In the last analysis, our only freedom is the freedom to discipline ourselves. - Bernard Baruch
Group Blog
 
All Blogs
 

ความรู้การลงทุนจากปอยเปต

เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาผมได้มีโอกาสไปเปิดหูเปิดตาอีกแล้วครับ ผมเองอยากทำอะไรหลายๆอย่างให้สมกับที่ได้มีโอกาสดูโลกใบนี้หนึ่งชีวิต ดังนั้นสิ่งที่ผ่านเข้ามาหากเป็นไปได้ผมจะลองเกือบหมดครับ(เว้นยาเสพย์ติดนะ อันนี้ถือเด็ดขาด) และสิ่งที่ผมได้ลองทำในคราวนี้ คือ การได้ไปเล่นพนันในบ่อนพนันเป็นครั้งแรกในชีวิต

เริ่มแรกผมได้รุ่นน้องคนนึงอาสาเป็นคนนำเที่ยวให้ แต่ตอนหลังพาสปอร์ตเค้าเอาไปทำเรื่องเดินทางไปที่อื่น เราเลยต้องไปกันเองสี่คนโดยไม่มีคนนำทาง หนึ่งในสี่เคยไปมาแล้วแต่ก็นานมาแล้วเช่นกัน และที่สำคัญตอนนั้นไปเองไม่ได้ไปรถทัวร์แบบนี้

ตอนเช้าเรานัดกัน ณ สถานที่แห่งหนึ่งซึ่งคงไม่บอกว่าคือที่ไหน เพราะบล็อกนี้คงไม่สนับสนุนคนให้ไปเล่นพนันกันแน่นอน ผมเพิ่งรู้วันนี้เองว่า ณ สถานที่ๆผมไปค่อนข้างบ่อยมีรถไปบ่อนพนันเยอะขนาดนี้ ที่สำคัญคนเต็มทุกคัน และรถออกทุกวัน วันละหลายๆคันด้วยครับ เมื่อพวกเราพร้อม รถพร้อมเป้าหมายต่อไปของเรา คือ ปอยเปต

ผมขอข้ามรายละเอียดในการเดินทางหรือการติดต่อไปนะครับ คนที่รู้อยู่แล้วก็รู้ไป คนที่ไม่รู้ก็ไม่ต้องไปรู้มันหรอกครับ เหอๆๆ เมื่อไปถึงผมก็แอบอึ้งไปเล็กน้อย เมื่อพบว่าร้านอาหารเป็นอาหารไทยเกือบหมด และป้ายต่างๆในคาสิโนเป็นภาษาไทยทั้งสิ้น ป้ายไทยๆแบบที่บางอันไม่มีภาษาอังกฤษ หรือเขมรเลยด้วยซ้ำไป

คนเล่นส่วนใหญ่เป็นคนไทย เป็นอาอึ้ม อากิ๋มอากู๋ อาซ้อ อาเจ้ อาแปะ อาเจ็กทั้งนั้นเลยครับ เหมือนว่าที่นี่คือที่นัดพบ เป็นแหล่งบันเทิงสำหรับวัยผู้ใหญ่ ดูๆแล้วก็ละม้ายห้องค้าหุ้นเหมือนกันนิ อิอิ และในเมื่อมันเหมือนกันขนาดนี้ ผมจะลองเปรียบเทียบการลงทุนกับการพนันให้ดูนะครับ ว่าผมได้เรียนรู้อะไรจากการไปเสียเงิน375บาทในบ่อนบ้าง ไม่งั้นบล็อกนี้ควรจะต้องไปอยู่ในส่วน ”ขอบฟ้าและโลก” ไม่ใช่ใน “ทรัพย์สินเพิ่มพูน” แน่ๆ

ความรู้ด้านการลงทุนที่ได้จากปอยเปต

1. ก่อนจะเล่นเราก็ต้องแลกชิพใช่ไหมครับ พวกเราคิดกันว่าการแลกชิพนี้จะแลกแค่ครั้งเดียวเท่านั้น จะไม่ยอมแลกเพิ่มในกรณีใดๆทั้งสิ้น โดยที่เงินนี้เป็นจำนวนที่แต่ละคนเสียได้โดยไม่เดือดร้อน ซึ่งในตอนหลังก็มีคนหมดจริงๆ ซึ่งก็ไม่ได้ทำให้เกิดปัญหาใดๆ เพราะนี่เป็นเงินจำนวนที่พิจารณาแล้วว่าหมดไปไม่เป็นไร ลองคิดดูสิครับหากเราติดลมแล้วแลกต่อไปเรื่อยๆ หายนะมาเยือนแน่ๆ

เมื่อเปรียบเทียบกับการลงทุน นี่ก็หมายถึงการใช้STOP LOSSนั่นเองครับ การที่เรากำหนดวงเงินต่อครั้งที่สามารถเสียได้เป็นสิ่งที่จำเป็น”สูงสุด”ในการลงทุน ถ้าเราทำบัญชีดูจะเห็นว่าพอร์ทการลงทุนแย่ๆมาจากการลงทุนแค่ไม่กี่ครั้งที่ทำลายพอร์ทเรา เช่นเดียวกับพอร์ทการลงทุนที่ประสบความสำเร็จก็มักจะมาจากการลงทุนที่ดีมากๆแค่ไม่กี่ครั้งเช่นกัน ดังนั้นการที่จะทำกำไรในระยะยาวได้เราจะต้องจำกัดการขาดทุนที่มากที่สุดของเรา ว่าต่อให้เรามั่นใจมากแค่ไหนก็ตามแต่เราจะไม่ยอมขาดทุนเกินเท่านั้นเท่านี้บาท หรือ%ของพอร์ทเราโดยเด็ดขาด

