... เจ็บแล้วจำคือคน เจ็บแล้วทนคือควาย ...

เที่ยวปักกิ่ง ตอนที่ 5 นั่งสามล้อชมเมืองเก่าหูถง วันที่ 26





ตอนนี้จะไปนั่งสามล้อชมเมืองเก่า หูถง ก่อนจะไปเที่ยวต้องรู้ประวัติก่อนนะ "หูถ้ง" มีถนนเล็ก ๆ ใหญ่ ๆ ต่างๆที่ตัดกันสลับไปสลับ เป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของสถาปัตยกรรมเมืองปักกิ่ง "หูถ้ง" เสมือนหนึ่งเป็นหลอดเลือดที่เชื่อมโยงไปทั่วทั้งเมืองปักกิ่ง เป็นภาพ สะท้อนถึงความลุ่มลึกทางวัฒนธรรมของปักกิ่ง อาจกล่าวได้ว่า ถ้าอยากจะซึมทราบวัฒนธรรมเก่าแก่และกลิ่นอายการดำเนินชีวิตของ ชาวปักกิ่ง ก็ต้องหาทางเข้าไปให้ถึง "หูถ้ง""หูถ้ง"ส่วนใหญ่ในปักกิ่งสร้างขึ้นในสมัยราชวงค์หยวน(ราวศตวรรษที่13) มีพัฒนาการมาหลายร้อยปีแล้ว ส่วนใหญ่หันทิศทาง ในแนวตะวันออกไปตะวันตก และมีความกว้างไม่เกิน9เมตร สิ่งปลูกสร้างใน"หูถ้ง"ส่วนใหญ่เป็นบ้านจีนแบบโบราณที่เรียกว่า "ซื่อ เหอย่วน" ซึ่งเป็นบ้านชั้นเดียว มีลานอยู่ตรงกลาง และมีห้องอยู่โดยรอบทั้ง4ทิศ "ซื่อเหอย่วน"ใหญ่เล็กตั้งเรียง รายติดๆกัน ส่วนทางเดินที่อยู่ระหว่าง"ซื่อเหอย่วน"ก็คือ"หูถ้ง"นั่นเอง
ลำพังดูจากข้างนอก"หูถ้ง"มีหน้าตาคล้ายคลึงกันก็จริง แต่บรรดา "หูถ้ง"ทั้งหลายต่างมีเอกลักษณ์และเรื่องราวของตนเอง
"ไป เที่ยวหูถ้ง"เพื่อจะได้รู้จักปักกิ่งและซึมทราบวิถีชีวิตอันเก่าแก่ของชาว ปักกิ่งด้วยตนเอง โดยการนั่งบนสามล้อเที่ยวชม"หูถ้ง"ต่างๆ อย่างสบาย ๆ ฟังคนขี่สามล้อเล่าเรื่องตำนานเกี่ยวกับ"หูถ้ง"และ"ซื่อ เหอย่วน"ท่ามกลางกลิ่นดอกไม้ที่หอมอบอวลและลมเย็นที่โชยมา แต่ไม่รู้ว่าจะฟังออกหรือเปล่า แต่เค้าท่าทางตลกดี....



อันนี้เป็นร้านขายของชำระหว่างทางที่จะไปขึ้นสามล้อ เค้าขายที่คาดผมแบบซูสีไทเฮาด้วย
Photobucket

อันนี้เป็นสถานทูตของอะไรซักอย่างจำไม่ได้ ดูรูปธงเอา


Photobucket

เดินมาถึงแล้ว สามล้อที่รอคอยเราเป็นแถวยาวเลย
Photobucket

Photobucket

เค้าบอกเลือกได้เราเลือกคนนี้ แบบหนุ่ม ๆ หน่อย เพราะเดี๋ยวเค้าถีบไม่ไหวเพราะเราตัวหนักอิอิ...

Photobucket

Photobucket

มีคนมาใช้บริการเยอะนะ
Photobucket


Photobucket


มีเลขทะเบียนด้วย
Photobucket


ผ่านบ้านเรือนเก่า ๆ วิวดี อากาศก็ดี เย็นสบาย

Photobucket


บ้านคนมีตังค์ส่วนใหญ่จะมี 2 ตัวนี้อยู่เป็นฮวงจุ้ย ร้านนี้เป็นผับจะเปิดบริการตอนกลางคืน เหมือนสีลมบ้านเราแหละ
Photobucket

อันนี้อีกร้านนึง ตอนกลังคืนคงนั่งแบบชิว ๆ นะ เพราะอีกฝั่งตรงกันข้างเป็นทะเลสาป
Photobucket


ร้านนี้อย่างหรู
Photobucket


อันนี้ฝั่งตรงข้างถนน ทะเลสาปมั้งหรือแม่น้ำเรียกไม่ถูก แต่สวย อากาศดี ร่มรื่น
Photobucket


Photobucket



อันนี้รูปปั้นของบุคคลสำคัญนะ
Photobucket


บรรยากาศดีมั้ยล่ะ
Photobucket


อาคารบ้านเรือนเก่า ๆ บางหลังมีคนอยู่ บางหลังไม่มีคนอยู่แล้วเพราะรัฐบาลจีนกำลังจะผลักดันคนพวกนี้ไปอยู่ที่ใหม่เพราะต้องการจะพัฒนาเมืองให้เจริญ
Photobucket


อันนี้เจริญหน่อย
Photobucket


บรรยากาศสองข้างทางจะมีต้นหนิวไปตลอดแนวสวยมาก ใบเป็นเส้น ๆ เหมือนไม้ไล่ยุง แล้วมันย้อยลงมา สวยมาก
Photobucket

