Group Blog
 
All blogs
 

สธ. เตือนอากาศหนาวเสี่ยงตาย ระวังเด็กแรกเกิดเป็น โคลด์ สเตรส

สธ. เตือนอากาศหนาวเสี่ยงตาย ระวังเด็กแรกเกิดเป็น โคลด์ สเตรส


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ภาพประกอบไม่เกี่ยวข้องกับข้อมูล

สธ. ออกโรงเตือน อากาศหนาวทั่วไทยอาจทำให้เด็กแรกเกิด เกิดอาการ โคลด์ สเตรส อุณหภูมิร่างกายลงต่ำ อาจถึงแก่ชีวิต

            เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2557 มีรายงานว่า นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า ปีนี้ประเทศไทยหนาวกว่าปีที่ผ่านมา โดยในเดือนมกราคมนี้ มีรายงานเด็กอ่อนอายุต่ำกว่า 1 ปี เสียชีวิตจากอากาศหนาวเย็น 2 ราย ที่ จ.สระแก้ว และ จ.ชลบุรี

นพ.ณรงค์ กล่าวว่า โดยปกติแล้ว เด็กแรกเกิดจนถึง 1 เดือนนั้น อวัยวะภายในสามารถควบคุมอุณหภูมิของร่างกายได้เพียง 1 ใน 3 เมื่อเทียบกับผู้ใหญ่ อีกทั้งชั้นไขมันใต้ผิวหนังยังให้ความร้อนได้น้อยกว่าผู้ใหญ่ ส่งผลให้ร่างกายเปลี่ยนแปลงตามสภาพอากาศง่าย และหากเป็นเด็กที่คลอดก่อนกำหนดยิ่งมีความเสี่ยงสูงขึ้นไปอีก หากเด็กอยู่ในที่ที่อากาศหนาวเป็นเวลานาน จะให้อุณหภูมิร่างกายลดลงจนเกิดภาวะ โคลด์ สเตรส (Cold Stress) ส่งผลให้เส้นเลือดหดตัว หัวใจทำงานหนักขึ้นเพื่อสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงร่างกาย สมองและอวัยวะอื่น ๆ อาจขาดเลือดไปหล่อเลี้ยง และก่อให้เกิดอันตรายถึงชีวิต

นอกจากนี้ นพ.ณรงค์ ยังกล่าวว่า การรักษาลูกให้ห่างจากอาการ โคลด์ สเตรส จึงเป็นสิ่งสำคัญ ล่าสุด เจ้าหน้าที่สาธารณสุขและอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ได้เข้าตรวจเยี่ยมมารดาหลังคลอดทุกคน เพื่อให้คำแนะนำในเรื่องการให้ความอบอุ่นกับเด็ก โดยเฉพาะการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียวติดต่อกัน 6 เดือน ซึ่งนมแม่มีสารอาหารและภูมิต้านทาน ทำให้ลูกแข็งแรง ไม่เจ็บป่วยง่าย การอุ้มลูกขณะให้นมก็เป็นการให้ความอบอุ่นลูกโดยตรง หากอุณหภูมิในร่างกายเด็กลดต่ำ เด็กจะร้องและดิ้น อันเป็นกลไกการปรับตัวให้เกิดการเผาผลาญให้อุณหภูมิร่างกายสูงขึ้น เด็กจะมีอาการมือเย็น เท้าเย็น ผิวจ้ำแดงทั่วตัว จึงควรใส่ถุงมือถุงเท้าและเสื้อผ้าหลายชั้น รวมทั้งใช้ปรอทวัดไข้ให้อุณหภูมิไม่ต่ำกว่า 35 องศาเซลเซียส หากไม่ดีขึ้นให้พบแพทย์ทันที


อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก




 

Create Date : 26 มกราคม 2557    
Last Update : 26 มกราคม 2557 17:32:38 น.
Counter : 635 Pageviews.  

