SmileySmiley :: How Do I Enjoy Life while "Living with Cancer" ::
Group Blog
 
All blogs
 

ก้าวย่าง



เมื่อก้าวย่างไปบนเส้นทางสายหนึ่ง
พึงขอบคุณ หนทาง ที่ให้ฉันย่างก้าวผ่านมา
สำนึกบุญคุณ แก่ผู้คน ครู อาจารย์ วิธีการ
ที่ทำให้ฉันได้รับประสบการณ์นั้น

ขณะเดียวกัน ก็พิจารณา เท้าข้างที่ก้าว ผืนดินที่เหยียบ
สิ่งแวดล้อมข้างทาง ที่ "กำลังก้าวเดิน"
ประสบการณ์ที่ได้รับรู้ สัมผัส ได้ยิน
ขอบคุณการดำรงอยู่ และลมหายใจ ณ ปัจจุบันขณะ





 

Create Date : 25 พฤษภาคม 2551    
Last Update : 25 พฤษภาคม 2551 13:53:58 น.
Counter : 587 Pageviews.  

อาจารย์เรกิ มีนา กุมารี ขอพักการสอนและการบำบัดเรกิ

.
.
บันทึก ประสบการณ์
เมื่อเข้ารับการอบรมปฏิบัติธรรม
วิปัสสนา อ.โกเอนก้า
ครั้งแรกของฉัน


นมัสเต..ทุกๆ คน

หลังกลับจากการอบรมวิปัสสนา อ.โกเอนก้า

เรื่องเรกิ (โยเร และพลังจักรวาลด้วย) ขัดแย้งกับการปฏิบัติวิปัสสนา
ได้รับรู้แล้ว ตั้งแต่ตอนสมัครเข้าคอร์ส รู้สึกจิตป่วนอยู่เหมือนกัน
ว่า ทำไมอ่ะ ปฏิบัติทั้งสองอย่างไม่ได้รึ ?!!

เอาแหละ แต่เค้าก็อนุญาตให้เข้าอบรมครั้งแรกเป็นการ
ให้โอกาสทดลองว่าถูกจริตหรือเปล่า

จากนั้นก็จะให้เลือกว่าจะยังปฏิบัติเรกิต่อไป หรือว่า
จะหันมาปฏิบัติวิปัสสนา คือต้องเลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง

ก็ไปเข้าอบรมสักครั้ง เพื่อพิสูจน์ด้วยตัวเอง
เวลาก็มี สุขภาพก็พอทนไหว
แม่ก็อุตสาห์ไปดูให้ตั้งแต่คอร์สที่แล้วว่า
อาหารการกิน เป็นมังสะวิรัติแบบพอจะใกล้เคียงกับอาหารต้านมะเร็ง
พอจะเลือกกินได้ ผลไม้ก็มีให้

ตกลงใจไปเข้าคอร์ส 23 เมษา - 4 พฤษภา ที่ผ่านมาเนี่ยแหละ
เลือกที่ศูนย์ธรรมกาญจนา (สังขละบุรี กาญจนบุรี)
----------------------------------------------------------------------------

วันแรกพอไปถึง อาจารย์ให้คนมาเชิญ
กลุ่มของพวกเรา 4 คน มีแม่ น้องสาวแม่ น้องผึ้ง และฉัน
อาจารย์แจ้งว่า "ไม่ต้องห่วงกังวลกันนะ เพราะธรรมบริกรที่นี่
ดูแลนักเรียนเหมือนญาติ"

สักพักฉันก็ถูกเชิญไปพบอาจารย์อีก
ในเรื่องที่มีประวัติการฝึกเรกิ...(แต่ไม่ได้ระบุไปนะว่า เป็นระดับมาสเตอร์)
อาจารย์แจ้งว่า แนวการฝึกจะตรงกันข้ามกับวิปัสสนา
เพราะเรกิ โยเร หรือพลังจักรวาลจะเป็นการมุ่งที่จะทำให้สิ่งที่เป็นอยู่นั้นเปลี่ยนแปลงไป เช่น ถ้าปวด ก็จะต้องบำบัดให้ดีขึ้น ให้หายปวด

แต่วิปัสสนา ให้ดูความเป็นจริงในขณะนั้น ซึ่งมันเกิดขึ้น แล้วก็ดับไปเอง เบื้องต้นขอให้งดการฝึกไว้ก่อนระหว่างที่อยู่ในคอร์ส
และขอให้ดูความเป็นจริงเท่านั้น

>> ฉันเป็นพวกนักเรียนดีเด่น ในแง่การเชื่อฟังครูบาอาจารย์
แต่เรื่องเก่งหรือเปล่านี่อีกเรื่องนะ ก็งดการฝึก ทั้งการไหว้พระอาทิตย์ (Cosmic Energy Showering) การสวดเรกิ (Reiki Prayer)

แล้วก็จะเป็นพวกมีคำถามมาก

ทำไม..อย่างนั้น
ทำไม..อย่างนี้
ทำไม..ไม่อย่างนั้น
แล้วทำไม..มันเกี่ยวกัน
อย่างนี้..ไม่ได้เหรอ
อ้าว..แล้วงี้ก็ขัดแย้งกันมั้ย?
....ฯลฯ

ไงก็เหอะ อบรมคราวนี้ มีโอกาสให้ถามอาจารย์
แต่ถามได้ก็เฉพาะเกี่ยวกับเรื่องเทคนิคการปฏิบัติ...

---------------------------------------------------------------------------
เริ่มปฏิบัติ ตารางมันโหดมาก
ตอนอ่านตารางก็เฉยๆ แต่พอเข้าปฏิบัติจริงนี่

คือต้องอึด และอดทนโค-ตร

ตี4 ตื่น
ตี4.30 เริ่มนั่ง ไปถึง 6.30 โหย 2 ชั่วโมงเลย
6.30 กินข้าวเช้า อาบน้ำ พักผ่อน
8.00 ไปนั่งอีก ถึง 9 โมง 1 ชั่วโมงเต็ม
9.00 พัก 5 นาที เผ่นไปเข้าฉี่ คือว่า ปกติฉี่บ่อย ก็ไปฉี่ไว้ก่อน
ปวดไม่ปวดก็ไปห้องน้ำ แล้วเป็นโอกาสได้เดินจะได้ยืดขาด้วย
9.05 นั่งต่อ ฟังคำสอน ถึง 10.00 น. พักอีก 5 นาที แล้วกลับมานั่งอีกถึง 11 โมง
11.00 กินข้าว เพราะมีพระสงฆ์ด้วย ท่านจะได้ฉันเพล
12.00 พักผ่อน จะนอนหลับก็ได้ มีเวลา 1 ชั่วโมง ก่อนบ่ายโมงสัก 10 นาที ระฆังจะตี
13.00 นั่งต่อ คราวนี้เกือบ 1.30 ชั่วโมงเลย คือพัก 5 นาทีแล้วมาเข้า
14.30 นั่ง 1 ชั่วโมงเต็ม
15.30 พัก 5 นาที แล้วมานั่งฟังคำสอน ปฏิบัติไปอีก 1.30 ชั่วโมง
17.00 พักดื่มน้ำปานะ
18.00 เอาอีกแล้ว รอบค่ำ นั่ง 1 ชั่วโมงเต็ม
19.00 พัก 5 นาที แล้วเข้ามาฟังธรรมบรรยาย อันนี้ จะลืมตาหลับตาก็ได้
20.00 พัก 5 นาที แล้วมาฟังคำสอน และปฏิบัติต่อ
21.00 พักผ่อน ไปนอนหลับได้

----------------------------------------------------------------------------

เรื่องที่พัก และอาหาร อยู่ในเกณฑ์ที่ดีมาก

มื้อเช้ามีผลไม้มากพอ ที่จะให้กินแต่ผลไม้เป็นอาหาร
หรือไม่ก็ตักอาหารกินแล้วแต่ความอยากสักนิดหน่อยพอ

ปรากฏว่า ที่นี่ไม่ได้ใช้ข้าวกล้อง เส้นก๋วยเตี๋ยวกล้องหรอกนะ
อาหารทำจากผัก แล้วก็มีพวกโปรตีนเกษตร พวกเนื้อสัตว์ปลอมด้วย
ก็เลือกกินเอา......