Photobucket


อันนี้ถ่ายมาเพราะชอบที่เขาทำ ต้นไม้ให้เป็นสาย ๆ เรียงกัน
Photobucket


อันนี้เป็นภัตตาคารที่ขึ้นชื่อของที่นี่
Photobucket


เป็นซอยแยกเข้าไป จากถนนหลัก
Photobucket



รูปปั้นอีกแล้ว
Photobucket

Photobucket


แก้วที่มีผ้าปิด เป็นเหล้า คล้าย ๆ เหล้าขาวบ้านเรา ที่นี่เค้าทำเองขายเอง
Photobucket






อันนี้ร้านขายของชำเป็นห้องเล็ก ๆ แต่มีของเยอะ
Photobucket


อีกซักรูป
Photobucket

Photobucket

Photobucket


เสร็จแล้วใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง สถานที่ไหนวิวดีเค้าจะจอดให้ถ่ายรูป แล้วทิปให้คนละ 5 หยวน ประมาณ 25 บาท บางคนสงสารให้มากกว่านั้นก็มี แต่เราเบี้ยน้อยหอยน้อย ให้ 5 หยวนพอ เค้าก็ดีใจแล้ว

จากนี้ไปเราจะไปต่อกันที่สนามกีฬารังนกนะจ๊ะ ตามมา ๆ

ตอนต่อไปค่ะ คลิ๊กเลย




 

Create Date : 01 กรกฎาคม 2552    
Last Update : 10 มิถุนายน 2553 16:54:27 น.
Counter : 4715 Pageviews.  

เที่ยวปักกิ่ง ตอนที่ 4 กินข้าวเที่ยง วันที่ 26



ระหว่างทางไปร้านอาหาร มีสวนสาธารณะหลายแห่ง ร่มรื่นมาก


Photobucket

ออกจากจตุรัสเทียนอันเหมินแล้วก็ต้องเติมพลังกันหน่อยนะ เพราะเดินมาไกลมาก ปวดขา ฝ้าขึ้น... ถึงแล้ว ร้านอาหารกลางวันของเรา ภัตตาคารอีกเช่นเคย

Photobucket

Photobucket


ในร้านอาหารที่ไปมีมุมขายของด้วย ไปถึงด้วยความไม่เคยได้ใช้เงินเลย อยากจะซื้อมาก อะไรก็ตื่นตาตื่นใจไปหมด แต่ไกด์บอกให้ใจเย็น ๆ มีทีให้ช็อปอีกเยอะ เลยอด แง่วว....

Photobucket


มาแล้วของกิน ข้าวมาก่อน เป็นแบบโต๊ะจีน มีข้าว โค้ก เบียร์มาเสริฟก่อน เบียร์ยี่ห้อชิงเต่า เป็นเบียร์ที่ขึ้นชื่อมาก เราลองเลี้ยงเหมือนเบียร์ลีโอ ไม่ขมมาก แก้อาหารเลี่ยน

Photobucket

อาหารเพียบ ไม่มีอันไหนเผ็ดเลย มีผัดถั่วงอก บ้านเค้ากินแต่ก้านใบเลี้ยงเด็ดทิ้งหมด หมูสับปรุงเครื่องแล้วเอาไปนึ่ง ผัดผักกระหล่ำปลี เต้าหู้ทอดทรงเครื่อง ปลาอะไรไม่รู้นึ่งซีอิ้ว เหมือนปลาช่อน แต่ก้างเยอะ ฟักผัดกับเนื้อไก่ อย่างอื่นเรียกไม่ถูก มีแต่ผัด ๆ เด็ดสุดน้ำแกงเป็นน้ำแกงหวาน ๆ ใส่ไข่แต่ทำเหนียว ๆ เหมือนเต้าส่วน ตลกดี สุดท้ายเหลือเพียบ

Photobucket

Photobucket


And After อิอิ...
Photobucket


ผลไม้เป็นแอปเปิ้ลสไลด์ บางงงงมาก หรือว่าผลไม้บ้านเค้าแพง
Photobucket



พอออกมาก็เจอรถเข็นขายผลไม้ มีหลายอย่าง ลิ้นจี่เขียว ๆ ลูกท้อ ลูกพลัม แล้วก็ลูกอะไรไม่ร้สีแดง ๆ เนื้อเหมือนผลมะเดื่อ แต่รสชาดคล้ายสตอเบอรี่ เปรี้ยว ๆ หวาน ๆ อร่อยดี เวลาซื้อพูดไม่ถูกแต่อยากกิน สื่อสารลำบาก เราก็ว่าเราพูดถูกแล้วนะ แต่เขาก็ยังไม่เข้าใจ ไกด์ต้องช่วย เค้าขายเป็นชั่ง หรือเรียกว่า จิ่ง 1 จิ่ง = ครึ่งกิโล จิ่งละ 10 หยวน ประมาณ 50 บาทบ้านเรา

Photobucket


Photobucket


ข้างในเป็นแบบนี้ ไม่ค่อยชัดเท่าไหร่
Photobucket

> จบแล้วต่อไปเราจะไปนั่งสามล้อ ชมเมืองเก่า หูถง นะจ๊ะ ตามมา ๆ

ตอนต่อไปค่ะ คลิ๊กเลย




 

Create Date : 01 กรกฎาคม 2552    
Last Update : 10 มิถุนายน 2553 16:54:02 น.
Counter : 925 Pageviews.  