โรคลมชักในเด็ก ลูกรักเป็นหรือไม่

โรคลมชักในเด็ก

ลมชักลูกรักเป็นหรือไม่? (รักลูก)
เรื่อง : วรนุช

          ลมชักเป็นโรคที่เกิดจากความผิดปกติของคลื่นไฟฟ้าในสมอง ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้กับคนทุกวัย ไม่เว้นเด็กตัวเล็ก ๆ ถ้าลูกมีอาการชักบ่อย ๆ จะจากสาเหตุใดก็ตาม ควรรีบพาไปพบแพทย์ เพื่อตรวจให้แน่ชัดว่าลูกเป็นโรคลมชักหรือไม่ จะได้ทำการรักษาตั้งแต่เล็ก ๆ ค่ะ

อาการชักในเด็กเล็ก

อาการชัก เป็นอาการแสดงของโรคหลาย ๆ ชนิด รวมทั้งโรคลมชักในเด็กโดยเฉพาะเด็กเล็ก สามารถพบอาการชักได้บ่อยกว่าผู้ใหญ่ เพราะสมองของเด็กเล็กยังพัฒนาไม่เต็มที่ ทำให้ปล่อยกระแสไฟฟ้าผิดปกติออกมาในสมอง ส่งผลให้ร่างกายเกิดอาการชัก เกร็งกระตุกขึ้นได้ ในเด็กเล็กส่วนใหญ่อาการชักมักเกิดจากการเจ็บป่วย เช่น เป็นไข้หวัด ปวดบวม หูอักเสบ ท้องเสีย และมีภาวะน้ำตาลหรือเกลือแร่ในเลือดต่ำ

ซึ่งเด็กแต่ละคนจะมีความรุนแรงของอาการชักต่างกัน มีทั้งการชักแบบเกร็งกระดูกทั่วร่างกาย และอาการชักเฉพาะอวัยวะบางส่วนของร่างกาย ถ้าหากเป็นอาการชักจากไข้ที่ส่วนใหญ่เด็ก ๆ มักจะเป็นกันนั้นไม่ได้มีผลทำให้สมองพิการ เพราะมีการศึกษาพบว่าเด็กที่เป็นไข้แล้วมีอาการชัก เมื่อโตขึ้นความสามารถด้านสติปัญญาและการเรียนรู้ไม่ได้แตกต่างไปจากเด็กคนอื่น ๆ ถ้าหากได้รับการดูแลที่เหมาะสม แต่หากลูกมีอาการชัก เกร็งนานกว่า 2 นาที ชักโดยไม่มีใช้ หรือชักบ่อยและถี่ขึ้น ควรพาไปปรึกษาคุณหมอ เพราะลูกอาจจะเป็นโรคลมชักได้

โรคลมชัก...เกิดจาก

สมองมีความผิดปกติตั้งแต่เกิด หรือผิดปกติระหว่างคลอด เช่น เด็กขาดออกซิเจนตอนคลอด หรือมีความผิดปกติของเนื้อสมอง

เกิดจากกรรมพันธุ์

โรคหลอดเลือดสมองผิดปกติ ตีบตันหรือแตก

เกิดการติดเชื้อในสมอง เช่น ไร้สมองอักเสบ หรือได้รับอุบัติเหตุที่มีผลกระทบต่อสมอง

อาการชักจากโรคลมชัก

คุณพ่อคุณแม่สามารถสังเกตเห็นได้ 2 ลักษณะ คือ

อาการชักทั้งตัว เวลาชักจะเกร็งตัวประมาณ 1-2 นาที

อาการชักเหม่อนิ่ง สังเกตได้ว่าเด็กจะหยุดพูดหรือหยุดเล่นทันที ไม่ตอบสนองต่อการเรียก มีอาการชักไม่เกิน 30 วินาทีแล้วจะหายเอง สามารถกลับมาเล่นและพูดคุยได้ตามปกติค่ะ