มื้อเย็น เค้าให้ศิษย์เก่าดื่มแต่น้ำปานะ ถ้ามีพวกน้ำขิง
หรือน้ำที่ไม่ใส่น้ำตาลก็ดื่มกับเขา

ไม่ต้อง งง หรอก เป็นศิษย์ใหม่ แต่ว่า ขอถือศีล 8 กะเขาด้วยน่ะ
เพราะว่า ยังไม่เคยถือศีล 8 เป็นเรื่องเป็นราวเลย ชีวิตนี้
ตั้ง 9 วันแน่ะ

----------------------------------------------------------------------------

วันแรกที่เริ่มฝึกปฏิบัติ

ให้ดูลมหายใจ ตรงแถวจมูก
เชื่อม๊ะ หาไม่เจอว่ามันอยู่ตำแหน่งตรงไหนแน่ๆ
ความรู้สึกตอนหลับตามันดูเหมือน ลมที่เข้ามามันมาจากทิศที่
เบี้ยวๆ ไปทางซ้าย

พอหายใจธรรมดา ก็หาไม่เจอ คอยหามันอยู่นั่น
จนเครียด นั่งๆ ไป ก็ถอนหายใจไปด้วย

เค้าให้หายใจแรงๆ ได้ ถ้ามันเบาไปจนไม่รู้สึก
เลยตกลงต้องหายใจแรงไปเรื่อยๆ เลย
และมันก็เบี้ยวอยู่งั้น....ชักปวดหัวแล้วเฟ้ย ปวดหัวข้างขวา

ลมหายใจก็หาไม่เห็น
ขาก็เริ่มปวด หลังก็เริ่มปวด เอาไงกันเนี่ย...

----------------------------------------------------------------------------

เรื่องปวดขา...
ไม่ค่อยเป็นปัญหา เพราะฝึกเฉยๆ กับการปวดขาระหว่างนั่งสมาธิมาเป็นปีแล้ว
เพราะว่าพอมันชาสักพัก บางทีรู้สึกเหมือนมีเข็มเล็กๆ ทิ่มทีหนึ่งทั้งแผง
จากนั้น มันก็จะหายไปเอง...

แต่เรื่องปวดหลัง ยังไม่เคยฝึก ทรมานใจมาก
เดี๋ยวก็ถอนหายใจ เดี๋ยวก็ถอนหายใจ...
ยิ่งเพ่งลมหายใจ ก็ยิ่งปวดหลัง อ๊ากค์...

ไปถามอาจารย์...
"ทำไงคะ เครียด ถอนหายใจตลอดเลย
หาลมไม่เจอ สามเหลี่ยมที่ว่า อยู่ตรงไหน?"

วันต่อมาฝึกๆ ไป ก็เริ่มเจอแฮะ ลมที่ว่า
เค้าให้ดูพื้นที่แคบลง เอ้า จะได้รึนี่ จุดเล็กแค่ปลายก้อยเอง..แย่แล้วๆ

ชักรู้สึกว่า ท่านั่งมีผลต่ออาการปวดหลัง
เลยทดลองนั่ง แบบต่างๆ ก็มี นั่งพับเพียบ ซ้าย สลับขวา
ยิ่งปวดหลัง

นั่งแบบเป็ดที่เขาเดินเป็ดแต่อยู่บนหมอนวาง 3 ชั้น
พอหมดชั่วโมง ยิ่งปวดที่เท้าจนเดินไม่ได้

ท้ายที่สุดก็ ต้องนั่งขัดสมาธิ ได้ทุกแบบจะวางทับกัน
ไม่ทับกัน หรือขัดดอกบัว อะไรก็ได้ ขอให้เป็นขัดสมาธิก็แล้วกัน
ตอนหมดชั่วโมง ก้มกราบพระท่าเบญจางคประดิษฐ์ เสร็จแล้วก็ชันเข่า
ข้างหนึ่งลุกขึ้นยืน ก็เป็นอันเดินไปได้เลย....

ตอนกลับมาเล่าให้พี่สาวฟัง
พี่นกบอกว่า "ก็พระพุทธเจ้าท่านอุตส่าห์หาท่านั่งให้แล้ว"

---------------------------------------------------------------------------
วันที่สาม

ดูลมหายใจได้แล้วแฮะ
เค้าเริ่มสอนวิปัสสนา แล้วก็เริ่มขู่ไว้ว่าจะต้องมี "ชั่วโมงอธิษฐาน"
ต้องนั่งนิ่ง อย่างน้อยก็ต้องไม่เปลี่ยนท่า ไม่ขยับมือที่วางอยู่
แต่ตัวอาจจะโยกหน้า แล้วยืดขึ้นให้ตรงได้ นั่งอย่างงั้นไป 1 ชั่วโมงเต็ม
ลองดูตาราง จะมี 1 ชั่วโมงเต็ม 3 ช่วงต่อวัน...

วันที่ 4

ได้เริ่มวิปัสสนาจริงจัง ฝึกไป
ให้อุเบกขา ให้ดูความไม่เที่ยง เกิดขึ้นและดับไป

ไปถามอาจารย์อีก
"อุเบกขา ยังไงคะ ยังเชื่อมโยงไม่ได้เลย?
แล้วพอเห็นความไม่เที่ยง ต้องคิดบอกตัวเองด้วยมั้ยว่า นี่คือความไม่เที่ยง"
อาจารย์ตอบว่า "ไม่ต้อง เพราะจิตมันจะรู้เอง"

ฝึกปฏิบัติกันไป ปวดหลังไม่เลิก แถมเริ่มปวดขา
อ้าวไหนว่าฝึกวางเฉยกับการปวดขามาดีแล้วไง ยังจะปวดอีก

ตอนบ่ายๆ "โอ้ย เหนื่อยแล้วนะเว้ย กว่าจะได้นอนพักอีกตั้งหลายชั่วโมง"
มีอาการงอแง แล้วก็โยกตัวข้างหน้าข้างหลัง รู้สึกอยากร้องไห้
แต่ไม่ได้ร้อง ประมาณว่าอาการงอแงสุดๆ

>>อาการนี้ เป็นอาการเฉพาะตัว กรุณาอย่าลอกเลียนแบบ เพราะเป็นนิสัยส่วนตัว ที่ยิ่งนั่งปฏิบัติวิปัสสนา มันยิ่งออกมาเห็นเด่นชัด

ตอนรอบค่ำ "เหนื่อยมากเลย อะไรกันเนี่ย ปกติก็ปวดเมื่อย
ร่างกายไม่สมบูรณ์เหมือนชาวบ้านนะ ทำไมต้องมาทรมานงี้วะ
ตกลงจะให้อุเบกขา หรือว่าจะให้อดทนสุดๆ แล้วมันไม่เก็บกด
หรือไงกัน"

>>ขี้บ่น...นี่ก็อีกอัน ที่นิสัยส่วนตัวออกมาให้เห็นเด่นชัด

ตอนชั่วโมง 2 ทุ่ม "เหนื่อยอ่า แต่ว่า อีกชั่วโมงเดียวก็ได้นอนเหยียดยาวแล้ว...."

