... เจ็บแล้วจำคือคน เจ็บแล้วทนคือควาย ...

เกร็ดเล็ก ๆ น้อย เกี่ยวกับจีน



ของแปลกและหายากในจีน


1) มอเตอร์ไซด์
เท่ห์มาก ความจริงเป็นรถมอเตอร์ไซด์เรานี่แหละ แต่ที่ปักกิ่งมีกฏหมายห้ามขี่มอเตอร์ไซด์ ก็เลยต้องดัดแปลงมาเป็นรถแบบนี้ นั่งโดยสาร ได้ 1 คนคือหันหลังชนกับคนขับ เหมือนทะเลาะกันตลกดี มอร์เตอร์ไซต์ เพราะมีกฎว่าห้ามวิ่งบนถนนวงแหวนและถนนหลัก รวมทั้งไม่มีการจดทะเบียนให้กับรถมอร์เตอร์ไซต์คันใหม่ๆ ด้วย เพราะทางการจีนเห็นว่ามอร์เตอร์ไซต์เป็นตัวก่อมลภาวะทางอากาศ เขาจึงต้องการให้มันค่อยๆ หมดไปจากแผ่นดินจีน บนท้องถนนเราจึงเห็นชาวจีนขี่แต่จักรยานเต็มไปหมด และส่วนมากก็จะเป็นจักรยานมือสอง เพราะถ้าซื้อคันใหม่ๆ มาขี่ อาจจะถูกขโมยได้ ที่ปักกิ่งเค้าบอกว่ามีรถหายบ่อยมาก คนที่นั่นเลยไม่นิยมที่จะถอยรถใหม่ๆ ออกมาขี่ นอกจากนี้รัฐบาลจีนยังมีกฎควบคุมการจราจรและมลภาวะในอากาศ โดยวันคู่จะอนุญาตให้รถยนตร์ที่มีเลขทะเบียนตัวสุดท้ายเป็นเลขคู่เข้าเมืองได้เท่านั้น และวันคี่ก็จะมีแต่รถยนต์ที่มีเลขทะเบียนตัวสุดท้ายเป็นเลขคี่ แต่เท่าที่สังเกต วันคี่ก็ยังมีรถทะเบียนเลขคู่วิ่งอยู่บนท้องถนนเหมือนกันนะ แต่น้อยมั่ก..มั่ก..
Photobucket


2) รถกระบะ :
เป็นรถอีกประเภทหนึ่งที่ห้ามใช้ในเมือง แต่อาจจะมีใช้อยู่บ้างในเขตชนบท และห้ามนั่งในส่วนของกะบะ ต้องไปนั่งข้างในให้หมดเพื่อความปลอดภัย