ตรวจรักษาโรคลมชัก

เมื่อลูกมีอาการชักแล้วคุณพ่อคุณแม่พาไปตรวจ คุณหมอจะชักถามประวัติการเจ็บป่วยของคนในครอบครัว เพื่อเป็นแนวทางในการวินิจฉัยโรค ในบางครั้ง อาจจำเป็นต้องเจาะน้ำกระดูกไขสันหลัง เพื่อดูการอักเสบในช่องสมองหรือโพรงประสาท นอกจากนี้ ยังมีการตรวจด้วยเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัย โดยใช้วิธีการตรวจคลื่นไฟฟ้าสมอง (EEG) การถ่ายภาพเอกซเรย์ด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ (CT) และการตรวจด้วยคลื่นแม่เหล็ก (MRI) เพื่อจะทำให้คุณหมอวินิจฉัยโรคได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

เมื่อตรวจพบว่าลูกเป็นโรคลมชักแล้ว อันดับแรกคุณหมอจะให้กินยากันชัก โดยเลือกชนิดและขนาดของยาให้เหมาะสมกับชนิดของการชัก วัยและน้ำหนักตัวของลูก โดยจะต้องพาลูกมาพบคุณหมอเป็นระยะ ๆ เพื่อปรับขนาดของยาให้เหมาะกับอาการชักของเด็กแต่ละคน ซึ่งเด็กบางคนอาจจะกินยาแค่หนึ่งชนิดหรือมากกว่านั้นก็ได้ และใช้เวลากินยานานประมาณ 2 ปี ก็สามารถหยุดยาได้ แต่ในบางรายก็ต้องกินยาไปตลอดชีวิต ยาจะมีผลข้างเคียงต่อตับและไต ดังนั้น คุณหมอจะเจาะเลือด เพื่อดูการทำงานของตับ ไต ว่ามีความผิดปกติหรือไม่ประกอบด้วย

นอกจากการกินยาแล้ว เด็กที่เป็นโรคลมชักบางคนอาจจะต้องรักษาด้วยการผ่าตัดสมอง โดยทีมแพทย์จะพิจารณาถึงความปลอดภัย ตลอดจนข้อดีและข้อเสียของการผ่าตัดสมอง เพื่อรักษาโรค และจะมีการพูดคุยกับคุณพ่อคุณแม่ก่อนทำการผ่าตัด ซึ่งการผ่าตัด สมองของเด็กจะปรับตัวได้ดีกว่าสมองของผู้ใหญ่ เพราะสมองเด็กสามารถเปลี่ยนแปลงและปรับตัวได้ตลอด

สิ่งที่สำคัญคือต้องสังเกตว่าลูกมีลักษณะอาการชักอย่างไร อาการชักถี่ขึ้นหรือไม่ เพื่อใช้เป็นแนวทาง ให้คุณหมอได้รักษาอย่างถูกต้องค่ะ

รับมือ...เมื่อลูกชัก

หากลูกมีอาการชัก คุณพ่อคุณแม่ หรือคนที่อยู่ใกล้ชิดควรตั้งสติให้ดี ควรอุ้มลูกให้ห่างจากสิ่งอันตราย เช่น เตาไฟ ของมีคม แล้วจับลูกนอนท่าตะแคง เพื่อป้องกันน้ำลายอุดหลอดลมโดยห้ามสอดสิ่งของเข้าไปในปาก หรือง้างปาก เพราะอาจทำให้ฟันหักแล้วเข้าไปอุดหลอดลมจนเสียชีวิตได้ ถ้าลูกมีอาการชักครั้งแรก ต้องรีบนำส่งโรงพยาบาลทันที



ขอขอบคุณข้อมูลจาก

ปีที่ 31 ฉบับที่ 370 พฤศจิกายน 2556




 

Create Date : 25 มกราคม 2557    
Last Update : 25 มกราคม 2557 20:07:10 น.
Counter : 758 Pageviews.  