2. ผมเองได้เล่นที่โต๊ะBlack Jack หรือที่คนไทยคุ้นหูกันในนาม ป๊อก21 นั่นเองครับ ซึ่งเท่าที่ศึกษามาบ้างงูๆปลาๆ Black Jackนี้เป็นการพนันที่หากเราจัดการดีๆ มีวินัยในการเล่นจะทำให้เราได้เปรียบเจ้ามือพอสมควรเลย ผมเลยทดลองเล่นดูครับ ผลปรากฏคือแพ้หลุดลุ่ย เสียเงินส่วนใหญ่ไปกับโต๊ะนี้นี่เอง ผมสรุปออกมาได้ว่าการอ่านหนังสือแต่เพียงอย่างเดียวไม่ได้ช่วยอะไรเลยครับ สิ่งที่เกิดขึ้นบนโต๊ะมันเร็วมากๆ การคำนวณไพ่ทำได้แทบไม่ทันอันเกิดมาจากความตื่นเต้น

ตรงนี้ก็เหมือนกับหลายๆคนที่ได้อ่านหนังสือมาเยอะแยะก่อนที่จะทำการลงทุน หรือบางคนเตรียมความพร้อมมามากกว่านั้นคือลองทดลองเทรดหุ้นจำลองมาก่อนไม่ว่าจะที่พันทิป click2win หรือที่อื่นๆก็ตามที แล้วพอเข้ามาในสนามก็มั่นใจในองค์ความรู้”มากเกินไป” พอเจอราคาหุ้นที่ขึ้นๆลงๆกลับทำอะไรไม่ถูก เคยเล่นเกมส์กำไรเป็นล้านๆเอามาอวดกัน พอมาเจอตลาดจริงขาดทุนไปไม่กี่หมื่นทำอะไรไม่ถูกเลยคราวนี้ หลังจากโดนเหวี่ยงโดยอารมณ์ตลาดถึงจุดหนึ่งการตัดสินใจโดยเหตุผลก็ละเลือนไป แล้วในที่สุดก็ไม่ต่างอะไรกับเซียนท่าทางดูดีที่ผมเจอบนโต๊ะพนัน

3. หลายครั้งที่ผมเห็นบนโต๊ะ นักพนันส่วนใหญ่ชอบลงพนันในส่วนที่ให้ผลตอบแทนสูง เช่น แทง1จ่าย11 แทง1จ่าย8เป็นต้น โดยคาดหวังว่าเมื่อได้ผลตอบแทนเยอะๆครั้งเดียวจะคุ้มทุนทันที น้องที่ไปด้วยังชวนผมเล่นเลย “ตาเดียวได้8เท่าเลยนะพี่50บาทเป็น400เลยนะ” ทั้งๆที่หากดูจากโอกาสและความน่าจะเป็นแล้วไม่ได้คุ้มค่าเลยครับ ไพ่ต้องออกมาเป็นไพ่คู่ถึงจะได้8เท่า สมมติใบแรกที่ได้คือ 2 โอกาสที่ได้ไพ่ใบต่อไปเป็นคู่ คือ 3จาก51 ถึงแม้ว่าจะใช้ไพ่หลายสำรับ แต่ผมก็ไม่เห็นว่าความเสี่ยงมันจะดีขึ้นกี่มากน้อย

การลงทุนก็เช่นกันครับ ผมมักจะแปลกใจเสมอๆที่นักลงทุนหลายคนไปซื้อหุ้นเน่าๆ หรือการลงทุนแย่ๆเพียงแค่ “หากว่าวันหนึ่ง” โดยหวังว่าสักวันขี้จะกลายเป็นทองขึ้นมาได้ ทั้งๆที่มีโอกาสลงทุนดีๆอีกมากมายที่เปิดโอกาสให้เราตลอดเวลา หากยังไม่เห็นด้วยลองจับนักลงทุน(ไทย)100คนมายืนเรียงกันแล้วถามสิครับว่าชอบหุ้นแบบไหน หุ้นปั่นที่หวือหวา หรือหุ้นดีๆที่วันๆนึงไม่ค่อยไปไหนเลย นักลงทุนส่วนใหญ่ชอบพูดกันว่าโอกาสรวยง่ายๆแค่ซื้อหุ้น XXX ตอน 0.50 บาท แล้วไปขายตอน10บาท แต่ในความเป็นจริง นักลงทุนกลุ่มนี้มักจะซื้อที่ 9.90 บาท แล้วไปขายที่ 0.35 บาทมากกว่า

การลงทุนที่ดีเราต้องมีหลักการ มีกฏในการลงทุนไม่ใช่ “ซื้อแล้วภาวนา”

4. เนื่องจากว่าเราแลกเงินไว้น้อยมากๆ แต่โต๊ะที่เล่นจะมีกำหนดว่าวงเงินขั้นต่ำที่เล่นได้คือเท่าไหร่ ดังนั้นการควบคุมเงินทำได้ลำบากมากครับ ถึงแม้ว่าเราจะมีกรอบการเล่นที่ดีแต่เมื่อทุนน้อยการจะให้เราได้เปรียบในระยะยาวจะไม่เกิดขึ้น “เพราะเราไม่สามารถคงอยู่ได้ในระยะสั้น” ผมเองแลกเงินมาแค่500 บาท เมื่อผมเล่นพนันตาละร้อยบาท นั่นคือผมแพ้ได้ 5 ตาติดต่อกันเท่านั้นเอง ซึ่งมีโอกาสเกิดขึ้นได้ง่ายๆเลย

การจะลงทุนเราต้องเตรียมเงินให้พอเหมาะกับเครื่องมือที่เราลงทุนครับ หลายคนเริ่มเทรดจากเงินน้อยๆซึ่งเป็นสิ่งที่ถูกต้อง แต่ดันไปเลือกโบรคเกอร์ที่มีค่าธรรมเนียมการเทรดขั้นต่ำ 50 บาทต่อครั้ง พอเทรดไป-กลับต้องมีต้นทุนแน่ๆแล้ว 5% แล้วแบบนี้จะต้องทำกำไรครั้งละเท่าไหร่ครับถึงจะพอ หรือคนที่เทรดตลาดล่วงหน้าต่างๆก็เช่นกัน เนื่องจากการที่เราวางเฉพาะInitial margin ดังนั้นเราสามารถขาดทุนจำนวนเดียวกันได้เรื่อยๆ(หากเป็นหุ้นการขาดทุนจะลดลงเรื่อยๆ เช่นจาก 100 ขาดทุน 10 เหลือ 90 จาก 90 ควรจะขาดทุนแค่ 9 เป็นต้น) บางครั้งระบบที่ดีมากพออาจจะทำให้พอร์ทเราเสียหายยับ หากไม่คำนวณจำนวนเงินที่จำเป็นในการเริ่มต้นให้ดีครับ