3) สุนัข :
ในจีนไม่เคยพบเห็น สุนัขที่มีการเลี้ยงตามท้องถนน หรือสุนัขจรจัดเลย ผิดกับบ้านเรา ที่เดินทางไปไหนมาไหน มักพบสุนัขจรจัด นับแสนตัวเพ่นพ่านเต็มไปหมด โดยเฉพาะวัดบางแห่ง ที่ผู้คนที่ขาดความเมตตา กลับนำสุนัขที่ตนเองฟูมฟักมาแต่เล็ก ไปปล่อยตามวัด ยิ่งตอนนี้มีข่าวว่า กทม.พยายามที่จะจัดระเบียบเรื่องสุนัข ด้วยการฉีดวัคซีน ป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า ฝังไมโครชิป รวมทั้งให้จดทะเบียนด้วย นับว่าเป็นแนวคิด ที่ลอกเลียนแบบต่างประเทศ ได้ไม่เลวเลย แต่ก็ยังดีกว่า ที่จะปล่อยเลยตามเลย ไม่ทำอะไรเลย จนกระทั่งโรคพิษสุนัขบ้าระบาดในฤดูร้อนสอบถามเพื่อนชาวจีน และเด็กชาวจีนรุ่นใหม่ ล้วนไม่เคยพบเห็นสุนัข และเด็ก ๆ ชาวจีนยังไม่ทราบว่า สุนัขสามารถเลี้ยงเป็นเพื่อนเล่นได้ ถึงแม้ระยะหลัง จะมีภาพยนตร์ตะวันตก ที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ ระหว่างสุนัขกับเด็ก ออกเผยแพร่ในจีนก็ตาม เด็กชาวจีนก็ยังไม่รู้ซึ้ง ถึงความสัมพันธ์ระหว่างคน กับสุนัขอย่างแท้จริง
เมื่อสอบถามชาวจีนผู้สูงอายุ จึงทราบว่าจีนเคยมีกฏหมาย ห้ามประชาชนเลี้ยงสุนัข ตามที่พักอาศัย เช่นเดียวกับ การห้ามเลี้ยงหมีแพนด้า สิง เสือ สิงโต หมี ม้า วัว แกะและหมู โดยประชาชน ได้รับอนุญาต ให้เลี้ยงแค่นกและปลาเท่านั้นสำหรับในพื้นที่ชนบทห่างไกล ประชาชนอาจจะได้รับอนุญาตให้เลี้ยงสัตว์ คือแมวสำหรับจับหนู และสุนัขสำหรับการเฝ้าบ้านเท่านั้น นอกจากนั้นยังต้องมีป้ายห้อยคอสุนัขด้วย แต่ไอ้ป้ายห้อยคอน่ะ ไม่ใช่รูปสุนัขนะ แต่เป็นรูปเจ้าของสุนัขตังหาก การห้ามเลี้ยงสุนัข สืบเนื่องมาจากในปลายทศวรรษที่ ๑๙๗๐ พรรคคอมมิวนิสต์จีน ได้รณรงค์ทางการเมือง โดยกล่าวหาว่าสุนัข เป็นสัตว์เลี้ยงของชนชั้นนายทุน และในต้นทศวรรษที่ ๑๙๙๐ มีสุนัขในจีนเพิ่มสูงขึ้นถึง ๑๒๐ ล้านตัว โดยในจำนวนนี้มีจำนวน ๑๒ ล้านตัวที่เป็นการเลี้ยงตามบ้านเรือน มิใช่เพื่อการบริโภค และยังมีการลักลอบ นำเข้าลูกสุนัขจากต่างประเทศ เช่น รัสเซีย ทั้งนี้ การออกเทศบัญญัติห้ามเลี้ยงสุนัขในปี ๑๙๙๔ ได้อ้างว่าสุนัขในจีน ๑๒๐ ล้านตัวนั้น จะต้องบริโภคอาหารปีละ ๑๕๐ ล้านกิโลกรัม ซึ่งสามารถ นำไปเลี้ยงประชากรได้ ๔๐ ล้านคนต่อไป และจีนยังมีประชากรยากจน ที่อยู่ในระดับต่ำกว่าเส้นยากจน ซึ่งมีรายได้เฉลี่ยปีละ ๕๐๐ หยวน และธัญญาหาร ๓๕๐ กิโลกรัมต่อไป ถึง ๗๐ ล้านคน นอกจากนี้ ในต้นทศวรรษที่ ๑๙๙๐ มีประชาชนในกรุงปักกิ่งถูกสุนัขกัดปีละ ๕๒,๐๐๐ คน และระหว่างปี ๑๙๙๐ - ๑๙๙๒ มีประชากรในเซี่ยงไฮ้ถูกสุนัขกัดปีละ ๖๐,๐๐๐ คน รัฐบาลจีน จึงพยายามควบคุม จำนวนสุนัข แต่ปัญหาหลักคือ ผู้เลี้ยงสุนัขเป็นผู้ว่างงาน หรือผู้ที่เกษียณอายุ ซึ่งมักเลี้ยงสุนัขเป็นเพื่อน ซึ่งในที่สุดรัฐบาลท้องถิ่น ของกรุงปักกิ่ง นครเซี่ยงไฮ้ เมืองเทียนสิน และเมืองกวางโจว ต่างออกเทศบัญญัติ ให้ผู้เลี้ยงสุนัขนำสุนัขมาจดทะเบียน โดยจะต้องเสียค่าใช้จ่าย สำหรับการจดทะเบียนสุนัขตัวละ ๕,๐๐๐ - ๑๐,๐๐๐ หยวน และต้องเสียค่าต่อใบอนุญาตอีกปีละ ๒,๐๐๐ - ๓,๐๐๐ หยวน (๘.๒๘ หยวน มีค่าเท่ากับ ๑ ดอลลาร์สหรัฐฯ)

