Group Blog
 
All Blogs
 
ปี 192 AD

ปี Chuping ที่ 3 : 192 AD
(1 กุมภาพันธ์ 192 – 18 กุมภาพันธ์ 193)

ในฤดูใบไม้ผลิ เดือนแรก มีการประกาศนิรโทษกรรมจากราชสำนัก

ตั๋งโต๊ะส่งงิวฮูนำทัพไปตั้งค่ายที่ซาน งิวฮูแบ่งทัพของเขาให้ ลิฉุย กุยกีและเตียวเจ คุมทัพคนละหลายหมื่นเข้าโจมตีจูฮีที่จงพวน และเอาชนะจูฮีที่นั่น พวกเขาออกปล้นชาวบ้านตามตำบลต่าง ๆ ของเมืองตันหลิวและเองชง ที่ที่พวกเขาเดินทัพผ่านไป ชาวบ้านถูกเข่นฆ่าและจับเป็นนักโทษ โดยไม่เหลือทรัพย์สมบัติมีค่าทิ้งไว้

ก่อนหน้านั้นซุนจู(บัณฑิตที่มีชื่อเสียงของราชวงศ์ฮั่นสมัยก่อน) มีหลานชื่อซุนฮก ซึ่งมีชื่อเสียงโด่งดังจากความสามารถของเขาตั้งแต่ยังเด็ก โหหยองได้พบเขาและประทับใจในความสามารถของเขามากถึงกับพูดว่า "นี่คืออัจฉริยะผู้เกิดมาช่วยเหลือท่านอ๋อง"

เมื่อราชสำนักเกิดความวุ่นวาย ซุนฮกได้พูดกับผู้เฒ่าของเมืองว่า "เองชงเป็นเมืองที่อาจถูกโจมตีได้จากทุกทิศทาง เราควรจะหลบหนีไปก่อนที่เมืองจะถูกโจมตี" แต่ผู้คนมากมายมีความรักในถิ่นกำเนิดจึงปฏิเสธที่จะละทิ้งถิ่นฐาน ดังนั้นซุนฮกจึงนำครอบครัวของเขาหนีมาเพียงลำพังและไปรับใช้ฮันฮก

ในเวลานั้นอ้วนเสี้ยวได้ครองตำแหน่งของฮันฮก เขาปฏิบัติต่อซุนฮกดังเช่นแขกผู้มีเกียรติ แต่ซุนฮกรู้สึกว่าอ้วนเสี้ยวไม่มีความสามารถที่จะกอบกู้ราชสำนักได้

เมื่อเขาได้ยินข่าวของโจโฉว่าเป็นคนกล้าหาญและเฉลียวฉลาด ดังนั้นจึงตีจากอ้วนเสี้ยวและไปรับใช้โจโฉ เมื่อโจโฉได้พูดคุยกับซุนฮก เขาถึงกับกล่าวว่า "ท่านคือจือฝาน(ชื่อรองของเตียวเหลียง ไจเสี่ยงของฮ่องเต้ฮั่นโกโจ)ของข้า" เขาแต่งตั้งให้ซุนฮกเป็นแม่ทัพคนหนึ่งของเขา

ชาวบ้านหลายคนในหมู่บ้านเดียวกับซุนฮกที่เลือกที่จะอยู่ในบ้านเกิด ไม่ยอมอพยพต่างถูกฆ่าตายโดยลิฉุยและกุยกี

อ้วนเสี้ยวได้สั่งการให้โจมตีกองซุนจ้าน พวกเขาต่อสู้กันห่างจากสะพานจีเกี้ยว(สะพานศิลา)20 ลี้ กองซุนจ้านนำทหารสามหมื่นคนเข้าโจมตี ทหารของกองซุนจ้านล้วนแต่เป็นทหารที่ผ่านการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี อ้วนเสี้ยวส่งจ๊กยี่นำทหารแปดพันคนเข้าต่อสู้ พร้อมด้วยพลธนูอีกพันคนคอยยิงสนับสนุนจากอีกฝั่ง กองซุนจ้านเห็นทหารของจ๊กยี่มีจำนวนน้อย จึงสั่งให้ทหารม้าพุ่งเข้าโจมตี ทหารของจ๊กยี่หลบอยู่หลังโล่พวกเขาไม่เคลื่อนที่ จนทหารกองซุนจ้านเข้าใกล้มาในระยะสิบยี่สิบหลา จ๊กยี่สั่งทหารให้กระโดดขึ้นพร้อมกันและตระโกนพร้อมกัน เสียงดังกึกก้อง ทำให้ทัพม้าของกองซุนจ้านตกใจ และจ๊กยี่สามารถเอาชนะทัพกองซุนจ้านได้ในที่สุด

จ๊กยี่ตัดหัวยำก๋งที่กองซุนจ้านแต่งตั้งเป็นผู้ตรวจการมณฑลอิจิ๋ว และฆ่าทหารกองซุนจ้านกว่าพันคน ทัพอ้วนเสี้ยวบุกคืบหน้าไปยังสะพานจีเกี้ยว กองซุนจ้านรวบรวมทัพที่พ่ายแพ้เข้าสู้อีกครั้ง แต่จ๊กยี่ก็เอาชนะได้อีกครา พวกเขาบุกมาถึงค่ายของกองซุนจ้าน ยึดธงประจำตัวของกองซุนจ้าน จนทัพที่เหลือของกองซุนจ้านต้องหลบหนีไป

ก่อนหน้านั้น เล่าต้ายผู้ตรวจการมณฑลกุนจิ๋ว มีสัมพันธ์อันดีกับอ้วนเสี้ยวและกองซุนจ้าน อ้วนเสี้ยวเคยส่งภรรยาและบุตรชายของตนไปพักอยู่กับเล่าต้าย และกองซุนจ้านเคยส่งแม่ทัพหวนหองนำทหารม้าไปช่วยเหลือเขา หลังจากที่กองซุนจ้านโจมตีและเอาชนะทัพอ้วนเสี้ยว กองซุนจ้านบอกให้เล่าต้ายส่งภรรยาและบุตรชายอ้วนเสี้ยวกลับบ้าน เขาสั่งกับหวนหองว่า "ถ้าเล่าต้ายไม่ส่งครอบครัวของอ้วนเสี้ยวกลับ ให้นำทหารม้ากลับมาทันที ข้าจะเปิดศึกกับอ้วนเสี้ยวและส่งทัพไปโจมตีเล่าต้าย"

เล่าต้ายหารือเรื่องนี้กับขุนนางของเขา หลายวันผ่านไปเขาก็ยังไม่ได้ตัดสินใจ พวกเขารู้มาว่า เทียหยกแห่งตองกุ๋นนั้นเป็นคนเฉลียวฉลาดในการวางแผน พวกเขาจึงเรียกเทียหยกเพื่อขอคำแนะนำ เทียหยกว่า "ถ้าท่านยอมเป็นพันธมิตรกับอ้วนเสี้ยวผู้ซึ่งครองเมืองติดกับท่าน ดีกว่าจะขอความช่วยเหลือจากกองซุนจ้านที่มีฐานกำลังไกลจากเมืองท่าน เหมือนกับการขอความช่วยเหลือจากคนในเมืองเย่ว์ ในขณะที่ลูกชายท่านกำลังจมน้ำ(คนในดินแดนเย่ว์ เป็นคนที่ว่ายน้ำได้คล่องแคล่วเพราะอาศัยทางตอนใต้ของเมืองจีนซึ่งติดกับแม่น้ำ แต่การรอความช่วยเหลือที่ห่ายไกลในขณะเผชิญอันตรายเฉพาะหน้าไร้ประโยชน์) กองซุนจ้านไม่อาจเทียบได้กับอ้วนเสี้ยว แม้ว่าเขาจะสามารถเอาชนะทัพอ้วนเสี้ยวได้ครั้งหนึ่ง แต่ในที่สุดอ้วนเสี้ยวต้องเป็นฝ่ายมีชัย"