5. รุ่นน้องที่ไปด้วยกันเวลาแทงแต่ละครั้งจะแทงตามอารมณ์ว่าตานี้จะลงร้อยหรือสองร้อย และแน่นอนว่าเหมือนคนส่วนใหญ่ คือเมื่อขาดทุนแล้วจะเพิ่มการลงทุนทันที เพื่อหวังเอาทุนคืนให้ได้ในช่วงเวลาสั้นๆ หรือกระทั่งต้องการกำไรกลับมา

ซึ่งนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จจะแนะนำว่าเมื่อขาดทุนให้ลดขนาดการลงทุน!!! อย่าไปหวังการเอาคืนในช่วงเวลาสั้นๆหรือการลงทุนครั้งต่อไปต้องเอาคืนให้ได้ สิ่งที่ต้องทำคือค่อยๆสะสมกำไรครั้งละเล็กๆน้อยๆจนสามารถกลับมาเท่าทุนได้ แต่คนส่วนใหญ่มักจะรีบร้อนเอาคืน ซึ่งเมื่อมีอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้องการตัดสินใจก็จะไม่ดี ดังนั้นส่วนใหญ่จะเพิ่มการขาดทุนขนาดใหญ่เพิ่มเข้าไปอีกหน และหนทางกลับมาก็ยิ่งจะมืดมนมากยิ่งขึ้น
ซึ่งนี่ผมคิดว่ามาจากมุมมองที่ต่างกันของนักลงทุนมือสมัครเล่นและนักลงทุนมืออาชีพ นักลงทุนมือสมัครเล่นมักจะคิดว่าทำอย่างไรจึงจะรวยเร็วที่สุด ดังนั้นคนกลุ่มนี้จะลงทุนในสิ่งที่เชื่อว่าจะให้ผลตอบแทนเยอะๆ โดยไม่ดูความเป็นไปได้เลย แน่นอนคนซื้อหวย เล่นพนัน หุ้นปั่นส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มนี้ และคนกลุ่มนี้เมื่อขาดทุนก็จะถมเงินลงไปใหม่เพราะ”ต้องการรวยเร็ว”นั่นเอง ในขณะที่นักลงทุนมืออาชีพมักจะต้องการอยู่รอดในระยะยาวก่อนเสมอ ดังนั้นสิ่งที่จะมีโอกาสในการทำกำไรดีและมากแค่ไหน คนกลุ่มนี้ก็จะหลีกเลี่ยงหากพิจารณาแล้วพบว่ามีความเสี่ยงที่จะทำให้เค้าต้องออกจากเกมส์ไป คนกลุ่มนี้จะทะยอยสะสมความสำเร็จทีละเล็กๆน้อยๆ จนในที่สุดกลายเป็นก้อนใหญ่ ไม่ได้คาดหวังว่าจะได้ก้อนใหญ่ไปตั้งแต่แรก

6. ในขณะที่ผมอยู่บนโต๊ะBlack Jackนั้นมีครั้งหนึ่งผมได้ 15 แต้มซึ่งสิ่งที่ผมควรจะทำคือพอได้แล้ว เพราะคำนวณแล้วไพ่ใบต่อไปจะทำให้ผมเกิน 21 แต้มหรือตายได้ง่ายๆ แต่เมื่อมีเสียงกระซิบจากกองเชียร์ข้างหลัง “เอาอีกพี่เอาอีก” แล้วผมก็บ้าจี้ขอเพิ่ม สรุปว่าผมได้ 8 รวมกันเป็น 23 แต้มเน่าสนิทครับ ซึ่งหากผมไม่รับไพ่นั้น เจ้าจะเน่าแทนทันที

ความมั่นใจในตัวเองเป็นสิ่งที่สำคัญมากในการลงทุนครับ หากเรามั่นใจในการตัดสินใจของเรา เราจะตัดเสียงจากภายนอกได้ แต่หากเราไม่ได้มีความมั่นใจเราก็จะต้องคอยเงี่ยหูฟังเสียงของ กูรู นักวิเคราะห์ เว็บบอร์ด บลาๆๆไปตลอด และนั่นก็จะกระทบผลการลงทุนของเราอย่างแน่นอน ซึ่งความมั่นใจมาจากไหนก็มาจากความรู้ เกิดจากประสบการณ์ของเรานั่นเอง ยิ่งเรามีมากเท่าไหร่เราก็ยิ่งลงทุนได้อย่างมั่นใจมากขึ้นเท่านั้น แต่เรื่องแปลกก็คือนักลงทุนส่วนใหญ่ชอบหาทางลัดในการลงทุน โดยการถามเอาจากคนอื่นว่าควรลงทุนอะไร ซึ่งเมื่อเกิดการเหวี่ยงตัวของตลาดนักลงทุนนี้ก็จะคร่ำครวญหา”คำแนะนำขั้นต่อไป”

สรุปว่าทั้งการพนันและการลงทุนมีหลายๆสิ่งที่เชื่อมโยงกันมากครับ องค์ประกอบที่คล้ายๆกันทั้งสองอย่างทำให้นักลงทุนหลายคนหากเล่นพนันก็จะเป็นเซียนพนันได้ หรือเซียนพนันหลายคนที่หันมาเอาดีด้านการลงทุนก็ประสบความสำเร็จเช่นกัน เพราะว่าคนพวกนี้สามารถเชื่อมโยงและควบคุมองค์ประกอบที่สำคัญทั้งสามได้

1. การควบคุมอารมณ์ นี่เป็นทักษะที่คนส่วนใหญ่มองข้ามไป การตัดสินใจที่วางบนหลักเกณณ์ที่ได้พิจารณาแล้วว่าให้ผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว โดยไม่แหกกฏเพียงเพราะ ”โลภและกลัว” รวมถึงการบริหารเงินที่ดีจะช่วยลดความตึงเครียดในการลงทุนได้เยอะเลยทีเดียว

