In the last analysis, our only freedom is the freedom to discipline ourselves. - Bernard Baruch
Group Blog
 
All Blogs
 

เราเก็บเงินพอสำหรับวัยเกษียณหรือยัง

เวลายิ่งผ่านไป จากการแพทย์และสุขอนามัยที่พัฒนาขึ้น ทำให้คนเรามีอายุยืนยาวมากขึ้น แล้วเราเตรียมพร้อมทางด้านการเงินสำหรับวัยเกษียณกันหรือยัง
บางคนบอกว่าเก็บเงินไปมากๆทำไม ตายไปก็ไม่ได้ใช้ แต่ในอีกแง่ ถ้ายังไม่ตายแล้วไม่มีเงินด้วยอาจจะแย่ยิ่งกว่า

วันนี้เจอตารางการเก็บออมเงิน น่าจะเอามาเตือนใจได้ว่า วันนี้เราเริ่มเตรียมพร้อมแล้วหรือยัง

 




 

Create Date : 03 ธันวาคม 2555    
Last Update : 3 ธันวาคม 2555 10:21:41 น.
Counter : 4614 Pageviews.  

อัตราดอกเบี้ย รู้ไว้ใช่ว่า

ถ้าพูดถึงอัตราดอกเบี้ย หลายคนอาจจะไม่สนใจเพราะว่าไม่ได้เกี่ยวกับเรา ดูเป็นเรื่องของนักการธนาคาร นักเศรษฐศาสตร์มากกว่า จริงๆแล้วการปรับอัตราดอกเบี้ยกระทบทุกคน ไม่ทางตรงก็ทางอ้อม...อย่างไร

แน่นอนคนมีเงินฝากก็กระทบเพราะว่าดอกเบี้ยที่ได้ก็น้อยลงเป็นธรรมดา สมัยก่อนตอนปี 40 คนฝากเงินหวังกินดอกเบี้ยตอนนั้นดอกเบี้ยเกิน10%มีเงินล้านเดียวได้ดอกเบี้ยตกเดือนละหมื่นก็พออยู่กันได้ แต่จาก10->1% มีเงินล้านนึงเหมือนกันแต่ได้ดอกเบี้ย"ปีละหมื่น" เดือนละไม่ถึงพัน หวังกินดอกแบบเดิมไม่ได้แล้วไม่ได้แล้ว

คนที่กู้เงินก็กระทบ เพราะต้นทุนจะต่ำลง ใครกู้ซื้อบ้านดอกเบี้ยลอยตัวก็ได้ลดไป ถ้าดอกเบี้ยลดลงมาสัก1% ราคาบ้านสองสามล้านก็มีค่าใช้จ่ายลดลงมาสองสามหมื่นต่อปีแล้ว ตกเดือนนึงก็หลายพัน ใครกู้มาลงทุนก็มีต้นทุนที่ต่ำลง จากเดิมถ้ากู้เงินอัตราดอกเบี้ยร้อยละ7 เอาไปลงทุนทำกำไรได้ร้อยละ10 กำไร3%ต่อปีแบบนี้สู้เอาเงินไปลงทุนพันธบัตรรัฐบาลดีกว่า แต่ถ้าอัตราดอกเบี้ยลดลงเหลือเพียงร้อยละ3 แบบนี้ก็ได้กำไรจากการกู้มาลงทุนหักด้วยต้นทุนกู้ยืม กลายเป็นได้กำไรร้อยละ7 แบบนี้ก็น่าสนใจกู้มาลงทุน

ดังนั้นเวลาที่เศรษฐกิจดูไม่ดี คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจอาจจะชะลอตัวลง ฝ่ายที่ดูแลนโยบายการเงินจึงจะลดอัตราดอกเบี้ยกัน เพราะคนกู้เงินมาซื้อบ้าน ซื้อรถ มาลงทุนง่่ายขึ้น เพราะต้นทุนต่ำอย่างที่ได้บอกไปแล้ว ส่วนคนไหนที่มีเงินเก็บก็อยากเอาออกมาซื้อที่ดิน ซื้อทองคำหรือสินทรัพย์ที่ป้องกันเงินเฟ้อได้ หรือถ้าอัตราดอกเบี้ยแท้จริงติดลบมากๆ คือดอกเบี้ยได้น้อยกว่าเงินเฟ้อ ถ้าเก็บเงิยไว้ก็ด้อยค่าลงไปเรื่อยๆ สู้เอาเงินมาใช้ในปัจจุบันดีกว่า และการซื้อบ้าน ซื้อรถ ลงทุน หรือเอาเงินมาใช้ก็เป็นการช่วยให้เศรษฐกิจดีขึ้นนั่นเอง

แต่การลดดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นก็มีข้อจำกัด เพราะถ้าเงินเฟ้อสูงก็ลดดอกเบี้ยลำบาก ไม่อย่างนั้นจะเป็นการซ้ำเติมเงินเฟ้อเข้าไปอีกเพราะถ้าคนเอาเงินมาใช้ในระบบมากๆ ในขณะที่สินค้ามีเท่าเดิม ของก็แพงขึ้นเท่านั้น ดังนั้้นการใช้อัตราดอกเบี้ยต้องดูเงินเฟ้อประกอบ

สำหรับบ้านเราตอนนี้เศรษฐกิจยังพอไปไหว เลยยังคงอัตราดอกเบี้ยไว้เท่าเดิมในวันนี้(05/09/2012) ที่3% แบบนี้ถ้าเศรษฐกิจโลกมีปัญหา เรามีช่องให้ปรับได้เยอะเลย แต่ในอนาคตวิกฤติโลกน่าจะลามเลียมาถึงไทยค่อนข้างแน่ ดังนั้นเราคาดการณ์คร่าวๆได้ว่า ดอกเบี้ยในอนาคตไม่ลดลงอย่างน้อยก็คงที่

ดังนั้นหากมีเงินเหลือ การฝากเงินที่น่าจะดีในภาวะแบบนี้คือการฝากเงินแบบดอกคงที่ระยะยาว เพราะจะได้มีผลตอบแทนเยอะๆหากมีการลดดอกเบี้ยสำหรับผู้ที่ต้องการกู้ อาจจะมองดอกเบี้ยแบบลอยตัว เพราะเมื่อดอกเบี้ยลดเราก็จะได้ลดดอกเบี้ยไปถ้าใครต้องการซื้ออสังหาหรือทรัพย์สินแต่ไม่รีบมาก รอจนปัญหาเศรษฐกิจลามมาถึง ก็อาจจะได้ของดีราคาถูกด้วยครับ

ขอบฟ้าบูรพา

ถ้าพูดถึงอัตราดอกเบี้ย หลายคนอาจจะไม่สนใจเพราะว่าไม่ได้เกี่ยวกับเรา ดูเป็นเรื่องของนักการธนาคาร นักเศรษฐศาสตร์มากกว่า จริงๆแล้วการปรับอัตราดอกเบี้ยกระทบทุกคน ไม่ทางตรงก็ทางอ้อม...อย่างไร

แน่นอนคนมีเงินฝากก็กระทบเพราะว่าดอกเบี้ยที่ได้ก็น้อยลงเป็นธรรมดา สมัยก่อนตอนปี 40 คนฝากเงินหวังกินดอกเบี้ยตอนนั้นดอกเบี้ยเกิน10%มีเงินล้านเดียวได้ดอกเบี้ยตกเดือนละหมื่นก็พออยู่กันได้ แต่จาก10->1% มีเงินล้านนึงเหมือนกันแต่ได้ดอกเบี้ย"ปีละหมื่น" เดือนละไม่ถึงพัน หวังกินดอกแบบเดิมไม่ได้แล้วไม่ได้แล้ว

