ฉันไปพบท่านอาจารย์โอมานัน บารตี ที่ศูนย์เรกิและสมาธิ OM Reiki Familyเวปของศูนย์ //www.omreikifamily.comในเมืองปูเน่ แคว้นมหาราษฏร ประเทศอินเดียเมื่อปลายเดือนเมษายน 2550 เพราะเป็นช่วงโลว์ซีซั่น ผู้คนจะไม่มากนักท่านอาจารย์จะมีเวลาให้เราได้เต็มที่...ท่านถามฉันว่า วัตถุประสงค์ในการมาคืออะไรฉันตอบท่านว่า ฉันมองหาสิ่งที่จะทำให้เริ่มปฏิบัติสมาธิภาวนาได้เราเริ่มต้นกันที่ การบำบัดความเจ็บป่วยของฉันด้วยเรกิมิกะ เพื่อนชาวฝรั่งเศสของคุณโธมัส ได้อธิบายเพิ่มเติมในฐานะหนึ่งในอาจารย์เรกิว่า "เรกิ คือ พลังชีวิตบำบัด เป็นการนำพลังชีวิตจากจักรวาลมาใช้บำบัดตนเอง และผู้อื่น ซึ่งจะบำบัดได้ ทั้ง 3 ระดับ ได้แก่ ความเจ็บป่วยของร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณ" สำหรับฉัน ถึงแม้ว่า ตัวเองจะไม่มีอาการของการเป็นมะเร็งอีกแล้ว แต่ยังมีอาการทางร่างกาย ที่เป็นผลข้างเคียงจากการผ่าตัด และให้เคมีบำบัด รวมถึงลึกเข้าไปภายในความรู้สึก มันมีรอยแผลเป็นรอยใหญ่.....ท่านอาจารย์ใหญ่ หรือที่เราเรียกในภาษาฮินดี ว่า สวามีจี ได้บำบัดเรกิ ให้ครั้งละเกือบ 1 ชั่วโมง จำนวน 5 ครั้ง (ฉันจ่ายเป็นค่าวิชาและค่าสถานที่ ครั้งละ 2,000 รูปี)ระหว่างนั้นท่านสวามีจีได้ให้มิกะ เป็นอาจารย์พี่เลี้ยง เริ่มสอนศาสตร์แห่งเรกิโดยท่านสวามีจีเป็นผู้สืบทอดพลังเรกิให้แก่ฉัน (Reiki Initiation/Attunement) เป็นผู้สืบทอดอันดับที่ 8 นับจากท่านอาจารย์ ดร.มิกาโอะ อูชุอิ ผู้รู้แจ้งศาสตร์แห่งเรกิ ฉันเริ่มเรียนรู้ เรกิระดับ 1 ด้วยการฝึกสวดภาวนา ไหว้ขอบคุณและรับพลังชีวิตจากพระอาทิตย์ ฝึกบำบัดให้ตนเอง และฝึกปฏิบัติสมาธิภาวนาจากเรกิ ระดับ 1 ไม่กี่วัน ก็เรียนรู้ระดับ 2 ก้าวขึ้นไปสู่สิ่งที่เข้มข้น และใช้สติอยู่กับตัวมากขึ้น เริ่มบำบัดให้ตนเองทุกวันเป็นเวลา 21 วัน เพื่อให้ เรกิระดับ 1 สมบูรณ์ท่านสวามีจี ให้แนวทางในการใช้ชีวิต ให้ฝึกปฏิบัติระหว่างใช้เวลาอยู่ที่ปูเน่รวบรวมเป็นหัวข้อ แบบนี้1. การมีสติ อยู่กับปัจจุบัน เช่น การเดินให้รู้ว่า ก้าวเท้าไหนอยู่ 2. การไม่คิด แต่เฝ้าดู สิ่งที่เกิดขึ้น3. การฝึกใช้มือซ้ายให้มากขึ้น จากการ ใช้มือซ้ายเปิปข้าว หรือใช้ช้อนตักอาหาร การเขียนหนังสือด้วยมือซ้ายวันละ ครึ่งชั่วโมง4. การฟัง ให้เป็นการฟัง โดยไม่มีการวิเคราะห์ ไม่มีความรู้สึกร่วม ไม่เอาความรู้เดิมๆ มาตัดสิน ไม่มีการเห็นด้วย หรือโต้แย้ง จึงจะทำให้การฟังมีประสิทธิผล5. การขอบคุณ "การดำรงอยู่ของชีวิต" ในวันนี้ ไม่ว่าจะดี หรือไม่ดี ไม่ว่าจะเป็นทุกข์หรือเป็นสุข หากไม่มีอาการป่วยแล้ว ก็อย่ารู้สึกว่าป่วย...... ขอบคุณต่อสิ่งที่ได้รับเมื่อมีคนให้มา...