เที่ยวปักกิ่ง ตอนที่ 3 จตุรัสเทียนอันเหมิน วันที่ 26



ก่อนไปดูจตุรัสฯ ก็มาอ่านประวัติกันซักนิดก่อนนะ
จตุรัสเทียนอันเหมิน ตั้งอยู่ที่ถนนฉางอาน ในกลางเมืองหลวง ว่ากันว่า เป็นจตุรัสที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีเนื้อที่ ๔๔ เฮกตาร์ เป็นสัญลักษณ์์ของจีนใหม่ และยังเป็นสัญลักษณ์ ของกรุงปักกิ่งด้วย ใช้จัดงานเฉลิมฉลอง เนื่องในโอกาสพิเศษต่าง ๆ ที่บริเวณจตุรัสเทียนอันเหมิน และอาคารล้อมรอบ ประกอบด้วยอนุสาวรีย์วีรชน หอระลึกประธานเหมาเจ๋อตง พิพิธภัณฑ์การปฏิวัติจีน พิพิธภัณฑ์์ประวัติศาสตร์จีน มหาศาลาประชาชน เป็นที่น่าสังเกต ว่าเมื่อผู้นำ ของประเทศต่าง ๆ เยือนจีน จะมีพิธีต้องรับที่หน้า มหาศาลาประชาชนด้วย โดยพิธีต้อนรับ จะมีการตรวจ แถวทหารกองเกียรติยศส่วนพิธีจะยิ่งใหญ่ ขนาดไหนขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ ระหว่างประเทศ หรือการให้ความสำคัญ ของจีนต่อประเทศนั้น ๆ นักท่องเที่ยว ที่มาปักกิ่ง ก็มักถือโอกาสถ่ายรูป ที่บริเวณ จตุรัสเทียนอันเหมิน รวมทั้งเฝ้า ดูพิธีชักธงชาติจีนขึ้น หรือลงจากเสาในตอนเช้า และตอนเย็นของทุกวัน ส่วนวันชาติจีนหรือวันที่ ๑ ต.ค.ของแต่ละปีนั้น ทางการปักกิ่งจะทำการประดับไม้ดอกต่าง ๆ ที่บริเวณจตุรัสเทียนอันเหมิน และประดับโคมไฟ หลายสีตามถนนฉางอาน เช่นเดียวกับการที่ กทม.ได้ประดับโคมไฟ ตามถนนราชดำเนินเนื่องใน วโรกาสเฉลิม พระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จ พระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินีนาถ ทำให้ชาวชนบทในจีน มุ่งหน้ามาท่องเที่ยว และชมความสวยงาม ในกรุงปักกิ่ง นอกจากนี้จตุรัส เทียนอันเหมิน ยังมีประวัติศาสตร์ เหมือนกับถนนราชดำเนิน โดยในปี ๑๙๘๙ นักศึกษาจีน ได้ชุมนุมประท้วง ที่จตุรัสเทียนอันเหมินรวม ๒ เดือน จนกระทั่ง กองกำลังทหาร ได้เข้าปราบปราม จนเกิดเหตุรุนแรงขึ้น


ระหว่างทางเดินที่จะออกไปจตุรัสเทียนอันเหมิน
Photobucket

ระหว่างทางมีน้ำขายด้วยแต่ไม่กล้าซื้อกิน กลัวไม่อร่อย เสียดายตังค์ น้ำเปล่าเราก็มี
Photobucket

มีชาวจีนมั้งแต่งชุดประจำเผ่า หน้าตาบ่งบอกเหลือเกิน ชอบ ๆ
Photobucket


ยังต้องเดินอีกไกล
Photobucket

มีทหารเฝ้าที่ประตูทางออกด้วย
Photobucket


มีทหารที่เฝ้าระหว่างทางด้วย
Photobucket


เสาไฟที่จตุรัสฯ
Photobucket


ต้องเดินลอดอุโมงค์เพื่อเดินไปยังจตุรัสฯ ไปเจอน้องคนนี้น่ารัก ถวายบังคมไทเฮา อิอิ (กล้องบ้าไม่ชัด รู้ก็สายไปแล้ว)
Photobucket

Photobucket

Photobucket

ระหว่างทางมีคนขายของ ขายแบบแอบ ๆ
Photobucket


ดอกไม้สวยมาก พักเหนื่อยก่อน ร้อนมากกกก
Photobucket

Photobucket

วิวข้างทางเป็นโบสถ์คริสต์มั้ง
Photobucket

มองย้อนกลับไป
Photobucket

Photobucket

มาถึงแย้วว...จะมาเจอคนนี้แหละ หามุมถ่ายได้แค่นี้ คนเยอะมาก
Photobucket

ออกมาแล้วเห็นรูปประธานเหมาป่าวว แต่ถ่ายได้แค่นี้
Photobucket

Photobucket

Photobucket

ประตูนี้สำคัญนะ เรียกว่า ประตูเทียนอาน หรือเทียนอานเหมิน เดิมทีเป็นประตูหน้าของพระราชวังสร้างเมื่อปี ค.ศ. 1417 มีชื่อเดิมว่า "เฉิงเทียน
เหมิน" หลังซ่อมแซมใหม่ในสมัยจักรพรรดิซุ่นจื้อแห่งราชวงศ์ชิง ในปี ค.ศ. 1651 ได้เปลี่ยนชื่อเป็นเทียนอานเหมิน จากประตูนี้ เราสามารถเดินทะลุเข้าวังต้องห้ามได้
ลักษณะของประตูวังเก่าแห่งนี้ เป็นกำแพงใหญ่ ชั้นบนสร้างเป็นเก๋งหลังคาสีเหลือง มีเสากลมสีแดง 10 ต้น เพื่อให้เกิดเป็นช่วงระหว่างเสา 9 ช่อง ตามตัวเลขทรงโปรดของจักรพรรดิ ชั้นล่างเป็นช่องประตูทรงเกือกม้า 5 ช่อง มีภาพเหมือนสีน้ำมันขนาดใหญ่ของประธานหมาว เจ๋อ ตง ติดตั้งเหนือประตูกลางสองข้างของภาพนี้ มีคำขวัญเขียนว่า "ประชาชนจีนจงเจริญ" และ "ประชากรโลกจงเจริญ" เป็นคำพูดของ ท่านหมาว เมื่อครั้งกล่าวคำปราศรัยบนพลับพลาเทียนอานเหมิน เมื่อวันที่ 1
ตุลาคมค.ศ. 1949 ซึ่งเป็นวันสถาปนาประเทศจีนใหม่หรือที่เรียกอย่างเป็นทางการว่า "สาธารณรัฐประชาชนจีน" และได้ถือเอาวันที่ 1 ตุลาคม เป็นวันชาติตลอดมาจวบจนปัจจุบันบริเวณหน้าเทียนอานเหมิน มีสะพานหินที่แกะสลักลวดลายสวยงามเรียงขนานกัน 5 สะพานด้วยกัน ก็อยู่ในตอนที่แล้วไง เราข้ามสะพานน้ำสีเขียว ๆ มา มีสิงโตหินขนานใหญ่ ยืนเป็นยามรักษาประตูอีก 1 คู่ สำหรับสิงโตคู่ที่วางประดับหน้าตำหนักและอาคารบ้านเรือนทั่วไป จะมีตำแหน่งการจัดวางที่ตายตัว โดยตัวผู้จะถูกวางทางซ้าย ตัวเมียอยู่ทางด้านขวาเสมอ