ประชาชนจำนวนมาก เห็นด้วยกับระเบียบ การจดทะเบียนสุนัข แต่กลับทำให้ผู้เลี้ยงสุนัข โดยเฉพาะผู้สูงอายุ ที่เกษียณแล้ว บางคนไม่พอใจ และโจมตีค่าธรรมเนียม การจดทะเบียน ๕,๐๐๐ หยวนว่าค่อนข้างแพง เกินกว่าที่ตนเอง จะชำระได้ และตนเองต้องการมีเพื่อน ในยามชราเท่านั้น ความพยายามของรัฐบาลท้องถิ่น ในการลดจำนวนสุนัข เป็นไปอย่างได้ผล ทำให้สุนัขจำนวน ๒๒๐,๐๐๐ ตัวในปี ๑๙๙๓ ได้ลดลงเหลือเพียง ๙๖,๐๐๐ ตัวในปัจจุบัน นอกจากนี้เทศบาลนครปักกิ่ง ยังออกระเบียบ ห้ามนำสุนัข ออกมาเดินตามท้องถนน ในระหว่างเวลา ๐๗.๐๐ – ๒๐.๐๐ น.อีกด้วย จึงไม่มีใครเห็นเจ้าของสุนัข นำสุนัขออกเดินพักผ่อน ตามสวนสาธารณะ หรือท้องถนน

อย่างไรก็ตามสื่อมวลชนตะวันตกรายงานว่าในกลางทศวรรษที่ ๑๙๘๐ มีสุนัขในกรุงปักกิ่งไม่เกิน ๕๐,๐๐๐ ตัว แต่ในเดือน มี.ค.๒๐๐๒ กลับมีสุนัขในกรุงปักกิ่งเกือบ ๑ ล้านตัว โดยสุนัขเหล่านี้ ถูกนำเข้ามาในจีนในห้วงเวลาไม่กี่ปีที่ผ่านมา และมีการนำออกขายตามตลาดและท้องถนนทั่วไป โดยผู้ซื้อสุนัขไปเลี้ยงคือคนรุ่นใหม่ที่มีกำลังซื้อสูง หรือเป็นผู้ที่เกษียณจากการงานแล้ว อย่างไรก็ตามปัญหาที่ประสบคือ ผู้เลี้ยงสุนัขเหล่านี้ กลับไม่มีประสบการณ์มาก่อน และไม่เข้าใจวิธีการเลี้ยงดูสุนัข

สำหรับการบริโภคสุนัข เป็นอาหารนั้น เป็นที่นิยมของชาวจีน โดยชาวจีนอ้างว่า เนื้อสุนัขจะช่วยสร้างความอบอุ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฤดูหนาว ซึ่งชาวตะวันตก องค์กรเอกชน อาทิ กองทุนนานาชาติเพื่อสัตว์ ได้พยายามต่อต้าน ทั้งต่อต้านการบริโภคสุนัข และการเลี้ยงสุนัข เพื่อจำหน่ายหนัง โดยพยายามใช้เป็นมาตรการ กีดกันทางการค้าจีน รวมทั้งสกัดกั้น มิให้ชาวตะวันตก เดินทางไปท่องเที่ยวจีนด้วย ทั้งนี้ องค์กรเอกชนในสหรัฐฯ กล่าวหาว่านอกจากชาวจีน จะนิยมการบริโภคสุนัขแล้ว ยังมีชาวเกาหลี อินโดนีเซีย เวียดนาม บางส่วนของฟิลิปปินส์ และบางส่วนของไทยด้วย