และขอบคุณกับสิ่งที่ไม่ได้รับ หรือไม่มี....อีกส่วนหนึ่งประกอบกันเข้าไป คือหลักคิด 5 ข้อ ของศาสตร์แห่งเรกิซึ่งจะทำการสวดภาวนาทุกเช้า และเก็บความรู้สึกแห่งความสงบสุขนั้นไว้ตลอดทั้งวัน 1. ตั้งแต่วันนี้ ฉันจะมีชีวิตอยู่ด้วยทัศนคติแห่งความซาบซึ้งในบุญคุณของสรรพสิ่ง (วันนี้ ฉันจะมีชีวิตอยู่ด้วยความขอบคุณ)2. ตั้งแต่วันนี้ ฉันจะไม่กังวลฉันจะไม่ติดกับสิ่งที่ผ่านมาในอตีต และไม่เป็นห่วงกับเรื่องในอนาตคที่ยังมาไม่ถึง ฉันจะอยู่กับปัจจุบัน เพราะปัจจุบันคือของขวัญสุดวิเศษที่ได้รับจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์3. ตั้งแต่วันนี้ ฉันจะไม่โกรธฉันจะไม่หงุดหงิด รำคาญใจ จะมองคนอื่นอย่างที่เขาเป็น มองตัวเองอย่างที่เราเป็น 4. ตั้งแต่วันนี้ ฉันจะทำงานของฉันและงานด้านจิตวิญญานอย่างซื่อสัตย์ทำงานอย่างตั้งใจ จริงใจ บริสุทธิ์ใจ ซื่อตรง ยุติธรรม มีคุณธรรม 5. ตั้งแต่วันนี้ ฉันจะแสดงความรักและเคารพต่อสรรพสิ่งเมื่อผ่านไป 1 สัปดาห์ ฉันก็เรียนจบระดับที่ 2โดยรู้สึกสัมผัสได้กับพลังงานที่เคลื่อนอยู่ในร่างกาย และที่ฝ่ามือการฝึกบำบัดให้แก่ผู้อื่น ฉันเริ่มได้ทราบผลตอบรับจากการบำบัด....เริ่มสนใจ จะเรียนเป็น "อาจารย์เรกิ"ฉันถามท่านสวามีจีว่า "ถ้าจะเรียนเป็นอาจารย์ต้องทำอย่างไรบ้าง?"ท่านสวามีจีตอบว่า "จากที่ดูพื้นฐานของเธอ มีนากุมารี เธอมีสมาธิในการปฏิบัติเต็มที่ดีแล้ว หากต้องการจะเป็นอาจารย์ก็ฝึกได้ โดยใช้เวลาอีก 1 สัปดาห์ แต่ทั้งนี้ ต้องบอกก่อนว่า ทางศูนย์จำเป็นต้องคิดค่าวิชา 25,000 รูปี เนื่องจากลูกศิษย์ส่วนใหญ่มักจะเรียนเพื่อนำไปประกอบวิชาชีพ ในการสร้างผู้ฝึกเรกิต่อๆไปอีก"ฉันตกลงใจจะเรียนต่อ.....และจะอยู่ที่ปูเน่ต่อเพื่อจะฝึกปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง ทั้งการสืบทอดวิชา และการบำบัดผู้ป่วย ตลอดจน ไปที่ศูนย์ฝึกสมาธิ OSHO ให้มีประสบการฝึกสมาธิรูปแบบต่างๆ เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์การมาอินเดียในคราวนี้เนื่องจากท่านสวามีจีเตรียมตัวจะเดินทางไปทัวร์บำบัดเรกิที่ยุโรป