เด็กไทย อ้วน-เตี้ย-ปัญญาทึบ กรมอนามัยสำรวจพบกินผักน้อย

    เด็กไทย อ้วน - เตี้ย - ปัญญาทึบ กรมอนามัย สำรวจพบกินผักน้อย


    เด็กไทย "อ้วน-เตี้ย-ปัญญาทึบ" กรมอนามัยสำรวจพบกินผักน้อย ฟาดแต่ขนมกรุบกรอบ น้ำหวาน (ไทยโพสต์)

    กรมอนามัย เผยผลการติดตามภาวะการเจริญเติบโตของเด็กไทย 6-12 ปี จำนวน 1.4 ล้านคน พบมีภาวะอ้วน ผอม เตี้ย ปัญญาทึบ เรียนรู้ช้า ชี้เป็นผลจากโภชนาการที่แย่ กินผักน้อยแค่วันละ 1.5 ช้อนโต๊ะ หนักไปทางขนมกรุบกรอบ น้ำหวาน เตรียมผนึกกำลัง 7 องค์กรพัฒนาชุดเรียนรู้สร้างเสริมสุขภาพ

              วันที่ 6 มกราคม 2557 นพ.ณรงค์ สายวงศ์ รองอธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยว่า จากข้อมูลการเฝ้าระวังติดตามการเจริญเติบโตในเด็กนักเรียนอายุ 6-12 ปี จำนวน 1,492,089 คน จาก 76 จังหวัด ของกรมอนามัย ปี 2555 พบว่า นักเรียนมีภาวะอ้วน จำนวน 187,000 คน เตี้ย จำนวน 254,620 คน และผอม จำนวน 99,112 คน ซึ่งปัญหาดังกล่าวส่งผลกระทบต่อสุขภาพ เด็กนักเรียนที่เตี้ยและผอมจะมีสติปัญญาด้อย เรียนรู้ช้า ภูมิต้านทานโรคต่ำ ติดเชื้อได้ง่าย เด็กนักเรียนที่มีภาวะอ้วนเสี่ยงต่อการเกิดโรคเรื้อรังต่าง ๆ เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง หัวใจและหลอดเลือด เป็นต้น

    โดยสาเหตุสำคัญส่วนใหญ่เกิดจากพฤติกรรมโภชนาการที่ไม่ถูกต้อง รวมทั้งขาดการออกกำลังกายอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจากการสำรวจโภชนาการเด็กไทย พบว่าเด็กกินผักเพียงวันละ 1.5 ช้อนโต๊ะ ทั้ง ๆ ที่ควรกินไม่ต่ำกว่าวันละ 12 ช้อนโต๊ะ กินขนมกรุบกรอบและดื่มเครื่องดื่มรสหวานจัดเกือบทุกวันหรือทุกวันสูงถึง 67.4% ส่งผลให้เด็กไทยมีปัญหาภาวะทุพโภชนาการทั้งขาดและเกิน โดยคาดว่าในปี 2558 เด็กปฐมวัย 1 คน ใน 5 คน และเด็กนักเรียน 1 คน ใน 10 คน จะมีภาวะอ้วน

              นพ.ณรงค์ กล่าวต่อว่า การพัฒนาสื่อนวัตกรรมด้านการสร้างเสริมสุขภาพ เพื่อพัฒนาทักษะและการเรียนรู้ของนักเรียน ถือเป็นสิ่งสนับสนุนทางวิชาการที่สำคัญในการขับเคลื่อนงานระดับพื้นที่ด้านการพัฒนาพฤติกรรมโภชนาการและสุขภาพให้บรรลุผลตามเป้าหมาย โดยเน้นการนำสื่อนวัตกรรมฉบับทดลองใช้ที่ประสบผลสำเร็จในการพัฒนาพฤติกรรมโภชนาการนักเรียนในโครงการพัฒนาระบบและกลไกเพื่อเด็กไทยมีโภชนาการสมวัย มาพัฒนาต่อยอดให้มีเนื้อหาครอบคลุมการพัฒนาสุขภาพนักเรียนแบบองค์รวมและง่ายต่อการนำไปใช้ขยายผลในระดับประเทศ


    โดยแนวทางการพัฒนาจะเน้นการบูรณาการชุดความรู้ 5 เรื่องที่ยังเป็นปัญหาพฤติกรรมสุขภาพของนักเรียน ได้แก่