4) ตำรวจพกปืน :
ตำรวจจะพกปืนได้จะต้องมีใบอนุญาต และกฎหมายของจีนก็ลงโทษผู้กระทำความผิดรุนแรงมาก รวมทั้งการบังคับใช้กฎหมายก็เป็นไปอย่างเข้มงวด ความผิดคดีต่างๆ จึงมีน้อย:


5) คนท้องแก่ :
จีนอนุญาตให้ครอบครัวมีบุตรได้คนเดียวจะเป็นหญิงหรือชายก็ได้ หากใครมีคนที่ 2 บุตรคนที่ 2 จะไม่ไม่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นพลเมือง ซึ่งจะทำให้ขาดสิทธิหลายอย่าง ทั้งการศึกษาและสิทธิทางสังคมอื่นๆ แต่ก็มีผู้ฝ่าฝืนโดยเฉพาะพวกชาวนาในชนบทที่ต้องการมีลูกมากเพื่ออาศัยเป็นแรงงานช่วยทำนา ประมาณกันว่ามีคนจีนที่อยู่กันแบบเถื่อนๆ ไม่มีชื่ออยู่ในทะเบียนอีกประมาณ 100 ล้านคน นอกจากนี้ใครมีบุตรคนที่ 2 หากเป็นข้าราชการก็จะถูกไล่ออกจากงาน พนักงานบริษัท ใครที่เป็นหัวหน้าก็จะถูกลงโทษด้วย คนที่ตั้งครรภ์จะได้ลาพักงานประมาณ 3 เดือนก่อนคลอดบุตร เราจึงไม่ค่อยเห็นคนท้องแก่ เพราะมีนโยบายลูกคนเดียวออกมาในปี 1979 ในสมัยที่นาย เติ้ง เสี่ยว ผิง เป็นผู้นำสูงสุดของจีน โดยกำหนดให้ประชากรในประเทศจีนวางแผนครอบครัว และทำการควบคุมประชากร โดยวางกฎเหล็กให้บรรดาครอบครัวในเขตเมืองขนาดกลางและเมืองขนาดใหญ่ ซึ่งมีประชากรคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 35.9 ของประชากรทั้งประเทศ มีลูกได้เพียงคนเดียว และได้ผ่อนปรนให้ครอบครัวในชนบทมีลูกได้สองคน และชนส่วนน้อยมีลูกได้สองถึงสามคน ซึ่งนโยบายนี้เป็นนโยบายที่รัฐบาลของประเทศจีนภาคภูมิใจมาก โดยพวกเขาอ้างว่านโยบายนี้สามารถป้องกันการเกิดได้ถึง 400 ล้านคน ซึ่งมีส่วนช่วยในการปรับปรุงคุณภาพชีวิตของผู้คนในชาติอย่างเหลือหลาย:


6) ปั๊มน้ำมัน :
ปั๊มน้ำมันในปักกิ่งจะมีอยู่ 2 ยี่ห้อเท่านั้น และเป็นของจีน คือ Sinopec และอีกยี่ห้อหนึ่งผมจำไม่ได้เป็นของจีนเช่นกัน ไม่มี Shell, Caltex, Esso ฯลฯ ที่เป็นของต่างชาติให้เห็นดาษดื่นอย่างเมืองไทยเรา จะสังเกตเห็นว่าในตัวเมืองจะไม่มีปั๊มน้ำมันให้เห็นเลย เนื่องจากปั๊มน้ำมันจะถูกย้ายไปอยู่แถบนอกเมืองกันหมดทั้งนี้ก็เพราะผลจากช่วงยุคสงครามเย็นจีน ประเทศตอนนั้นหวาดกลัวจากภัยระเบิดนิวเคลียร์หรือการก่อการร้ายจากต่างชาติทางรัฐบาลช่วงนั้นกลัวว่าเมื่อเกิดการก่อการร้ายหรือระเบิดขึ้นมาหากมีปั๊มน้ำมันอยู่ภายในตัวเมืองคงยากเกินควบคุมจึงได้ออกกฎหมายให้มีการย้ายปั๊มน้ำมันทั้งหลายออกมาอยู่นอกเมืองซ่ะ ชาวเมืองที่นี่ใครที่มีรถยนต์ก้อต้องตรวจสอบรถให้ดีก่อนออกจากบ้าน