เล่าต้ายทำตามคำแนะนำของเขา หวนหองจึงนำทหารกลับ แต่ก่อนที่เขาจะกลับไปหากองซุนจ้าน กองซุนจ้านก็พ่ายแพ้แก่อ้วนเสี้ยว

โจโฉตั้งค่ายอยู่ที่ Dunqui เมื่อ Poison Yu และโจรภูเขาคนอื่นโจมตีตองงอเอี๋ยง โจโฉนำทัพเขามุ่งสู่ตะวันตกเข้าโจมตีค่ายของ Poison แต่ลูกน้องของโจโฉต่างแย้งว่าเขาควรจะไปยึด ตองงอเอี๋ยง คืนก่อน แต่โจโฉว่า "ถ้าข้าศึกรู้ว่าข้ามุ่งหน้าไปตะวันตกไม่ได้กลับไป พวกเขาก็จะออกจากงอเอี๋ยงเอง ถ้าพวกมันไม่กลับ ข้าก็จะทำลายฐานที่มั่นของพวกมัน ทีนี้พวกโจรก็ไม่สามารถที่จะยึดงอเอี๋ยงได้ต่อไป" เขาจึงเดินทัพต่อ เมื่อ Poison Yu ได้รู้ข่าวก็ละทิ้งตองงอเอี๋ยงถอยทัพกลับทันที

หลังจากนั้นโจโฉก็โจมตี Sui Gu และ Yufuluo ที่ Neihuang และเอาชนะทัพพวกเขา

ตั๋งโต๊ะแต่งตั้งน้องชายของเขาตั๋งห้องเป็นแม่ทัพซ้าย และหลานชายเขาตั๋งหวังเป็นขุนพลของกองทัพกลาง ทั้งสองคนควบคุมกิจการทหารทั้งหมด

ทุกคนในตระกูลตั๋งหรือคนที่เป็นญาติได้รับแต่งตั้งเป็นขุนนาง ลูกชายของตั๋งโต๊ะทุกคนได้รับตำแหน่งพระยา ไม่ว่าจะเป็นลูกที่เกิดจากภรรยาน้อยหรือคนใช้ รถม้าของตั๋งโต๊ะนั้นตกแต่งเหมือนดั่งรถของฮ่องเต้

ตั๋งโต๊ะประชุมขุนนางทั้งสามระดับ ขุนนางตั้งแต่ระดับอาลักษณ์ และระดับต่ำลงมา ต้องมารายงานที่ทำการของตั๋งโต๊ะและรับคำสั่ง (ทั้งสามระดับประกอบด้วย ขุนนางระดับอาลักษณ์(ราชเลขาธิการ)
ขุนนางท้องพระโรง(ขุนนางที่มีหน้าที่ดูแลประกาศต่าง ๆ)และ
ขุนนางที่หน้าที่แต่งตั้งตำแหน่งต่าง ๆ
การเรียกประชุมและออกคำสั่งขุนนางสามระดับเป็นอำนาจของฮ่องเต้ หมายถึงตั๋งโต๊ะใช้ละเมิดอำนาจฮ่องเต้เรียกประชุมขุนนางตามใจชอบ

ตั๋งโต๊ะยังสร้างป้อมปราการที่ Mei สูงและกว้างเจ็ดสิบฟุต ภายในเก็บเสบียงอาหารสำหรับอยู่ได้ถึงสามสิบปี ตั๋งโต๊ะพูดว่า ถ้าสิ่งต่าง ๆ เป็นไปด้วยดี ข้าจะกลายเป็นผู้นำราชสำนัก แต่ถ้าข้าล้มเหลว ข้ายังสามารถอยู่อย่างสบายจนแก่เฒ่า

ตั๋งโต๊ะลงโทษผู้คนโดยไม่ปราณี ถ้าขุนนางคนใดทำผิด ตั๋งโต๊ะจะฆ่าคนผู้นั้นในทันที เหล่าขุนนางต่างรู้สึกว่าชีวิตตัวเองไม่ปลอดภัย อ๋องอุ้น อุยอ๋วน ซุนซุย และเอียวซานจึงร่วมกันวางแผนอย่างลับ ๆ เพื่อฆ่าตั๋งโต๊ะ

ลิโป้แม่ทัพที่เก่งกาจในเรื่องธนู การขี่ม้า มีชื่อว่าแข็งแรงกว่าคนทั่วไป ตั๋งโต๊ะนั้นปกครองคนอย่างโหดร้าย เขาจึงรู้ตัวดีว่าผู้คนต่างโกรธแค้นตัวเขา ดังนั้นเขาจึงให้ลิโป้ติดสอยห้อยตามเขาไปทุกที่ ทำหน้าที่เป็นองครักษ์ ตั๋งโต๊ะรักและเชื่อใจในตัวลิโป้มาก พวกเขายังเป็นบิดาและบุตรร่วมสาบาน

แต่ตั๋งโต๊ะนั้นเป็นคนดื้อดึงและเผด็จการ ครั้งหนึ่งลิโป้มีเรื่องไม่เห็นด้วยกับเขาเพียงเล็กน้อย ตั๋งโต๊ะคว้าเอาขวานสั้นขว้างใส่ลิโป้ ลิโป้หลบด้วยความว่องไวแล้วเปลี่ยนน้ำเสียงพร้อมขอโทษตั๋งโต๊ะ ตั๋งโต๊ะจึงหายโกรธ แต่ลิโป้นั้นเกิดความไม่พอใจในตัวตั๋งโต๊ะ

นอกจากตั๋งโต๊ะใช้ให้ลิโป้ไปเฝ้าประตูวังหลวง แต่ลิโป้กลับใช้โอกาสนั้นไปเกี้ยวพาราสีหญิงรับใช้ ทำให้ลิโป้กลัวว่าตัวเองจะมีความผิดถ้าตั๋งโต๊ะรู้เรื่องเข้า

อ๋องอุ้นนั้นมีความสัมพันธ์อันดีกับลิโป้ เมื่อลิโป้เล่าให้ฟังว่าตั๋งโต๊ะเกือบจะฆ่าเขา อ๋องอุ้นจึงบอกแผนการต่อต้านตั๊งโต๊ะ และขอร้องให้เขาร่วมแผนการนี้ด้วย