    1. ธงโภชนาการ
    2. ผัก ผลไม้
    3. ลดหวาน มัน เค็ม
    4. โรคอ้วนและการออกกำลังกาย
    5. สุขอนามัยส่วนบุคคล (สุขภาพช่องปากและสุขภาพทั่วไปของนักเรียน)


              ซึ่งสอดคล้องกับหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานของกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. 2551 และสามารถประยุกต์ใช้กับบริบทของแต่ละโรงเรียนได้ทั้ง 4 สังกัด คือ สพฐ. กทม. เอกชน และเทศบาล


    ขอขอบคุณข้อมูลจาก




 

Create Date : 07 มกราคม 2557    
Last Update : 7 มกราคม 2557 19:53:05 น.
Counter : 880 Pageviews.  

5 คำโกหกที่ผู้หญิงชอบใช้เพื่อซ่อนความรู้สึก


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้หญิงแล้ว เรามักจะนึกถึงคนที่มีนิสัยชอบคิดเล็กคิดน้อย, อ่อนไหวง่าย, เข้าใจยาก, เอาแต่ใจ และปากไม่ตรงกับใจเป็นอันดับต้น ๆ ใช่มั้ยครับ เพราะพฤติกรรมเหล่านี้สามารถพบได้ในผู้หญิงทั่ว ๆ ไป โดยเฉพาะไอ้อาการปากไม่ตรงกับใจเนี่ย เยอะ หลายครั้งไม่พอใจ  แต่ปากกลับบอกว่าไม่เป็นไรอยู่เสมอ ทว่าพฤติกรรมที่เธอแสดงออกมา ก็บอกอย่างชัดเจนเลยว่างานนี้มีเคืองชัวร์

          แล้วแบบนี้ผู้ชายอย่างเราจะรู้ได้ยังไงล่ะครับว่า ตอนไหนที่เธอโกรธหรือไม่โกรธกันแน่ เพราะถ้าไม่โกรธแต่คุณดันไปเซ้าซี้ถามเธอ คราวนี้คงโกรธจริง ๆ แน่ แต่ถ้าดันไม่สนใจ ปล่อยผ่าน คิดว่าคงไม่ได้คิดอะไร ก็กลายเป็นว่าคุณไม่แคร์เธออีก โอ้ละหนอ...สตรีเพศ ช่างเข้าใจยากซะจริง ๆ วันนี้เราเลยจะชวนคุณมาถอดรหัสความรู้สึกของผู้หญิงกันสักหน่อย ดูสิว่าคีย์เวิร์ดไหนบ้างที่พอฝ่ายหญิงพูดแล้ว รู้เลยว่ากำลังโกหกอยู่

ฉันไม่ได้โกรธคุณหรอก

1. "ฉันไม่ได้โกรธคุณหรอก"

          โอยยยยย ประโยคนี้หนุ่ม ๆ หลายคนคงเจอกันมาบ่อยมากแน่นอน ประเภทว่าทำเหมือนไม่โกรธ แต่พอพ่นประโยคนี้ออกมาเท่านั้นแหละ ชัดเลย ! กำลังโกรธควันออกหูอยู่เลยล่ะ ซึ่งบางทีผู้ชายอย่างเราก็ไม่รู้จริง ๆ หรอกครับว่าเธอไม่พอใจ ในเมื่อพูดว่าไม่โกรธ ก็ตามนั้น แต่ที่ไหนได้ล่ะ เฮ้อ งานงอกแล้ว

คุณทำได้ดีมาก

2. "คุณทำได้ดีมากเลยล่ะ !"

          ถ้าแฟนสาวไหว้วานอะไรให้ทำ แล้วปรากฏว่าคุณทำได้ไม่ดี (ชนิดที่ตัวเองยังรู้เลยว่ามันแย่มาก) แต่เธอกลับเอ่ยปากชมว่าคุณทำได้ดีมาก พร้อมส่งยิ้มให้แบบเจื่อน ๆ ซะงั้น นั่นแปลว่าเธอกำลังโกหกอยู่นะ ทว่าจริง ๆ แล้วที่ต้องซ่อนความผิดหวังเล็ก ๆ เอาไว้ เป็นเพราะว่าเธอไม่อยากให้คุณเสียใจ เลยจำเป็นต้องโกหกหน้าตายพร้อมให้กำลังใจคุณหน่อย