อ่ะ...ผ่านไปอีก 1 วัน

---------------------------------------------------------------------------
วันต่อๆ มา
ตั้งแต่วันที่ 4


ทำได้แฮะ ชั่วโมงอธิษฐาน ไม่ขยับเลย "เก่งอ่ะ"

>> นี่ก็เป็น นิสัย ที่ออกมาให้เห็นเช่นกันว่า บ้ายอ และมีอัตตาสูง
ช้านเก่ง ทำได้ด้วย อิ๊ก

มีอยู่ตอนหนึ่ง ตอนชั่วโมงปฏิบัติปกติ ที่ว่าถ้าง่วงมาก ไม่ไหว
ก็ลืมตา เปลี่ยนท่า หรือว่า ออกไปเดินสัก 5 นาทีแล้วกลับมาใหม่ได้

นั่งไปง่วงไป
ปวดหลังมาก ปวดหลังมากมาก ปวดหลังสุดๆ ปวดหลังโค-ตรๆ


เฮ้ย ไม่ไหวแล้วนะเว้ย พอละกัน ออกไปเดินเล่นดีกว่า
ก่อนจะลืมตา ก็ถอยมานิดหน่อย มาดูลมหายใจก่อน
แค่นั้นแหละ งานที่ทำค้างอยู่เสร็จหมดเลย...
เนี่ยมั๊งที่เขาเรียกว่า ปล่อย-วาง


ตกลงชั่วโมงนั้น ไม่ได้ออกไปเดินเล่น เลยนั่งทำงานต่อ...
เออ เอากะมันดิ


มีนั่งๆ ไป เบื่อมาก ไม่ได้ดังใจเลย เบื่อ ขี้เกียจแล้วนะ
งั้นเลิกทำงาน ก็มาดูลมหายใจไปก่อน ... อ่ะ หมดชั่วโมง

ไปหาอาจารย์ "อาจารย์คะ มัน เบื่ออออออออ ทำไง?"
อาจารย์ตอบ "ก็เบื่อตรงไหน ก็เปลี่ยนไปตรงอื่น หรือว่า
ดูลมหายใจอานาปานสติไปพลางก่อนได้ แล้วค่อยมาทำงานใหม่"

---------------------------------------------------------------------------
แต่ละวันฟังธรรมบรรยายไป ได้ข้อคิดดีๆ เยอะ

นั่งๆ ไป อยู่ๆ แขนขาหายไปหมด ความรู้สึกจับไม่ได้ วูบ!!

v
v
v
v
v
v
v
v
v
v
v
หลับ
.
.
---------------------------------------------------------------------------
ส่วนใหญ่ ฉันจะเป็นบ่นกับอาการปวด ง่วง เบื่อ ขี้เกียจ

แล้วก็มีความคิดแทรกเข้ามา คิดว่า จะทำอะไรต่อไปยังไงดี
คิดถึงอดีต ว่ามีเรื่องราวอะไรเกิดขึ้นมั่ง
คิดถึงผู้คน ที่เคยเจอ ที่รู้จัก เข้ามาเป็นร้อยๆ คนได้
คนที่ไม่ได้นึกถึงตั้งนานแล้ว อยู่ๆ ก็นึกถึง...

แล้วก็รู้สึกว่า ขออโหสิกรรมให้ใครต่อใครที่โผล่เข้ามาในความคิด
มีความรู้สึกว่า จะไปแนะนำให้ใครต่อใครเข้ามาอบรมธรรม

เพราะว่า เริ่มเห็นของจริงแล้วไง
เริ่มเห็นความไม่เที่ยง ที่เกิดขึ้นจริงๆ กับร่างกาย
ที่ไม่มีการจัดแจงอะไรเลย ไม่มีเพลง ไม่มีจินตนาการ

ถ้ามีก็เป็นเสียงฝนพรำ เสียงฟ้าร้อง เสียงแมวร้อง เสียงจิ้งหรีดเรไร
เสียงพัดลมดังหึ่งๆ เสียงลมหายใจตัวเอง
เสียงรถมอเตอร์ไซค์ขึ้นมาส่งอาหาร ได้ยินก็คิดว่า เดี๋ยวก็จะได้พักกินข้าว

จากคำสอน
มันชวนให้เห็นว่า ไม่มีอะไรอย่างอื่นที่จะจริงเท่านี้
และมันก็น่าจะเป็นหนทาง
ที่ทำให้รู้จักความจริงสูงสุด และเห็นว่าชีวิตคืออะไร
และอาจจะได้เห็นความเป็นอมตะในตัวเอง


เป็นการที่ ไม่มีโลภ โกรธ หลง เหลืออยู่
หยิบมาใช้แทนคำว่า นิพพาน แฮ่...

ตีความว่า อมตะ ก็คือการไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย
แต่ก่อน คิดว่า อมตะ คือการคงอยู่อย่างไม่มีวันเปลี่ยนแปลงไป
เกิดมา แต่ไม่แก่ไม่เจ็บ ไม่ตาย ยิ่งกว่าอยู่ยงคงกระพันว่างั้น

ฉันแอบ หยิบคำว่า "อมตะ" มาใช้ แทน ภาวะที่ไม่มีอะไรเลย ไม่เกิด ไม่ดับ
ไม่มีดุ๊กดิ๊ก สั่นสะเทือน อะไรทั้งนั้นน่ะ

จะเห็นว่า ใช้คำว่า อาจจะได้เห็น
เพราะว่า ถ้ามันจะเห็นมันก็จะเห็นเอง
.
.
---------------------------------------------------------------------------
ตอนที่เขียนอยู่นี่
ถือเป็นการทบทวนไปด้วย
ว่าระหว่างที่นั่งวิปัสสนาอยู่ มีความคิด และความรู้สึกอะไรเข้ามาตอนปฏิบัติ

เพราะหลังจากเลิก "ปิดวาจา" เริ่มให้พูดได้
"อันแรกเลย คือขออโหสิกรรมจากแม่
เพราะเราทำนิสัยไม่ดี อวดดีเอาไว้มาก"

ตอนเที่ยง อาจารย์เชิญให้ไปพบ
เพราะจบคอร์สแล้ว อาจารย์พูดว่า
"เห็นแล้วใช่มั้ยว่า มันแตกต่างจากเรกิคนละขั้ว
ก็ต้องเลือกนะว่า จะฝึกทางไหน"
กวาง "ปฏิบัติสองอย่างเลยไม่ได้เหรอคะ เพราะว่าเรกิมันไม่ใช่สมาธิ
แล้วก็มันไม่เอามาปนกันหรอก"
อาจารย์ "ก็ครั้งหน้าถ้าจะมาอีก อาจารย์เห็นกรอกในใบสมัคร เขาก็จะต้องถามอีก" (คือศิษย์เก่า ถ้ายังฝึกอย่างอื่น เขาก็ไม่ให้เข้าอบรมไง)
กวาง "แล้วทำไมถึงฝึกสองอย่างไม่ได้"
อาจารย์ "มันจะเกิดความสับสน และเป็นอันตรายต่อผู้ฝึก แล้วก็ผู้รับการบำบัดด้วย"
กวาง "ค่ะ ก็จะไปคิดดู" กวางนึกในใจ อันตรายไงอ่ะ?