2. การบริหารเงิน ทำอย่างไรจะทำให้เราอยู่ได้ในระยะยาว ไม่ใช่กำไรในระยะสั้นและออกจากเกมส์ในระยะยาว การบริหารเงินต้องให้เหมาะสมกับวิธีการในการลงทุนของเรา ว่าจะต้องเผื่อเท่าไหร่สำหรับการเริ่มต้น รวมทั้งการเพิ่มหรือลดการลงทุนในตแต่ละครั้งเพื่อความเหมาะสมด้วย

3. กฏในการลงทุน เพื่อช่วยในการตัดสินใจ การตัดสินใจแย่ๆมักจะมาจากการตัดสินใจตามอารมณ์ดังนั้นการวางกฏการลงทุนที่ดีจะทำให้เราตระหนักเสมอว่าเรากำลังทำตามกฏ หรือแหกกฏเพราะอารมณ์พาไป
ทั้งสามประการเป็นหลักสำคัญที่มืออาชีพในแวดวงทั้งสองต้องเข้าใจและนำมาใช้ให้ได้ครับ ซึ่งหากทำได้แล้วไม่ว่าเค้าคนนั้นจะอยู่บนโต๊ะblackJack หรืออยู่ในตลาดหุ้น เค้าก็จะเป็น “นักลงทุน” เสมอ

หวังว่าคงได้ประโยชน์กันไปตามสมควรนะครับ




 

Create Date : 15 กันยายน 2552    
Last Update : 15 กันยายน 2552 22:24:56 น.
Counter : 1745 Pageviews.  

หลักปฏิบัติสำหรับDay Trader

เป็นเอกสารที่ไปดาวน์โหลดมาครับ ผมเช็คแล้วไม่เจอว่ามาจากแหล่งไหนเหมือนกัน
แต่มีคนตัดแปะไว้ในWord เนื่องจากมาจากต่างประเทศทำให้หลายๆเรื่องไม่ค่อยเหมือนบ้านเรา
แต่คิดว่าเพื่อนๆก็คงเอาไปประยุกต์ใช้กันได้ เลยแปลเอามาให้อ่านกันครับ

เหมือนเดิมครับ แปลตามใจคนแปลอาจไม่ได้ตรงเนื้อหา100% อาจมีตัด ต่อ ติดไปบ้างนะครับ
หากมีความผิดพลาดใดๆอันเกิดจากการแปลก็ขออำภัยด้วยนะครับ

เป้าหมายสำคัญของการเป็น Day Trader
ข้อแรก รักษาเงินต้นไว้ให้ดี
ข้อสอง ทำอย่างไรจึงจะทำกำไรได้
ข้อสาม จะทำอย่างไรให้ทำกำไรจากการเทรดได้อย่างต่อเนื่อง และสม่ำเสมอ


ในการที่ไม่มีความสามารถในการปกป้องการขาดทุน และความรู้ในเรื่องของPrice Pattern คนที่เป็น Day Traderก็เหมือนกับกำลังเล่นพนัน และเมื่อเวลาผ่านไปก็จะขาดทุนไปเรื่อยๆจนหมด และออกจากเกมส์ไปในที่สุด สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับคนส่วนใหญ่ที่พยายามจะเป็นDay Trader โดยที่ไม่ศึกษาหรือฝึกฝนมาก่อน

และนี่คือสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง 7 ประการ สำหรับการเป็นDay Trader

1 อย่าเทรดหุ้นตัวที่คึกคักที่สุด
กฏข้อนี้อาจดูแปลกๆ แต่ลองคิดดูสิว่าเราจะเจออะไรบ้างในสนามที่มีการแข่งขันสูง Day Trader ที่เก่งๆก็กำลังจับตามองมันอยู่เหมือนกัน ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยเราควรจะเทรดหุ้นตัวที่รองลงมาในหุ้นกลุ่มนั้นๆแทน

2 อย่าเทรดในช่วงเวลาอันตราย
การขาดทุนส่วนใหญ่เกิดจากการเทรดในช่วง 11.30-14.30 ในขณะที่ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการเทรดคือ2ชั่วโมงแรกหลังเปิดตลาด ในช่วงเวลาอันตรายนั้นปริมาณการซื้อขายมักจะต่ำและMarket Makerจะไม่ค่อยซื้อขายมากในช่วงเวลานี้ ส่วนการขายShortนั้นมักจะดีในช่วงเวลา11.30-13.00 สำหรับหุ้นที่ทำสูงใหม่ที่ต่ำกว่าสูงเดิม และต่ำใหม่ต่ำกว่าต่ำเดิม เพราะMarket Makerมักจะเสนอราคาซื้อที่ต่ำลงเพื่อกดราคาและไล่คนที่ทนไม่ไหวออกไปก่อนอาหาร และกลับมาซื้อใหม่ในช่วงบ่ายแทน

3 อย่าขาดทุนแบบมีเหตุผล
เหตุผลเดียวในการที่คุณจะซื้อหุ้น คือคุณคิดว่า หรือเห็นว่าทรดเดอร์คนอื่นๆซื้อหุ้นตัวนั้น ในตอนนั้น ถ้าหากว่าคุณมองผิดและมีคนขายมากกว่าคนซื้อให้ขายทิ้งทันที เน้นย้ำ ขายทิ้งทันที ตลาดไม่เคยสนใจกับพื้นฐานของหุ้น รายได้ หรืออัตราและสัดส่วนต่างๆ ในเวลา20นาทีที่คุณถือหุ้นอยู่หรอก ดังนั้นถ้าคุณพลาดยอมรับความพ่ายแพ้เล็กๆและขาดทุนน้อยๆ