คนที่กู้เงินก็กระทบ เพราะต้นทุนจะต่ำลง ใครกู้ซื้อบ้านดอกเบี้ยลอยตัวก็ได้ลดไป ถ้าดอกเบี้ยลดลงมาสัก1% ราคาบ้านสองสามล้านก็มีค่าใช้จ่ายลดลงมาสองสามหมื่นต่อปีแล้ว ตกเดือนนึงก็หลายพัน ใครกู้มาลงทุนก็มีต้นทุนที่ต่ำลง จากเดิมถ้ากู้เงินอัตราดอกเบี้ยร้อยละ7 เอาไปลงทุนทำกำไรได้ร้อยละ10 กำไร3%ต่อปีแบบนี้สู้เอาเงินไปลงทุนพันธบัตรรัฐบาลดีกว่า แต่ถ้าอัตราดอกเบี้ยลดลงเหลือเพียงร้อยละ3 แบบนี้ก็ได้กำไรจากการกู้มาลงทุนหักด้วยต้นทุนกู้ยืม กลายเป็นได้กำไรร้อยละ7 แบบนี้ก็น่าสนใจกู้มาลงทุน

ดังนั้นเวลาที่เศรษฐกิจดูไม่ดี คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจอาจจะชะลอตัวลง ฝ่ายที่ดูแลนโยบายการเงินจึงจะลดอัตราดอกเบี้ยกัน เพราะคนกู้เงินมาซื้อบ้าน ซื้อรถ มาลงทุนง่่ายขึ้น เพราะต้นทุนต่ำอย่างที่ได้บอกไปแล้ว ส่วนคนไหนที่มีเงินเก็บก็อยากเอาออกมาซื้อที่ดิน ซื้อทองคำหรือสินทรัพย์ที่ป้องกันเงินเฟ้อได้ หรือถ้าอัตราดอกเบี้ยแท้จริงติดลบมากๆ คือดอกเบี้ยได้น้อยกว่าเงินเฟ้อ ถ้าเก็บเงิยไว้ก็ด้อยค่าลงไปเรื่อยๆ สู้เอาเงินมาใช้ในปัจจุบันดีกว่า และการซื้อบ้าน ซื้อรถ ลงทุน หรือเอาเงินมาใช้ก็เป็นการช่วยให้เศรษฐกิจดีขึ้นนั่นเอง

แต่การลดดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นก็มีข้อจำกัด เพราะถ้าเงินเฟ้อสูงก็ลดดอกเบี้ยลำบาก ไม่อย่างนั้นจะเป็นการซ้ำเติมเงินเฟ้อเข้าไปอีกเพราะถ้าคนเอาเงินมาใช้ในระบบมากๆ ในขณะที่สินค้ามีเท่าเดิม ของก็แพงขึ้นเท่านั้น ดังนั้้นการใช้อัตราดอกเบี้ยต้องดูเงินเฟ้อประกอบ

สำหรับบ้านเราตอนนี้เศรษฐกิจยังพอไปไหว เลยยังคงอัตราดอกเบี้ยไว้เท่าเดิมในวันนี้(05/09/2012) ที่3% แบบนี้ถ้าเศรษฐกิจโลกมีปัญหา เรามีช่องให้ปรับได้เยอะเลย แต่ในอนาคตวิกฤติโลกน่าจะลามเลียมาถึงไทยค่อนข้างแน่ ดังนั้นเราคาดการณ์คร่าวๆได้ว่า ดอกเบี้ยในอนาคตไม่ลดลงอย่างน้อยก็คงที่

ดังนั้นหากมีเงินเหลือ การฝากเงินที่น่าจะดีในภาวะแบบนี้คือการฝากเงินแบบดอกคงที่ระยะยาว เพราะจะได้มีผลตอบแทนเยอะๆหากมีการลดดอกเบี้ยสำหรับผู้ที่ต้องการกู้ อาจจะมองดอกเบี้ยแบบลอยตัว เพราะเมื่อดอกเบี้ยลดเราก็จะได้ลดดอกเบี้ยไปถ้าใครต้องการซื้ออสังหาหรือทรัพย์สินแต่ไม่รีบมาก รอจนปัญหาเศรษฐกิจลามมาถึง ก็อาจจะได้ของดีราคาถูกด้วยครับ

ขอบฟ้าบูรพา

//www.oknation.net/blog/atishart/2012/09/06/entry-1




 

Create Date : 06 กันยายน 2555    
Last Update : 6 กันยายน 2555 19:05:35 น.
Counter : 2271 Pageviews.  

ตอบหลังไมค์-การลงทุนหุ้นของคนวัยเกษียณ

จริงๆมีหลังไมค์มาถามสองเดือนเข้าไปแล้ว แต่เพิ่งจะได้มานั่งเขียนอะไรยาวๆ(ไม่รวมที่ไปตอบกระทู้นะครับ)
ก็ต้องขอโทษด้วยที่ตอบไปช้ามากมายครับ ขออนุญาตลงคำถามในกระทู้ แต่ไม่เอ่ยชื่่อตามที่คนส่งขอให้ละไว้นะครับ
ที่เอามาลงในกระทู้เพราะคิดว่าน่าจะมีประโยชน์กับคนอื่นๆด้วยครับ

เกษียณแล้วค่ะ มีเงินเก็บนิดหน่อย แบ่งไปซื้อประกันชีวิตแบบออมทรัพย์ และซื้อสลากออมสินไว้บ้างแล้ว ไม่เคยซื้อหุ้นเลย ตอนนี้อยากจะลองลงทุนดู อาจจะที่เบื้องต้นสัก 500,000 บาทค่ะ ยังไม่มีความรู้เรื่องหุ้นหรือตลาดหุ้น กำลังหาทางศึกษาอยู่ ไม่ทราบพอจะแนะนำไหมคะ ว่าควรซื้อหุ้นตัวใด

ตำราตอนนี้มีเล่มไหนดีคะ สำหรับมือใหม่ และขั้น advanced

ขอบคุณค่ะ

จริงๆแล้วถ้ามีกระทู้ปรึกษาเรื่องของการลงทุนแล้ว ผมมักไม่ค่อยตอบเท่าไหร่ เพราะข้อมูลที่ให้กันในกระทู้มักจะน้อยจนเกินไป เช่น จะลงทุนอะไรดี เท่าไหร่ดี หุ้นตัวไหนดี
หากไม่รู้ที่มาที่ไปและข้อจำกัดต่างๆของนักลงทุนคนนั้นๆแล้ว ผมยังไม่เห็นเลยว่าจะไปตอบอะไรให้เค้าได้ เช่นถ้ามีคนมาถามผมว่า เล่นหุ้นดีมั้ย ผมบอกว่าดีนะ
แต่คนนั้นลงทุนร้อยขาดทุนบาทเดียวก็ของขึ้น จะลงแดงให้ได้เลย แบบนี้มันก็ดีในมุมผมไม่ดีในมุมเค้า ในทางกลับกันการลงทุนบางอย่างก็ดีสำหรับเค้าไม่ใช่สำหรับผม

เกริ่นมาซะยาว จริงๆผมควรจะถามรายละเอียดจากผู้ถามต่อ แต่เนื่องจากคิดจะพิมพ์เมื่อกี้สดๆ เลยไม่ได้หลังไมค์ไป ก็คงได้แต่เขียนไว้เป็นอุทาหรณ์ว่าการปรึกษาการลงทุนนั้นละเอียดมาก
การจะมาบอกแค่ว่ามีเงินเท่าไหร่ รายได้เท่าไหร่ควรจะไปลงทุนอะไรเท่าไหร่มันไม่พอครับ ผมเองก็พลาดไปที่ไม่ได้ถามรายละเอียดอื่นๆมาแต่ต้น
ดังนั้นในกระทู้นี้ผมขอยกมุมมองของผมแบบคร่าวๆ ดังนี้