Photobucket

เสาหินอ่อน
Photobucket

รูปปั้นสิงโต
Photobucket


มาถึงแล้วด้านหน้าอนุสาวรีย์วีรชน นครปักกิ่ง บริเวณเดียวกับจตุรัสเทียนอันเหมิน
Photobucket

ธงที่อยู่ในจตุรัสฯ สูงใหญ่มาก มีคนเฝ้าอยู่ 2 คน ตลอด 24 ชั่วโมง เปลี่ยนกะครั้งละ 2 ชั่วโมง
Photobucket

อันนี้รอบ ๆ จตุรัสฯ ไม่แน่ใจว่าเป็นทำเนียบหรืออะไร
Photobucket

อันนี้ก็สถานที่สำคัญของรัฐบาล ถ่ายได้แค่นี้เพราะไกลมาก กว้างมาก
Photobucket

ไม่มีอะไรดูแล้วก็เลยถ่ายรูปหมู่กันก่อนออกจากที่นี่
Photobucket

Photobucket

ทางเดินข้าง ๆ จตุรัสฯ ร่มรื่นดี กำลังจะขึ้นรถออกไปกินข้าว
Photobucket

Photobucket

พื้นทางเดิน
Photobucket

บ้านคนใหญ่คนโตที่นี่แหละ
Photobucket

ไว้ตามไปดูในตอนต่อไปนะจ๊ะ

ตอนต่อไปค่ะ คลิ๊กเลย




 

Create Date : 29 มิถุนายน 2552    
Last Update : 10 มิถุนายน 2553 16:53:25 น.
Counter : 1394 Pageviews.  

เที่ยวปักกิ่ง ตอนที่ 2 พระราชวังต้องห้าม วันที่ 26



หลังไมค์ถึงเจี้ยบกดที่นี่





จากนี้เราก็ไปพระราชวังต้องห้ามกัน เค้าสีแดงทั้งหมด บ้านเราสีแดงหมายถึงห้าม ตาย หรืออะไรที่อันตรายมั้ง ที่นี่ก็เลยมีสีแดง ถามไกด์ว่าที่นี่กว้างขนาดไหน เค้าบอกว่าวันนี้เราต้องเดินกันประมาณ 5 กิโล อยากจะบ้าตายกลางอากาศร้อน ๆ นี่แหละ อันนี้ด้านหน้ามีรายละเอียดว่ามีไกด์ภาษใดบ้าง หลายภาษามาก


ระหว่างรอไกด์ไปซื้อตั๋ว ไปเข้าห้องน้ำ หน้าห้องน้ำมีร้านขายของที่ระลึกด้วย






ดูประวัติของพระราชวังต้องห้ามกันซักเล็กน้อยนะค่ะ
พระราชวังต้องห้าม (จีน: จื่อจิ้นเฉิง; อังกฤษ: Forbidden City) จากชื่อภาษาจีน แปลตามตัวอักษรได้ว่า "เมืองต้องห้ามสีม่วง" เป็นพระราชวังหลวงมาตั้งแต่สมัยกลางราชวงศ์หมิงจนถึงราชวงศ์ชิง พระราชวังต้องห้ามยังรู้จักกันในนาม พิพิธภัณฑ์พระราชวัง (ภาษาจีน: Gùgōng Bówùyùan) ครอบคลุมพื้นที่ 720,000 ตารางเมตร อาคาร 800 หลัง มีห้องทั้งหมด 9,999 ห้อง และมีพระที่นั่ง 75 องค์ แผนผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ยาวจากเหนือจรดใต้ 961 เมตร กว้าง 753 เมตร มีกำแพงวังล้อมรอบ ยาว 3 กิโลเมตร สูง 10 เมตร มีคูน้ำล้อมรอบ กว้าง 52 เมตร มีประตูวัง 4 ประตู 4 ทิศ มีป้อมหอคอยกำแพงวังอยู่ 4 มุม ใช้ระยะก่อสร้างประมาณ 14 ปี ตั้งแต่ พ.ศ. 1949 จนถึง พ.ศ. 1963


ประตูนี้ไม่เปิดให้คนเข้า ต้องไปเข้าประตูด้านหลัง เห็นไกด์บอกว่าวันนี้มีนายใหญ่เสด็จมา เราผู้น้อยต้องไปประตูข้าง เพค่ะ


เข้ามาแล้วก็เทางแบบนี้ เค้าปลูกต้นสนไว้เยอะเลย เราบ้านนอกไม่เคยเห็นลูกสนก็แถเข้าไปถ่ายเลยค่ะ ดกมาก




แล้วก็พอเดินมาที่ทางเดินด้านข้างซึ่งยาวมาก ซึ่งปกติแล้วจะไปได้พาลูกทัวร์มาทางนี้บ่อยเพราะมีทหารเฝ้าอยู่ วันนี้ทหารไปเฝ้านายใหญ่หมดแล้ว