แต่เขาให้ถามอาจารย์เฉพาะเรื่องเทคนิควิปัสสนา
แล้วถ้าอาจารย์เตือนแล้วก็ต้องฟังหน่อย
เอ๊ะแล้ว ต้องเชื่ออาจารย์เหรอ ลองดูดีมั้ยเนี่ย?
ฟุ้งซ่าน...วนเวียนอยู่กับเรื่องเรกิ กับวิปัสสนา
แถมยังคิดว่า อาจารย์โกเอนก้าน่ะ เป็นพวกต้องการ exclusive

---------------------------------------------------------------------------
ฉันพบว่า

เรกิเป็นอะไรที่ติดตัวไปเรื่อยๆ มันทำงานเองไม่มีวันเลิก
แต่เราก็งดฝึก ไม่รู้ว่าจะชั่วคราว หรือว่าจะงดไปเรื่อยๆ

ถ้าวันหนึ่ง พบว่า วิปัสสนาแบบนี้ ไม่เหมาะกับตัวเอง
ก็อาจจะ กลับมาฝึกเรกิได้อีก

ในขณะที่ ถ้าไม่ลองเริ่มฝึกวิปัสสนา ที่เรารู้สึกว่า ได้เห็น "ความจริง"
ของชีวิตเราเองที่ไม่เคยดู ไม่เคยสัมผัส

ก็จะน่าเสียดาย

เนี่ยแหละ ทำให้ตกลงใจว่า จะพักเรกิ แล้วฝึกวิปัสสนากรรมฐานต่อไปก่อน
.
.
อย่างน้อยๆ อันที่ได้หัดทันที ก็เป็นการลดอัตตา ไปบ้าง

เพราะว่า ที่ผ่านมารู้สึกว่า อืม ตัวเองเป็นเรกิมาสเตอร์
ซึ่งถ้าคนรู้จักและอยู่แวดวงเรกิ จะรู้ว่า เรกิมาสเตอร์ นี่มันพิเศษขนาดไหน..
แถมยังใช้เวลา ใช้ค่าใช้จ่ายเยอะมากทั้งกับการเรียนเรกิ
แล้วค่าใช้จ่ายที่เดินทางไปอินเดียด้วย
แล้วจู่ๆ จะทิ้งเรอะ?

ฉันคิด.....
"กับเรกิ เรียนเดือนกว่าๆ กับที่ฝึกอีกหนึ่งปี เงินอีก 6-7 หมื่น
ที่จ่ายไป ถ้าจะทิ้งทำไมจะทิ้งไม่ได้ เพราะอย่างปริญญาตรี ปริญญาโท
หมดเวลาไปหลายปีกับค่าเรียนหลายแสนยังทิ้งได้เลย....."

ระหว่างฝึกปฏิบัติ
ก็ได้ความคิดหลายอย่าง ได้คำตอบหลายเรื่อง
ที่ถามตัวเองมาเป็นเดือนๆ แล้วตัดสินใจไม่ได้

ประมาณว่า
เอาไงดี เอาไงดี
งี้ดีมั้ย
งั้นดีมั้ย
แต่ตอนนี้ ได้คำตอบแล้วแหละ.....

---------------------------------------------------------------------------
การฝึกสมาธิ จากปีที่แล้ว ที่อินเดีย ได้เทคนิคหลายแบบมา
โดยเฉพาะ Active Meditation ของ OSHO
แล้วก็ฝึกไปเรื่อยๆ ถือเป็นแนวเริงร่า


ก็ต้องยกเครดิตให้ว่า เป็นเส้นทางก้าวย่างแรกๆ ที่เข้ามาสู่กระแสธรรม
สนใจอ่านหนังสือธรรม สนใจฝึกสมาธิ
แล้วก็ทำให้ใฝ่หาจะทดลองฝึกวิปัสสนา

ส่วน Active Meditation ของ OSHO
เป็นเรื่องที่เปิดใจ และเป็นจุดเริ่มต้นที่เหมาะกับ
พวกคนรุ่นใหม่ที่ไม่ชอบ ภาษาธรรมแบบพุทธ
ไม่ชอบการที่จะมีภาพลักษณ์ว่า เอ้า เข้าวัดแล้วเหรอ แก่พอแล้วล่ะสิ

แล้ว Active Meditation ก็เป็น กิจกรรมคลายเครียด
ได้เป็นอย่างดี......

ถ้าใครยังสนใจจะทดลอง Retreat ด้วยการฝึก Active Meditation
ก็ยังมาคุยกันได้นะ จะสอนให้....จะได้เตรียมเพลง.....สนุกดีนะ
ถ้าชอบและติด..ก็เข้าข่าย "ความหลง" ฮี่ ก็สมถะสมาธิก็งี้แหละ
.
.
แต่ถ้าใครอยากจะ ท้าทาย ไปอันยาก และตรง
ก็สมัคร คอร์ส อ.โกเอนก้า เลย //www.thai.dhamma.org
จะได้รู้ว่า "ความจริง" ที่สัมผัสได้มันเป็นอะไร
.
---------------------------------------------------------------------------
ช่วงเข้าคอร์ส

ตอนแรกฉันก็นึกว่า สงสัยตอนเช้า ตี 4 ไม่ตื่นแน่
แต่พอเอาเข้าจริง ทุกเช้า ตอนตี 3 ก็รู้สึกตัวขึ้นมาทีหนึ่ง
แล้วก็ปลอบใจตัวเองว่า เออดีแฮะ มีให้นอนอีกตั้ง 1 ชั่วโมง

พอตี 4 เสียงระฆังดัง ก็ยื้อบนเตียงสัก 3 นาที แล้วก็ลุกได้ด้วยแหละ
.
.
พอเมื่อยมากๆ
เลยฝึกโยคะอาสนะ บนที่นอน

มีเวลายืดเส้นยืดสายตอน 5 โมงเย็น
เพราะไม่กินมื้อเย็นไง ท้องก็ว่าง ใช้ได้แล้วพอดี

...เค้าไม่ห้ามการฝึกโยคะ แบบออกกำลังกาย...
.
.
---------------------------------------------------------------------------
การฝึกวิปัสสนา ต้องมีครูบาอาจารย์จริงๆ แหละ
มันมีเส้นทางเยอะแยะ และก็มีขวากหนาม มาร หลายหลากแบบด้วย

เรื่อง เรกิ โยเร พลังจักรวาล
เค้าก็ยอมรับว่าดี มีประโยชน์ แต่มันก็จะเป็นการขัดขวางความก้าวหน้า
ที่จะเข้าถึง "ความจริงอย่างที่เป็นอยู่" และ "ความจริงอันเป็นสัจจธรรมสูงสุด"

แต่มันไม่ไปลึกถึงระดับจิตไร้สำนึก
ที่มันพอกพูนกิเลส (โลภ โกรธ หลง) มานับชาติไม่ถ้วน

แต่ถ้าฝึกวิปัสสนา เราจะฝึกจิตทั้งจิตสำนึก จิตใต้สำนึก และจิตไร้สำนึก ให้วางเฉย แล้วก็ให้ โลภ โกรธ หลง ที่พอกพูนมา ค่อยๆ หลุดลอกไป

คำว่า หลุดพ้น หรือนิพพาน

มันครอบคลุม ตั้งแต่ การหลุดพ้นจากความทุกข์ในแต่ละวัน แต่ละนาที
และเป็นเป้าหมาย แบบว่า หลุดพ้นไม่ต้องเกิดอีก

ถ้าหลุดพ้นจากความคิดวนๆ เวียนๆ ตัดสินใจไม่ได้
หลุดพ้นจากความรู้สึกเจ็บปวด คัน ได้ก็ถือว่าใช้ได้แล้ว....