7) โรงนวด
ไม่ค่อยจะเห็นในบริเวณตัวเมืองปักกิ่งก็คือ สถานบริการโรงนาบนวดทั้งหลาย ที่เมืองจีนการขายบริการเป็นเรื่องที่ผิดกฎหมายสถานบริการประเภทนี้จึงมักถูกควบคุมหรือเพ่งเล็งเป็นพิเศษทำแล้วไม่คุ้ม ไม่เหมือนเมืองไทยบ้านเราเปิดกันทั่วเมืองหน้าสถานศึกษาก็ไม่เว้น สำหรับใครที่ไปเมืองจีนแล้วไปปิ๊งปั๊งสาวจีนที่เร่ขายบริการต้องระวังให้ดีเพราะนอกจากจะผิดกฎหมายถูกตำรวจจับแล้ว ที่เค้าเตือนกันมากคือกลัวจะไปโดนนางนกต่อไปให้มาเฟียที่จีนขู่กรรโชกทรัพย์ได้ไม่ต้องระวังนะปลอดภัย



ร้าน Sex shop ที่ปักกิ่งมีให้เห็นทั่วไปเหมือนเซเว่น บ้านเรานี่แหละ ตั้งแต่จีนเปิดประเทศมา บางครั้งเราก็อยากเห็นนะว่าข้างในเค้าขายอะไร แต่เรารู้สึกว่าคนที่เดินเข้าไปมักจะหื่นกามมั้ง เลยไม่กล้า

Photobucket


Photobucket



หมดแล้วสำหรับตอนนี้ ถ้ามีอะไรเพิ่มเติมจะเอามาลงให้อ่านนะ




 

Create Date : 17 กรกฎาคม 2552    
Last Update : 17 กรกฎาคม 2552 15:47:00 น.
Counter : 1568 Pageviews.  

เที่ยวปักกิ่ง ตอนที่ 24 กินข้าว+ช๊อปปิ้ง วันที่ 29







ก่อนจะไปช๊อปปิ้งก็กินข้าวเที่ยงเอาแรงก่อนนะคะ วันนี้เป็นอาหารสไตล์ 12 ปันนา ใกล้เคียงกับอาหารไทยมาก

หน้าร้านจะมีการตีกลอง ฆ้องต้อนรับแขกที่มาทานอาหารด้วย
Photobucket


บรรยากาศในร้านดูอึมครึมมากต้องลงไปชั้นใต้ดิน เข้าไปแล้วมืดเหมือนตอนกลางคืน ไม่มีหน้าต่างบรรยากายเลยเป็นแบบนี้ นั่งปั๊บอาหารมาเลย
Photobucket


Photobucket



การแสดงก็มาเลยเหมือนกัน
Photobucket


Photobucket


Photobucket


Photobucket



นักแสดงเค้าหุ่นดี มาก ขาวด้วย สวย
Photobucket


นั่งไปซักพอก็จะมีนางรำมาผูกข้อมือด้วยด้ายสีแดง
Photobucket


Photobucket


Photobucket




พิธีกรของร้าน
Photobucket


การแสดงชุดต่อไป มาแล้ว อันนี้แปลกดีเพราะว่าใส่หมวกปิดหน้าตลอด
Photobucket


Photobucket


Photobucket




มาอีกชุดนึงเป็นเพลงไทยด้วยนะ เพลงอะไรน้า จำไม่ได้ จำได้แต่เนื้อร้องว่า จากไปสหวี วี่ วี หากบุญเฮามี คงสิได้เจอกัน จำได้แค่นี้แหละ