ประตูเหล็กเก่ามาก ต้องล็อคไว้ห้ามเข้าออก กลัวขโมย


อีกอัน










มีคนขี้สงสัยด้วย ส่วนไกด์เดินนำลิ่วไปแล้ว เรามัวแต่แชะ ๆ ๆกัน



อันนี้เดินมาถึงด้านในแล้ว เมื่อกี้อ้อมมา




ไม่ค้อยมีต้นไม้เลย มีแค่นี้แหละ แล้วแดดร้อนมาก





บางส่วนก็มีการซ่อมแซม เพราะสีซีดมาก ไกด์บอกว่าที่นี่ต้องซ้อมทุก 10 ปี เพราะมีนักท่องเที่ยวมามาก ทรุดโทรมเร็ว


รายละเอียดของหลังคา มีตาข่ายกันนกด้วย




เอาไว้ใส่น้ำดับไฟ เวลาไฟไหม้


เอื้อมถ่ายได้แค่นี้


ช่างก็ซ่อมไป


มีร้านขายไอติมด้วย


ร้านขายของที่ระลึก แพงมาก ไม่กล้าเข้าไปถ่ายข้างนอกพอ












กระถางทอง ต้องเอาเหล็กมากั้นไว้เพราะมีคนมาขูดเอาทองที่เคลือบไว้ออกไปเยอะ

















อันนี้อยากไปถ่ายรูปกับยามมาก หน้าล่ะอ่อน แต่เค้าให้เข้าใกล้ได้แค่นี้


ตำหนักไหนชื่ออะไรบ้างจำไม่ได้แล้ว ถ่ายอย่างเดียว ส่วนฟังไกด์พูดก็ปานสีซอให้ควายฟัง จำไม่ได้ เอาไปอ่านเองนะ สังเกตุเอง ว่าอันไหนเป็นอันไหนคนไปจำไม่ได้จริง ๆ

• ภายในพระราชวังแบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือ วังหน้าและวังใน
- วังหน้าเป็นเขตที่ฮ่องเต้ออกว่าราชการ จัดงานพิธีต่างๆ รับเข้าเฝ้า
- วังในเป็นเขตหวงห้าม ผู้ชายห้ามเข้า ยกเว้นขันทีเท่านั้น
• วังหน้ามี 3 ตำหนัก เป็นศูนย์กลางที่สร้างอยู่บนเส้นแกนตรงกันเป็นเส้นตรง ดังนี้
1.ตำหนักไถ่เหอ เป็นตำหนักด้านหน้าที่สำคัญที่สุดและใหญ่ที่สุดในพระราชวังหลวง ตั้งอยู่บนแท่นหินหยกขาวยกพื้นสูง 2 เมตรเศษ ล้อมรอบด้วยรั้วหินหยกขาว แกะสลักเป็นเมฆ มังกร และหงส์ สร้างในปีค.ศ. 1420 สมัยของพระเจ้าหย่งเล่อ กว้าง 11 เมตร ลึก 5 เมตร หลังคาซ้อน 2 ชั้น สูง 35 เมตร พื้นที่ 2,377 ตารางเมตร ปูด้วยอิฐ(ที่นวดด้วยแป้งทองคำ) ตรงกลางมีบัลลังก์มังกรสีทอง(มังกร 5 เล็บ สัญลักษณ์ของฮ่องเต้อันสูงส่ง) ใช้เป็นสถานที่ฮ่องเต้ออกว่าราชการแผ่นดินรับการเข้าเฝ้าจากขุนนางขุนศึก ต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองและอาคันตุกะชาวต่างต่างประเทศ หลังคามุงกระเบื้องสีทอง(สีเฉพาะของฮ่องเต้เท่านั้น)
2.ตำหนักจงเหอ เป็นตำหนักหลังที่ 2 อยู่ด้านหลังตำหนักไถ่เหอ เป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมมียอดแหลม ใช้เป็นสถานที่พักรอก่อนออกว่าราชการแผ่นดิน รับการรายงานจากข้าหลวงชั้นใน รวมทั้งพิธีการจัดงานเข้าเฝ้า หากมีงานพิธีแต่งตั้งพระราชินีและจัดงานใหญ่ในพระราชวังจะต้องตรวจเอกสารความเรียบร้อยของงาน ณ ตำหนักแห่งนี้ล่วงหน้า 1 วัน
3.ตำหนักเป่าเหอ เป็นตำหนักหลังที่ 3 อยู่หลังตำหนักจงเหอ เป็นตำหนักใหญ่ มีพื้นที่เท่ากับตำหนักไถ่เหอ ภายในมีบัลลังก์ก่อสร้างโดยไม่มีเสาแถวที่ 2 ทำให้ห้องโถงด้านหน้าท้องพระโรงกว้างขึ้น ไม่บังสายพระเนตรพระองค์ฮ่องเต้ ใช้เป็นสถานที่จัดงานเลี้ยงรับรองบรรดาหัวหน้าชนเผ่ากลุ่มน้อยต่างๆทุกปี ในวันที่ 30 เดือน 12 (วันสิ้นปีของจีน) พิธีอภิเษกสมรสของฮ่องเต้หรือโอรสธิดา มาถึงในสมัยพระเจ้าเฉียนหลงใช้ที่นี่เป็นสถานที่สอบจอหงวน องค์ฮ่องเต้เป็นผู้ออกข้อสอบและคุมสอบด้วยพระองค์เอง โดยสอบในห้องท้องพระโรงแห่งนี้เอง
ผู้ที่สอบได้ที่ 1 มีเพียงคนเดียวเท่านั้น จะได้เป็น “จอหงวน” และเป็นลูกเขยของฮ่องเต้
ผู้ที่สอบได้ที่ 2 อาจมีหลายคน จะได้เป็น “ท่านฮั้ว” เป็นที่ปรึกษาประจำองค์ฮ่องเต้
ผู้ที่สอบได้ที่ 3 อีกหลายคน จะเรียกว่า “ป่างเหี่ยน” ดำรงตำแหน่งรองผู้ช่วยฮ่องเต้