----------------------------------------------------------------------------
เรื่องการกำหนด เช่น เวลาปวด เราก็กำหนดว่า ปวดหนอ
สาย อ.โกเอนก้า จะไม่ให้กำหนด
แค่ดูมันว่าตรงไหนที่ปวด เพราะให้ดูความรู้สึก สัมผัสทางกาย
โดยให้ดูทั่วๆ แล้วค่อยแวะมาตรงที่ผิดปกติ แล้วจะพบว่า เดี๋ยวมันก็หายไปเอง

ฉันมีคิดว่า
"เออ...การฝึกวิปัสสนาแนวนี้ สิ่งที่ควรทำคือ การไม่เอาคำพูด
มาเกี่ยวข้อง ภาษา ต้องตัดออกไปเลย
เพราะมันจะต้องผ่านระบบการคิด ซึ่งการดูเราต้องไม่คิด
ถ้ามีความคิดผ่านเข้ามาเราก็ดูมัน ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป
แต่ให้มุ่งความสนใจไปที่ความรู้สึกทางกาย
เป็นงานที่ต้องทำ ระหว่างวิปัสสนา"

และภาวะสมาธิ กับการเข้าถึงความจริง
ธรรมบรรยายบอกว่า "เป็นสากล" ทุกคนถ้าฝึกจะรู้สึกได้
และเข้าถึงได้ โดยไม่เกี่ยวกับชาติ ศาสนา ภาษา

สิ่งที่สำคัญกว่า คือการเอามาปรับใช้ในชีวิตประจำวัน
เมื่อรู้ตัวก็สังเกตความรู้สึกที่เกิดขึ้น และดูลมหายใจ
ว่ามันปกติดีหรือไม่ ถ้าลมหายใจแรงขึ้น เร็วขึ้น
ก็ให้รู้ว่า เกิด โลภ โกรธ หลง ขึ้นแล้ว ให้วางเฉย


ก็ต้องฝึกกันต่อไปเรื่อยๆ น่ะแหละ

---------------------------------------------------------------------------
เรื่องการวางเฉย (อุเบกขา)
ธรรมบรรยายบอกว่า เราไม่สามารถใช้วิธีวางเฉย หรือใช้ความรู้
ที่มีอยู่มาฝึกตัวเอง เพราะมันเป็นแค่ระดับจิตสำนึก และอย่างมากก็
จิตใต้สำนึก แต่ระดับจิตไร้สำนึก มันยังทำงานเกี่ยวข้องกับความรู้สึกทางกาย

เพราะงั้นถึงแม้เราจะใช้ความคิด เหตุผลว่าต้องจัดการกับ
อารมณ์ โลภ โกรธ หลง อย่างไร ลึกๆ แล้วเราจัดการไม่ได้
เพราะจะเกิดอาการเก็บกด ซะมากกว่า

จึงทำให้การหลุดพ้น เกิดขึ้นไม่ได้ เพราะมันเกิดเฉพาะพื้นผิว

เทคนิคการฝึกวิปัสสนา ให้นั่งดูสภาวะธรรม
จะเห็นการเกิดขึ้น ดับไป จิตเราทั้ง 3 ระดับจะรับรู้ความเป็นจริงนั้น
แล้วก็วางเฉยกับสิ่งที่เกิดขึ้น โดยไม่ต้องรู้สึก ตัดสินว่า ชอบหรือไม่ชอบ

แล้วพอในชีวิตประจำวัน เกิดเหตุ เกิดอาการต่างๆ ขึ้นกับตัว
ก็จะไม่มีการตอบโต้ทันควันเกิดขึ้น จะรู้ก่อน แล้วก็วางเฉย

ถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับคนอื่น เมื่อฝึกเมตตาภาวนา
แผ่เมตตาหลังฝึกวิปัสสนาบ่อยๆ แล้ว ไปๆ มาๆ ก็จะมีเมตตาต่อผู้อื่น
อย่างเป็นธรรมชาติ

อันนี้ น่าสนใจ เพราะโดยนิสัยส่วนตัวแล้ว
ฉันน่ะ ค่อนข้าง Self Center ถ้าให้แรงๆ ก็อาจเรียกว่า เห็นแก่ตัวเอง
เอาตัวเองเป็นหลัก

ถ้าเปลี่ยนได้อย่างเป็นธรรมชาติ ก็คงจะเป็นสุขมากขึ้น

----------------------------------------------------------------------------
อีกส่วนหนึ่ง
"ปวด"

สังเกตตอนนั่งในชั่วโมงวิปัสสนากรรมฐาน
ก็จะทำงานวิปัสสนาไป ถ้าเบื่อก็ดูลมหายใจอานาปานสติ

ความอดทน การวางเฉย ต่อการปวด
จะทำได้...........และช่วงแรกๆ ทรมาน
ต่อมา ความรู้สึกทรมานก็น้อยลง
สนใจงานที่ต้องทำมากกว่า แล้วก็เจาะลึกเข้าไป

แปลกมาก เวลามีส่วนไหนตึงเป็นก้อน มีความเจ็บปวดแรงๆ
พอเข้าไปดูมันใกล้ชิด สนใจส่วนนั้นแต่แบ่งเป็นการดูเป็นส่วนๆ เล็กๆ
มันไม่เห็นปวดแบบที่รู้สึกตอนแรก มันมีแต่ตึงๆ ชาๆ สั่นๆ เท่านั้นเอง

พี่นกบอกว่า "ก็นี่ไง เมื่อเทียบกับการใช้กล้องจุลทรรศน์กำลังสูง
สิ่งของที่เป็นชิ้นเป็นอัน พอ Zoom in เข้าไปดูแต่ละส่วน
มันไม่เห็นเป็นสิ่งของอันนั้นแล้ว มันจะเห็นเป็นส่วนๆ
และเข้าลึกไปถึงระดับอะตอม"

ถ้าหากฝึกวิปัสสนามากๆ ไป
วันหนึ่งกล้องจุลทรรศน์จิต ที่เราทุกคนมีอยู่
ก็คงจะเริ่มทำงาน แล้วเข้าไปเห็นระดับหน่วยที่เล็กมาก
เล็กกว่า ปรมาณู

---------------------------------------------------------------------------
ส่วนเบื้องต้น การช่วยเหลือผู้คน จากเรกิ
เราจะรู้สึกว่า เมื่อเราบำบัดให้เขา ก็จะเห็นผลทันที
หากเราไม่ใช้วิชา (คาถา อาคม 555) เมื่อเรามีจิตใจที่อยากจะช่วย
แล้วจะทำอย่างไร

อาจารย์ให้ฝึกวิปัสสนาสม่ำเสมอ
แล้วเวลาเจอใครที่ต้องการช่วย
ให้แผ่เมตตาให้เขา เขาก็จะได้รับ

----------------------------------------------------------------------------
"อะไรมันจะเกิด มันก็เกิด"
"ทำใจ"
"มันเป็นงี้ เดี๋ยวมันก็หายไปเอง"

คำพูดพวกนี้ แต่ก่อนฟังๆ ดู จะรู้สึกขัดๆ
ไม่มีอะไร ที่ควบคุมได้เลยเหรอ

"อะไรจะเกิด มันก็เกิด" แล้วถ้าเรื่องร้ายๆ ก็ให้ "ทำใจ"

มันทำยังไง ไอ้ทำใจเนี่ย ปล่อยมันไปเฉยๆ เนี่ยนะ
รู้สึกว่า คนที่พูด พูดออกมาแบบไม่รับรู้สิ่งที่เกิดขึ้น
พูดปัดๆ ไป ให้มันไม่อยู่ในความสนใจ ไม่ใส่ใจ

ตอนนี้ รู้สึกว่า เข้าใจหน่อยๆ แล้ว
กับคำพูด 3 ประโยคที่ว่ามา
เพราะว่า เรื่องเยอะแยะ เราก็ไม่ควรจะใส่ใจจริงๆ
เหมือนตอนฝึกวิปัสสนาอยู่ แนวดูเวทนา (ความรู้สึก)
ถ้าฝึกดูความรู้สึก แต่ถ้าความคิดเข้ามา เราก็ไปดูความคิด (ดูจิต)
ตกลงเราจะดูความรู้สึกได้เสร็จมั้ยเนี่ย งานที่เราทำจะเสร็จป่าว
เดี๋ยวดูความรู้สึก เดี๋ยวดูจิต