"แต่ข้ากับตั๋งโต๊ะเป็นเหมือนพ่อลูกกัน" ลิโป้ตอบ

"ท่านเองใช้แซ่ลิ" อ๋องอุ้นว่า "และตั๋งโต๊ะเองก็ไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกับท่าน เวลานี้ท่านเองก็อยู่ในสถานการณ์ที่เสี่ยงว่าจะถูกตั๋งโต๊ะฆ่าตาย ท่านยังจะพูดถึงเรื่องพ่อลูกได้อีก เมื่อตอนที่ตั๋งโต๊ะขว้างขวานใส่ท่าน ความเป็นพ่อลูกกันหายไปอยู่ที่ไหน" ลิโป้เห็นด้วยกับอ๋องอุ้นในที่สุด

ในหน้าร้อนเดือนที่สี่ เมื่อฮ่องเต้ทรงประชวรและเพิ่งหายดีไม่นาน มีการประชุมใหญ่ที่วังเว่ยหยาง ตั๋งโต๊ะสวมเสื้อคลุมยาวคล้ายฉลองพระองค์ เดินทางโดยราชรถ ทหารของเขายืนอยู่สองข้างระหว่างทางไปตั้งแต่ค่ายทหารจนถึงวังหลวง ทหารเดินเท้าอยู่ทางฝั่งซ้าย ทหารม้าอยู่ฝั่งขวาและ เพื่อป้องกันอารักขา ลิโป้และแม่ทัพคนอื่นทำหน้าที่คุ้มครอง

อ๋องอุ้นสั่งให้ซุนซุยเขียนราชโองการปลอมส่งกับลิโป้ ลิโป้สั่งให้ลิซกพร้อมกับฉินหงี ตันอุยและทหารอีกสิบสองคนเฝ้าซุ่มอยู่ที่ประตูทางทิศเหนือรอคอยตั๋งโต๊ะ เมื่อตั๋งโต๊ะมาถึง ลิซกแทงเขาด้วยทวน

ตั๋งโต๊ะนั้นสวมเกราะใต้เสื้อผ้า ดังนั้นจึงไม่ได้รับบาดแผลแต่แขนเขาก็บาดเจ็บและตกลงจากราชรถ ตั๋งโต๊ะมองไปรอบ ๆ ร้องว่า "ลิโป้อยู่ไหน"

ลิโป้พูดว่า "ข้าได้รับคำสั่งให้ฆ่าทรราชย์"

ตั๋งโต๊ะได้ยินจึงด่าเขา "ไอ้สุนัขชั่ว เจ้ากล้ารึ"
แทนคำตอบ ลิโป้แทงเขาด้วยทวนของเขา และสั่งให้ทหารตัดหัวตั๋งโต๊ะ

เตียนอี๋และหัวหน้าดูแลยุ้งฉางของตั๋งโต๊ะมาถึงที่ศพของตั๋งโต๊ะ ลิโป้ก็ฆ่าพวกเขาด้วยเช่นกัน ในเวลาไม่นานสามคนถูกสังหาร

ลิโป้นำราชโองการออกมาจากอกเสื้อ และใช้มันสั่งการกองทัพพูดว่า "ฮ่องเต้มีรับสั่งให้ประหารชีวิตตั๋งโต๊ะ ห้ามผู้ใดถามไถ่สาเหตุ" เหล่าทหารพากันลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว ยืนตัวตรงแสดงความเคารพ ร้องตะโกนว่า "ทรงพระเจริญหมื่นปี"

ประชาชนต่างพากันร้องเพลงและเต้นรำตามท้องถนน ร้านค้าเต็มไปด้วยผู้คนพากันขายหยกและไข่มุก แต่งตัวอย่างสวยงาม ซื้อเหล้าและเนื้อสำหรับฉลอง

ตั๋งห้องน้องของตั๋งโต๊ะ ตั๋งหวังหลานชายตั๋งโต๊ะและญาติคนอื่น ๆ ยังอยู่ใน Mei พวกเขาถูกฆ่าตายโดยทหารของเขาเอง

ศพของตั๋งโต๊ะถูกประจานในตลาด เมื่ออากาศร้อนขึ้น ร่างตั๋งโต๊ะนั้นใหญ่โตและอ้วนฉุ ดังนั้นไขมันจากศพจึงนองพื้น ทหารยามใช้ตะเกียงจุดไฟที่สะดือของตั๋งโต๊ะ ไฟนั้นส่องสว่างจ้าจนถึงรุ่งสาง และไฟนั้นติดอยู่เป็นเวลาหลายวัน

คนในตระกูลอ้วนเก็บศพของตั๋งโต๊ะแล้วเผา โปรยอัฐิตามท้องถนน ทรัพย์สมบัติของตั๋งโต๊ะนั้น มีทองคำสองหรือสามหมื่นชั่ง เงินกว่าแปดเก้าหมื่นชั่ง ผ้าไหมและสิ่งมีค่าหายากกองเป็นภูเขา

อ๋องอุ้นถูกมอบหมายให้มีหน้าที่ควบคุมราชเลขาธิการ ส่วนลิโป้นั้นเป็นแม่ทัพผู้ซื่อสัตย์ มีกองทหารของตัวเอง ได้รับเกียรติสูง และยังถูกแต่งตั้งเป็นพระยาแห่งเหวิน มีส่วนร่วมในการปกครองกับอ๋องอุ้น

เมื่อเวลาที่ตั๋งโต๊ะตาย ซัวหยงนั้นนั่งอยู่กับอ๋องอุ้น เมื่อเขาได้ข่าว เขาอ้าปากค้างเศร้าเสียใจ อ๋องอุ้นโมโหและทำร้ายเขาพูดว่า "ตั๋งโต๊ะเป็นกบฏแผ่นดิน ทำลายราชวงศ์ฮั่น แต่ท่านกลับนึกถึงความสัมพันธ์ส่วนตัว ร้องไห้ให้โจรกบฏ ท่านควรจะถูกตัดสินว่าเป็นโจรกบฏด้วยเช่นกัน" ซัวหยงจึงถึงจับและนำตัวขึ้นศาล

ซัวหยงร้องขอการอภัยโทษว่า "ข้าน้อยทำตัวไม่สมควร ข้อควรปฏิบัติตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันนั้น ข้าเรียนรู้และพูดถึงอยู่บ่อย ๆ เกินกว่าจะอ้างว่าลืมเลือนมัน ข้าทำงานให้กับตั๋งโต๊ะและละเลยหน้าที่ของแผ่นดินได้อย่างไร ขอให้ท่านทำตำหนิบนหน้าข้าและตัดเท้าของข้าทิ้ง หรือลงโทษอะไรข้าก็ได้ ขอเพียงให้ข้าสามารถทำบันทึกประวัติศาสตร์ราชวงศ์ฮั่นต่อไป"

บัณฑิตหลายคนพากันเห็นใจเขาและร้องขอให้ยกโทษเขา แต่คำร้องขอพวกเขาไม่เป็นผล

แม่ทัพใหญ่ม้าหยิดพูดกับอ๋องอุ้นว่า "ซัวหยงเป็นอัจฉริยะบุคคลที่หาได้ยากยิ่ง เขารู้เหตุการณ์ประวัติศาสตร์ราชวงศ์ฮั่นอย่างดี เขาควรได้รับโอกาสในการทำบันทึกประวัติศาสตร์ต่อไป บันทึกนี้เป็นงานที่ยอดเยี่ยมชิ้นหนึ่งในยุคของเรา ความผิดของเขานั้นเล็กน้อยยิ่งนัก ถ้าท่านลงโทษเขา ประชาชนย่อมไม่สนับสนุนในตัวท่าน"