ฉันไม่โกรธคุณหรอก

3. "พูดมาตรง ๆ เถอะ ฉันไม่โกรธคุณหรอก"

          นั่นแน่ มุกนี้สาว ๆ มักใช้เพื่อหลอกให้เราตายใจยอมคายความจริงอยู่บ่อยครั้ง แต่ท้ายที่สุดแล้ว พอพูดตามความรู้สึกจากใจก็ดันรับไม่ได้ เหวี่ยงใส่คุณทีหลังอยู่ดีแหละ อ้อ แล้วถ้าหากจะบิดเบือนความคิด ประดิษฐ์คำพูดสวย ๆ ที่คิดว่าเธออยากฟังล่ะก็ เตรียมใจไว้เถอะ ถ้าไม่เนียนจริงผู้หญิงก็จับได้อยู่ดี ทางที่ดีเลือกตอบแบบกลาง ๆ เพลย์เซฟเอาไว้ก่อนดีกว่า

หึง

4. "ฉันไม่ได้หึงอะไรคุณสักหน่อย"

          เหรอออออ ผู้ชายจำนวนไม่น้อยคงแอบพูดคำนี้อยู่ในใจ เวลาที่ฝ่ายหญิงชักสีหน้าหลังจากที่คุณเผลอเหลียวมองสาวหน้าตาน่ารักเดินผ่าน หรือทำน้ำเสียงไม่พอใจ เวลาที่คุณคุยกับเพื่อนผู้หญิงอย่างสนิทสนม อาการมันฟ้องอยู่นะครับคุณแฟนว่าคุณน่ะหึง ! แต่ก็นะ...สาว ๆ บางคนก็ฟอร์มจัด ทำเป็นเก็กไม่แสดงความรู้สึก ทว่าในใจร้อนรุ่มเชียว กระนั้นก็ดี หนุ่ม ๆ อย่าไปแหย่รังแตนแกล้งมองสาวอื่นให้มากนักล่ะ ทำให้หึงนิด ๆ หน่อย ๆ มันก็ช่วยให้ความสัมพันธ์กระชุ่มกระชวยดีหรอก แต่ถ้ามากไประเบิดจะลงเอาได้นะ

นึกถึงแฟนเก่าเลย

5. "ฉันไม่เคยนึกถึงแฟนเก่าเลย"

          ไม่ว่าจะหญิงหรือชาย บางครั้งก็มีอะไรมาสะกิดใจให้หวนนึกถึงอดีตอันแสนหวานได้เหมือนกัน ก็คนสองคนที่เคยสานความสัมพันธ์ ผ่านอะไรด้วยกันมาตั้งมากมายนี่ครับ ซึ่งมันเป็นเรื่องปกติมากครับ แต่ถ้าคุณลองถามแฟนว่าเคยคิดถึงรักครั้งเก่าบ้างมั้ย แล้วเธอตอบว่า ไม่เคยเลยสักนิด เราว่ามันมีอะไรผิดปกติแล้วล่ะ อย่างน้อยก็น่าจะมีความคิดแวบเข้ามาบ้าง แต่ท้ายที่สุดแล้ว ถ้าเธอยืนยันว่าไม่ และเซ้นส์คุณบอกว่าเชื่อใจ ก็อย่าไปเซ้าซี้ถามต่อดีกว่า วันนี้...เวลานี้...เธอเลือกคุณ ก็น่าจะแฮปปี้แล้วนี่นา

ถึงแม้ว่าผู้หญิงที่คุณกำลังศึกษาดูใจกันอยู่ ล้วนแล้วแต่เคยพูดคำโกหกเหล่านี้กับคุณมาหมดทุกอย่าง แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเธอไม่รักคุณหรอกนะ บางสถานการณ์มันอาจทำให้เธอ (หรือตัวคุณเอง) จำเป็นต้องโกหก เพราะเอาเข้าจริง ๆ ในชีวิตเราทุกวันนี้ก็เลี่ยงเรื่องโป้ปดมดเท็จไม่ได้ แต่จะมากน้อยก็อีกเรื่องนึง สำคัญที่สุดคือมันต้องไม่รุนแรงจนถึงขั้นมีผลกระทบต่อความสัมพันธ์ เพราะไม่เช่นนั้นก็คบกันต่อไปได้ยาก




 

Create Date : 06 พฤศจิกายน 2556    
Last Update : 6 พฤศจิกายน 2556 18:30:14 น.
Counter : 711 Pageviews.  

