Revival ฟอร์มวงในยุค60 แกนนำคือ จอนห์ ฟอร์เกอร์ตี้ - John Fogerty แนวดนตรีออกทางเซาธ์เธินท์ร๊อค - ร๊อคแบบทางใต้อเมริกา มีเนื้อหาต่อต้านความไม่ถูกต้องในสังคมมาโดยตลอด ไม่แค่อเมริกาในเมืองไทยก็ดังไม่น้อย

อีกบทเพลงที่เสียดสีสงครามอย่างมากคือ "Fortunate Son" - เนื้อหาบ่งบอกว่าสงครามเวียดนามมันเป็นสงครามของคนยากจนที่ถูกส่งไปตาย พวกลูกหลานเศรษฐีนะเหรอ ไม่ได้รบจริงๆหรอก -
Ooh, they send you down to war, lord,
And when you ask them, how much should we give?
Ooh, they only answer more! more! It ain't me, it aint me;
I ain't no fortunate one

มันทำให้ผมนึกถึง นาย จอร์จ บุช ประธานาธิบดีอเมริกาคนปัจจุบัน ที่ชอบอวดอ้างว่าอาสาออกรบเวียดนาม ซึ่งจริงๆแล้วเขาถูกส่งไปอยู่กลางเมืองหลวงในตำแหน่งพนักงานจัดเอกสาร 6 เดือนก็ปลดประจำการ อันตรายอย่างเดียวที่เขาต้องระวังคือ - กระดาษจะบาดมือ !??!

อันนี้แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับ บิล คลินตัน ที่ฉีกหมายเกณฑ์ไปรบอย่างสง่าผ่าเผย ( แล้วก็คงแอบไปสูบกัญชากับเพื่อนๆพร้อมกับก่นด่า ประธานาธิบดี นิกสัน กันสนุกปาก ) - เหตุการณ์มันก็วนกลับมาอีก ลินดอน จอนห์สัน กับ ริชาร์ต นิกสันสร้างสงครามเวียดนาม พ่อลูกตระกูลบุช แห่งพรรคริพับลิกันเช่นกัน พาโลกสู่สงครามอิรัก

มันทำให้ผมหยิบซีดีของ CCR มาฟังอีกครั้ง ผมนอนฟังเพลง who'll stop the rain - อย่างเซ็งๆ เพราะไม่คิดว่าเพลงมันจะกลับมาทันสมัยขนาดนี้ -
ไม่ว่าผู้คนจะรวมตัวกันเรียกร้องขนาดไหน สายฝนนั้นก็ยังกระหน่ำก้องในหูของผม และผมสงสัยจริงๆ ใครจะหยุดสายฝนนั้น ? - จากเวียดนามสู่อิรัก แล้วจะเป็นที่ไหนต่อละนี่................

Heard the singers playin, how we cheered for more.
The crowd had rushed together, tryin to keep warm.
Still the rain kept pourin, fallin on my ears.
And I wonder, still I wonder who'll stop the rain.




 

Create Date : 25 สิงหาคม 2550    
Last Update : 25 สิงหาคม 2550 23:50:02 น.
Counter : 2306 Pageviews.  

Boogie night - พี่ๆ เอาโป๊ไหมพี่

พี่ พี่ เอาโป๊ไหมพี่ - เมื่อใดก็ตามที่ผมไปเดินจตุจักรแถวแผงหนังสือเป็นจะต้องเจอคำถามแบบนี้แทบทุกครั้ง

มีข้อเป็นห่วงไม่น้อยเกี่ยวกับพฤติกรรมของเด็กสมัยนี้ สภาพสังคมที่มียิ่งยั่วยุมากมายโดยเฉพาะเรื่องทางเพศ เร็วๆนี้เพิ่งมีข่าวเด็ก 14 บนรถตู้ก็ยิ่งดูน่ากังวล ถ้าจะมองว่าสื่อลามกปัจจุบันแพร่หลายได้ง่ายดายกว่าที่คิดหรือไม่ ก็ต้องดูว่ามันเป็นมาอย่างไร



Boogie night เป็นเรื่องราวของวงการหนังโป๊ ในยุค 70 ซึ่งยุคนั้นมีแค่หนังโรงเท่านั้น หนังโป๊จึงเป็นสาขาหนึ่งพวกเขามีทุกอย่างในกองถ่าย ตากล้อง ฟิลม์ ผู้กำกับ จัดฉาก แสง มีโปรดิวเซอร์ มีกระทั้งการแจกรางวัลในโรงแรมราวกับงานออสก้าร์ โดยผ่านตัวเดินเรื่องคือ เดิร์ก ดิกเลอร์ วัยรุ่นคนหนึ่งที่หลุดเข้ามาเป็นพระเอกหนังโป๊

หนังเดินเรื่องแบบ rise and fall คือนำเสนอยุครุ่งเรืองและตกต่ำ ช่วงครึ่งแรกของหนังเราแทบจะไม่เห็นความเลวร้ายอะไรเลย หนังก็มีเรื่องราวง่ายๆ ขอแค่ให้มีฉากอย่างว่า มีปาร์ตี้ วันๆนอกจากถ่ายหนังก็ดื่มกิน ทุกๆอย่างเป็นไปด้วยดี จนกระทั้งการมาถึงของวีดีโอ

ผมจำได้ว่าผมดูหนังโป๊ครั้งแรกที่บ้านเพื่อนเป็นวีดีโอ ตอนนั้นยังอยู่ ม.ต้น จำได้แค่นี้ - พอโตมาสมัยอยู่มหาลัย ก็มีไปเช่ากันมาดูบ้าง บางทีก็พากันไปเดินดูตามแหล่งต่างๆที่รู้มาว่ามีขายสนนราคาราวๆ 120 / เรื่อง หนังสือเล่มล่ะ 300 - 500 บาท มีให้เลือกทั้งไทย ญี่ปุ่น ฝรั่ง จีน บางทีก็เข้าหุ้นกันแล้วเอาแบ่งกันเอาไปดู (สามัคคีกันดีมาก เรื่องเลวๆอย่างนี้)