อ๋องอุ้นกล่าวว่า "ในอดีตฮ่องเต้ฮั่นหวู่ตี้ล้มเหลวในการฆ่าสุมาเชียน และอนุญาติให้เขาเขียนหนังสือใส่ร้ายป้ายสีตกทอดมาถึงปัจจุบัน"

"ในเวลานี้บารมีขององค์ฮ่องเต้ตกต่ำลง มีสงครามเกิดขึ้นมากมายที่ชายแดน เราไม่สามารถอนุญาตให้ขุนนางชั่วมีอำนาจปะปนอยู่ท่ามกลางขุนนางอื่น ๆ มันไม่มีประโยชน์อันใดแก่ความชอบธรรมขององค์ฮ่องเต้เลย และผู้คนจะสบประมาทหาว่าเราใช้อำนาจในทางที่ผิด"

ม้าหยิดจากมาพร้อมกับรำพึงว่า "ใต้เท้าอ๋องไม่ควรจะมีทายาท บุคคลที่มีความสามารถนั้นเป็นรากฐานของแผ่นดิน ในขณะที่บันทึกเหตุการณ์นั้นเป็นเหมือนสัญลักษณ์ของบ้านเมือง ถ้าอ๋องอุ้นทำลายรากฐานและสัญลักษณ์ของบ้านเมือง บ้านเมืองจะยืนยาวถึงลูกหลานเขาได้อย่างไร"

ซัวหยงถูกขังจนตายในระหว่างถูกจองจำ

ก่อนหน้านั้นซุนฮิว แตะถ้าย ตันอิบและขุนนางคนอื่นได้ร่วมวางแผน พวกเขาว่า "ตั๋งโต๊ะนั้นหยิ่งยโสอวดดีและโหดร้าย และไม่เคยไว้ใจผู้ใดแม้ว่าเขาจะมีกองทัพที่แข็งแกร่ง แต่ตั๋งโต๊ะก็ยังเป็นคนธรรมดาที่ยังถูกฆ่าได้" แผนของพวกเขาเกือบสำเร็จแต่ถูกล่วงรู้ก่อน ซุนฮิวถูกจองจำ แตะถ้ายหนีไปอยู่กับอ้วนสุด ซุนฮิวยังคงดำเนินชีวิตตามปกติจนตั๋งโต๊ะตาย เขาก็ถูกปล่อยตัวออกมา (ซุนฮิวนั้นเป็นญาติกับซุนฮก โดยที่ทวดของซุนฮิวนั้นเป็นพี่ชายของปู่ซุนฮก)

โจรผ้าเหลืองที่มณฑลเฉงจิ๋วออกปล้นสะดมในกุนจิ๋ว เล่าต้ายจึงจะนำกองทัพออกปราบปรามเหล่าโจร แต่เปาสิ้นนายอำเภอจิเป่ยแย้งว่า "พวกโจรมีจำนวนเป็นล้าน และชาวบ้านก็กำลังหวาดกลัว ทำให้ทหารของเราขาดกำลังใจที่จะต่อสู้"

"มองอีกทางหนึ่งเพราะว่าพวกโจรขาดแคลนเสบียง พวกเขาจึงต้องออกปล้น สิ่งที่ควรทำอย่างแรกคือ รวบรวมกองทัพแล้วสร้างแนวป้องก้นที่แข็งแกร่ง โจรเหล่านี้ต้องการต่อสู้ แต่พวกมันขาดการเตรียมพร้อมที่ดี เมื่อพวกเขาโจมตีทัพเราและไม่ประสบความสำเร็จ กองทัพพวกมันก็จะสลายไปเอง เมื่อนั้นขอให้ท่านส่งทหารเข้ายึดพื้นที่สำคัญ และนำกองทัพเข้าโจมตี ท่านจะได้ชัยชนะในที่สุด"

เล่าต้ายไม่เชื่อคำแนะนำนั้น เขานำกองทัพเข้าสู้กับกองโจรพ่ายแพ้และถูกฆ่าในที่สุด

ตันก๋งลูกน้องของโจโฉ จึงบอกโจโฉว่า "มณฑลนี้ไร้ผู้นำ อำนาจจากราชสำนักก็ถูกตัดขาด ได้โปรดอนุญาตให้ข้าไปพูดคุยกับขุนนางผู้ใหญ่ของมณฑลนี้ แล้วนายท่านจงรีบเข้าปกครองมณฑลนี้โดยทันที ใช้มณฑลนี้เป็นฐานกำลังยึดครองทั้งแผ่นดิน นี้คือวิธีของอ๋อง Hegemon"

ดังนั้นตันก๋งจึงไปหาเหล่าองครักษ์และขุนนางของมณฑลนั้น เกลี้ยกล่อมพวกเขาบอกว่า "ราชสำนักกำลังวุ่นวายในขณะที่มณฑลของเราขาดผู้ปกครอง โจโฉนั้นเป็นบุคคลที่มีความสามารถเป็นผู้นำที่ดีเยี่ยม ถ้าพวกท่านเชิญเขามาปกครองมณฑลนี้จะเป็นการสร้างความสงบสันติสุขแก่ประชาชนของพวกท่าน"

เปาสิ้นและขุนนางคนอื่นเห็นด้วย พวกเขาจึงส่งบั้นเขียน และขุนนางคนอื่นไปเชิญโจโฉมาเป็นผู้ตรวจการมณฑลกุนจิ๋ว

หลังจากนั้นโจโฉนำทหารเข้าสู้กับโจรผ้าเหลืองที่โซวชางตะวันออก แต่ไม่สามารถเอาชนะได้ พวกโจรนั้นแข็งแกร่งและเก่งกาจ ส่วนทหารของโจโฉมีจำนวนน้อยและอ่อนแอ แต่เพราะโจโฉใส่ใจทหารและให้กำลังใจทหาร ให้รางวัลแก่ผู้มีผลงานและทำโทษผู้กระทำผิด คอยสังเกตจุดอ่อนของกองทัพโจรผ้าเหลืองเพื่อโจมตี ทัพทั้งสองสู้กันทั้งวันทั้งคืน ทุกครั้งที่สู้รบกัน ทัพโจโฉจะจับเชลยศึกได้เสมอ ไม่นานโจรกบฏก็ถอยทัพหนีไป

เปาสิ้นตายในการสู้รบ โจโฉประกาศมอบรางวัลให้กับคนที่นำศพเขากลับคืนมาได้ แต่ไม่มีผู้ใดพบศพเขา โจโฉจึงสั่งแกะสลักไม้แทนศพของเปาสิ้นและนำไม้แกะสลักนั้นไปทำพิธีศพให้เขา

ต่อมามีราชโองการแต่งตั้งให้ กิมเซี่ยงแห่งเกงเตียวเป็นผู้ตรวจการมณฑลกุนจิ๋ว แต่ก่อนที่เขาจะเดินทางเข้าสู่มณฑลเพื่อรับตำแหน่ง โจโฉยกทัพไปโจมตีเขา จนเขาต้องหนีไปอยู่กับอ้วนสุด