Photobucket


Photobucket


Photobucket


Photobucket


Photobucket


Photobucket


Photobucket


และแล้วอาหารก็หมด สงสัยเจริญหู เจริญตา ก็เลยเจริญอาหาร
Photobucket


การแสดงชุดสุดท้ายมาแล้ว
Photobucket


Photobucket



คนนี้สวยมาก ต้องถ่ายเยอะหน่อย
Photobucket


Photobucket


Photobucket


Photobucket



โชว์ไปซักพักก็มาชวนแขกที่มาทานข้าวไปเต้นบนเวทีด้วย บางคนชอบ บางคนไม่อยากออกไปแต่โดนเพื่อน ๆ คะยั้นคะยอให้ออกไป เพราะเค้าเอาโต๊ะละ 1 คน

Photobucket


Photobucket


Photobucket


Photobucket


Photobucket


ดูไปก็ตลกดีเพราะบางคนก็เต้นไม่เป็น ท่าเต้นเค้าก็จะให้ท่าเอาสะโพกมาชนกันด้วย บางคนชนถูกบางคนไม่กล้าไปชนนางรำ

Photobucket


Photobucket


Photobucket



อันนี้มาเข้าห้องน้ำเลยเจอนางรำ ก็เลยขอถ่ายรูปซะเลย

Photobucket



รูปที่ติดหน้าห้องน้ำ สวยดี
Photobucket


จบแล้วสำหรับร้านอาหาร 12 ปันนา อร่อยประทับใจค่ะ จากนี้ไปเราจะไปช๊อปปิ้งค่ะ



โปรแกรมสุดท้ายท้ายสุดของวันนี้ก็คือ “ตลาดรัสเซีย” สภาพโดยทั่วไปของตลาดรัสเซียจะคล้ายๆ กับมาบุญครองบ้านเรา สินค้าที่นี่ก็จะเป็นพวกกระเป๋า รองเท้า เสื้อผ้า นาฬิกา อุปกรณ์อิเล็กทรอนิคต่างๆ แต่เป็นของก๊อปทั้งห้างเลย ไกด์บอกว่าตลาดรัสเซียเนี่ย ตั้งอยู่ในตึกที่ชื่อว่า “Ya Show” อ่านเป็นภาษาไทยได้ว่า “อย่าโชว์” ก็คือเวลาซื้อสินค้าอะไรมาได้แล้ว อย่าเอามาโชว์กันว่าซื้อมาได้ในราคาเท่าไหร่ เพราะถ้าคนอื่นซื้อได้ถูกกว่า เราก็จะรู้สึกเจ็บใจซะป่าวๆ ฮ่า..ฮ่า..ฮ่า.. อันนี้ด้านหน้าห้าง พูดถึงเรื่องการต่อราคาของในตลาดรัสเซียบ้างดีกว่า ก่อนที่จะมาปักกิ่งก็หาข้อมูลมาพอสมควร จะได้ไม่ถูกหลอกไง ข้อมูลที่หามาจะว่าด้วยเรื่อง

Photobucket


Photobucket



“เทคนิคการต่อรองราคาที่ตลาดรัสเซีย”
ก่อนอื่น อุปกรณ์ที่ควรพกติดไปด้วยก็คือเครื่องคิดเลขแบบพกพา เข้าร้านไหน ถูกใจชิ้นไหน ก็กดมันเข้าไปจนกว่าจะพอใจ และตามด้วยเทคนิคเหล่านี้...


1. เดินดูรอบๆ ก่อน อย่าเพิ่งเข้าร้านใดร้านหนึ่ง


2. เมื่อถูกใจสินค้าชิ้นไหน ให้ค่อยๆ เข้าไปจับดูแล้วค่อยถามราคา


3. เริ่มถามราคา โดยส่วนมากคนขายจะใช้เครื่องคิดเลขเป็นสื่อกลางระหว่างเรากับคนขาย ตอนนี้คนขายจะกดราคาสูงๆ ไว้ก่อน ไม่ต้องตกใจ


4. พอคนขายกดเครื่องคิดเลขบอกราคากับเรา เราก็หยิบเครื่องคิดเลขของเราหรือของคนขายมากดราคาที่เราต้องการได้เลย และควรจะต่อให้ได้ 60-70% ของราคาที่คนขายบอก