ภาพจากหนัง ในทีมหนังโป๊นี้จะเห็น มาร์ค วอร์เบิร์ก - Mark Wahlberg เล่นเป็น ดิกเลอร์พระเอกหนัง ยังมีผู้รับบทนางเอก จูเลียนแอนน์ มัวร์ - Julianne Moore ฮีตเตอร์ แกรมม์ Heather Graham ดารารุ่นเก๋า เบริท เรย์โนลล์ - Burt Reynolds เป็นผู้กำกับหนัง และซ้ายสุด ฟิลลิปล์ ซีมัวร์ ฮอฟแมน - Philip Seymour Hoffman เจ้าของรางวัลออสก้าร์ดารานำชายในปี 2006 เรื่องนี้เขาเล่นเป็นเกย์ที่แอบชอบพระเอก


ช่วงยุคที่ผมเป็นวัยรุ่นก็ซนกันประมาณนี้ แต่อย่าลืมว่าตอนนั้น ราคาของสื่อลามกเหล่านี้ราคาสูงพอควร การอัดวีดีโอต่อก็ลำบาก ม้วนเปล่าราคาก็ไม่ถูก พกพายากอีกต่างหากพวกผมจึงแค่ดูกันเล่นๆถูกมอมเมาพอประมาณ แต่ยุคสมัยนี้มีทั้งอินเตอร์เนต แผ่นซีดีราคาก็ถูกมาก(เห็นว่า 4 เรื่อง 100 ) เอาไปไรท์ต่อให้เพื่อนก็สบาย แผ่นเปล่าแค่ 5-6 บาทแถมยังพกพาสะดวก ล่าสุดผมเห็นแผ่น ดีวีดีที่บรรจุหนังโป๊ในนั้นทั้งหมด 14 เรื่องใน 1 แผ่นราคาแค่ 150 บาท!!!!!????

เพราะยังงี้มันเลยระบาดไปทั่ว เพราะเยาวชนเราหาหนังโป๊ง่ายยิ่งกว่าหนังการ์ตูนเสียอีก !!

หนังกระชากความรู้สึกคนดูอย่ารุนแรงตอนกลางเรื่อง ในงานปาร์ตี้สิ้นปี 1979 ตัวละครคนหนึ่งยิงตัวตายให้พ้นจากปัญหาที่ต้องอับอายมาตลอด หนังปิดตัวดำสนิท ก่อนจะเปิดใหม่ด้วยเลข 80 - สื่อให้เห็นชัดๆว่ายุคเก่าน่ะ มันหมดไปแล้ว

ครึ่งหลังของหนังต่างกับครึ่งแรกอย่างเด็ดขาด ทุกคนได้รับผลตอบแทนของการเข้ามาวงการนี้อย่างทั่วหน้า คิดจะออกไปค้าขายธนาคารก็ไม่ให้กู้ บางคนถุกตำรวจจับเพราะไปยุ่งกับเด็ก บางคนถูกถอนสิทธิ์พบหน้าลูก ดิกเลอร์เองคิดจะไปเป็นนักร้องก็ล้มเหลวสิ้นเชิง - ตัวผู้กำกับที่ไม่ยอมเปลี่ยนไปทำหนังลงวีดีโอก็ต้องกลืนน้ำลายตัวเอง เพราะไม่มีใครดูหนังแบบนี้ในโรงจำนวนมากๆอีกต่อไป เหลือแค่ส่วนน้อยเท่านั้น

ผลสุดท้ายก็กลับมาตายรังกันทุกคน ทำหนังโป๊ลงวีดีโอ ชีวิตเหมือนต้องคำสาป

ผมก็ยังคิดไม่ออกว่าแก้ปัญหายังไง ทุกวันนี้สื่อมันไปเร็วมากจากสิบกว่าปีก่อน เข้าไปดูในโรงน่ะยาก พอมันเป็นวีดีโอจะจับเก็บอะไรก็ไม่ง่าย หามาดูก็ยาก แต่เดี่ยวนี้แค่เอาไปวางไว้ปนๆกับแผ่นเพลงพ่อ-แม่ก็จับไม่ได้หรอกว่าเป็นหนังโป๊ ต้องดูแลแบบใกล้ชิดจริงๆเลยล่ะ หรือเราควรจะยอมรับไปเลย แล้วให้ความรู้กับเด็กๆเรื่องการป้องกันโรคแทน - สื่อลามกเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นแทบจะพร้อมๆกับวงการภาพยนตร์และมันจะไม่มีทางถูกทำลาย แต่จะเปลี่ยนสภาพไปตามเทคโนโลยี่ที่มีในขณะนั้น

หนังเขียนบท-กำกับ โดย พอล โธมัส แอนเดอร์สัน - Paul Thomas Anderson ประสบความสำเร็จอย่างดีทั้งรายได้และคำชม ได้เข้าชิงออสก้าร์บทภาพยนตร์ยอดเยี่ยมด้วย ไม่นับว่าทีมดาราก็โด่งดังกันตามหลังแทบทุกคน

- จากหนังฟิลม์ สู่วีดีโอ วีซีดี ดีวีดี ต่อไปจะเป็นอะไรนี่




 

Create Date : 24 สิงหาคม 2550    
Last Update : 24 สิงหาคม 2550 11:21:29 น.
Counter : 1957 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  

mr.cozy
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Is everybody in? Is everybody in?
The ceremony is about to begin
Friends' blogs
[Add mr.cozy's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.