1 คำว่าเงินเก็บนิดหน่อย ผมไม่แน่ใจว่าหน่อยเท่าไร แต่ถ้าต้องการจะเล่นหุ้น500,000บาทนี่คงไม่หน่อยมากแน่ๆ^^ ผมเลยไม่ทราบว่าซื้อประกันชีวิตและสลากออมสินไปเท่าไร
แต่ต้องดูตรงนี้นิดนึงครับ ประักันชีวิตเองมีหลายประเภท ถ้าในตำราเรียนสมัยก่อนมีสี่ประเภท ซึ่งเดี๋ยวนี้ก็ทะยอยพัฒนาแบบใหม่ๆขึ้นมาอีกมากจากสมัยที่ผมเรียน
ทว่าประกันส่วนใหญ่ที่นิยมในตอนนี้ก็คือประกันชีวิตแบบออมทรัพย์ ซึ่งว่ากันตามตรงนะครับ ถ้าอยู่จนครบอายุแล้วผมคิดว่าประโยชน์ที่ได้รับมันน้อยจนเกินไปสักหน่อย

เพราะอะไร เพราะบริษัทประกันเอาเงินของเราไปลงในพันธบัตรและหุ้นกู้เป็นส่วนใหญ่ ได้มาเท่าไรหักต้นทุนค่านายหน้า ค่าดำเนินการ และกำไรของบริษัท
เหลือจากนั้นจึงเป็นของเราที่ลงเงิน หากผลตอบแทนในตลาดดีบริษัทประกันรับไป แต่ถ้าผลไม่ดีมากๆมีหนังสือมาขอลดค่าตอบแทนเราอีกแน่ะ -_-"

แต่ก็ไม่ใช่ว่าผมไม่สนับสนุนนะครับ เพราะการออมผ่านการทำประกันผมคิดว่ามันมีอะไรมากกว่าแค่เรื่องของผลตอบแทนเท่านั้น
เช่น เรื่องของการป้องกันความเสี่ยง การสะสมทุนทรัพย์เพื่อวัตถุประสงค์บางอย่างในอนาคต และหรือเรื่องอื่นๆ
ทว่าผมสนับสนุนอีกเช่นกันว่า ให้ศึกษษประเภทของการประกันให้ดีๆ ว่าตรงตามความต้องการของเราหรือไม่
อย่างในบทความ "ผม เงิน ชีวิต"ของผมผมก็ไม่เหมาะกับการทำประกันชีวิตแบบออมทรัพย์ เพราะวัตถุประสงค์และทัศนคติไม่เหมาะกันเท่าไหร่

สำหรับผู้ถามผมไม่แน่ใจว่าต้องการทำประกันชีวิตสะสมทรัพย์ด้วยวัตถุประสงค์ใด หรือท่านอื่นๆก็เช่นกัน ก่อนทำต้องศึกษาความต้องการของตนเองก่อนนะครับ
เพราะการทำความเข้าใจเพิ่มอีกเล็กน้อย จะทำให้เราประหยัดและได้ประโยชน์มากกว่าการทำประกันหรือลงทุนไปตามเรื่อง ตามที่คนขายแนะนำมาก
และที่สำคัญหากผู้ถามหรือใครที่อายุยังไม่เกินเกณฑ์ ผมแนะนำอย่างยิ่งให้ทำประกันสุขภาพครับ เพราะเดี๋ยวนี้ค่ารักษาพยาบาลแพงมาก
แต่ทำแล้วก็ต้องดูแลตัวเองนะครับ อย่าให้เกิดกรณี Moral Hazard แบบในวิชาเศรษฐศาสตร์เข้านา อิอิ

2 เรื่องสลากออมสิน ถ้ามีทรัพย์สินที่มีสภาพคล่องอยู่แล้วก็ไม่ว่ากันครับ แต่เนื่องจากสลากพวกนี้จะถูก "ล็อค" เงินอยู่กับธนาคารหลายปี
ดังนั้นต้องเผื่อเงินสำหรับใช้จ่าย และสำหรับเหตุฉุกเฉินด้วยนะครับ ไม่อย่างนั้นพอฉุกเฉินเข้าไปขายก่อนเวลา พาลได้เงินน้อยลงอีก(สำหรับสลากบางรุ่น)
เรื่องสลากนี่ผมไม่แน่ใจว่าเค้าเปิดขายทุกๆกี่เดือน/ปี เคยเข้าไปอ่านๆอยู่คลับคล้ายคลับคลาว่าออกเป็นคราวๆไป ไม่ได้กำหนดแน่นอน
แต่ถ้าออกแน่ๆทุกช่วง ก็อาจจะซื้อสลับกันก็ได้ครับ เช่นถ้าออกทุกสามเดือนก็แบ่งเงินออกเป็นหลายๆส่วนแล้วทะยอยซื้อไป
การทำแบบนี้ทำได้กับการออมและการลงทุนอื่นใดที่ออกมาสม่ำเสมอครับ ข้อดีคือจะทำให้เรามีเงินสดออกมาสำหรับทุกช่วงที่เราวางแผนไว้
เช่นอาจจะปีละหน สองหน สี่หน หรือเดือนละหนก็ยังได้ ส่วนข้อเสียคือ อาจจะเสียโอกาสจากเงินที่รออยู่สำหรับงวดต่อๆไป แต่ก็แค่ในคราวแรกครับ

3 เรื่องหุ้น หากว่าไม่มีความรู้เลยผมไม่ค่อยแนะนำเท่าไหร่ครับ กองทุนยังอาจจะลำบากเลย ลองดูกระทู้เรื่องทองคำเมื่อวันที่30 ธันวาสิครับ
ถ้ารับได้สำหรับความเสี่ยงแบบนั้นก็อาจจะใกล้เคียงกับการลงทุนหุ้นด้วยตัวเองหน่อยนึงแล้ว แต่จริงๆสำหรับคนมีอายุสักหน่อยที่ไมเคยชิมลางตลาดเลย
ตามตำราเค้าว่าไว้ว่าไม่ควรลงทุนหุ้นมากนัก เอาสัก5-10%กำลังเหมาะ หรืออาจจะไม่ลงทุนเลยหากรับความเสี่ยงได้น้อย

จริงๆมีหนังสือเล่มนึงสมัยก่อนนู้นชื่อ "ฝ่าดงหุ้น" คนเขียนเล่าว่าเคยมีคนเข้าโรงพยาบาลมาแล้ว เพราะขึ้นก็ลุ้น ลงก็ลุ้น สุดท้ายต้องไปนอนโรงพยาบาล
ดังนั้นหาก "ใครก็ตาม" ที่สนใจจะลงทุนในหุ้น ต้องมั่นใจก่อนว่าตัวเองจะไม่โดน "หุ้นเล่น" จนสุขภาพกายทรุดโทรม (ส่วนสุขภาพบัญชีก็มาว่ากันอีกที)

ทีนี้ผมไม่ทราบว่าผู้ถามสามารถรับความเสี่ยงได้มากแค่ไหน และเิงิน500,000บาทที่ว่านี่มากน้อยแค่ไหนเมื่อเทียบกับเงินเก็บทั้งหมด
ลองพิจารณาดูอีกทีครับว่าสามารถ "ทนได้หากเงินที่ว่าหายไปหมดเลย" ถ้าคิดว่าทนได้ก็ "อาจจะ" ลงทุนได้ครับ

4 สำหรับหุ้นนั้นผมไม่เคยแนะนำใครในบอร์ดจริงๆครับ จะมีบ้างก็เวลาคนถามว่า "ผม"ชอบตัวไหน ผมก็พอจะบอกได้บ้างว่าชอบเพราะอะไร
แต่แน่นอนว่าหุ้นที่ผมชอบคนอื่นอาจจะไม่ชอบ เพราะการลงทุนหุ้นนั้นมันแล้วแต่รูปแบบของใครของมัน บางคนชอบพื้นฐาน บางคนตามเทคนิค
พื้นฐานบางคนชอบมั่นคง บางคนชอบโตเร็ว เทคนิคบางคนเล่นตามเทรนด์ บางคนชอบเล่นตามโมเมนตัม ก็แล้วแต่นิสัยใจคอของแต่ละคนไป