ถ้ามีความคิดเข้ามา เราก็ไม่ต้องไปใส่ใจ
ใส่ใจที่ความรู้สึก และลมหายใจก็พอ

พยายามทำเข้าใจ
ว่า ทำไมอาจารย์ไม่ให้เอาเทคนิคหลายๆ
อย่างมาปนกัน เพราะว่างานมันจะไม่เสร็จสักอย่าง
เลยไม่มีความก้าวหน้าในการปฏิบัติ...แฮ่

เขียนบล็อกนี้ ก็เพื่อทบทวนความคิด แล้วก็กระตุ้นตัวเอง
ให้ฝึกต่อไปด้วย..
.
.
----------------------------------------------------------------------------
แต่การกลับมาฝึกที่บ้าน มีอุปสรรคหลายอย่าง

การฝึกด้วยตัวเอง ทำได้ยาก

1. ตอนอยู่บ้านนาราส
ตื่นขึ้นมา ฝึก 1 ชม.
ก่อนนอน 1 ชม. ทำได้

2. พอเดินทาง อย่างไป เชียงราย ลำปาง
นอนดูลมหายใจ ได้แค่ ครึ่งชั่วโมง มั๊ง

3. พอมาอยู่เชียงใหม่ ได้แค่ 1 ชม. ตอนไหนสักครั้งระหว่างวัน

แต่พยายามดูลมหายใจ ตอนก่อนนอน และตื่นนอน สัก 5 นาที
คือเรื่องแรกของชีวิต ให้เป็นการดูลมหายใจก่อน......
ที่จริงทำดูลมหายใจก่อนนอนและตื่น มาตั้งแต่กลับจากอินเดียแล้ว

ระหว่างฝึกสมาธิ พยายามฝึกวิปัสสนา
แต่ท้ายที่สุด ได้แค่อานาปานสติ เพราะจิตว้าวุ่น เรื่องเข้ามาในสมองเยอะมากๆ

วิธีการ น่าจะต้องกลับไปเข้าคอร์ส บ่อยๆ
การฝึกจิต ต้องอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ควบคุม
ถึงจะชำนาญ ให้พร้อมออกมาต่อสู้กับสิ่งยั่วยุ และการดำเนินชีวิต
ที่มันวุ่นวาย..........ก่อให้เกิดความพอใจ โลภ โกรธ หลง ชอบ ไม่ชอบ ที่รวบเรียกว่า กิเลส ตัณหา....ง่ะ

เลยไม่แปลกใจแล้ว ว่าทำไม น้องผึ้ง ที่ไปเข้าคอร์ส ครั้งแรก เมื่อปีที่แล้ว
ถึงบอกว่า ตลอดปีที่ผ่านมา ฝึกแต่อานาปานสติอย่างเดียวเลย
ทีแรกก็ยังว่า อ้าว แล้วทำไม ถึงไม่วิปัสสนา ทั้งๆ ที่เรียนมาแล้ว

...ก็มันไม่ง่าย อย่างนั้นน่ะสิจ๊ะ เธอจ๋า....
.
.




 

Create Date : 17 พฤษภาคม 2551    
Last Update : 17 พฤษภาคม 2551 14:38:21 น.
Counter : 6044 Pageviews.  

เมื่อเพื่อนสนิทถาม : ไปวิปัสสนา อ.โกเอนก้า เป็นไงมั่ง

โทรหาเพื่อนสนิทชื่อส้ม
แจ้งว่า เพิ่งกลับจากอบรมวิปปัสสนากรรมฐาน สอนโดยท่าน อ.โกเอนก้า

ส้มถามว่า เป็นไงมั่ง เคยได้ยินนานแล้ว แต่ไม่ได้ลงรายละเอียด

หลังจากเล่าให้ฟังคร่าวๆ ทางโทรศัทพ์
ส้มจึงบอกว่า ให้เมล์หาหน่อย ต้องการเวปไซต์ด้วย




ส้ม,

เรื่องไปอบรมปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน สอนโดย อ.โกเอนก้า 10 วัน
(เป็นการบันทึกเทปภาษาอังกฤษ แล้วแปลไทย)
เทปภาษาอังกฤษ กับตารางเวลาต่างๆ จัดเหมือนกันทั่วโลก

มันต้อง 10 วัน เพราะถือเป็นการผ่าตัดจิต

----------------------------------------------------

โห้ยยยย

จะว่าสงบ ก็สงบ
แต่ก่อนจะสงบ ต้องสู้รบ ปรบมือเยอะมากๆ
ให้นั่งนิ่งๆ แต่งานเยอะชิบเป๋งเลย

มันส์ดี...อึด...ฮึด...ยิ่งซีเรียสยิ่งอาการหนัก...พอปล่อยมันกลับได้เรื่อง

ระหว่างปฏิบัติ
มันก็มีความคิดผ่านเข้ามา
ตั้งจิตอโหสิกรรมให้คนโน้นคนนี้
ขออโหสิกรรมคนโน้นคนนี้
แผ่เมตตาให้ใครต่อใคร รวมทั้งพวกมด หมัด เหา ยุง ที่เคยกำจัดมัน..
ตั้งแต่ที่เค้ายังไม่ได้สอนให้แผ่เมตตา...เออแฮะ แปลว่ามันก็โน้มน้าว
ให้เรารู้จักมีเมตตา แล้วก็กลัวกรรมตามทัน อิ๊ก

นั่งไปนั่งมา รู้นิสัยตัวเองชัดขึ้นๆ

----------------------------------------------------
เวปไซต์
//www.thai.dhamma.org

หรือของทั่วโลก //www.dhamma.org


----------------------------------------------------

ตัดสินใจพักเรกิ ไปก่อน
เพื่อทดลองฝึกปฏิบัติ ธรรมบริสุทธิ์ ตามแนวท่านอูบาขิ่น (ท่านเป็นอาจารย์ของท่าน อ.โกเอนก้า)

คิดดูเด่ะ ปีที่ผ่านมา ใช้ Active Meditation และฝึกเรกิมีเมตตา
เริงร่ามากๆ เป็นสุขขึ้นมาก ซึ่งก็เหมาะกับพวกที่ต่อต้านศาสนา 555
แล้วก็เป็นเทคนิคที่ช่วยให้มีการผ่อนคลาย คลายเครียด ว่างั้น
เหมาะกับคนรุ่นใหม่ ที่พอฝึกๆ ไป จะเริ่มสนใจใคร่รู้อะไรที่เกี่ยวกับธรรมะ....
ปีที่แล้วกวางอ่านหนังสือ ฟังเทป ของ ท่าน อ.โอโช่ ซ้ำไปซ้ำมา
ซึ่งมีกว้างเลย พูดถึงทุกศาสนา ทำให้สนใจ Zen ซึ่งมีรากฐานมาจาก พุทธ

ก็ขอบคุณที่ได้ไปอินเดีย และประสบการณ์ที่ได้เจอในปีที่แล้ว
อย่างมากๆ ทำให้เราเริ่มเดินในสายภาวนา สมถะสมาธิ และบางเทคนิคจะคล้ายวิปัสสนา
แต่เริงร่าชิปเป๋งเลย มีต้องอดทนอยู่มั่ง ใช้ความเพียรมั่ง แต่มันก็ผลักดันให้เราทำต่อไป
(อันนี้ เวลาฝึกวิปัสสนา จะไม่มีเริงร่าแฮะ จะจริงจังหน่อย และอดทนมาก ต้องใช้ความตั้งใจในการทำความเพียร)

วิธีในการใช้ชีวิตประจำวันเลยเป็นแบบ เวลามีสิ่งผิดปกติ
ด้านอารมณ์ ความคิด จิตป่วน ก็จะกลับมาใส่ใจ ลมหายใจ

