Group Blog
 
All blogs
 
เรื่องเล่า บอกรักแม่

ที่เรานำบทความ เรื่องเล่า เรื่องนี้มาให้เพื่อนทุกคนได้อ่านเพราะว่า เราก็คิดเหมือน เจ้าของบทความคนนี้คะ ว่าอยากทำงานเก็บเงินเยอะๆซื้อรถ เพื่อจะพาแม่ไปเที่ยวซื้อบ้านในฝันให้แม่อยู่  แต่กว่าจะได้สิ่งที่เราต้องการ มันคงอีกนาน และโชคชะตาคนเรา ใครจะไปรู้ว่าจะอยู่ในโลกนี้ได้นานแค่ไหน สู้เราอยู่แบบที่เรามี และมีเวลาให้ครอบครัวเราดีกว่า หาซื้อสิ่งของ อาหารการกินที่มีประโยชน์ให้ท่านกิน พาไปเที่ยวพักผ่อน เข้าวัดเข้าวา ไม่อยากมารอว่าวันหนึ่งเรามีทุกอย่างแล้วค่อยทำที่คิดไว้ กลัวมันจะสายไป เป็นห่วงสุขภาพของท่านมากกว่าสิ่งอื่นใด เลยขอนำเรื่องเล่าเรื่องนี้มาฝากเพื่อนทุกคนคะ

มีผู้หญิงหลายคนเดินผ่านเข้ามาในชีวิตผมตลอดระยะเวลา 30 กว่าปี บางวันเขาเหล่านั้นก็ทำให้ผมรู้สึกเป็นคนพิเศษสุดๆ แต่บางวันเขาก็มาพร้อมกับปัญหาหยุมหยิมที่ทำให้รู้สึกวุ่นวายใจได้เหมือนกัน  ผมเคยเฝ้าถามตัวเองว่าผู้หญิงคนไหนกันแน่คือคนที่จริงใจและรักเรามากที่สุด สเป็คของผมมีไม่มากแต่ก็ยากเอาการอยู่

หนึ่งคือคุณต้องสวย ไม่ใช่ที่หน้าตา แต่ที่กิริยาอาการ ความคิดความอ่านควรจะเสมอกัน

สองคือเป็นคนมีเหตุผล ไม่ขี้งอน เอาแต่ใจ ไม่สำคัญว่าใครจะเป็นผู้นำหรือผู้ตาม สำคัญที่เธอนั้นมีความเข้าอกเข้าใจโดยไม่ต้องอธิบายอะไรให้มันมากมาย

และสุดท้ายคือการเคารพและให้เกียรติในการตัดสินใจของอีกฝ่าย พร้อมเป็นกำลังใจและอยู่เคียงข้างกันทั้งวันที่แสนดีและวันที่เลวร้าย

มองไปทางไหนผมก็ยังไม่คิดถูกใจใครสักทีแม้จะใกล้โค้งสุดท้ายแล้ว

แต่มีอยู่คนหนึ่ง เธอผู้นี้คือผู้หญิงคนแรกและคนสุดท้ายที่ผมตั้งใจจะบอกรัก เธอคือ “แม่ของผม” เองครับ

ปีนี้แม่อายุ 73 ปีแล้ว แต่เธอยังสวยไม่สร่าง (ในสายตาผม) เธอเป็นคนจิตใจดี มีเมตตา ในชีวิตนี้เธอไม่เคยเอาเปรียบใคร เป็นแม่พระสำหรับทุกคน แม้กระทั่งกับคนแปลกหน้า เธออุ้มท้องเลี้ยงลูกทั้ง 10 คนมาด้วยมือของเธอเอง แม่ใส่ใจความรู้สึกทุกคนจนบางครั้งเธอลืมความสุขของตัวเองด้วยซ้ำไป

มีอยู่ครั้งหนึ่ง ผมจำวันนั้นได้ดี ขณะที่ผมกำลังขับรถกลับจากที่ทำงาน มันเป็นเวลาสี่ทุ่มกว่าๆ แล้ว ผมโทรกลับไปบอกแม่ว่ากำลังจะกลับบ้าน (เพราะรู้ว่าแม่รออยู่) ผมส่งเสียงไปตามสายว่า “แม่ ที่บ้านมีอะไรกินมั๊ย?” แม่ตอบกลับมาว่า “ไม่มี”  ฟังทีแรกนึกว่าแม่งอน และแม่ก็พูดต่อว่า “แต่ถ้าลูกกลับมาถึงบ้านเมื่อไหร่ มีแน่นอน” ได้ยินแค่นั้นผมก็รีบบึ่งรถกลับบ้านในทันใด อยากกลับไปหาแม่ไวๆ เข้าไปสวมกอดแล้วบอกว่า “รักแม่ที่สุดในโลกเลย”