• วังใน เป็นเขตต้องห้ามสำหรับผู้ชาย ทาสเพศชายที่จะเข้ามารับใช้ในวังได้นั้นต้องผ่านขั้นตอนการตอนให้เป็นขันทีเสียก่อน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเรื่องเสื่อมเสียกับมเหสีและเหล่านางสนมใน ขันทีมาจากชนชั้นยากจนเสียเป็นส่วนใหญ่ พวกพ่อค้าทาสจะลักพาตัวมาตั้งแต่เด็ก แล้วส่งไปให้คนของตระกูลไป่ในกรุงปักกิ่งทำการตอน ตอนเสร็จแล้วก็มีการออกใบรับรองส่งให้ราชสำนัก ขันทีที่ฉลาดมีการศึกษาอาจได้เป็นกุนซือหรืออาจารย์ในวังหลวง แต่ขันทีส่วนใหญ่ต้องทำงานหนักในโรงครัวและในสวนไปตลอดชีวิต ทำผิดเล็กน้อยก็จะถูกโบยถูกเฆี่ยนตี ทำผิดมากโชคไม่ดีก็อาจถูกตัดหัวได้ง่าย
• การได้เข้ามารับใช้ใกล้ชิดกับพระราชวงศ์ ทำให้ขันทีบางคนสามารถกุมอำนาจเอาไว้ได้ สร้างความร่ำรวยให้ตนเองใช้ตำแหน่งใหญ่โตสร้างอิทธิพล แสวงหาทรัพย์สินเงินทองในทางมิชอบ จนสามารถซื้อบ้าน ที่ดิน ทำธุรกิจการค้านอกวังหลวง พอเกษียณแล้วจะย้ายออกไปอยู่ตามวัดที่ตนเองเคยให้การอุปถัมภ์ด้วยการบริจาคเงินจำนวนมากอย่างสม่ำเสมอ ในยุคราชวงศ์หมิงมีขันทีอยู่ในพระราชสำนักถึง 20,000 คน แต่ภายหลังก็ค่อยๆลดจำนวนลงจนเหลือเพียง 1,500 คน ในรัชกาลสุดท้ายก่อนที่ราชวงศ์ชิงจะล่มสลายเมื่อปี ค.ศ. 1991
• การตอนหรือการตัดอวัยวะเพศทิ้งก็ใช่จะให้ผลเป็นที่น่าเชื่อถือได้เสมอไป ข่าวลือเรื่องการลักลอบมีความสัมพันธ์กันระหว่างขันทีกับนางกำนัลก็มีให้ได้ยินอยู่บ่อยครั้ง คนทั่วไปมองขันทีว่าเป็นพวกน่าสมเพช มักถูกดูหมิ่นอยู่เสมอ เพราะ การเป็นคนที่ไม่สามารถเพื่อมีบุตรสืบสกุลได้นั้นย่อมถูกเหยียดหยามเป็นธรรมดา
• ดังนั้นพวกขันทีที่มีอำนาจมากๆ ก็จะซื้อบ้านเอาไว้นอกพระราชวังหลวง ทำบันทึกอ้างอิงถึงการสืบทอดวงศ์ตระกูลลงมาเป็นรุ่นๆ โดยมีการซื้อสตรีและทารกมาเป็นภรรยาและบุตร ซื้อบ่าวทาสหรือแม้กระทั่งนางบำเรอหลายๆคนมาไว้ข้างกาย
• เขตพระราชวังชั้นใน(วังใน) ประกอบด้วยตำหนักเฉียนชิงกง เจียวไถ่เตี่ยน คุนหมิงกง ตำหนักตะวันออกและตะวันตก เป็นสถานที่ที่ฮ่องเต้ดำเนินการประจำวันทางการเมือง อาทิ ตรวจเอกสาร ลงพระนามอนุมัติ ตัดสินความ และเป็นสถานที่พักอาศัยของพระราชวงศ์ พระราชินี พระสนม พระโอรส และพระธิดา รวมไปถึงมีพระราชอุทยานของฮ่องเต้ เขตวังในจะมีพระตำหนักที่มีความสำคัญอยู่ 2 หลังคือ
• เฉียนชิงกง เป็นตำหนักด้านหน้าของวังใน เป็นที่ประทับของฮ่องเต้ เพื่อตรวจเอกสารลงพระนามอนุมัติราชการแผ่นดินประจำวัน ต่อมาในปี ค.ศ. 1644 ทหารและชาวนาของหลี่จื้อเฉินทำการปฏิวัติ นำกำลังบุกเข้าปักกิ่ง ซึ่งตรงกับรัชกาลฮ่องเต้องค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์หมิง พระเจ้าจูหยิวเจี่ยนชักกระบี่ฟันพระธิดาของพระองค์จนขาดสะพายแล่ง แล้วทรงหนีออกจากพระราชวังไปแขวนคอตายที่ต้นสน ณ ภูเขาเหมยซาน(ปัจจุบันเรียกว่า ภูเขาจิ่งซาน) ซึ่งอยู่ด้านหลังพระราชวังหลวง
• หย่างซินเตี้ยน เป็นตำหนักอยู่บริเวณด้านตะวันตกเฉียงใต้ของวังใน เป็นที่ประทับของฮ่องเต้ นัดพบปะพูดคุยกับพวกข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ทั้งเรื่องการเมืองและการทหารในรัชสมัยพระเจ้าถงจื้อและกวางซี่ใช้เป็นสถานที่ออกว่าราชการหลังม่านของพระนางซูสีไทเฮา รวมทั้งในสมัยฮ่องเต้องค์สุดท้าย เมื่อครั้งที่ ดร.ซุนยัดเซ็นทำการปฏิวัติ จักพรรดิปูยีก็ทรงสละราชบัลลังก์ในปี ค.ศ. 1962 ณ ตำหนักแห่งนี้
• สำหรับประตูทางเข้าด้านหน้าของพระราชวังหลวงหลังพลับพลาเทียนอันเหมิน ทางด้านทิศใต้ของพระราชวังจะมีซุ้มประตูไถ่เหอ แนวกำแพงวังประกอบด้วยประตูใหญ่อยู่ตรงกลาง ประตูเล็ก 2 ข้าง รวม 3 ประตู ประตูมีความลึกถึง 28 เมตร ประตูใหญ่ตรงกลางเป็นประตูเข้าเฉพาะฮ่องเต้เพียงพระองค์เดียว คนอื่นห้ามเดินออกเด็ดขาด ใครฝ่าฝืนเดินออกจะถูกประหารชีวิต คนอื่นเดินออกได้เพียงประตูเดียวเท่านั้นคือประตูด้านทิศเหนือชื่อ “เสินอู่เหมิน” (ประตูหลัง)
• ประตูใหญ่ตรงกลาง ในชั่วชีวิตของพระราชินีมีเพียงครั้งเดียวเท่านั้นที่จะได้เดินผ่านเข้าประตูนี้คือ วันอภิเษกสมรส นอกนั้นขุนนางและพระราชวงศ์ทุกพระองค์จะเดินเข้าพระราชวังทางประตูเล็กทั้งสองข้างเท่านั้น