ในเดือนที่ห้า แม่ทัพฮองฮูสงได้รับการเลื่อนตำแหน่งสูงขึ้น

ก่อนหน้านั้น ลิโป้ได้แนะนำให้อ๋องอุ้นฆ่าเหล่าลูกน้องของตั๋งโต๊ะ แต่อ๋องอุ้นบอกว่า "ข้าไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ เพราะพวกเขาไม่ได้ทำความผิดอันใด"

ลิโป้ต้องการให้นำทรัพย์สมบัติของตั๋งโต๊ะมาแจกจ่ายกันในหมู่เชื้อพระวงศ์ ขุนนางผู้ใหญ่ แม่ทัพนายกองต่าง ๆ แต่อ๋องอุ้นไม่เห็นด้วย

อ๋องอุ้นมองว่าลิโป้นั้นเป็นนักรบ ไม่มีความสามารถในการบริหารบ้านเมือง แต่ลิโป้นั้นคิดว่าตัวเองเฉลียวฉลาด และมักจะคุยโม้เกี่ยวกับความสำเร็จของเขา ดังนั้นเขาจึงรู้สึกผิดหวัง และเริ่มที่จะไม่พอใจ

อ๋องอุ้นเป็นคนหัวดื้อ เข้มงวดและเกลียดสิ่งชั่วร้าย ก่อนหน้านั้นเขาเกรงกลัวตั๋งโต๊ะ จึงทำตัวอ่อนน้อมและคล้อยตามตั๋งโต๊ะ เมื่อตั๋งโต๊ะตายได้เขาจึงรู้สึกว่าไม่มีสิ่งใดที่เขาต้องกลัว จึงเริ่มประพฤติตัวหยิ่งยโส บรรดาลูกน้องของเขาจึงไม่ภักดีต่อเขานัก

อ๋องอุ้นพูดกับซุนซุยเกี่ยวกับการออกพระบรมราชโองการอภัยโทษให้กับลูกน้องของตั๋งโต๊ะ แต่เขาก็ไม่แน่ใจพูดว่า "กองทัพต้องเชื่อฟังคำสั่งผู้นำ คำสั่งแม่ทัพถือเป็นสิทธิขาด ถ้าเราเคยกล่าวหาพวกเขาว่าชั่วร้ายและเป็นกบฏแล้วก็มายกโทษให้ ข้ากลัวว่าพวกเขารู้สึกไม่มั่นใจในคำสั่งแม่ทัพ นั่นไม่ใช่วิธีในการจัดการกองทัพ" เขาจึงปฏิเสธที่จะออกราชโองการนี้

หลังจากนั้นอ๋องอุ้นได้พิจารณาการกระจายกองทัพที่มาอยู่ที่เมืองหลวง แต่ขุนนางบางคนบอกว่า "บัดนี้ กองทัพจากมณฑลเลียงจิ๋ว ต่างพากันเกรงกลัวตระกูลอ้วน ไม่ก็พวกทัพพันธมิตร ถ้าท่านให้กองทัพเลิกทัพกลับไป ประชาชนต้องตกอยู่ในความหวาดระแวง ควรที่ท่านจะแต่งตั้งให้ฮองฮูสงเป็นแม่ทัพประจำที่ซาน วิธีนี้ประชนาชนจะอยู่อย่างสุขสงบ"

อ๋องอุ้นปฏิเสธบอกว่า "ทัพพันธมิตรนั้นเป็นกองทัพธรรมที่ก่อตั้งขึ้นเพื่อช่วยเหลือฮ่องเต้ ถือว่าเป็นผู้สนับสนุนของเรา ถ้าเราให้กองทัพไปรักษาการณ์ที่ซาน ขวางทางสัญจรตะวันออก แม้ว่าเราจะรักษาความสงบของกองทัพมณฑลเลียงจิ๋วได้ แต่ทัพพันธมิตรต้องสงสัยในท่าทีของเรา เราไม่อาจทำได้"

ในเวลานี้ มีข่าวลือว่าท่ามกลางทหารของกองทัพมณฑลเลียงจิ๋วว่าทุกคนต้องถูกฆ่าตายหมด บรรดาอดีตแม่ทัพนายกองของตั๋งโต๊ะต่างหวาดกลัว พากันรวบรวมกำลังพลเพื่อป้องกันตัว

แม่ทัพนายกองเหล่านั้นพูดกันว่า "ขนาดซัวหยงที่ไม่มีความผิดเลย เพียงแค่ตั๋งโต๊ะชอบใจในตัวเขา ยังถูกฆ่าตาย ราชสำนักก็ไม่ออกราชโองการอภัยโทษให้แก่พวกเรา แต่กลับต้องการให้ทหารเลิกทัพกลับถิ่นฐาน ถ้าเราทำตาม พวกเขาก็จะฆ่าเราได้อย่างง่ายดาย"

ลิโป้ส่งลิซกพร้อมราชโองการไปฆ่างิวฮู แต่งิวฮูและทัพของเขาก่อกบฏโจมตีลิซก ลิซกพ่ายแพ้และหนีไป ฮองหลง ลิโป้จับตัวลิซกได้และประหารเขา งิวฮูเกิดหวาดกลัวไม่สามารถคุมสติ ทัพของเขาเกิดความวุ่นวาย งิวฮูพยายามหลบหนี แต่ถูกลูกน้องของเขาฆ่าตาย

ในเวลานั้นลิฉุยและแม่ทัพคนอื่นกลับมาจากเองชงและตันหลิว เมื่องิวฮูตายไปพวกเขาจึงไม่มีที่พึ่งพิง พวกเขาส่งสารไปเตียงอั๋นถามถึงการอภัยโทษ อ๋องอุ้นปฏิเสธกล่าวว่า "การนิรโทษกรรมไม่อาจมีสองครั้งในหนึ่งปี"

ลิฉุยและแม่ทัพคนอื่นต่างพากันวิตก ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร พวกเขาพากันแยกย้ายรีบเตรียมตัวจะกลับเมืองพวกเขา แต่กาเซี่ยงพูดว่า "ถ้าท่านทิ้งกองทัพ และเดินทางกลับตัวคนเดียว แม้แต่หมู่บ้านเล็ก ๆ ก็สามารถจับกุมท่านได้ ทางที่ดีที่สุดคือการเดินทัพไปทางตะวันตกพร้อมกันเข้าโจมตีเตียงอั๋น ล้างแค้นให้ท่านตั๋งโต๊ะ ถ้าเราได้ชัยชนะท่านยังสามารถรับใช้ฮ่องเต้และทำสิ่งถูกต้องให้ราชสำนักได้ แต่ถ้าเราพ่ายแพ้ก็ยังมีเวลาที่จะหลบหนี"

ลิฉุยและแม่ทัพคนอื่นเห็นด้วย พวกเขาทำข้อตกลงกันนำกองทัพหลายพันนายมุ่งสู่ตะวันตกทั้งวันและคืน

Hu Wencai และ Yang Zhengxiu ทั้งสองเป็นผู้อาวุโสที่ผู้คนในมณฑลเหลียงให้ความเคารพ อ๋องอุ้นเรียกทั้งสองให้เดินทางไปตะวันออกเพื่ออธิบายสถานการณ์กับพวกลิฉุยโดยไม่อ่อนข้อต่อพวกเขา อ๋องอุ้นว่า "พวกสารเลวนั่น พวกมันต้องการอะไรกัน พวกเจ้าจงไปหารือกับพวกมัน" ทั้งสองคนจากไป แต่พวกเขาไปนำทัพของพวกเขาแยกย้ายกลับเมือง