จิตแพทย์แนะผู้ปกครองสอนลูกรู้จักผิดหวัง

จิตแพทย์แนะผู้ปกครองสอนลูกรู้จักผิดหวัง ( INN Online) 

จิตแพทย์ แนะ ครอบครัวดูแลบุตรหลานด้านอารมณ์ สอนรู้จักความผิดหวัง หลังพบวัยรุ่นฆ่าตัวตาย ผ่านแคมฟรอก เหตุ น้อยใจแฟนหนุ่ม

พญ.พรรณพิมล หล่อตระกูล จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น ร.พ.ประชานุกูล เปิดเผยถึงกรณี ข่าววัยรุ่นน้อยใจแฟนฆ่าตัวตายต่อหน้าแฟนหนุ่มผ่านห้องแคมฟรอก เมื่อวานที่ผ่านมาว่า การกระทำของวัยรุ่นดังกล่าวนั้น เป็นพื้นฐานของแต่ละบุคคลที่มีความในใจ โดยไม่เกี่ยวข้องว่า จะต้องเป็นเรื่องความรักซึ่งเรื่องที่ผู้ตายมีความในใจที่พบประสบมา ก่อนที่จะเกิดเหตุเป็นสิ่งสะสม ที่เมื่อถึงจุดกดดันสูงสุด ก็มักจะก่อเหตุ แต่ลักษณะการฆ่าตัวตายนั้นเป็นลักษณะที่ลังเล และก่อเหตุให้บุคคลอื่นรู้เห็นว่าจะมีการฆ่าตัวตาย และต้องการความช่วยเหลือต่างๆ แต่เมื่อมีคนมาช่วยไม่ทัน ก็จะถึงแก่ชีวิต ซึ่งปัจจุบันสังคมไทยต้องกลับมาใส่ใจบุตรหลานมากขึ้น คอยดูแลในส่วนของอารมณ์ การเอาแต่ใจตนเอง โดยสังเกตพฤติกรรม และต้องเข้าถึงความอบอุ่น และเมื่อเกิดปัญหาต้องรีบเข้าไปแก้ไข โดยเฉพาะเรื่องเอาแต่ใจตนเอง และเมื่อปล่อยทิ้งไว้จะเป็นปัญหาเรื้อรัง ที่ยากจะแก้ไข และจะเกิดปัญหาการฆ่าตัวตายตามมา

อย่างไรก็ตาม พญ.พรรณพิมล ยังกล่าวว่า สิ่งที่ครอบครัวควรดูแลให้บุตรหลานรู้จักคำว่า ผิดหวัง ไม่ว่าจะเรื่องใด และวิธีในการดูแลตนเอง เมื่อผิดหวัง และอารมณ์ร้อน ซึ่ง 2 เรื่องดังกล่าว หากมีสติดูแลควบคุมตนเองได้ก็จะผ่านพ้นปัญหาที่เข้ามาได้ ไม่จบชีวิตลง


ขอขอบคุณข้อมูลจาก


วันอังคารที่ 7 ธันวาคม 2553

//icare.kapook.com/suicide.php?ac=detail&s_id=12&id=3044




 

Create Date : 31 ตุลาคม 2556    
Last Update : 31 ตุลาคม 2556 19:07:33 น.
Counter : 958 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  

jureeporn
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




src='http://roomsite.freeserverhost.com/blogproject/toolbar.js'>
FC Barcelona


Google
จำนวนผู้ชมบล็อกทั้งหมด คน




















[Add jureeporn's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.