แต่สำหรับผมแล้ว หนังสือที่แนะนำให้เป็นพื้นฐานก็จะมีดังนี้ครับ ถ้าอ่านได้ตามลำดับน่าจะดี
ก้าวแรกสู่การลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ / ตีแตก / learn to earn / one up on wall street / beating the street
ผมว่าอ่านได้ขนาดนี้ก็คุยกับคนในเวบบอร์ดรู้เรื่องแล้วครับ ไปงามสัมมนาก็ฟังเค้าพอรู้เรื่องสบายๆแล้ว

หรือถ้ารักจะเป็นสายเทคนิคก็น่าจะแนวนี้
มหัศจรรย์แห่งเทคนิค / trading for a living / come in to my trading room

และหนังสือที่ทุกสายควรจะอ่านนะครับ ไม่เรียงตามลำดับนะ
The disciplined trader / Trading in the zone / market wazirds

สำหรับขั้นเหนือไปกว่านี้ผมคิดว่าก็แล้วแต่จริตแล้วครับ ว่าชอบแนวทางไหน ของใคร เพราะพอลึกๆไปแต่ละสายก็แตกแยกย่อยออกไปอีก

คงตอบไว้กว้างๆเท่านี้ครับ หวังว่าคงมีประโยชน์กับทั้งผู้ถามและมือใหม่หลายๆท่านครับ

(@_@)




 

Create Date : 15 กุมภาพันธ์ 2555    
Last Update : 15 กุมภาพันธ์ 2555 0:34:14 น.
Counter : 1106 Pageviews.  

ถ้ามีเงินมากๆ คุณจะทำอะไร

หลังๆมาผมแทบไม่ได้เข้าห้องสินธรเลย เพราะตอนนี้เริ่มเรียนโทเลยหันความสนใจไปที่เศรษฐกิจและสังคม
เลยไม่ค่อยได้อัพเดทสถานการณ์ด้านการลงทุนเหมือนเดิม
แต่ช่วงนี้กลับมาอ่านสินธรบ้างทำให้เป็นที่มาของกระทู้นี้ครับ เพราะเท่าที่ผมรู้สึกได้
คือมีเพื่อนๆเม่าหน้าใหม่ หน้าใหม่แต่ใจเก่า หันมาสนใจการลงทุนมากมาย
เมื่อก่อนผมscroll เมาส์สามทีสำหรับทุกกระทู้ของสินธรในหนึ่งวัน แต่วันนี้ลองเลื่อนแล้ว มันเยอะกว่านั้นเยอะ!!!

และสิ่งที่ตามมาสำหรับคนที่เพิ่งหันมาสนใจการลงทุนทั้งในหลักทรัพย์ก็ดี ทองคำก็ดี
เพราะอะไรครับ เพราะว่าราคาหุ้น ราคาทองมันยั่วใจไปหมด เห็นเค้าลงทุนแล้วได้กำไรกัน ก็เข้ามาหวังจะแบ่งเค้กไปกินบ้าง
คำถามคือ มันง่ายขนาดนั้นเลยหรอ มันกำไรดีขนาดนั้นจริงหรือเปล่า???

จริงๆก่อนเขียนกระทู้นี้ผมก็นั่งคิดนานเหมือนกัน ตรูจะไปเจือกเรื่องชาวบ้านทำไมว้า
แต่เท่าที่ผมพอรู้จักเพื่อนๆหลายคนที่ลงทุนมาบ้าง ได้เห็นอะไรมาก็พอสมควร ผมเลยคิดว่าขอเจือกหน่อยเถอะ ถึงไม่เชื่อกัน แต่ให้ระวังบ้างก็ยังดี
เพราะเหรียญมีสองด้านเสมอ การที่จะเข้าตลาดมาเพราะรู้เห็นแต่ด้านเดียวมันน่าอันตรายมากครับ

หลายคนเข้ามาในตลาดแล้วทำกำไรได้ก็หลงระเริง โหยกำไรมันง่ายแบบนี้นี่เอง มิน่าเล่าที่เค้าว่าคนจนเล่นหวย คนรวยเล่นหุ้น นายทุนเล่นที่
บ๊ะ ทำงานได้เงินเดือนหน่อยเดียว เล่นหุ้นเดี๋ยวเดียวเงินก็ได้เท่ากับทำงานแล้ว จะช้าอยู่ไย ลาออกมาเล่นหุ้นดีกว่า
บ๊ะ ใครเข้าตลาดมาหลังปี2009คือเข้าตลาดมาสองปีก่าๆ สามปี มันไม่แปลกหรอกครับที่จะกำไร ทำไมน่ะหรอ

ปล.ขออนุญาตแปะเป็นTFEXนะครับ เหมือนกันแหละแต่ผมขี้เกียจเปลี่ยนกราฟที่ดูอยู่ตอนนี้ อิอิ



หลายคนเข้ามาแนะนำกันอย่างสนุกสนาน หุ้นตัวนี้สิเจ๋ง VI เลยนะเว้ยเฮ้ย กองทุนนี้สิดี ดีมาก ไม่ก็ทองคำเลยครับพี่น้องงง
สิ่งหนึ่งที่ผมเน้นย้ำมาตลอด คือ ไม่มีการลงทุนใดที่ดีและเลว มีแต่การตัดสินใจของนักลงทุนที่ดีและเลว
แต่เชื่อเถอะ เม่าส่วนใหญ่ตอนกำไรนะตรูเจ๋ง ตอนขาดทุนน่ะ ตลาดแย่ มาร์ห่วย ต่างชาติเลว กองทุนกระหน่ำ
ถูกตลอดกาลอยู่ผู้เดียว คือ ตรูข้า

ผมยกตัวอย่างนะครับ
ทองคำ โอเคครับว่าตอนนี้การลงทุนในทองคำน่ะดี ผมเองเริ่มสนใจทองคำมาตั้งแต่ก่อนที่มันจะบูมได้สักพัก ก็ไม่ได้เก่งอะไร(อันนี้จริงจัง) เผอิญว่าได้อ่านหนังสือมาบ้างก็เลยรู้ว่าทองคำกำลังจะมา จริงๆใครอ่านหรือตามงานของมาร์ค เฟเบอร์น่าจะลงทุนทองคำก่อนคนส่วนใหญ่(แม้กระทั่งมืออาชีพในบ้านเรา)นานทีเดียว

แต่ แต่ แต่ พอมีคนมาแนะนำการลงทุนทองคำในบอร์ดการลงทุน หรือไปแนะนำการตามงานสัมมนาผมจะเข้าไปสะเหร่อเสมอ(อิอิ) เพราะอะไร ก็อย่างที่บอกว่ามันไม่มีการลงทุนที่ดีหรือเลว มันมีแต่นักลงทุนเท่านั้นที่ทำได้ดีหรือทำได้แย่ ลองถามตัวเองก่อนลงทุนทองคำเถอะครับ ว่าเราเองรู้รึยังว่าวัฏจักรทองคำมีรอบเป็นยังไง ปัจจัยอะไรบ้างที่ทำให้ทองคำขึ้นลง ผู้เล่นหลักของทองคำมีใครบ้าง แต่เห็นเดี๋ยวนี้ใครๆก็ลงทุนทองคำกัน ผมก็ไม่แน่ใจว่าถ้าปัจจัยมันเปลี่ยนแล้วคนกลุ่มนี้จะไหวตัวทันหรือเปล่า หรือเป็นกบในหม้อที่กว่าจะรู้ตัว…น้ำก็เดือดเสียแล้ว