ลิฉุยเกณฑ์ทหารทุกท้องที่ ที่ทัพเขาผ่านไป เมื่อเขามาถึงเตียงอั๋น ทัพของเขาก็มีจำนวนกว่าแสนคน เขาร่วมมือกับหวนเตียวและลิบ้องลูกน้องเก่าของตั๋งโต๊ะ นำทัพเข้าล้อมเมือง แต่กำแพงเมืองสูงชันเกินกว่าจะยิงธนูถึง การปิดล้อมเป็นไปอย่างนี้อยู่แปดวัน

ในกองทัพของลิโป้ มีคนจากเมืองซกด้วย พวกเขาก่อการกบฏขึ้น ในเดือนหก พวกเขาเปิดประตูเมืองให้แก่ลิฉุย แล้วก็เข้าปล้นในเมือง

ลิโป้ต่อสู้ภายในกำแพงเมืองแต่ไม่สามารถเอาชนะได้ เขาจึงนำทหารม้าสองสามร้อยคนตีฝ่าออกไป โดยเอาหัวของตั๋งโต๊ะมัดกับอานม้าของเขา

ลิโป้หยุดม้าเขาที่ประตูเมืองแล้วเรียกอ๋องอุ้นให้หนีไปพร้อมเขา แต่อ๋องอุ้นตอบว่า "ถ้าข้าได้รับพรจากสวรรค์ ความปรารถนาเพียงอย่างเดียวของข้าคือการเห็นบ้านเมืองสงบสุข ถ้ามันเป็นไปไม่ไปได้ ข้าเองก็ยินดีที่จะตาย"

"ฮ่องเต้นั้นทรงเยาว์วัยและอ่อนแอ ข้าเป็นเหมือนที่พึ่งเพียงหนึ่งเดียวของพระองค์ เมื่ออันตรายมาถึง ข้าไม่อาจทิ้งพระองค์ไปได้ ขอให้ท่านไปขอความช่วยเหลือจากผู้นำทัพพันธมิตร ขอให้พวกเขาเห็นแก่บ้านเมือง"

เจ้ากรมพิธีการจงฝู่พูดว่า "พวกเราล้วนแต่เป็นข้ารับใช้แผ่นดิน แต่เราไม่อาจปกป้องความสงบหรือต่อต้านความชั่วร้าย เพราะว่าความล้มเหลวของเรา โจรชั่วถึงกล้าบุกมาวังหลวง ถ้าเราหลบหนีไป เราจะไปที่ไหนได้อีก จงฝู่สู้จนถูกฆ่าตายในการรบ"

ลิฉุยและกุยกีตั้งค่ายที่ประตูด้านซ้ายวังหลวง พวกเขาฆ่าหลู่คุย โจห้วน ซุ่ยเลี่ย อองกี๋ ขุนนางและชาวบ้านถูกฆ่าตายกว่าหมื่นคน ซากศพกระจัดกระจายตามท้องถนน

อ๋องอุ้นช่วยฮ่องเต้ไต่หอคอยประตูซวนผิงเพื่อหลบหนีศัตรู ลิฉุยและลูกน้องตามมาถึง ทั้งหมดลงจากหลังม้าแล้วทำความเคารพ ฮ่องเต้ตรัสกับพวกเขาว่า "พวกท่านส่งทหารออกปล้นชาวเมือง เพื่อประสงค์สิ่งใด"

ลิฉุยและพวกตอบว่า "ตั๋งโต๊ะเป็นผู้จงรักภักดีต่อท่าน แต่ลิโป้ฆ่าเขาโดยไร้เหตุผล เรามาแก้แค้นให้ตั๋งโต๊ะ พวกข้าไม่กล้าคิดก่อการกบฏ ขอเพียงให้แก้แค้นสำเร็จ พวกข้ายินดีมอบตัวเพื่อรับโทษ"

พวกเขาล้อมประตูหอคอยและเรียกให้อ๋องอุ้นออกมา พวกเขาตะโกนว่า "ท่านตั๋งโต๊ะทำความผิดอะไร" อ๋องอุ้นไม่มีทางเลือกได้แต่ยอมไปพบพวกเขา

ในวันนั้นมีการประกาศนิรโทษกรรม ลิฉุย กุยกี หวนเตียวและพวกได้รับยศตำแหน่งสูงขึ้น

ลิฉุยและพวกจับตัวอุยอ๋วนไปฆ่า

ก่อนหน้านั้น อ๋องอุ้นแต่งตั้งซงหงีและอองหองคนจากตำบลเดียวกัน เป็นผู้สนับสนุนจากตะวันออกและตะวันตก ลิฉุยและพวกต้องการที่จะฆ่าอ๋องอุ้นแต่เกรงว่าทั้งสองจะก่อปัญหา จึงส่งคนไปเชิญทั้งสองมา

อองหองส่งพลนำสารไปหาซงหงีบอกว่า "เป็นเพราะเราทั้งสองเป็นอิสระอยู่ภายนอก กุยกีและลิฉุยถึงยังไม่ฆ่าท่านอ๋องอุ้น แต่ถ้าเราเข้าร่วมประชุมในวันนี้ พวกเขาต้องฆ่าล้างตระกูลพวกเราแน่ ๆ"

ซงหงีจึงว่า "เป็นการยากที่จะรู้ว่าสถานการณ์เป็นอย่างไร แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือการปฏิบัติตามรับสั่ง"

อองหองบอกว่า "ทัพพันธมิตรกำลังเตรียมการโจมตี พวกเขาตั้งกองทัพธรรมเพื่อทำลายตั๋งโต๊ะ ซึ่งเวลานี้ได้ตายไปแล้ว มันเป็นการง่ายแก่การโจมตีลูกน้องที่เหลืออยู่ ถ้าเรานำทัพเข้าโจมตีลิฉุยและพวก และเป็นพันธมิตรกับพวกเขา เราสามารถเปลี่ยนโชคร้ายให้กลายเป็นดีได้"

ซงหงีไม่เห็นด้วย อองหองไม่สามารถทำการคนเดียวได้ ทั้งสองจึงเข้าร่วมประชุม

ลิฉุยจับตัว อ๋องอุ้น ซงหงีและอองหองและฆ่าพวกเขา รวมถึงภรรยาและลูกของอ๋องอุ้น ก่อนตายอองหองได้ด่าซงหงีว่าเป็นคนที่ไร้ความสามารถ เปล่าประโยชน์แก่การคุยถึงแผนการใหญ่

ลิฉุยทิ้งศพของอ๋องอุ้นประจานในตลาด ไม่มีใครกล้านำศพไปทำพิธี จนเตียวเจี๋ยน ลูกน้องเก่าของเขาเดินทางจากผิงหลิงมาเก็บศพอ๋องอุ้นไปฝัง

ก่อนหน้านั้น ในขณะที่อ๋องอุ้นอ้างว่าตัวเองเป็นผู้สังหารตั๋งโต๊ะ ซุนซุยได้ปฏิเสธรางวัลและตำแหน่งพระยา ทำให้เขารอดพ้นจากภัยพิบัตินี้