โดยเริ่มที่ลอนดอน ฉันจึงมอบเงินบริจาคอีก เกือบสองร้อยปอนด์สเตอริง ซึ่งท่านสวามีจีและเพื่อนอาจารย์เรกิหลายท่าน ได้บำบัดเรกิให้อย่างต่อเนื่อง เกือบทุกวันระหว่างที่ฉันใช้เวลาที่นั่นเกือบ 6 สัปดาห์ตามปกติ เฉลี่ย คนฝึกเรกิ จะใช้เวลา ประมาณ 1 เดือน - 1 ปีในการเรียนเรกิ และฝึกให้ได้ครบถึงระดับอาจารย์เรกิ แต่ในยุคแรกๆ ที่ท่านอาจารย์ ดร.มิกาโอะ อูชูอิ ถ่ายทอดวิชานั้น จะใช้การเคี่ยวกรำ แต่ละระดับใช้เวลานาน เป็นปี หรือหลายปี มีคนจำนวนไม่มากที่จะไต่ระดับไปถึงระดับอาจารย์จากนั้น มีลูกศิษย์ผู้สืบทอด อันดับที่ 3 ชื่อ อาจารย์ฮาวาโยะ ทากาตะ ได้นำศาสตร์เรกิไปเผยแพร่ในสหรัฐอเมริกา ในยุคนั้น ท่านได้คิดค่าถ่ายทอดวิชาสูงถึง 1 หมื่นเหรียญสหรัฐ ต่อมามีการเผยแพร่ และสืบทอดกันอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะในกลุ่มแพทย์และพยาบาล เนื่องจากการบำบัดโดยเรกิ จากงานวิจัยพบว่า การบำบัดเรกิช่วยให้ผู้ป่วยลดการเจ็บปวดลงได้ โดยไม่ต้องใช้ยา หรือลดปริมาณการใช้ยาลง ในปัจจุบันมีผู้ฝึกเรกิ กว่า 1 ล้านคน ในสหรัฐอเมริกาเรื่องระยะเวลาการเรียน ฝึกปฏิบัติและการสอบปากเปล่า ทั้งทฤษฏีและปฏิบัติยุคปัจจุบัน ถ้าคนที่ไม่วอกแวก มีสมาธิในการเรียนรู้ได้เร็ว จะเป็นคอร์สเข้มข้นเพื่อตอบสนองผู้คนที่ไม่มีเวลามากในยุคนี้ เรกิระดับ 1 ใช้เวลา 3 วันเรกิระดับ 2 ใช้เวลา 3 วัน (อนุโลมให้รวบรัด 2 วันได้)เรกิระดับ 3 ใช้เวลา 7 วันเรกิระดับ 4 ใช้เวลา 2 วัน ทั้งนี้ เรกิระดับ 3 เป็นการเรียนเพื่อเตรียมตัวเป็นอาจารย์ผู้สอน และวิธีการสืบทอดวิชามิกะ อาจาร์ยพี่เลี้ยงสอนฉัน และบอกว่า ฉันทำได้ 3 ระดับ ตั้งแต่ 10 วันแรกแต่บอกไปว่า "ก็ให้มันค่อยเป็นค่อยไป ที่เห็นว่าทำได้ ก็คงทำได้ แต่ต้องการฝึกฝนให้พื้นฐานแน่นและมั่นคง....."เมื่อย้อนมองดูตัวเองว่า การฝึกอย่างมีสติ ได้มาอย่างไรบ้าง เพราะลำพังการใช้เวลาไม่กี่วันในการฝึกคงไม่ได้เพียงนี้ ก็พบข้อมูลว่า ท่านอาจารย์ ดร.มิกาโอะ อูชูอิ มีพื้นฐานมาจากการฝึกชี่กง มาเป็นเวลานาน ซึ่งฉันก็ฝึกชี่กงแบบพื้นฐานทุกวันมาเป็นเวลาเกือบ 3 ปี การสัมผัสพลังงานที่ฝ่ามือนั้น ก็มีมาตั้งแต่ต้น..... รวมถึงการฝึกพลังรังสีธรรม แนวท่านอาจารย์สิงห์ทน นราสโภ ฉันจึงคุ้นเคยกับพลังชีวิตจากจักรวาลมาระยะหนึ่งแล้ว การซึมซับศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับพลังชีวิตจึงเป็นเรื่องที่ไหลรื่นได้อย่างไม่มีข้อข้องใจ ลังเล สงสัย.....