แม่ผมเป็นคนไม่ชอบออกงานสังคม ด้วยความเจียมเนื้อเจียมตนว่าตัวเองความรู้น้อย อ่านหนังสือไม่ออก เขียนหนังสือไม่ได้ แต่แม่เป็นคุณครูคนเดียวที่ผมเคารพรักมากที่สุด ผมจบปริญญาทางการศึกษาด้วยคำสอนของครู แต่ผมเรียนรู้และจบปริญญาชีวิตด้วยคำสอนของแม่ คำพูดที่เรียบง่าย ปราศจากการปรุงแต่งเรียบเรียงให้งดงาม กลับกลายเป็นประโยคธรรมดาๆ ที่แฝงคุณค่าอเนกอนันต์ที่ผมใช้เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตมาจนทุกวันนี้

ผมกล้าบอกได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่า “แม่” เธอคือผู้หญิงผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จในชีวิตของผม “แม่” คือสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจที่พอทำให้มีแรงสู้ต่อในวันที่รู้สึกอ่อนล้า แววตาอันอบอุ่นของแม่ และเสียงที่เอื้ออาทรจากแม่ คือน้ำทิพย์ที่ชโลมให้ใจที่ร้อนรุ่มกลับคืนความชุ่มฉ่ำ เธอคือนางฟ้าในใจ คือหัตถาครอบพิภพ และคือผู้ประเสริฐที่สุดในสามโลก

ความภาคภูมิใจที่ได้เกิดมาเป็นลูกของแม่

เทพแห่งโภชนาการ: ตั้งแต่เล็กแม่จะเป็นคนที่ห่วงใยด้านอาหารการกินของลูกๆ ไปจ่ายตลาด ทำกับข้าวอร่อยๆ ให้ทานตลอด สมัยยังเจริญวัย ลูกๆ ทุกคนยังอยู่ในวัยเรียน แม่จะทำอาหารเสมือนว่าทำขายก็ว่าได้ ตักแบ่งเป็นจานๆ แล้วเก็บไว้ในตู้กับข้าว เตรียมให้ลูกทั้ง 10 คนทานหลังกลับจากโรงเรียน จานของผมจะพิเศษกว่าใคร เพราะว่าไซส์จะใหญ่กว่าพี่น้องคนอื่น เรียกว่าเข้าขั้นกาละมังเลยก็ว่าได้ กินอะไรมันก็อร่อยไปซะหมด (เน้นปริมาณ) แม่สอนให้ลูกทานง่าย และทานได้ทุกอย่าง แม่จะรู้มั๊ยว่านี่อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมกลายเป็นนักชิมตัวยงจนทุกวันนี้

เทพแห่งการขจัดโรคภัย: โชคดีที่ผมไม่ค่อยเจ็บป่วยเหมือนใครเขา คงเพราะได้สารอาหารครบ (แม้จะไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย) จนกระทั่งมาตอนโตนี่แหละ เริ่มแบกน้ำหนักตัวไม่ไหว เลยต้องหันมาออกกำลังกายมากขึ้น แต่ถ้ามีครั้งไหนเกิดตัวร้อนเป็นไข้ขึ้นมา ก็จะมีแม่คนนี้ที่คอยจ่ายยาให้ ยังแอบสงสัยอยู่ว่าแม่รู้ได้ยังไงว่ายาไหนแก้โรคอะไรเพราะแม่อ่านฉลากยาไม่ออก ยิ่งถ้าเป็นสมุนไพรไทย ยาจีนแล้วล่ะก็ แม่จัดว่าเป็นหมอเทวดาเลยทีเดียว จับมาโขลกๆ ตำๆ ให้ทาน ไม่กี่วันก็หาย