สุมากวงได้บันทึกว่า "ในตำราอี้จิงกล่าวว่า อัจฉริยะบุรุษย่อมรักษาความสำเร็จจวบจนวาระสุดท้ายของชีวิตและได้รับโชคดีเสมอ ซุนซุยมีส่วนร่วมในการสังหารตั๋งโต๊ะ แต่ไม่โอ้อวดความสำเร็จ จึงสามารถเอาชีวิตรอด อาจเรียกได้ว่าเขานั้นรอบรู้และคาดเดาสถานการณ์ได้"

ลิฉุยและพวกได้แต่งตั้งให้กาเซี่ยงเป็นผู้สนับสนุนตะวันออก พวกเขาตั้งใจแต่งตั้งให้กาเซี่ยงเป็นพระยา แต่กาเซี่ยงบอกว่า "เขาเองเพียงแค่เสนอแผนการเท่านั้น จะรับรางวัลใหญ่อย่างนั้นได้อย่างไร" เขาจึงปฏิเสธตำแหน่งนั้น พวกลิฉุยจึงคิดแต่งตั้งเขาเป็น หัวหน้าขุนนางอาลักษณ์ แต่กาเซี่ยงบอกว่า "ตำแหน่งนั้นเป็นตำแหน่งขุนนางผู้ใหญ่ เป็นตำแหน่งสำคัญ ตัวเขาเป็นเพียงขุนนางไร้ชื่อ ผู้คนย่อมไม่เคารพในตัวเขา" เขาจึงถูกแต่งตั้งเป็นเพียงขุนนางอาลักษณ์

ลิโป้หนีจากทางผ่านงอก๋วนไปลำหยง อ้วนสุดต้อนรับเขาอย่างดี ลิโป้เลยนึกว่าอ้วนสุดนิยมชมชอบในตัวเขามาก จึงอนุญาตให้ทหารของเขาออกปล้นชาวบ้าน ทำให้อ้วนสุดไม่พอใจ ลิโป้รู้สึกไม่ปลอดภัยจึงหนีไปอยู่กับเตียวเอี๋ยงในโห้ลาย

ลิฉุยและพวกตั้งรางวัลนำจับลิโป้ไว้สูงมาก สำหรับจับเป็นหรือตาย ทำให้ลิโป้ต้องหนีอีกครั้งไปอาศัยอยู่กับอ้วนเสี้ยว

เตียวเขียนได้รับตำแหน่งเป็นซือถ

ในฤดูใบไม้ร่วงปีที่เจ็ด ม้าหยิดถูกแต่งตั้งเป็นราชครูมีอำนาจควบคุมราชเลขาธิการ

ในเดือนที่แปด ฮองฮูสงถูกแต่งตั้งเป็นแม่ทัพใหญ่

ม้าหยิดและเตียวกีได้รับมอบหมายให้ไปทำสัญญาสงบศึกกับฝ่ายทัพพันธมิตร

ในเดือนที่เก้า ลิฉุยถูกแต่งตั้งเป็นแม่ทัพคุมราชรถและทหารม้า กุยกีเป็นแม่ทัพหลัง หวนเตียวเป็นแม่ทัพขวา เตียวเจเป็นแม่ทัพทหารม้าเร็ว ทั้งหมดได้รับตำแหน่งพระยา
ลิฉุย กุยกี และหวนเตียวทำหน้าที่บริหารบ้านเมือง ในขณะที่เตียวเจนั้นไปตั้งค่ายที่ฮองหลง

เตียวเขียนออกจากตำแหน่งซือถู Chunyu Jia ตำแหน่งซือคง (Minister of Work) ขึ้นครองตำแหน่งแทน เอียวปิวขึ้นครองตำแหน่งแทน พวกเขาร่วมกันควบคุมราชเลขาธิการ

ก่อนหน้าที่ตั๋งโต๊ะจะเข้าเมืองเตียงอั๋น เขาชักชวนให้หันซุยและม้าเท้งมาเป็นพวกเพื่อรับมือกับทัพพันธมิตร หันซุยและม้าเท้งนำทัพเขามาที่เตียงอั๋น เมื่อตั๋งโต๊ะตาย ลิฉุยและพวกจึงแต่งตั้งให้หันซุยเป็นแม่ทัพรักษาความสงบทิศตะวันตกและส่งเขากลับไป กิมเสีย ส่วนม้าเท้งนั้นได้รับตำแหน่งแม่ทัพปราบปรามทิศตะวันตกแล้วส่งไปตั้งค่ายที่ Mei

ในฤดูหนาวเดือนที่สิบ เล่าเปียวผู้ตรวจการมณฑลเกงจิ๋ว ได้นำส่งบรรณาการ เขาได้รับตำแหน่งแม่ทัพรักษาความสงบทิศใต้ ผู้ครองมณฑลเกงจิ๋วและตำแหน่งพระยาแห่งเจิ้งอู่

ในเดือนสิบสอง แม่ทัพใหญ่ฮองฮูสงถูกปลดจากตำแหน่ง จิวจงขึ้นครองตำแหน่งแทนและมีอำนาจร่วมควบคุมราชเลขาธิการ

โจโฉไล่โจมตีโจรผ้าเหลืองที่จิเป่ย พวกโจรยอมจำนน โจโฉได้ทหารมากกว่าสามแสนคนและชาวบ้านล้านกว่าคน เขาเลือกคัดนักรบที่เก่งกาจและเรียกพวกเขาว่า กองทัพเฉงจิ๋ว (โจรผ้าเหลืองกลุ่มนี้มีที่มาจากมณฑลเฉงจิ๋ว)

โจโฉแต่งตั้งมอกายเป็นขุนนางเข้าร่วมประชุมในท้องพระโรง มอกายพูดกับโจโฉว่า "ราชสำนักกำลังแตกแยกและล่มสลาย ผู้ครองเมืองล้วนอพยพหนีตาย ชาวบ้านต่าง ๆ ไร้อาชีพเลี้ยงตัว พวกเขาหิวโหยเร่ร่อนและอดตาย คลังหลวงมีเสบียงอาหารเหลือเพียงใช้ได้ไม่ถึงปี ชาวบ้านต่างรู้สึกไม่ปลอดภัยหายนะเหล่านี้ควรจะหมดสิ้นไป"

"เวลานี้คนที่มีความสามารถในการต่อสู้ถือเป็นทหารชั้นเยี่ยม แต่เสบียงอาหารก็จำเป็นสำหรับการเลี้ยงดูพวกเขา ท่านต้องรับใช้โอรสสวรรค์ เพื่อหาอำนาจปกครองคนที่ไม่อ่อนน้อมต่อท่าน ส่งเสริมการเกษตรเพื่อการเตรียมเสบียงอาหารให้พอสำหรับทัพของท่าน ถ้าท่านทำได้ ท่านก็สามารถได้รับตำแหน่งเฉกเช่นอ๋อง hegemon"

โจโฉเห็นด้วย เขาส่งคนนำสารไปหาเตียวเอี๋ยงเจ้าเมืองโห้ลาย ขอร้องให้เขาเปิดทางตะวันตกไปเตียงอั๋น เตียวเอี๋ยงไม่ยอมทำตามที่เขาขอร้อง