4 อย่าสับสนระหว่างการเป็น Day Trader และ นักลงทุน
นี่คืออุปสรรคสำคัญที่ Day Trader ส่วนใหญ่ไม่สามารถข้ามไปได้ ถ้าการเทรดของคุณคือการเข้าไปซื้อหุ้นแล้วถือไว้ไม่กี่นาที หรือแค่ไม่กี่ชั่วโมงล่ะก็ คุณก็ไม่ต้องไปสนใจกับ”คลื่นแทรก”ต่างๆ เช่น การจัดอันดับโดยนักวิเคราะห์ เส้นค่าเฉลี่ย30วันเป็นอย่างไร หรือว่าแนวรับแนวต้านของ2เดือนที่ผ่านมาอยู่ตรงไหน คุณจะทำกำไรจากความรุนแรงจากการเคลื่อนไหวของราคาเท่านั้น คนที่ซื้อหุ้นแล้วรอขายใน15นาที หรือชั่วโมงสองชั่วโมงท่านั้นที่เป็น Day Traderได้ ส่วนการลงทุนนั้นคือ Day Trade ที่กำลังขาดทุน อย่าถือหุ้นหมาๆ(ขอแปลตรงนะครับได้ใจดี)ที่มันทำให้คุณขาดทุน แล้วคุณก็ถือไว้โดยหวังว่า”สักวันมันจะกลับมา” เพราะนั่นคือหนทางที่แน่นอนที่จะนำมาสู่การเสียตังค์ หากว่าหุ้นกำลังลงแล้วหยุดที่ระดับหนึ่งพร้อมๆกับแรงขายที่หมดลงแล้ว เราอาจจะถือหุ้นนั้นต่อได้

5 อย่าต่อต้านแนวโน้ม
การจะเป็น Day Traderที่ประสบความสำเร็จได้ เราต้องเข้าใจ และทำกำไรจากเทรนด์ เพิ่มความใส่ใจและสมาธิของคุณไปอีกอย่างน้อยสี่เท่าจากเดิม และให้แน่ใจว่าคุณอ่านBid Offerเป็น(คือดูแรงซื้อขาย ว่าราคาจะไปทางไหน) และสิ่งที่สำคัญมากๆคือสนใจหุ้นเฉพาะไม่กี่ตัวที่เรารู้จักดี เช่น ใครคือเจ้าที่คุมตัวนี้ แก็ปราคาอยู่ที่เท่าไหร่ ช่วงราคาของวันประมาณเท่าไหร่

6 หลีกเลี่ยงคำแนะนำราคาถูก
ผมรู้สึกไม่ดีทุกครั้งที่เล่นอินเตอร์เน็ทแล้วได้เข้าไปในห้องที่คุยเกี่ยวกับหุ้นแล้วเจอคน(แกะตัวอ้วนๆ)ซื้อหุ้นโง่ๆ หรอหุ้นขยะราคาถูกๆที่ได้รับมาจากในนั้น ผมรู้สึกเสียใจที่เห็นการขาดทุนจากคำแนะนำพวกนั้น การที่จะเรียนเพื่อที่จะเป็นมืออาชีพ เล่นแบบมืออาชีพ อ่านหนังสือแล้วดึงสิ่งสำคัญๆออกมาจากในนั้น และอย่าไปสนใจห้องคุยเกี่ยวกับหุ้นราคาถูกๆที่เป็นเหมือนขยะ ผมไม่อยากบอกว่ามีที่ไหนบ้างแต่มันเยอะมาก ห้องพวกนี้เหมาะสำหรับคนที่สนใจคล้ายกันมาคุยกันและเพื่อความสนุก แต่อย่าไปทำตามคนหมู่มาก นอกจากนี้ผมยังแนะนำให้จ่ายเงินสำหรับห้องที่พูดคุยเกี่ยวกับการแนะนำการเทรดดีกว่า แต่ก็นั่นแหละผมมักจะทำผลตอบแทนได้ดีกว่า”คำแนะนำของผู้รู้”เสียอีก ดังนั้นห้องพวกนี้มักจะทำให้ผมเสียเวลา และรบกวนผมเปล่าๆ

7 ล้มเหลวที่จะเรียนรู้จากความผิดพลาด
ถามคำถามกับตัวเองบ้าง เช่น วันนี้ตลาดสอนอะไรให้เราบ้าง? หุ้นตัวไหนที่เราทำกำไรได้ดีเสมอๆ เพราะอะไร? ทำไมเราถึงขาดทุนจากการเทรดครั้งนี้ และจะทำอะไรได้บ้างเพื่อให้การขาดทุนน้อยลง? ทำยังไงถึงจะสร้างลักษณะการลงทุนที่ทำกำไรให้เราได้?

จบแล้วครับ T-T ใช้เวลาในการแปลนานมากมาย
(@_@)




 

Create Date : 07 กันยายน 2552    
Last Update : 7 กันยายน 2552 15:24:26 น.
Counter : 1216 Pageviews.  

The Scam (2009)



The Scam (2009)

เป็นหนังเรื่องนึงที่แนะนำให้คนที่ลงทุนในตลาดหุ้น หรือแม้แต่นักเก็งกำไรในตลาดหุ้นได้ดูกันครับ ดูแล้วก็ปลงอนิจจังว่าเราเป็นแค่มดในตลาดหุ้นเท่านั้นเอง ตราบใดที่เรายังไม่ได้เป็นคนวงในเราก็เป็นได้แค่คนวงนอก

แต่ก็อย่าไปคิดว่าเราจะไม่สามารถทำกำไรได้จากตลาดหุ้นนะครับ เพราะก็ยังมีโอกาสอีกหลากหลายในการทำกำไร ไม่ว่าจะเป็นการติดตามว่าคนวงในกำลังทำอะไร กำลังคิดอะไร ซึ่งอาจสังเกตได้จากสัญญาณหลายๆอย่างที่คนวงในไม่สามารถปกปิดความเคลื่อนไหวได้หมด หรือการสร้างระบบเทรดขึ้นมาที่สามารถพิสูจน์ได้ถึงศักยภาพในการทำกำไร วิธีเหล่านี้ทำให้เราอยู่รอดได้ในระยะยาวครับ

ดูเรื่องนี้แล้วก็ลองไปหาเรื่องThe Wall Streetมาดูนะครับ เป็นเรื่องที่มีภาพกว้างของเรื่องราวคล้ายๆกัน แล้วไม่แน่ว่าคุณอาจจะได้วิธีการเทรดแบบที่ทำกำไรเป็นถังๆได้เหมือนกันครับ

(@_@)







 

Create Date : 21 สิงหาคม 2552    
Last Update : 21 สิงหาคม 2552 14:48:31 น.
Counter : 1480 Pageviews.  