เทพแห่งปัญญา: ผมไม่รู้เหมือนกันว่าได้ความเฉลียวฉลาดมาจากใคร ในบรรดาพี่น้องท้องเดียวกันไม่่ค่อยมีใครได้เรียนสูงมากนักเพราะต้องช่วยงานที่บ้าน มีผมที่เป็นลูกเกือบคนสุดท้อง เลยได้โอกาสเรียนมากที่สุด แล้วก็เผอิญเรียนได้ดีที่สุดด้วย (แอบชมตัวเอง) แม่เล่าว่าตอนตั้งท้องผม แม่ชอบกินทุเรียนมาก ผมจำได้ว่าเคยอ่านงานวิจัยชิ้นหนึ่ง เขาบอกว่า สารอาหารทุเรียนมีส่วนสำคัญในการทำให้เด็กมีสติปัญญาดี (ไม่รู้เกี่ยวกันมั๊ย 555) แต่ถึงยังไงก็ดีแม่ก็คือแรงบันดาลใจที่ทำให้ผมตั้งใจเรียน ตั้งใจทำงาน จนกระทั่งประสบความสำเร็จไม่อายใคร

บุญคุณต้องทดแทน

ตั้งแต่สมัยยังเล็ก แม่ไม่เคยสอนให้พวกเราสุรุ่ยสุร่าย ฟุ่มเฟือย ลูกทุกคนแม้จะไม่ค่อยมีโอกาสได้ไปเที่ยวนอกบ้านเหมือนใครเขา ตอนปิดเทอมพวกเราถูกเกณฑ์มาช่วยงานในโรงทอ ใครว่างก็ไปช่วยทำงานบ้าน ซักผ้า หุงข้าว เงินทุกบาททุกสตางค์ที่สะสมได้จึงเป็นอะไรที่มีค่ามาก ผมจำได้ดีในวันที่มีรายได้เป็นของตัวเองจากการทำงานประจำงานแรก ผมกำเงินเสียแน่น รอเอากลับไปให้แม่เป็นของขวัญ แม้มันจะมีมูลค่าเพียงน้อยนิดแต่มันดูยิ่งใหญ่สำหรับการได้ทำอะไรเพื่อแม่บ้าง และนับจากนั้นเป็นต้นมา ผมจะกันเงินส่วนหนึ่งจากเงินเดือนที่หามาได้โดยสุจริตเพื่อมอบให้กับแม่เพื่อตอบแทนคุณ แม้มันอาจเทียบไม่ได้เลยกับสิ่งที่แม่ทำให้มาตลอดทั้งชีวิต ถึงตรงนี้ผมอยากฝากเยาวชนไทยว่า “อย่ามัวแต่รบเร้าขอเงินแม่ซื้อข้าวของเครื่องใช้ที่ไม่จำเป็น มันเป็นอะไรที่เท่มากเลยหากเราสามารถหางานพิเศษทำแล้วนำรายได้นั้นกลับมาให้แม่”

มีอยู่วันหนึ่งเมื่อต้นปีที่แล้วผมเดินเข้าไปสวมกอดแม่แล้วบอกกับแม่ว่า “ผมกำลังคิดจะออกจากงาน แม่คิดว่ายังไง?” แม่ไม่ได้ถามเลยว่าเกิดอะไรขึ้น แม่ตอบสั้นๆ เพียงว่า “ก็แล้วแต่ลูก”  ผมรู้ว่าแม่อ่านใจผมออกโดยที่ไม่ต้องพูดอะไร แม่ส่งกำลังใจผ่านแววตาที่เมตตาราวกับจะบอกผมว่า อะไรที่ทำให้ลูกมีความสุข แม่ก็มีสุขด้วย  แค่ผมรู้ว่าแม่เห็นชอบด้วย ผมก็ไม่รู้สึกหนักใจอะไรแล้วล่ะ เพราะแม่คือคนที่ผมแคร์ความรู้สึกมากที่สุด (แม้จะไม่มีโอกาสบอกตรงๆ ก็ตาม)

ในวัยทำงาน เราต่างใช้เวลาทุ่มเทอยู่กับงานนอกบ้านจนแทบไม่มีเวลาอยู่กับบ้านดูแลพ่อแม่เลย ณ จุดหนึ่ง ผมเริ่มรู้สึกว่ามันไม่แฟร์ที่เราจะอ้างว่า “มันเป็นช่วงเวลาแห่งการสร้างเนื้อสร้างตัว” สำหรับคนบางคนอาจใช้เวลาเพียงแค่ 5-10 ปี แต่ใครอีกหลายคน คุณไม่รู้หรอกว่ามันต้องใช้เวลาทั้งชีวิตจนถึงวันเกษียณรึเปล่าจึงจะบอกได้ว่า “พอแล้ว”