บ้างก็บอกว่า เอาเถอะผมไม่สนใจการขึ้นๆลงๆของราคาหรอก ทองคำมีไว้ก็สวยงาม ไม่กำไรก็เอามาใส่ได้ ฟังดูดีในทางทฤษฏีครับ แต่ในทางปฏิบัติลองกลับไปดูตอนจบวัฏจักรทองคราวก่อนตามรูปที่ผมแปะไว้ จาก850=>500 จากนั้นก็วิ่งอยู่แถวๆ400เหรียญมาเกือบๆสามสิบปี!!!! ผมถามจริงว่าทำใจได้หรอครับ หรือวันก่อนราคาทองคำลงจาก1900ก่าๆมาที่1700ก่าๆ ถ้าคุณมีเงินสิบล้าน คุณจะไม่เครียดใช่มั้ยถ้าวันนึงเงินจะหายไปสักล้านสองล้าน แล้วนี่แค่อาการสะอึกนะครับ เพราะถ้าจบรอบ ของจริงมันมันส์กว่านี้เยอะ

หุ้น หลายคนบอกโอยหุ้นดีมีอนาคต หุ้นตัวใหญ่ใครๆเค้าก็เล่นกัน มันลงมาเดี๋ยวเดียว ถ้าเงินเย็นเดี๋ยวก็กำไร เอ่อคนพูดผมมั่นใจว่าคไม่ได้ผ่านปี40มาแน่ๆเลย ส่วนคนที่ผ่านมาคงเข้าใจดี ผมมีกราฟหุ้นหย่ายยยมาให้ดูกัน ส่วนหุ้นตัวเด็ดๆพวกฟินวัน ที่ใครถือคง ฟินนนน กันไปเลยคงไม่ได้เอามานะครับ เพราะบริษัทที่ล้มไปแล้วผมไม่มีกราฟ อิอิ ผมก็ถามอีกแหละถ้าคุณลงทุนหุ้นคุณจะไหวตัวทันไหมว่าตลาดมันจะเอาจริงตอนไหน หรือกะว่าถือจนกว่าจะกำไร นั่นก็น่าสงสัยเพราะถ้าคุณกำไรมหาศาลจนไปขาดทุนตอนอายุ60 ตอนเกษียณจะเอาอะไรกินดีเนี่ยยยย




หันมาดูหุ้นดีพิมพ์นิยม สำหรับคนที่ไม่รักความเสี่ยงแต่คิดว่าได้ปันผลหรูๆกินก็พอใจแล้ว ผมก็ไม่แน่ใจนะว่าถ้าได้ปันผลพอกินทุกปีแล้วเงินต้นหายไปสัก90% จะแฮปปี้ๆกันจริงหรือเปล่า
หรือหุ้นดีในวันนี้ที่รอเน่าในวันพรุ่งนี้ ดูอย่างปิคนิคที่ตอนดีก็พอชาวหุ้นได้กำไรไปปิคนิคกันถ้วนหน้า แต่พอมีข่าวซุกงบออกมา ไอ้ที่ไปปิคนิคโดดรถหนีตายกันแทบไม่ทัน

สุดท้ายนะครับ จะมองผมว่าไปขวางความรวยพวกท่านก็ได้ ผมก็ได้แต่ทำในสิ่งที่คิดว่าควร คือเตือนท่านๆนักลงทุนทั้งหลายว่าหุ้นนี้ไม่เที่ยง หุ้นนี้เป็นทุกข์ หุ้นนี้ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน แต่สิ่งที่สำคัญ คือ ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตนครับ ถ้าเรารู้จักเครื่องมือการลงทุนนั้นๆดี ไม่ว่ามันจะเป็นอะไร นั่นก็คือการลงทุนที่ดีที่ท่านจะคาดหมายได้ถึงกำไร แต่ถ้าท่านไม่รู้จักการลงทุนนั้นๆเลย ต่อให้คนอื่นกำไรยังไง ท่านก็เป็นได้แค่บันไดไปสู่ความมั่งคั่งของผู้อื่นครับ

(@_@)




 

Create Date : 01 กันยายน 2554    
Last Update : 1 กันยายน 2554 10:43:46 น.
Counter : 1305 Pageviews.  

ผม เงิน ชีวิต

เรามาทำความรู้จักกันก่อนดีกว่าครับ ตอนนี้ผมอายุ 25 ปี ทำงานในบริษัทเอกชนย่านสาธร แหล่งที่ขึ้นชื่อว่าค่าครองชีพแพงมากแห่งหนึ่งของประเทศไทย และเนื่องจากบ้านผมอยู่ไกลจากออฟฟิศมากผมจึงเช่าหออยู่ใกล้ๆกับที่ทำงาน ผมทำงานที่นี่มาเกือบจะครบขวบปีแล้วครับ โดยมีฐานเงินเดือนอยู่ที่ 20,000 บาทและหากเดือนใดที่ทำยอดขายได้สูงก็จะมีรายได้จากค่าคอมมิชชันในเดือนนั้นๆด้วยครับ

หลังจากที่ผมได้รับเงินเดือนแล้วสิ่งแรกที่ผมทำก็คือ หักเงินจำนวน 5,000 บาทเป็นอย่างน้อย และหากเดือนไหนมีค่าคอมมิชชันผมก็จะนำเงินค่าคอมมิชชันทั้งหมดมาเพิ่มในส่วนนี้ด้วย ส่วนนี้ผมสะสมเพื่อความมั่นคงและความมั่งคั่งครับ ในเรื่องของความั่นคงเนื่องจากผมมีการตรวจสอบรายรับรายจ่ายของตัวเองเสมอ ทำให้ผมรู้ว่าหากผมไม่ออมเงินรายเดือน และใช้เงินน้อยที่สุดเท่าที่ผมจะอยู่ได้โดยไม่ลำบากในแต่ละเดือนนั้น ผมจะต้องมีเงินประมาณ 10,000 บาท ทำให้ผมคิดว่าเพื่อความปลอดภัยผมควรจะมีเงินอย่างน้อย 60,000 บาท ในบัญชีที่สามารถเบิกถอนได้สะดวก(ซึ่งผมนำไปไว้ในกองทุนรวม) หลายคนอาจจะสงสัยว่าทำไมผมต้องเก็บเงินจำนวนนี้ไว้ด้วย เพราะว่าทุกวันนี้โลกเปลี่ยนแปลงไปรวดเร็วมาก ผมได้ฟังเรื่องของคนใกล้ตัวหลายคนที่มาทำงานในตอนเช้าและต้องเก็บของกลับบ้านในตอนเย็น ผมได้ยินเรื่องราวของคนที่ต้องการออกไปทำธุรกิจเป็นของตัวเองแต่ไม่มีความกล้าพอ เพราะถ้าออกไปก็ไม่มีเงินสำรองใช้จ่ายในตอนเริ่มตั้งธุรกิจ ดังนั้นผมคิดว่าผมควรที่จะต้องสำรองเงินส่วนนี้ไว้ เพื่อที่ว่าหากวันนึงผมจะต้องออกจากงานผมจะได้ลดความกังวลลงได้ และให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาแทนที่จะมาวิตกกังวลกับปัญหาปากท้องวันต่อวัน

ในตอนเริ่มทำงานผมมีเงินเก็บในส่วนนี้ประมาณสองหมื่นกว่าบาท และหลังจากที่ทำงานได้ประมาณห้าเดือนผมก็เก็บเงินในส่วนนี้จนครบ ตรงนี้ผมเก็บเงินทั้งหมดไว้ในกองทุนรวมตลาดเงินของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวมแห่งหนึ่ง เพราะว่าธรรมชาติของกองทุนประเภทนี้จะมีความเสี่ยงที่ต่ำจากการที่กองทุนมักจะถือตราสารที่มีความมั่นคงเป็นหลัก และอายุเฉลี่ยของตราสารก็ไม่เกินสามเดือน ทำให้ความเสี่ยงที่ผู้ออกตราสารจะเบี้ยวหนี้ หรือการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยนั้นมีผลกระทบต่อกองทุนไม่มาก โดยฌพาะอย่างยิ่งในช่วงนี้ที่เงินเฟ้อสูงอันจะนำมาซึ่งการขึ้นอัตราดอกเบี้ยในที่สุด