John Murphy's Ten Laws of Technical Trading

ผมมีกระดาษอยู่สองแผ่นที่เป็นกฏการลงทุนทางเทคนิค ว่าจะเอามาแปลให้ได้อ่านกัน
แต่ผ่านไปเป็นปีแล้วงงเหมือนกันว่าไปเอามาจากไหน โชคดีที่เทคโนโลยีมันก้าวหน้าไปมาก
ผมว่าผมไปเอามาจากที่นี่แหละครับ ดีนะที่ยังหาเจอจะได้ให้เครดิตเจ้าของเค้าด้วย
//stockcharts.com/school/doku.php?id=chart_school:trading_strategies:john_murphy_s_ten_laws
การแปลของผมอย่างที่ทำมาก่อนนะครับ ไม่ได้แปลคำต่อคำ แต่เอาแบบอ่านแล้วเข้าใจง่ายๆดีกว่าเนอะ

1 หาแนวโน้มให้เจอ
ใช้กราฟราคาระยะยาว การวิเคราะห์กราฟระยะเดือนหรือรายสัปดาห์จะเห็นภาพของเวลาหลายๆปี
ภาพของตลาดที่กว้างและมีข้อมูลมากขึ้นจะทำให้เราเห็นภาพ และความคิดของตลาดได้ดีมากขึ้น
เมื่อเราเห็นภาพกว้างจากกราฟรายเดือนหรือสัปดาห์แล้ว เราค่อยมาดูกราฟรายวันหรือระหว่างวัน
การดูกราฟระยะสั้นๆอย่างเดียวมักจะทำให้เราเห็นภาพที่อาจจะผิดไป
แม้ว่าคุณจะเป็นพวกซื้อขายระยะสั้นมากๆก็ตาม คุณจะทำได้ดีมากขึ้นถ้าคุณซือ-ขายตามแนวโน้มระยะกลางและระยะยาว

2 ไปพร้อมกับแนวโน้ม
พิจารณาแนวโน้มให้ดีว่าไปทางไหน แล้วก็ตามไปทางนั้น
แนวโน้มของตลาดจะมาในหลากหลายขนาด ระยะยาว ระยะกลาง และระยะสั้นๆ
อันดับแรก คิดก่อนว่าคุณเป็นนักลงทุนประเภทไหน สั้น กลาง ยาว แล้วก็ใช้กราฟให้เหมาะสม
และให้เทรดไปตามทิศทางของแนวโน้มตามระยะเวลาที่คุณเลือก
ซื้อตอนที่ราคาลดต่ำลงมาในขณะที่เป็นขาขึ้น (ซื้อตอนมันปรับฐาน พักตัว)
ขายเมื่อมันดีดตัวขึ้นในตลาดขาลง (ขายตอนที่มีรีบาวด์)
ถ้าคุณเลือกที่จะเป็นนักลงทุนระยะกลางให้ใช้กราฟรายวันและรายสัปดาห์
ถ้าคุณเป็นพวกซื้อขายในวันเดียว ใช้กราฟรายวันและระหว่างวัน
อย่างไรก็ตามในทุกแบบที่เลือก เราต้องดูกราฟที่ยาวกว่าเพื่อดูเทรนด์ก่อน แล้วใช้กราฟเวลาที่เลือกสำหรับการซื้อ-ขาย

3 หาจุดต่ำและจุดสูงสุดของราคา
หาแนวรับและแนวต้าน ที่ๆดีที่สุดในการซื้อคือซื้อที่แนวรับ แนวรับมักจะเป็นจุดต่ำของช่วงก่อนหน้า
ที่ๆดีที่สุดในการขายคือใกล้ๆกันกับแนวต้าน แนวต้านมักจะเป็นจุดยอดที่ราคาผ่านมาแล้ว(ดอยนั่นเอง)
หลังจากที่ราคาทำยอดสูงใหม่กว่าจุดนั้นจะกลับมาเป็นแนวรับเมื่อราคาวกกลับลงมา
หรือจะเรียกได้ว่า "สูงเก่ากลายเป็นต่ำใหม่"
ในอีกแง่นึงหากราคาทะลุจุดต่ำสุด(แนวรับ)ไปแล้ว มันจะกลับมาเป็นแนวต้านแทนทันที
"ต่ำเก่ากลายเป็นสูงใหม่"

4 รู้หน่อยว่ามันจะปรับฐานลึกแค่ไหน
วัดอัตราส่วนในการปรับฐานหรือปรับตัวของราคาหุ้น
ราคาหุ้นที่ปรับฐานหรือพักตัวนั้น มักจะปรับตัวเป็นสัดส่วนจากแนวโน้มก่อนหน้า
เราสามารถวัดการปรับตัวที่เกิดขึ้นได้ในสัดส่วนง่ายๆ
การปรับตัวของราคาที่ระดับ50%ของแนวโน้มก่อนหน้าเป็นสิ่งที่เราพบเห็นได้บ่อยที่สุด
สัดส่วนที่น้อยที่สุดมักจะเป็นหนึ่งในสามของแนวโน้มก่อนหน้า(33.33%) และมากที่สุดที่สองในสาม(66.66%)
สำหรับการปรับตัวตามอัตราไฟโบแนคซีคือ38%และ62%เป็นสิ่งที่ต้องจับตามองเช่นกัน
ระหว่างการปรับตัวลงในแนวโน้มขาขึ้นหากจะซื้อเราควรรอที่33-38%ของการปรับตัว