มีรอยคนขูดเอาทองออกไปด้วย








ดูจำนวนคน ต้องฝ่าฝูงชนเข้าไปถ่ายนะ


ได้มาแล้ววว อันนี้เป็นที่นั่งว่าราชการของฮ่องเต้นะ






อันนี้เป็นลายแกะสลัก ข้างบันไดทางขึ้น


เอาเหล็กมากั้นเหมือนเดิม


















ช่องระบายอากาศยังหรู นี่แหละน้าเรียกว่าวัง อิอิ


ชัด ๆ อีกซักรูป


รายละเอียดชายคา




น่ารักดี


คล้าย ๆ เต่า สัญลักษณ์ให้ฮ่องเต้อายุยืน


นกกระเรียนเป็นสัญลักษณ์ของฮองเฮา


สมัยก่อนก็มีนาฬิกาใช้กันแล้วเหรอ ทำมาจากหินนะเรียกว่านาฬิกาแดดและเจียเลี่ยง ซึ่งเป็นเครื่องมือชั่งตวงวัดชนิดหนึ่ง


ประวัติเอาไปอ่านเอง


มีตะเกียงยักษ์ด้วย เอาไว้ทำพิธี


เขียนว่าอะไรไม่รู้ เป็นราวกั้นรอบ ๆ


อันนี้เป็นลายที่หน้าประตูใหญ่ ตำหนักฮ่องเต้ อลังการรรรร



ราวเหล็กกั้นหน้าประตูทางเข้า


ภาพข้างในตำหนักที่อ่องเต้ว่าราชการ ใหญ่ กว้าง มีพรมเก่า ๆ ด้วย



เสาของรั้ว




อันนี้ดูไม่ออกว่าถ่ายใครดูวุ่นวายมาก




รายละเอียดชัด ๆ บนเพดาน ขื่อหลังคา



อันนี้เป็นประตูเชื่อมระหว่างตำหนัก ใหญ่มาก เหมือนในหนังจีนที่เป็นประตูเมือง แบบว่าต้องใช้หลายคนเปิด ชอบปุ่มที่ยื่น ๆ ออกมาน่าจะเป็นทองเหลืองคงมีคนมาลูบ ๆ คลำ ๆ หรือขัดจนแวววาวเยี่ยงนี้


รายรอบ ๆ ของซุ้มประตู ไม่ใช่ตำหนักนะ


แบบชัด ๆ


อันนี้เป็นแผนผังของพระราชวังทั้งหมด แล้วก็ประวัติ




มีแบบบรรยายเป็นวีดีโอด้วย


เพดาน


เป็นรูปสิงโตมั้ง


เอาไว้ทำไรไม่รู้ บ้านเราเอาไว้ปักร่มใหญ่


สิงโตยักษ์ ในวังนี้มีหลายตัวแต่หน้าตาจะไม่เหมือนกันซักตัว




ถ่ายรูปรวมพอดีเดินมาเจอกัน




กำลังจะเดินออกไปทางประตูนั้นจะต้องข้ามสะพานน้อย ๆ นั่นด้วย


ถ่ายบนสะพานน้ำสายนี้จะอยู่รอบ ๆ วัง




ทางเดินที่จะเดินออกไปจตุรัสเทียนอันเหมิน


อันนี้เป็นเสาที่ใช้ขัดสำหรับปิดประตู เก่ามากแล้ว


ประตูก็เก่า ลืมบอกว่าในพระราชวังนี้ พื้นปูด้วยแผ่นหินแบบนี้ทั้งหมด


มองไกล ๆ


ประตูกลางนี่แหละที่ใช้เข้าออกสำหรับฮ่องเต้คนเดียวเท่านั้น คนอื่นไปใช้ประตูเล็ก หรือประตูหลัง



ออกมาแล้วไปต่อกันที่จตุรัสเทียนอันเหมินนะจ๊ะ รีบตามมาเร็ว

ตอนต่อไปค่ะ คลิ๊กเลย








 

Create Date : 29 มิถุนายน 2552    
Last Update : 10 มิถุนายน 2553 16:52:59 น.
Counter : 1681 Pageviews.  