แต่ก็พบว่ายังมีคำถามในชีวิตจำนวนหนึ่งที่หาคำตอบไม่ได้

จากปีที่แล้ว ก็เลยทำให้เดินหน้าต่อไปจนมาถึง การเปิดใจไปเข้าร่วมฝีกอบรมวิปัสสนา

พอมาฝึกวิปัสสนา ดูแล้ว ได้เจอความจริงของชีวิต ว่ามันไม่คงที่ เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาจริงๆ
เป็นแค่นิดหนึ่งที่เราสัมผัสได้ ก็เลยจะฝึกต่อไปดูว่าจะเป็นยังไง

อ้อ...เรื่องพวกต่อต้านศาสนา
ที่จริงไม่มีไรมาก แค่รู้สึกว่า ถ้าเข้าวัดเป็นพวกมีปัญหา
ถ้าเข้าวัดแปลว่าชักแก่ ถ้าเข้าวัดยึดถือพิธีกรรมหรือเปล่า

อย่างพวกเราอาจจะเข้าข่าย "พุทธมามะกะในสัมโนครัว"
คืออย่างชาวพุทธในอินเดีย สิ่งที่จะเรียกตัวเองว่า ชาวพุทธ ต้องเป็นผู้ที่ปฏิบัติธรรม
แต่พวกเรารึ ไม่ปฏิบัติ ทั้งสมถะ ทั้งวิปัสสนา เพียงแค่ไปตักบาตร ฟังเทศน์บ้าง อ่านหนังสือธรรมะ
คนอินเดียเขาไม่เรียกว่า เป็นชาวพุทธ

แนวที่ อ.โกเอนก้าสอน เปิดโอกาสให้ผู้นับถือศาสนาไหนก็ได้
มาเข้าอบรม เพราะถือว่า ธรรมะเป็นสิ่งสากล ไม่เกี่ยวกับศาสนา ไม่เกี่ยวกับเชื้อชาติ ลัทธิ
ก็เลยจับเอาส่วนแกนหลัก มาให้ฝึก
ส่วนพวกพิธีกรรมต่างๆ ทุกชนิด ดึงออกหมด
ยกเว้นการสวดมนต์ ซึ่งอาจารย์จะสวดให้ฟัง แต่ไม่ได้ให้ผู้ปฏิบัติสวดนะ
(ถามแล้ว คำตอบคือ การสวดมนต์เป็นหน้าที่ของอาจารย์ คือเป็นส่วนหนึ่งของการบรรยายธรรม)
ดังนั้น ในศูนย์ไม่มีจุดธูปจุดเทียน ไม่มีพระพุทธรูป
มีแค่ว่า ถ้าใครรู้สึกว่า ศรัทธาในพระรัตนตรัย ก็อนุญาตให้กราบได้

เกี่ยวกับการสมัครไป ไม่ต้องมีเพื่อนไปด้วยก็ได้
เพราะว่า ถึงที่นั่นแล้ว ต่างคนต่างฝึก
การสื่อสารทั้งหมด ผ่านบอร์ด ยกเว้นมีปัญหาการฝึกก็ไปลงรายชื่อขอพบอาจารย์
ปัญหาด้านความเป็นอยู่ก็พบธรรมบริกรได้

สรุปว่า จัดตารางตัวเองได้เมื่อไหร่ 12 วัน คือเผื่อเดินทางก่อนและหลังการอบรม 10 วัน
ดูละเอียดหน่อย มีคอร์สผู้บริหารด้วย อยู่ในศูนย์ที่กรุงเทพ อาจช่วยประหยัดเวลาเดินทาง
แต่ว่าไปต่างจังหวัด เราอาจจะได้อีกความรู้สึกหนึ่งนะ....

เออ..เดี๋ยวข้อความในเมล์อันนี้ เอาไปแปะที่บล็อกด้วยดีกว่า.....
เผื่อมีคนสนใจ จะได้ไปถูกลิงค์

**กวาง




 

Create Date : 10 พฤษภาคม 2551    
Last Update : 10 พฤษภาคม 2551 11:17:19 น.
Counter : 9731 Pageviews.  

เรกิ สมาธิ เกี่ยวข้องกันอย่างไร

สมาธิ และการสวดมนต์ทำให้เกิดพลังชีวิตที่ดี

เคยได้อ่านประวัติของ หลวงพ่อสิงห์ทน นราสโภ
ท่านเป็นผู้หนึ่งที่บำบัดผู้อื่นได้ โดยใช้พลังที่ท่านเรียกว่า "รังษีธรรม"
โดยที่มันเกิดขึ้นเอง ไม่ได้รับการเปิดจักระจากใคร
ท่านเคยบวชเรียนแล้วชอบการสวดมนต์มากๆ หลังจากบวชก็ยังสวดมนต์ต่อมาเรื่อยๆ
จนการสวมมนต์ทำให้เกิดสมาธิ.......................
มีช่วงหนึ่งมีเพื่อนชวนไปที่กลุ่มโยเร เพื่อรับพระ
ประมาณว่า รับองค์พระเครื่องและเปิดจักระ
คนเยอะมากๆ เพื่อนส่งองค์พระเครื่องมาให้ถือไว้ แต่ยังคอยเปิดจักระอยู่
มีคนไม่สบายที่มาร่วมงาน เห็นท่านถือองค์พระเครื่องไว้ในมือ
เข้าใจไปว่า ท่านเป็นผู้ให้โยเรได้ ก็ขอให้ท่านบำบัดให้.....
ท่านก็เลยทำท่าโยเร ตามๆ ไปเหมือนที่คนอื่นๆ ทำ ปรากฏว่า คนที่ไม่สบายนั้น หายป่วย
แล้ววันต่อๆ มา ก็มีคนแนะนำให้มารับการบำบัดโยเร จากท่าน ซึ่งท่านก็ทดสอบการให้
พลังนั้นไปเรื่อยๆ และผู้คนก็หายป่วยได้....

จนแม้กระทั่งว่า หาองค์พระเครื่องไม่เจอแล้ว แต่พลังนั้น ก็ยังใช้ได้ผลดีอยู่
ท่านจึงมีความเชื่อมั่นต่อการสวดมนต์.......และต่อมา ท่านได้สอนให้รับรังษีธรรม
จากดวงอาทิตย์ โดยการกำหนดจิตและท่าทางตามจักระ 7 แห่ง

เคยมีการทดสอบโดยเอากล้องถ่ายรูปแบบ Kerian มาใช้ถ่ายดูออร่า ก่อนและหลัง
การ "รับรังษีธรรม" พบว่า ออร่าที่ถ่ายได้มีการเปลี่ยนแปลงในทางดีขึ้นมาก

ท่านหลวงพ่อเคยมีประวัติการป่วยด้วยโรคมะเร็ง ซึ่งท่านมีความมั่นใจในการปฏิบัติ
สมาธิด้วยการสวดมนต์ จนสามารถบำบัดตนเองให้หายจากโรคมะเร็งได้
โดยท่านบอกว่า นอกจากจะทำให้เกิดสมาธิแล้วยังมีคลื่นความสั่นสะเทือนต่อร่างกาย
ที่เรียกว่า Vibrational Medicine ส่งผลให้ร่างกายบำบัดตนเอง
โดยท่านได้ให้คำชี้แนะว่า สำหรับคนบางคนที่มีฐานพลังไม่เพียงพอ
การฝึกวิปัสสนาจึงไม่มีความก้าวหน้า ควรฝึกสมถะสมาธิด้วยการสวดมนต์เสียก่อน

สำหรับผู้ป่วยมะเร็ง ท่านแนะนำให้ฝึกสวดมนต์เป็นประจำ
ถือเป็นการแพทย์ทางเลือกอีกอย่างหนึ่ง