ปลายเดือนพฤษภาคม ฉันฝึกฝนการสอน ให้กับชาวอินเดียที่เข้ามาเรียน ซึ่งท่านสวามีจีมีเมตตาให้เรียนฟรี หรือหากผู้มาเรียนมีจิตศรัทธาก็สามารถบริจาคสนับสนุนงานของศูนย์ได้ เมื่อฝึกถึงระดับ 1 ก็สามารถบำบัดตนเองและผู้อื่นได้แล้ว และระดับ 2 จะมีการให้พลังที่เข้มข้นขึ้น รวมทั้งสามารถให้เรกิทางไกลได้ และก็เช่นกัน หากมีชาวอินเดียที่ต้องการเรียนเป็นระดับอาจารย์ ก็มีค่าวิชา เท่าเทียมกันกับชาวต่างชาติที่ศูนย์มีชั่วโมงฝึกปฏิบัติสมาธิภาวนา โดยใช้แนวทาง ฝึกสมาธิด้วยกิจกรรม ตามแนวของท่าน OSHO ด้วย ฉันก็ฝึกฝนเป็นอาจารย์สอนสมาธิไปด้วยพร้อมๆ กันในวันที่ 29 พฤษภาคม 2550 ท่านสวามีจีได้สืบทอดความเป็นอาจารย์ให้แก่ฉันจึงขอเข้าสอบ ในวันนั้นท่านสวามีจีใช้วิธีเร่งรัด ให้เกิดความตื่นเต้นยิ่งขึ้น การสอบแต่ละลำดับ ผ่านไปเรื่อยๆ อย่างเข้มข้นแต่แล้ว ก็ได้ยิน เสียงท่านสวามีจี "Passed!!"และเสียงมิกะ "Perfect!!"เราสวมกอดกัน.... แสดงความยินดีต่อก้าวแรกบนเส้นทางเรกิของฉันเพื่อนอาจารย์เรกิสาวชาวอินเดีย ได้เตรียมการสำหรับงานฉลองการรับประกาศนียบัตรเรากำหนดวันที่ 2 มิถุนายน 2550ท่านสวามีจีถ่ายทอดพลังให้ก่อนจะมอบประกาศนียบัตร รับใบประกาศนียบัตร ฉันตั้งใจแต่งชุดสาหรี สำหรับงานนี้โดยเฉพาะถ่ายรูปคู่กันชัดๆ กับท่านอาจารย์ใหญ่เพื่อนๆ ที่มาร่วมแสดงความยินดีเพื่อนอาจารย์เรกิ ชือ่ อูชา ซื้อขนมพิเศษมาร่วมงาน ทำอาหารมาจากบ้านให้ด้วย งานฉลองอาหารมื้อเที่ยง เยอะแยะเลย ทั้งหมดเป็นอาหารมังสะวิรัตมีราชาแห่งผลไม้ "มะม่วง" ของมหารัชตะ อร่อยที่สุดในอินเดีย ลูกนึงเกือบ 60 รูปีเนื้อเข้มข้น ถ้าเอาไปแช่แข็ง คงออกมาเป็นไอศกรีมได้เลยใบประกาศของฉัน....ใครที่มีฝ่ามือ ก็มีพลังบำบัดเรกิได้... ทุกคนมีศักยภาพการบำบัดเรกิ ใช้คริสตัล และปิรามิด ร่วมด้วยได้ เพิ่มพลังให้เข้มข้นขึ้น...ฉันใช้เวลา 9 วัน หลังจากนั้น เพื่อจะฝึกการใช้ชีวิต แบบเงียบทั้งการงดพูด งดฟัง งดอ่าน งดคิด แล้วกลับบ้านที่กรุงเทพ อย่างรื่นรมย์พี่ น้อง คุณแม่ และสามี ตั้งข้อสังเกตว่า "กวางเปลี่ยนไป ในทางที่ดี ดูสดใส ตาเป็นประกาย" ฉันรู้สึกว่า ตัวเองเป็นอิสระมากขึ้นว่างๆ ก็หายใจเข้า ออกลึกๆ ให้หน้าท้อง ขยับเข้า ออกว่างๆ ก็ผ่อนคลายว่างๆ ก็อยู่ในความสงบลองดูสิ...............รู้สึก ดีมั้ย??