5 วาดเส้น(แนวโน้ม)
วาดเส้นแนวโน้ม เส้นแนวโน้มเป็นสิ่งที่ง่ายแต่ได้ผล สิ่งที่ต้องทำก็แค่ลากเส้นตรงระหว่างจุดสองจุด
เส้นแนวโน้มขาขึ้นก็แค่ลากเส้นไปตามจุดต่ำที่สำคัญของแนวโน้มสองจุด(ตรงการพักตัวนั่นแล)
เส้นแนวโน้มขาลงก็ลากระหว่างจุดที่มันดีดตัวขึ้นไปครั้งสำคัญๆสองจุดเช่นกัน
ราคามักจะพักตัวมาที่เส้นแนวโน้มที่เราวาด ก่อนที่มันจะดีดกลับไปตามแนวโน้มเดิมของมัน
การทะลุของราคาออกจากเส้นแนวโน้ม มักจะเป็นสัญญาณการกลับตัวของแนวโน้มราคา
เส้นแนวโน้มที่ดีควรจะมีการแตะของราคาที่เส้นอย่างน้อยสามครั้ง(แตะนะครับไม่ทะลุนะ)
เส้นนี้ยิ่งยาวยิ่งมีผลสำคัญ และยิ่งมันถูกทดสอบโดยการแตะของราคามากเท่าไหร่ มันยิ่งเป็นเส้นสำคัญที่ต้องพิจารณา

6 ใช้เส้นค่าเฉลี่ย(MA MOV Moving Average)
เส้นค่าเฉลี่ยจะให้สัญญาณในการซื้อ-ขาย มันบอกเราว่าแนวโน้มขณะนั้นยังดำเนินต่อไปหรือว่าเปลี่ยนแล้ว
แม้ว่าเส้นค่าเฉลี่ยไม่ได้บอกอนาคตว่าราคาจะไปทางไหน แต่มันก็บอกถึงการเปลี่ยนแนวโน้มได้ดีมากๆ
การใช้เส้นค่าเฉลี่ยสองเส้นในกราฟเป็นที่นิยมในการหาสัญญาณซื้อ-ขาย
ส่วนใหญ่จะใช้เส้น4และ9วัน 9และ18 หรือ5และ20เป็นต้น
สัญญาณซื้อคือเมื่อเส้นสั้นตัดเส้นยาวขึ้นไป และขายเมื่อมันตัดลงมา
การใช้เส้นค่าเฉลี่ย40วันเพื่อหาจุดซื้อ-ขายก็เป็นสัญญาณที่ดีอีกตัวหนึ่ง
และเนื่องจากเส้นค่าเฉลี่ยเป็นตัวหาแนวโน้ม ดังนั้นมันจะใช้ได้ดีก็ต่อเมื่อตลาดนั้นมีแนวโน้มชัดเจน

7 รู้จุดกลับ(ตัวกลับใจ)
Oscillator(ขอทับศัพท์นะครับคำนี้)ช่วยให้เรารู้ว่าตอนนี้ หุ้นที่เราดูน่ะ มันมีคนซื้อมากไป หรือขายมากไปหรือเปล่า
เส้นค่าเฉลี่ยจะทำให้เรารู้ว่าแนวโน้มเปลี่ยนไปรึยัง ในขณะที่Oscillatorจะบอกเราล่วงหน้า
ว่าหุ้นนั้นมันขึ้น หรือตกมากเกินไปแล้ว และกำลังจะกลับตัวกลับใจ
Oscillatorที่เป็นที่นิยมที่สุดสองตัว คือRSI และStochastic ทั้งสองตัวจะวิ่งอยู่ในระดับ0-100
สำหรับRSIนั้น ถ้ามันมากกว่า70คือซื้อมากไปแล้ว กำลังจะถอยแล้ว และต่ำกว่า30คือขายมากไปแล้วนะ
สำหรับStochasticนั้นเราดูที่ระดับ80และ20 และดูแบบเดียวกับRSI
สำหรับนักลงทุนส่วนใหญ่จะใช้ค่า14วันสำหรับStochastic และ9หรือ14วันสำหรับRSI
Oscillatorที่ไปคนละทางกับราคาหุ้นมักจะเตือนว่ามันกำลังจะกลับตัว(Bullish Bearish Divergence)
เครื่องมือนี้เหมาะมากในตลาดหรือหุ้นที่ไม่มีแนวโน้มชัดเจน
เราสามารถใช้สัญญาณในกราฟระดับสัปดาห์มากรองสัญญาณให้กราฟรายวันก็ได้
และเช่นเดียวกันสัญญาณในกราฟรายวันก็นำมากรองเพื่อใช้กับกราฟระหว่างวันได้

8 สัญญาณอันตราย!!!
MACD นั้นเป็นส่วนประกอบของการตัดกันของเส้นค่าเฉลี่ย และการบอกภาวะซื้อ-ขายมากเกินไปของOscillator
สัญญาณซื้อเกิดขึ้นเมื่อเส้นที่เร็วกว่าตัดเส้นช้าขึ้นไปและทั้งสองเส้นอยู่ต่ำกว่า0(มีค่าเป็นลบ)
สัญญาณขายคือเมื่อเส้นที่เร็วกว่าตัดเส้นช้าลงมาและทั้งสองเส้นอยู่เหนือค่า0ขึ้นไป
สัญญาณในกราฟรายสัปดาห์นั้นมีความสำคัญมากกว่าในกราฟรายวัน
MACD Histogramนั้นจะบอกเราถึงความแตกต่างของเส้นMACDทั้งสองเส้น
และจะให้สัญญาณล่วงหน้าถึงการเปลี่ยนปลงของแนวโน้ม
มันถูกเรียกว่าhistogramเพราะเส้นแนวตั้งที่แสดงถึงความแตกต่างของเส้นMACDสองเส้นนั่นเอง

ขออธิบายนิดนึงนะครับ เพราะว่าการที่MACDตัดขึ้นลงนั้นจะหมายถึงการเปลี่ยนแนวโน้ม
ดังนั้นการที่บอกว่าhistogramจะบอกล่วงหน้าถึงการเปลี่ยนแนวโน้มก็หมายถึงว่า
ถ้าเส้นมันสั้นลงเรื่อยๆไม่วาจะทางใดก็ตาม หมายความว่าMACDใกล้จะตัดกันแล้ว
คือกำลังจะเปลี่ยนแนวโน้มแล้วนั่นเองครับ