ดังนั้น เกี่ยวกับการปฏิบัติภาวนา ไม่ว่าจะเป็นสมถะสมาธิ หรือวิปัสสนา
มีแนวโน้มที่จะเกิดพลังงานในทางบวกขึ้น
ซึ่งถ้าให้ดี สำหรับผู้ที่จะทำการเปิดจักระในรูปแบบใดก็ตาม เช่น ชี่กง เรกิ หรือโยเร
อาจจะทำการทดสอบก่อนว่า บุคคลผู้นั้นมีพลังงานทางบวกอยู่มากน้อยเพียงใด
หรืออาจจะมีความสามารถในการส่งพลังให้ผู้อื่นอยู่ด้วยแล้ว
(เป็นภาวะที่จักระเปิดเอง จากการปฏิบัติสมาธิภาวนา) ก่อนจะถูกเปิดจักระโดยผู้อื่นก็ได้

สำหรับเรกินั้น ไม่ว่าผู้ปฏิบัติจะมีความเชื่อในด้านศาสนาของตนเองเป็นแบบใด
ก็ไม่มีผลต่อการฝึกเรกิ เพราะเรกิไม่มีความเกี่ยวข้องกับศาสนาหรือความเชื่อใดๆ
และไม่ใช่การทำสมาธิ การฝึกเรกิจึงไม่จำเป็นจะต้องใช้การตั้งจิต
หรือเพ่งจิตระหว่างการบำบัด

ส่วนที่แตกต่างของผู้ปฏิบัติที่ฝึกสมาธิภาวนา จะมีความละเอียดในการการรับรู้ถึง
การสั่นสะเทือนของพลังได้ดีและชัดกว่าผู้ที่ไม่เคยฝึกสมาธิภาวนา
อย่างไรก็ตาม ผู้ที่ไม่เคยฝึกสมาธิภาวนาก็มีศักยภาพในการฝึกเรกิ
โดยการฝึกฝนทั้งการบำบัดตนเองและผู้อื่นจะทำให้พลังงานที่เคลื่อนในระบบพลังชีวิต
ของบุคคลนั้น มีความลื่นไหลและจัดการขจัดข้อบกพร่องและการติดขัดของการเลื่อนไหล
ของพลังชีวิตให้เกิดความสมดุลได้มากยิ่งขึ้น

แต่ทั้งนี้ ตามที่ได้ศึกษาร่ำเรียน เรกิ
(สาย Usui Shiki Reiki Ryoho = The Usui System of natural healing)
ความสำคัญที่เด่นชัดของการรู้แจ้งถึงวิธีการบำบัดด้วยพลังชีวิตจากจักรวาล
ของท่านมิกาโอะ อูชูอิ คือการส่งพลังให้แก่ผู้อื่น โดยผู้ให้ไม่สูญเสียพลัง หรือพลังไม่
ถถถอย และยังมีการเติมเต็มพลังจากจักรวาลเข้าสู่ผู้ให้อีกด้วย นี่คือสิ่งพิเศษของศาสตร์
แห่งพลังชีวิตบำบัด : เรกิ

การถ่ายทอดศาสตร์แห่งเรกิ นั้นจะทำได้โดยการเปิดช่องทาง หรืออาจเรียกอีกอย่างว่า
ปรับพลัง เพื่อที่ผู้เรียนจะสามารถเชื่อมโยงกับแหล่งพลังเรกิจากจักรวาลได้
การปรับพลังนี้จะทำได้โดยการถ่ายทอดจากอาจารย์ที่มีชีวิตอยู่เท่านั้น

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากความพิเศษของเรกิในส่วนที่เชื่อมโยงพลังชีวิตที่มีอยู่ในจักรวาล
ได้โดยไม่จำกัดสถานที่ การปรับพลัง และการให้เรกิสามารถทำได้ในขณะที่บุคคลผู้ให้กับ
ผู้รับไม่ได้อยู่ต่อหน้ากัน หรือเรียกว่า เรกิทางไกล (Remote or Distant Reiki
Session) ได้ด้วย

**Article Written By : Reiki Master/Teacher Meena




 

Create Date : 16 เมษายน 2551    
Last Update : 16 เมษายน 2551 11:38:50 น.
Counter : 2331 Pageviews.  

ความรู้สึก ณ วันนี้...

.
.
สิ่งที่เป็นในวันนี้ คือการที่รู้ว่า กำลังทำอะไรอยู่ และยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้น

:: บางครั้งรู้สึกทุกข์ ที่ไม่ได้ทำงาน ไม่มีรายได้
:: บางคราวรู้สึกถึงความไม่แน่นอน ต่อโชคชะตา
:: หลายครั้งที่รู้สึกว่า อนาคตนั้นเล่าจะทำอย่างไร
v
v
v
v
:: อยู่กับปัจจุบัน ไปวัน วัน
v
v
v
v
:: อย่างไง เราก็รู้อยู่แก่ใจว่า "ถึงจะวางแผนอะไรไว้ เมื่อมันจะเป็นไปอย่างอื่น มันก็เป็น"........
:: เดี๋ยวนี้ ไม่ค่อยเสียพลังงานการวางแผนแล้ว...อะไรจะเกิด มันก็เกิด
:: และเราก็มีพลังชีวิตเหลือล้น ที่จะใช้แก้ปัญหา โดยเฉพาะปัญหาที่เกิดกับจิตใจ.......
v
v
v
:: ชีวิตมีความหมาย คุณค่าของชีวิตอยู่ที่ เราได้มองดูความเป็นไป
:: และรู้ว่า ความแน่นอน คือความไม่แน่นอน

ฉันไม่รู้ว่า ต่อไปจะเป็นยังไง
แต่ในวันนี้ สุขบ้าง ทุกข์บ้าง พอจะทำอะไรได้ก็ทำ ลดความคาดหวัง
ลดการใช้พลังชีวิต ลดรายจ่าย...
ก็ไม่ได้ตั้งเป้าว่า จะต้องช่วยเหลือผู้อื่น เพราะเดี๋ยวจะติดดี
ถ้าแบ่งปันได้เมื่อไหร่ ก็ทำไป....สนุกดี

:: พอมีโอกาสได้ให้ผู้อื่น เราก็ขอบคุณคนที่มาเป็นผู้รับ
ขอบคุณที่เขา "รับ" จากเรา หารายได้เองไม่ได้ ก็เอาวิชาความรู้ให้เขา...
:: โชคดีสักหน่อยหนึ่ง ที่คนในครอบครัวสนับสนุนด้านการเงิน

:: เหลือเรื่องเดียว คือ "จิตใจ" อย่างที่เคยเขียนตอบไว้ในบล็อก
:: "อ่อนโยนดั่งสายน้ำ แข็งแกร่งดั่งภูผา"

:: ที่เหลือ...ให้รู้ไว้ว่า "เรากำลังเดินเข้าสู่ความตาย และการเกิดใหม่" ฟังดูน่ากลัว
:: ในความเป็นจริง "เรากำลังเดินไปสู่หนทางแห่งการกลับสู่ธรรมชาติ" :)

:: จิตของมนุษย์ ชีวิตของคน มีขึ้นมีลง....อยู่ที่เราจะมองเห็นหรือเปล่าเท่านั้น
:: ช่วยเป็นกำลังใจให้กัน เพื่อมองดูปัจจุบัน




 

Create Date : 05 กุมภาพันธ์ 2551    
Last Update : 5 กุมภาพันธ์ 2551 19:11:08 น.
Counter : 555 Pageviews.  

1  2  3  4  5  

Minie'
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 54 คน [?]




รู้โลกเรียนธรรม

Friends' blogs
[Add Minie''s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.