เที่ยวปักกิ่ง ตอนที่ 1 ร้านอาหาร วันที่ 25-26



หลังไมค์ถึงเจี้ยบกดที่นี่



ไปเที่ยวจีนครั้งแรกจ้า ไม่ค่อยตื่นเต้นเท่าไหร่เพราะว่าเช็คอากาศแล้วไม่หนาว เราอยากเจอหิมะมากเยยยย แต่ไม่เจอจ้า อากาศพอ ๆ กับเมืองไทยเลย เอาล่ะ เริ่มออกเดินทางคืนวันที่ 25 ประมาณ เที่ยงคืน ไปกับทัวร์นะคะ ก็ต้องถ่ายรูปกันซักหน่อย









อันนี้เข้ามาข้างในแย้วว


อันนี้นะหว่างรอขึ้นเครื่อง ไม่มีไรทำ


ไปช่วงที่ไข้หวัดกำลังระบาด เลยเป็นเช่นนี้


ขึ้นมาแล้วก็ไม่มีอะไรทำอีกแล้ววว โลแกน ฉี่ ช๊อป แชะ !


อันนี้ไปสำรวจห้องน้ำบนเครื่องมา ของ China Air เป็นเช่นนี้แหละสะอาดนะ ลองไปใช้บริการดูแล้วตกใจกับชักโครก เหมือนมันจะพาเราดูดลงไปด้วยหายไปจนเกลี้ยง




รายการต่อไปก็กินก่อนนอน มีมื้อดึกด้วยอิอิ ชอบ อยู่บ้านกินแต่มาม่านะ




อาหารก็พอกินได้ Before


and After หมดเกลี้ยง (ท้องแตกดีกว่าของเหลือ สโลแกนของมี่)


ถึงแล้ววว ประเทศจีน เวลาบ้านเค้าเร็วกว่าบ้านเรา 2 ชั่วโมงถ้วนค่ะ ตามเวลาแล้วเรามาถึง ตี 4 แต่พอมาถึงเช้าแล้วค่ะ แดดออกแล้ว


สนามบินบ้านเค้าโล่งมากค่ะ เหมือนมีแค่เครื่องเราลำเดียว ไม่มีคนเลย


ไปแวะเข้าห้องน้ำที่สนามบิน เราชอบมากเพราะมีแผ่นรองชักโครกด้วย ดูดี มีอนามัย




นั่งเครื่อง จาก สุวรรณภูมิ ของเรา ประมาณ 4.45 ชม. เราก็มาถึง สนามบิน ปักกิ่ง หรือชื่อเต็มว่า BeiJing Capital Airport- 北京首都机场 (เป่ยจิง โส่ว ตู จี ฉาง) ....สนามบินที่ ความสวยงาม หะรูหะรา ติดอันดับโลกปีล่าสุดแห่งหนึ่ง ออกจาก ต.ม. มา ..ยัง...ยังไม่เห็น สายพง สายพาน กระป๋ง กระเป๋า อะไร ต้องลงบันใดนี่ซะก่อน เพื่อไปนั่งรถไฟฟ้า ไปเอากระเป๋าซึ่งอยู่อีกที่นึง โคตรเท่ห์ ..โห...จะทำสนามบิน ให้ยาวแข่งกับ กำแพงเมืองจีน


บรรยากาศในรถไฟฟ้า ไม่ค่อยมีที่นั่ง เพราะยังไม่ทันจะหาที่นั่งก็ถึงแล้ว



ออกมาข้างหน้าสนามบิน มารอรถบัสที่ทัวร์จัดให้



คันนี้แหละค้า


และคนนี้คือไกด์จีน พูดไทยคล่องแต่บางคำไม่ชัดก็ตลกดี ชื่อคุณหวังแต่ชอบค่ะใจดี ส่วนไกด์ไทยมี 2 คน ชื่อพี่นวลฉวี และพี่วี บริการทุกระดับประทับใจจริง ๆ แต่ไม่ได้ถ่ายรูปมาให้ดู มีแต่รูปรวมเดี๋ยวบอกอีกทีว่าคนไหน นิดนึงสำหรับคุณหวัง เคยเรียนที่เมืองไทยด้วยนะเข้ามหาวิทยาลัยกันเลยทีเดียวและเคยมาใช้ชีวิตอยู่เมืองไทยด้วย เมื่อก่อนที่จีนมีไกด์ที่พูดภาษาไทยได้แค่ 8 คนช่วงนั้นแกแบบว่ารับเละ มีทัวร์ทุกวัน ตอนนี้ก็มีไกด์เพิ่มขึ้น รายได้ลดลงนิดหน่อย แต่ถ้าช่วงเดือนเมษายนแกมีลูกทัวร์ทุกวันไม่ได้พักเลย แต่แกชอบ เพราะได้ตังค์ อิอิ





วันนี้ตอนเช้าไม่ได้เข้าโรงแรมนะคะ เพราะจะไปเที่ยวต่อเลย ฉะนั้นต้องแวะกินข้าวก่อนออกทัวร์ เป็นแบบโต๊ะจีน วันนี้อาหารคล้าย ๆ ติ่มซำ มีซาลาเปาด้วย



มีซาลาเปาทอด ปาท่องโก๋ตัวใหญ่มากอันนี้ขนาดตัดครึ่งมาแล้ว





มีผัดผัก ไข่เจียว แล้วมีนมให้จิ้มกับปาท่องโก๋ด้วย แล้วก็เต้าหูเหม็นด้วย เหม็นสมชื่อ เค็มมาก เอาไว้กินกับข้าวต้ม มีข้าวสายบริการด้วย กาแฟก็มีแต่ไม่มีน้ำตาล ชงมาเป็นเหยือกนึกว่าโอวัลติน รินมาเต็มถ้วย กินไม่ได้...



หน้าร้านอาหารที่เราไปทานกันค่ะ...


ทานข้าวเสร็จแล้วจะไปต่อกันที่พระราชวังต้องห้าม หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า กู้กง จ้า ตามมาเร็ว ๆ ...


ตอนต่อไปค่ะ คลิ๊กเลย




 

Create Date : 26 มิถุนายน 2552    
Last Update : 10 มิถุนายน 2553 16:52:33 น.
Counter : 1486 Pageviews.  

1  2  3  4  5  

j230i
Location :
ชลบุรี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add j230i's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.