สำหรับการสะสมความมั่งคั่ง เมื่อผมเก็บเงินสำหรับความมั่นคงจนครบตามที่ตั้งใจไว้แล้ว ผมก็นำเงินจำนวนนั้นมาลงทุนในกองทุนตราสารทุนหรือกองทุนที่ลงทุนในหุ้นนั่นเองครับ ผมเลือกในกองทุนที่เน้นลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ เมื่อมีคนมาขอคำแนะนำจากผมหากผมพิจารณาแล้วว่าสามารถรับความเสี่ยงจากความผันผวนได้ ผมก็มักจะแนะนำให้ลงทุนในกองทุนประเภทนี้เช่นกัน เพราะผลตอบแทนของกองทุนประเภทนี้มักจะล้อไปกับดัชนีตลาดหลักทรัพย์ ดังนั้นหากในช่วงใดที่ตลาดหลักทรัพย์ขึ้นหรือลง เราก็พอจะคำนวณคร่าวๆได้ว่าผลตอบแทนในการลงทุนของเราเป็นอย่างไร เทียบกับกองทุนที่มีบริหารจัดการโดยผู้จัดการกองทุนที่ผลตอบแทนอาจไม่ได้ล้อไปกับดัชนีหรืออาจจะไปในทิศทางตรงกันข้ามในบางครั้ง

ทำไมผมถึงเลือกลงทุนในกองทุนหุ้นเป็นหลักทั้งๆที่หลายคนบอกว่ามีความเสี่ยงจากความผันผวน เพราะว่าผมศึกษาแล้วว่าการลงทุนในระยะยาวนั้นหุ้นให้ผลตอบแทนดีที่สุด ดีกว่าตราสารหนี้และทองคำ ไม่ว่าจะเป็นการศึกษาตลาดที่มีอายุยาวนานอย่างตลาดหุ้นอเมริกา หรือตลาดวัยหนุ่มใหญ่อย่างตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยก็ตาม ผลตอบแทนเฉลี่ย 10-11%ต่อปีนั้นแม้ว่าจะดูมากกว่าผลตอบแทน 4-5% ไม่มากแต่เมื่อคำนวณแบบทบต้นเป็นระยะเวลาหลายสิบปีผลตอบแทนไม่ได้ต่างกันเพียงเท่าเดียวนะครับ มหาศาลเลยแหละ ดังนั้นแม้ว่าจะมีความผันผวนตามรายทางบ้างเราก็ต้องเกาะรถไฟเหาะลำนี้ให้แน่นครับ(ฮา)

ที่ผมรับรู้แต่ไม่ได้กังวลถึงคความผันผวนของการลงทุนในหุ้นมากนักเพราะผมมีข้อได้เปรียบดังนี้
1) ผมลงทุนแบบถัวเฉลี่ยทุกเดือน ดังนั้นในระยะยาวแล้วต้นทุนของผมจะต่ำกว่าราคาตลาดครับ หมายความว่าในระยะยาวแล้วผมมีโอกาสชนะมากกว่าแพ้
2) ในส่วนนี้ผมเน้นที่การสะสมความมั่งคั่ง ดังนั้นการจะถอนเงินออกก็เพื่อการซื้อบ้านหรือว่าใช้ในวัยเกษียณแล้วเท่านั้น หมายความว่าผมมีเวลาให้เงินก้อนนี้ทำงานกว่า 30 ปี และจากการศึกษาตามตำราต่างๆ ตลาดหุ้นจะมีวัฏจักรหรือวงรอบของการขึ้นลงในช่วงประมาณ 3-5 ปี และการที่ผมจะวางแผนเพื่อซื้อบ้านหรือเกษียณอายุ ผมต้องวางแผนก่อนอยู่แล้ว ดังนั้นผมสามารถรอวัฏจักรขาขึ้นเพื่อที่จะขายการลงทุนของผมได้อย่างไม่เดือดร้อนครับ

ผมมีแฟนอยู่หนึ่งคน(และก็แนะนำทุกท่านว่าไม่ควรมีมากกว่านี้ เพราะจะเสี่ยงกับการเจ็บตัวโดยใช่เหตุครับ ฮา) เราสองคนตกลงที่จะสร้างอนาคตร่วมกัน โดยในแต่ละเดือนเราจะลงทุนร่วมกันคนละหนึ่งพันบาทรวมเป็นสองพันบาท เพื่อไปลงทุนในกองทุนหุ้นและกองทุนทองคำอย่างละครึ่ง หรืออย่างละหนึ่งพันบาทต่อเดือน และทุกๆห้าปีเราจะเพิ่มเงินลงทุนต่อเดือนครั้งละพันบาท เป็นสี่พันบาท หกพันบาทไปเรื่อยๆจนกว่าจะเกษียณ ฟังแล้วอาจจะดูน้อยนะครับแต่พอคิดออกมาแล้วเบ็ดเสร็จปีที่ผมอายุ 60 เราสองคนจะมีเงินรวมกันประมาณแปดล้านบาท ใช่ครับเงินจำนวนที่หลายคน(ผมแน่ใจว่าเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศเลย) คิดว่าไม่มีโอกาสสัมผัสสักครั้งในชีวิต แต่จริงๆแล้วเราสามารถทำได้หากมีวินัยมาก และเครื่องมือในการลงทุนที่ดีพอ จริงๆเงินจำนวนแปดล้านบาทก็คงไม่ได้มากมายอะไรเมื่อเทียบกับเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นใน 35 ปี แต่ผมก็คาดว่าน่าจะทำให้เราสองคนสามารถใช้ชีวิตได้อย่างไม่ลำบากจนเกินไปนักในยามเกษียณ และหากย้อนขึ้นไปข้างบนผมยังมีเงินลงทุนส่วนตัวอยู่อีกนะครับ และยังไม่รวมกับเงินที่แฟนผมลงทุนของเธออีก ดังนั้นคงไม่ออกตัวเกินไปหากผมจะบอกว่าเราน่าจะสามารถสะกดคำว่า “มั่งคั่ง” ได้สบายๆเลยครับ

และนี่ก็เป็นอีกเหตุผลที่ทำไมเราถึงใช้หุ้นเป็นพาหนะหลักในการลงทุน เพราะการลงทุนในตราสารหนี้ไม่สามารถนำพาเรามาที่หลักชัยได้แน่นอน เพราะผมคาดการณ์ผลตอบแทนต่อปีไว้ที่ 7% ครับ ส่วนทองคำนั้นผมใส่ไว้เป็นส่วนหนึ่งของการลงทุนเพราะว่าทองคำนั้นสามารถต่อสู้กับเงินเฟ้อได้ดี อย่างไรก็ตามผมต้องติดตามความเคลื่อนไหวของทองคำตลอดเวลา เพราะแม้หลายคนจะบอกว่าการลงทุนในทองคำนั้น “ปลอดภัย” แต่ถ้าหากเขาเหล่านั้นได้เห็นกราฟราคาทองคำที่ลดลง 200 ดอลลาร์ภายในวันเดียว เค้าจะยังคิดว่าการลงทุนในทองคำนั้น “ปลอดภัย100%”อยู่หรือเปล่านะ

เล่าเรื่องการลงทุนกันแล้ว เรามาต่อกันที่การใช้ชีวิตของผมในด้านของเงินๆทองๆบ้างดีกว่าครับ ดูซิว่าผมใช้เงินยังไงบ้าง ถ้าถูกใจก็อย่าลืมเอาไปปรับใช้กันบ้างนะครับ