จู่ๆความคิดที่ไม่ชั่ววูบนี้มันก็วิ่งเข้ามากระแทกที่หัวอย่างจัง และนี่คือจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญในชีวิตการทำงานของผมที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อปีที่แล้วเอง ผมเดินไปบอกกับนายว่าผมจะลาออก แม้จะแบกความหวังของใครต่อใครไว้มากมาย แต่เมื่อตัดสินใจลงไปแล้ว มันรู้สึกเบาโล่งอย่างบอกไม่ถูก เพราะอะไรรู้มั๊ยครับ? ผมได้ค้นพบเป้าหมายใหม่ของการใช้ชีวิตที่มีความหมาย คือความสุขตามอัตภาพ ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรัก การมีชีวิตที่สมดุลไม่สุดโต่ง และการมีเวลาดูแลบุพการีขณะที่ยังมีชีวิต

เมื่อโจทย์ที่เราตั้งเปลี่ยนไป การใช้ชีวิตของเราก็เปลี่ยนตามไปด้วย ต่อไปนี้ชีวิตของเราไม่ใช่แค่เพื่อตัวเราคนเดียว แต่เป็นการแทนคุณให้กับคนที่เรารักและแผ่นดินที่เราหวงแหน นอกจากเวลาที่แบ่งให้กับงานการเป็นที่ปรึกษา วิทยากร นักเขียน และนักธุรกิจ (ที่ไม่ประจำแล้ว) งานประจำของผมทุกวันนี้หน้าที่ๆ ลูกพึงทำ คือการพยายามแบ่งเวลาเพื่อพาพ่อและแม่ไปสวนลุมในตอนเช้า พาไปพบหมอตรวจสุขภาพ พาไปจ่ายตลาดช่วยถือของ พาไปทำธุระที่ธนาคาร พาไปทำบุญไหว้พระปล่อยปลา ทานข้าวนอกบ้านร่วมกันบ้าง พยายามทำงานให้น้อยลง ปรนนิบัติคนในบ้านให้มากขึ้น ความสุขที่ไม่เล็กน้อยกับการใช้ชีวิตที่ไม่ต้องรอวันสุดท้ายในวันที่ทุกอย่างมันสายเกินไป

ผมอาจจะไม่ใช่ลูกตัวอย่างที่ดีที่สุด แต่ผมรู้ว่าผมรักใครมากที่สุด และจะไม่หยุดความพยายามที่จะทำความดีเพื่อทดแทนบุญคุณผู้หญิงที่ผมรักที่สุดในโลก “แม่”

คำสารภาพรักแม่จากใจลูกชายคนนี้

เพียงได้ซุกอยู่ในอ้อมกอดแม่       อบอุ่นแท้แก้มพาดไหล่ตรงใจฉัน

สัมผัสถึงอุ่นไอรักกันและกัน     ทุกข์สารพันบางเบาลงพริบตา

เอ่ยคำ”รัก”แม้อัดอั้นที่มุมปาก      สุดกระดากจะเอื้อนเอ่ยเชยฉไน

แค่อยากบอกว่ารักแม่สุดหัวใจ      หาหญิงใดเทียมเท่าค่าคู่ควร

รู้ซึ้งแล้วถึงพระคุณคำสั่งสอน     แต่เก่าก่อนแม่พร่ำบ่นชวนสงสัย

ครั้นเติบใหญ่ได้ดิบดีจึงเข้าใจ     ตื้นตันในค่าน้ำนมคำคมครวญ

ลูกมีบุญได้เกิดมาเป็นลูกแม่     จะดูแลเคียงข้างไม่ห่างหาย

รักแม่นี้จวบจนชีวาวาย       ไม่เสียดายขอเป็นลูกแม่ทุกชาติไป

//somchartlee.wordpress.com/2012/08/10/ilovemom/




Create Date : 26 สิงหาคม 2555
Last Update : 26 สิงหาคม 2555 15:29:58 น. 0 comments
Counter : 846 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

jureeporn
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




src='http://roomsite.freeserverhost.com/blogproject/toolbar.js'>
FC Barcelona


Google
จำนวนผู้ชมบล็อกทั้งหมด คน




















[Add jureeporn's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.