ตังเจี๋ยวพูดกับเตียวเอี๋ยงว่า "แม้อ้วนเสี้ยวกับโจโฉจะเป็นพันธมิตรกัน แต่พวกเขาคงแตกแยกกันในที่สุด แม้ว่าโจโฉจะยังไร้ฐานกำลังที่แข็งแกร่งในตอนนี้ แต่เขาเป็นวีรบุรุษที่แท้จริงคนหนึ่งของแผ่นดิน และถ้าท่านหาทางสร้างบุญคุณให้กับเขาได้ นั่นถือเป็นโอกาสอันดี ถ้าทุกอย่างเป็นไปด้วยดี ท่านและเขาจะมีความสัมพันธ์อันดีสืบไป"

เตียวเอี๋ยงอนุญาตให้คนนำสารของโจโฉผ่านไปได้ ตังเจี๋ยวเขียนสารในนามของโจโฉถึงลิฉุย กุยกีและคนอื่น ๆ แสดงความเคารพต่อพวกเขา

ลิฉุยและกุยกีได้รับสารของโจโฉ แต่พวกเขาเชื่อว่า กบฏทัพพันธมิตรนั้นต้องการที่จะแต่งตั้งฮ่องเต้ของพวกเขาเอง พวกเขาเชื่อว่าโจโฉมีแผนหลอกลวงพวกเขา จึงคิดที่จะกักตัวคนส่งสารของโจโฉไว้

จงฮิวพูดกับลิฉุย กุยกีว่า "เวลานี้เหล่าผู้ครองเมืองต่างซ่องสุมผู้คนช่วงชิงดินแดนซึ่งกันและกัน ไม่เชื่อฟังคำสั่งจากราชสำนัก โจโฉแห่งมณฑล กุนจิ๋ว เป็นคนเดียวที่เชื่อฟังราชสำนัก ถ้าท่านปฏิเสธความภักดีของเขา เท่ากับท่านปฏิเสธความภักดีของคนอื่นในภายภาคหน้าด้วยเช่นกัน ลิฉุยและกุยกีจึงตอบสารโจโฉกลับด้วยดี"

จงฮิวเป็นหลานของจงเฮา (บัณฑิตที่มีชื่อเสียง)

โตเกี๋ยม ผู้ตรวจการมณฑลชีจิ๋วพร้อมด้วยขุนนางของเขาส่งหนังสือทูลเกล้าเสนอให้แต่งตั้งจูฮีเป็น Grand Master พวกเขายังเขียนสารถึงเจ้าเมืองต่าง ๆ ให้เข้าร่วมโจมตีลิฉุยและพวก และเชิญฮ่องเต้กลับเมืองหลวง

ในเวลานั้น ด้วยคำแนะนำของแม่ทัพใหญ่ จิวจงและกาเซี่ยง ลิฉุยได้เชิญตัวจูฮีเข้าร่วมประชุมในวังหลวง จูฮีได้ปฏิเสธสัมพันธ์กับโตเกี๋ยมและถูกแต่งตั้งเป็น Grand Coachman

กองซุนจ้านโจมตีอ้วนเสี้ยว แต่ทันทีที่กองทัพเขาเดินทัพถึง Longcou อ้วนเสี้ยวก็โจมตีเขาพ่ายแพ้ไป กองซุนจ้านถอยกลับไปมณฑลอิวจิ๋ว และไม่กล้ายกทัพออกมาอีกเลย
ตันบุนแห่งยีหลำผู้ตรวจการมณฑลยังจิ๋วเสียชีวิตลง อ้วนเสี้ยวส่งอ้วนอุ๋ยไปครองมณฑลยังจิ๋ว อ้วนสุดโจมตีเขา อ้วนอุ๋ยพ่ายแพ้หนีไปไพก๊กและถูกฆ่าตาย อ้วนสุดแต่งตั้งตันงอ เป็นผู้ตรวจการมณฑลยังจิ๋ว


Create Date : 08 พฤศจิกายน 2548
Last Update : 10 กรกฎาคม 2549 12:43:48 น. 5 comments
Counter : 697 Pageviews.

 
พอดีสงสัยครับ ขอถามนิดนึง ซุนฮกกับซุนฮิวนี่ใครเป็นอา ใครเป็นหลานครับ เห็นคุณ Kazama เขียนเหมือนกับว่าซุนฮกเป็นหลาน แต่เท่าที่พอจำได้ซุนฮิวน่าจะเป็นหลานนะ


โดย: เฟิงสิงเลี่ย IP: 202.149.106.145 วันที่: 28 กุมภาพันธ์ 2549 เวลา:18:48:23 น.  

 
แปลผิดครับ จำสลับ Xun Yu ว่าเป็นซุนฮิว แต่จริง ๆ คือซุนฮก ส่วน Xun You เขียนว่าเป็นซุนฮก จริง ๆ คือซุนฮิว เพราะมั่นใจตัวเองมากไปหน่อยว่าชื่อดัง ๆ คงจำไม่ผิด กำลังไล่แก้อยู่ แต่ความจริง ทั้งสองคนไม่ได้เป็นอาหลานกันครับ แต่เป็นลูกพี่ลูกน้องกัน


โดย: kazama วันที่: 28 กุมภาพันธ์ 2549 เวลา:21:40:44 น.  

 
ปี 192 ถือว่าเรียบเรียงได้เข้าใจง่ายกว่าปี 191 ครับ

สงสัยวันนี้จะอ่านไม่ถึง ปี 195

จะคอยเป็นกำลังใจให้พี่ซุนเซ็กได้ทำผลงานที่มีสาระต่อ

ไปเรื่อยๆครับ


โดย: ตันฮก IP: 61.7.132.31 วันที่: 14 มีนาคม 2549 เวลา:12:46:22 น.  

 
พอดีอ่านมาถึงวรรคนี้ เลยมีข้อเสนอเล็กน้อยคือ

อ๋องอุ้นกล่าวว่า ในอดีต ฮ่องเต้ Wu ล้มเหลวในการฆ่า Sima Qian และอนุญาติให้เขาเขียนหนังสือใส่ร้ายป้ายสีตกทอดมาถึงปัจจุบัน

ฮ่องเต้ Wu น่าจะเขียนเป็น หวู่ตี้ ไปเลยเพราะหลายคนอาจจะเข้าใจได้ง่าย ( หวู่ตี้หรือที่เรียกในสามก๊กว่าบู๊เต้ )

Sima Qian น่าจะถอดเป็นไทยได้ว่า ซือหม่าเชียน หรือสุมาเชียน ? เพราะปรากฏเอกสารในยุคหลังว่าซือหม่าเชียนเป็นอาลักษณ์ในช่วงดังกล่าวเขียนปวศ.ก่อนรัชกาลหวู่ตี้

แล้วคำว่า อนุญาต ไม่ต้องมีสระอิ นะคร้าบ
ขอบคุณที่อดทนแปลอะไรดีๆ ให้อ่านนะคร้าบ


โดย: น้องหมูแดง IP: 202.44.136.50 วันที่: 26 เมษายน 2549 เวลา:15:30:04 น.  

 
ขอบคุณ คุณน้องหมูแดง สำหรับคำติชมครับ จะรับไปปรับเปลี่ยนครับ


โดย: kazama วันที่: 26 เมษายน 2549 เวลา:17:41:07 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

kazama
Location :
สมุทรปราการ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add kazama's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.