อย่างที่เล่าไว้ในตอนต้นว่าผมเช่าหออยู่ใกล้ๆกับออฟฟิศเนื่องจากว่าบ้านผมอยู่ไกลมาก ผมไม่อยากจะคิดเลยว่าผมจะเสียเวลาไปเท่าไหร่ต่อปี ถ้าผมต้องใช้เวลาในการเดินทางสี่ชั่วโมงต่อวัน ดังนั้นผมยอม “จ่ายมากกว่า” เพื่อที่จะใช้เวลาในส่วนนี้ในด้านอื่นแทนที่จะอยู่บนรถเมล์เศษหนึ่งส่วนหกของชีวิต(ฟังดูโหดร้ายจัง) เพราะผมคิดว่า “สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเวลาใช่เงินตรา”

การอยู่หอของผมนั้นทำให้ผมใช้เวลาที่ได้มาในการพักผ่อน ออกกำลังกาย หรือหาความรู้เพิ่มเติม(เดี๋ยวนี้ความรู้ใหม่ๆเกิดขึ้นทุกนาทีครับ เพียงเราหยุดทุกอย่างก็จะก้าวนำไปข้างหน้าเราแล้ว) และเมื่ออยู่ใกล้ออฟฟิศ เพื่อความประหยัดและสุขภาพที่ดีผมก็เลือกที่จะขี่จักรยานไปทำงานเป็นการบังคับให้ตัวเองออกกำลังกายไปในตัว ตกเย็นผมก็ไปวิ่งออกกำลังที่สวนลุม ค่ำหน่อยก็ไปหาอาหารอร่อยๆหลังออกกำลังกาย(ฮา)

ถึงแม้ว่าผมจะอยู่ใตกลางเมืองหอของผมก็ไม่ได้วิลิศมาหราอะไร หากแต่มีอุปกรณ์พอเพียงสำหรับการใช้ชีวิตของปุถุชนคนหนึ่งเท่านั้น เพราะผมถือว่า “เราเช่าหอเพื่ออยู่ ไม่ใช่เพื่อสร้างภาพ” หอของผมไม่มีเครื่องปรับอากาศเพราะผมเคยชินกับการใช้พัดลมด้วยส่วนหนึ่ง และราคาย่อมเยาด้วยส่วนหนึ่ง (สำหรับท่านที่ไม่เคยอยู่หอ ถ้าห้องที่มีเครื่องปรับอากาศราคาจะสูงกว่าครับ ไม่รวมถึงค่าไฟที่จะวิ่งเร็ววกว่าด้วย) ผมเห็นหลายคนที่อยู่หอต้องดีๆหรูหรา ต้องขับรถยนต์ไปทำงาน ผมเคยคิดที่จะซื้อรถเหมือนกันแบบที่ราคาไม่แพง ผ่อนยาวหน่อย แต่พอรวมค่าบำรุงรักษา ค่าประกัน และค่าน้ำมันเชื้อเพลิงแล้ว “เหยียบหมื่น” เลยต้องถอยกรูดๆ ถึงทุกวันนี้ผมยังสงสัยว่าบางคนมีรายได้ต่อเดือนน้อยกว่าผม เค้าสามารถจ่ายได้ยังไงหนอใครรู้ช่วยเฉลยที

บัตรเครดิต หลายคนกลัวการมีบัตรเครดิตมากผมเห็นในเว็บบอร์ดที่พูดคุยด้านการเงินการลงทุนมักจะมีคำแนะนำว่า “การไม่มีบัตรเป็นลาภอันประเสริฐ” “ตัดบัตรทิ้งแล้วเลิกใช้” “อย่าไปเชื่อคำลวงโลกของพวกคนขายบัตรเครดิต” ตรงนี้ผมคิดว่าบัตรเครดิตก็เหมือนมีด ที่สามารถใช้ทำครัวได้ ใช้อำนวยความสะดวกก็ได้ ในขณะเดียวกันก็ใช้ทำเรื่องร้ายๆได้ด้วย บัตรเครดิตก็เช่นกันสำหรับบางคนการใช้บัตรเครดิตอาจจะเป็นการดื่มยาพิษดับกระหาย แต่กับอีกหลายๆคนบัตรเครดิตคืออุปกรณ์วิเศษเช่นกัน จะมีบัตรอะไรที่ทำให้เราเลื่อนการจ่ายเงินของตัวเองออกไปได้ 45-51วัน จะมีบัตรไหนให้ส่วนลดทั้งร้านค้า ร้านอาหาร ปั๊มน้ำมัน จะมีบัตรไหนให้เงินเราใช้ในตอนที่เราฉุกเฉินแบบเร่งด่วน มีบัตรเดียวครับ บัตรเครดิต อยากให้อัศเจรีย์สักหลายๆอันจัง

ผมมีเรื่องเล่าให้ฟังครับ ครั้งหนึ่งคุณย่าของผมป่วยหนักถูกส่งเข้าโรงพยาบาล และโรงพยาบาลส่งคุณย่าผมไปที่ศูนย์โรคเฉพาะทางเพื่อวินิจฉัย หลังจากที่คุณย่าของผมเข้าห้องตรวจไปแล้วทางเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินก็เข้ามาพูดคุยเรื่องค่าวินิจฉัยเป็นเงินตกสามหมื่นกว่าบาทซึ่งผมมีเงินสดเพียงไม่กี่พันบาท ตอนนั้นเหมือนโลกหมุนเลยครับ ผมคิดอะไรไม่ออกเลยได้แต่นึกว่า ถ้าเราไม่มีเงินจ่ายเค้าจะยังตรวจโรคให้คุณย่าหรือเปล่า ถ้าต้องเลื่อนการตรวจต้องเลื่อนการรักษาไหม สับสนมากครับจนมานึกได้ว่าเค้าน่าจะรับบัตรเครดิตบ้างนะ ซึ่งรับครับ จากนั้นมาหากใครถามผมเรื่องนี้ผมแนะนำเลยว่าควรจะมีไว้หนึ่งใบ เพราะ“มีแต่ไม่ใช้ ดีกว่าจะใช้แต่ไม่มี” สมัยนี้บัตรเครดิตฟรีค่าแรกเข้าและค่ะรรมเนียมรายปีมีถมเถไปครับ

แต่ใช้แล้วต้องชำระคืนให้หมดนะครับ นี่แหละครับที่เราเรียกว่าการใช้เงินในอนาคต ผมเองวันไหนถ้าใช้บัตรเครดิตไปแล้วพอกลับบ้านจะโอนเงินผ่านทางอินเตอร์เน็ทเข้าไปเก็บสะสมไว้เพื่อรอวันชำระเลย ผมจะผ่อนชำระในกรณีเดียวครับ คือให้ผ่อน 0% แต่ต้องเช็คให้แน่ใจว่าผมไม่ได้จ่ายเกินราคาสินค้านั้นจริงๆ และไม่มีค่าธรรมเนียมซ่อนอยู่เบื้องหลัง มีที่ไหนครับใช้เงินไปแล้วแต่ให้เราเอาเงินมาลงทุนรับดอกเบี้ยได้อีกเดือน ของเค้าดีจริงๆ แนะนำเลยครับ