9 มีแนวโน้มอ๊ะเปล่า
ใช้ADXสิ ADXจะบอกเราได้ว่าตลาดหรือหุ้นตัวนั้นๆตอนนี้มันมีแนวโน้มอยู่รึเปล่า หรือแค่ไซด์เวย์เฉยๆ
ADXจะวัดระดับของแนวโน้มและทิศทางที่มันจะไป
หากADXมีคาเพิ่มขึ้น นั่นหมายความว่าแนวโน้มนั้นๆแข็งแกร่งมากๆ ค่าADXที่ตกลงหมายถึงมันออกข้าง(sideway)
ดังนั้นหากADXมีค่าเพิ่มขึ้นเราควรใช้เส้นค่าเฉลี่ย หากลดลงเราควรใช้Oscillator
การใช้ADXจะทำให้นักลงทุนสามารถใชกลยุทธ์ในการลงทุน และเครื่องมือได้เหมาะสมกับสภาพตลาดในตอนนั้นครับ

10 หน่วยสนับสนุน
ปริมาณการซื้อขายและสัญญาคงค้าง ทั้งสองตัวนี้ช่วยในการยืนยันในตลาดล่วงหน้า
ปริมาณการซื้อขายนั้นจะบอกถึงราคาได้ มันสำคัญมากที่จะต้องใช้ปริมาณการซื้อขายที่สูงเพื่อยืนยันแนวโน้มในขณะนั้น
ในแนวโน้มขาขึ้น ปริมาณการซื้อขายมากๆต้องมาในวันที่ปิดบวก
การเพิ่มขึ้นของสัญญาคงค้างจะยืนยันว่ายังมีเงินใหม่ๆเข้ามาสนับสนุนแนวโน้มปัจจุบัน
การลดลงของสัญญาคงค้างมักจะเป็นคำเตือนว่าแนวโน้มมันกำลังจะหมดลงแล้วนะ
ราคาที่เพิ่มขึ้นในภาวะขาขึ้น ควรจะถูกยืนยันด้วยปริมาณการซื้อขายและสัญญาคงค้างที่เพิ่มมากขึ้น

11
ความสามารถในการวิเคราะห์ทางเทคนิคนั้น จะเพิ่มมากขึ้นจากประสบการณ์และการศึกษา
จงเป็นนักเรียนที่รักการเรียนรู้อยู่เสมอๆ

ผมว่าจะทำอะไรก็ตาม ต้องใช้กฏข้อนี้หมดและครับคุณเมอร์ฟี่

หวังว่าทุกคนคงได้ประโยชน์กันไปตามสมควรนะครับ




 

Create Date : 04 กรกฎาคม 2552    
Last Update : 6 กรกฎาคม 2552 15:55:45 น.
Counter : 3378 Pageviews.  

วันนี้ผมพัฒนาขึ้น

เริ่มจากวันนี้อินเตอร์เน็ทผมไม่ดี ไม่รู้ป่วยเป็นอะไร จะเปิดกราฟแต่ละทีต้องรอนานมาก

แถมกราฟไม่อัพเดทอีกตองคอยกดดูเป็นครั้งๆไป แต่ละครั้งก็รอนานมากกกกก

ดูไปดูมา เอ๊ะ ราคาอาตี๋วันนี้น่าSHORTมากมายเลยนะเนี่ย

ก็เลยสั่งช็อตสักหน่อย เอ๊ะกราฟไม่วิ่ง ราคาไม่ขยับงสัยเน็ทป่วยอีกแล้ว

ดูไปดูมา อ้าว นั่น12.30แล้วนี่นา ตลาดปิดเช้า เฮ้อ

ก็เลยส่งราคาทิ้งไว้ยังงั้นแหละ เพราะมองว่าตลาดลงอยู่แล้ว อิอิ

ว่าแล้วก็ออกไปข้างนอกตามนัดหมาย ซึ่งล่วงเลยมานานแล้ว

แล้ววันนี้ก็ฟ้าฝนเป็นใจ บรรยากาศไม่ค่อยดีอีก

บวกกับมีพลพรรคเสื้อแดงออกมาปิดถนนกันให้รึ่ม

เอาละวะ จะได้เงินจากการเดือดร้อนของคนอื่นกวันนี้ล่ะวะ

ว่าแล้วกลับมาบ้านเที่ยงคืน เปิดมา ที่สั่งSHORTไว้มันไม่ได้อ่า

แล้วก็รู้สึกว่าตัวเองพัฒนาไปอีกขึ้นแล้วนะ ถึงจะเป็นแค่ก้าวเล็กๆก็เถอะ

เพราะปกติจะต้องตีโพยตีพาย เสียดายเป็นอันมากกับกำไรที่ควรจะได้

แต่วันนี้คิดแค่ว่า “โอกาสมันมาแล้วก็ไป แล้วเดี๋ยวก็มาอีก”

กลายเป็นว่าวันนี้คุมอารมณ์ตัวเองได้ ถึงจะไม่ใช่เรื่องที่ใหญ่มากๆก็ตาม

ซึ่งจากการลอผิดลองถูกมายาวนาน คิดว่าการคุมอารมณ์เป็นเรื่องที่สำคัญมากๆในการเทรด

วันนี้ผมทำได้ดีขึ้น และหวังว่าจะทำได้ดียิ่งๆขึ้นไป

เพื่อวันนึง ผมจะได้ไป ไปให้ถึงจุดหมาย ที่ตัวเองใฝฝัน




 

Create Date : 10 เมษายน 2552    
Last Update : 10 เมษายน 2552 3:29:51 น.
Counter : 663 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  

ขอบฟ้าบูรพา
Location :
สมุทรปราการ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 19 คน [?]




ผู้ประกาศกรุงเทพธุรกิจทีวี พิธีกรรายการแกะรอยหยักสมองและ World Class Smart Thai
สนใจประวัติศาสตร์ ศาสนา ปรัชญา ต่างประเทศ เทคโนโลยี สังคม และชนชั้น

ติดตามทวิตเตอร์ได้ที่ @atis_kttv นะครับ
New Comments
Friends' blogs
[Add ขอบฟ้าบูรพา's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.