เล่าไปเล่ามาเกือบจะลืมเรื่องเงินที่ใช้ในชีวิตประจำวัน ผมเริ่มการวางแผนการเงินจากเงินเดือน 20,000 บาท(ถ้ามีค่าคอมมิชชันก็ลงทุนเพิ่มไป) หักเงินลงทุนอีก 5,000 บาท เงินที่กันไว้กับแฟน 1,000 บาท หักค่าหอ 3,500 บาท(เห็นไหมครับพอหักค่าวิลิศมาหราออกค่าหอกลางเมืองรวมน้ำไฟยังถูกขนาดนี้) ให้ทางบ้านส่วนหนึ่งขอเล่าตรงนี้ก่อนดีกว่า
เนื่องจากผมคิดว่าคุณย่ามีเงินรายเดือนจากลูกหลานพอสมควรแล้ว คุณแม่ของผมเองก็ยังไม่เกษียณ เงินจำนวนไม่กี่พันของเราคงไม่ได้ทำให้คุณภาพชีวิตของท่านเปลี่ยนแปลงไปเท่าไหร่ แต่ผมสังเกตว่าท่านเหล่านี้มักจะเกรงใจลูกหลานครับ นิดๆหน่อยๆบางทีท่านไม่พูดท่านกลัวลูกหลานจะเสียเงิน(ผมเชื่อว่าที่บ้านท่านก็เป็นเช่นกัน) ดังนั้นแทนที่ผมจะให้เงินท่านไปเก็บ ผมเลือกที่จะซื้อสิ่งของต่างๆที่ท่านต้องการ หรือของที่ท่านได้ใช้ประโยชน์ไปให้ท่าน เช่น ขนมและผลไม้ บัตรตรวจสุขภาพ หนังสือธรรมะ หรือสิ่งของต่างๆที่ช่วยให้ท่านคลายเหงาได้ เรียกว่าเป็นการบังคับใช้ไปในตัวครับ ผมคิดว่าแบบนี้ดีกว่าการให้ท่านเอาไปเก็บไว้เฉยๆครับ

กลับมาที่การใช้เงินของผม ผมนำเงินส่วนที่เหลือจากค่าใช่จ่ายประจำต่างๆมาเก็บไว้ในกองทุนรวมตลาดเงินครับ ผมมีกองทุนรวมตลาดเงินอยู่สองกองทุน หนึ่งไว้สำหรับเก็บเงินค่าบัตรเครดิต และเงินที่จะตัดไปลงทุนตามเวลาที่กำหนด สองเป็นกองทุนสำหรับผมใช้เบิกถอน เพราะกองทุนนี้จะมีบัตรคู่กับกองทุนให้ เบิกถอนหน่วยลงทุนได้ทันทีที่ตู้ ATM ทั่วประเทศ ฟรีค่าธรรมเนียมไม่จำกัดจำนวนครั้ง เยี่ยมไหมล่ะ บางคนบอกว่าจะเอาไปไว้ในกองทุนทำไมได้ผลตอบแทน 0.8-0.9%เอง ผมคิดแล้วก็ขำเพราะคนที่พูดน่ะฝากออมทรัพย์ได้ดอกเบี้ย 0.75%เองครับ

ผมคงเล่าเรื่องของการบริหารเงินไม่หมดทุกส่วนนะครับ เพราะผมกำลังเล่าในสิ่งที่ผมกำลังทำ ไม่ใช่ทฤษฏีการบริหารการเงินส่วนบุคคล ดังนั้นหากผมไม่ได้พูดถึงเรื่องไหนก็ขออภัยครับ(ฮา)

เรื่องของการทำประกัน เนื่องจากที่ทำงานผมได้ทำประกันสุขภาพให้กับพนักงานผมจึงไม่มีค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ แต่ผมแนะนำว่าถึงแม้ท่านจะไม่มีสวัสดิการในส่วนนี้ก็ควรจะทำประกันสุขภาพไว้ครับ เพราะว่าค่าใช้จ่ายเนื่องมาจากการเจ็บป่วยสมัยนี้นี่ไม่เบาเลยทีเดียว อย่างกรณีของคุณย่าผม ดีที่ว่ายังมีลูกหลานช่วยกันแบ่งเบา แล้วลองคิดว่าถ้าเป็นเราๆท่านๆล่ะครับ เจ็บป่วยหนักขึ้นมาจะทำยังไง มีเงินสำรองตรงนี้พอหรือเปล่า ครอบครัวจะเป็นห่วงท่านแค่ไหน
จริงอยู่ว่าเราไม่ควรมองโลกในแง่ร้าย แต่การเตรียมพร้อมสำหรับความเสี่ยงดีกว่าเกิดอุปัทวะเหตุโดยไม่มีการป้องกันไม่ใช่หรือครับ เราพูดกันเสมอๆว่า “ชีวิตนั้นประเมินค่ามิได้” ในขณะที่เราทำประกันให้กับบ้านราคาไม่กี่ล้านได้ แล้วมีเหตุผลไหนที่เราจะไม่ “ประกันร่างกายที่สูงค่า” ของเราล่ะครับ
ในทางการเงินการทำประกันสุขภาพทำให้เรารู้รายจ่ายที่ค่อนข้างแน่นอนว่าเราจะมีค่าใช้จ่ายเท่าไหร่สำหรับเรื่องสุขภาพในปีนั้นๆ แต่หากท่านเสียดายเงินจำนวนนี้ เมื่อเกิดอุปัทวะเหตุขึ้นจริงๆ จะทำให้แผนที่เราวางไว้เสียหายอย่างร้ายแรงเข้าทำนอง “เสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่าย” ดีไม่ดีปัญหาสุขภาพทางการเงินอาจจะไปซ้ำเติมปัญหาสุขภาพกาย และไปเพิ่มปัญหาสุขภาพจิตเข้าให้อีกนะครับ
บางท่านอ่านมาถึงตรงนี้อาจจะสงสัยว่าทำไมผมเน้นไปที่การทำประกันสุขภาพไม่พูดถึงการประกันชีวิต เพราะผมเพิ่งเริ่มวางแผนทำประกันชีวิตเองครับ ตัวแทนท่านใดที่มีกรมธรรม์ประกันชีวิตแบบไม่พ่วงออมทรัพย์ที่น่าสนใจติดต่อผมด่วนเลยครับ(ฮา)

แล้วก็คงต้องเอวังกันตรงนี้แล้วครับเพราะคนเล่าก็เริ่มหมดมุกแล้วด้วย(ฮา) ผมเองจะดีใจหากว่ามีคนอ่านบทความชิ้นนี้(แปลว่าไม่โดนทิ้งขว้าง ฮา) และจะดีใจมากหากว่าเรื่องราวของผมสามารถเป็นแรงบันดาลใจหรือเป็นแนวทางให้ใครสักคนสร้างสุขภาพทางการเงินของเขาให้ดีขึ้น ทั้งนี้สร้างความมั่งคั่งนั้นไม่ใช่เรื่องที่ตายตัวว่าต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้ เรื่องใดของผมที่ท่านคิดว่าตึงเกินไปท่านก็หย่อนมันลงมา เรื่องใดที่ท่านว่าหย่อนไปท่านก็ขันให้ตึงอีกนิด ที่สำคัญที่สุดคือท่านต้องรู้จักตัวเอง รู้ความฝัน ความหวัง และเป้าหมายของท่าน แล้วท่านจึงวางแผนการใช้เงินให้สอดคล้องกับแผนการดำเนินชีวิตของท่าน นี่แหละจึงจะเรียกว่า “ฉลาดออม ฉลาดใช้ ฉลาดลงทุน”อย่างแท้จริง

สุดท้ายผมขอจบด้วยคำตอบสำหรับคำถามที่ว่า “มีเงินแล้วไม่ใช้ ตายไปก็เอาไปไม่ได้”
ผมจะตอบเขาเหล่านั้นว่า “ตายก่อนใช้เงินไม่ใช่ปัญหา แต่อายุยืนแล้วหมดปัจจัยนั่นล่ะปัญหา”

(@_@)




 

Create Date : 01 กรกฎาคม 2554    
Last Update : 1 กรกฎาคม 2554 15:22:54 น.
Counter : 1397 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  

ขอบฟ้าบูรพา
Location :
สมุทรปราการ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 19 คน [?]




ผู้ประกาศกรุงเทพธุรกิจทีวี พิธีกรรายการแกะรอยหยักสมองและ World Class Smart Thai
สนใจประวัติศาสตร์ ศาสนา ปรัชญา ต่างประเทศ เทคโนโลยี สังคม และชนชั้น

ติดตามทวิตเตอร์ได้ที่ @atis_kttv นะครับ
New Comments
Friends' blogs
[Add ขอบฟ้าบูรพา's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.