5. กดเครื่องคิดเลขราคาที่เราต้องการ แล้วคนขายมักจะไม่ยอม คนขายจะกดเครื่องคิดเลขในราคาสูงอีก เราก็กดในราคาที่เราต้องการอีก กดกันไปกดกันมาอย่างงี้แหละ


6. พอคนขายบอกไม่ๆๆ มากๆ เข้า เราก็ทำเป็นเดินออก เดี๋ยวคนขายก็จะให้เราบอกราคาที่เราต้องการใหม่อีกที


7. พอเราบอกอีก คนขายไม่ยอมอีก เราก็เดินออกมาเลย แล้วคนขายก็จะโวยวายเป็นภาษาจีน #@!$%&* ซึ่งไม่รู้แปลว่าอะไร คิดซะว่าเค้าชมละกันนะ เท่านี้แหละ คนขายจะต้องมาดึงมือเราพร้อมกับบอก OK OK OK... และเราก็จะได้ของในราคาที่เราต้องการ



ถ่ายมาได้แค่นี้แหละ ที่เหลือเก็บเวลาไว้ต่อราคาค่ะ

Photobucket


เสร็จจากช๊อปจนเย็น ก่อนจะสนามบินก็กินข้าวเย็นก่อนนะคะ
หน้าตาอาหารก็ประมาณนี้
Photobucket


Photobucket




อันนี้อยู่ที่สนามบินปักกิ่งจ้า จะกลับแล้วคุณหวังก็มาส่งนะ
Photobucket



ระหว่างรอขึ้นเครื่องก็เลยเดินสำรวจ เจอนี่เกวียนโบราณ
Photobucket


มีน้ำพุด้วย รูปมังกรพ่นน้ำ

Photobucket


ร้านค้าก็ทำเป็นแบบจีน สวยดี

Photobucket


Photobucket



เก้าอี้นั่งเล่นของร้านกาแฟในสนามบิน

Photobucket



อันนี้เหมือนเกาะกลางเลยเพราะเอาไว้โชว์เฉย ๆ

Photobucket


ถ่ายรูปเป็นที่ระลึกก่อนที่ไกด์จะลากลับ
Photobucket


Photobucket


Photobucket


Photobucket




จะไปขึ้นเครื่องกลับบ้านเราแล้วว ไว้ไปเจอกันที่เมืองไทย


ตอนต่อไปค่ะ คลิ๊กเลย เป็นเกร็ดเล็ก ๆ น้อย ๆ เกี่ยวกับจีน













 

Create Date : 12 กรกฎาคม 2552    
Last Update : 10 มิถุนายน 2553 17:06:46 น.
Counter : 1185 Pageviews.  

เที่ยวปักกิ่ง ตอนที่ 23 หอเทียนถาน วันที่ 29





“หอสักการะฟ้า” (Temple of Heaven) หรือที่คนจีนเรียกว่า “เทียนถาน” เป็นสถานที่ที่มีสิ่งปลูก อันมีรูปแบบสถาปัตยกรรมที่มีเอกลักษณ์ ที่ยังคงความใหญ่โต สวยงามและสมบูรณ์ที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศจีน จนได้รับการยอมรับให้เป็นมรดกโลก เมื่อปีค.ศ. 1998

โครงสร้างทางสถาปัตยกรรมของ"เทียนถาน"ที่มีความสลับซับซ้อนและมีความเป็นวิทยาศาสตร์นี้ต่างสะท้อนให้เห็นถึงระดับของวิทยาการสมัย ใหม่ด้านสถาปัตยกรรมในยุคกลางของศตวรรษที่16ของจีนอย่างน่าทึ่ง สำหรับสีสันที่ใช้ในการตบแต่งสิ่งปลูกสร้างของ"หอเทียนถาน"นั้นก็มีความก้าวหน้าเป็นอย่างมากในสมัยนั้น เนื่องจากว่า ในสมัยโบราณของจีน มักจะใช้สีเหลืองอร่ามซึ่งเป็นสัญญลักษณ์ของอำนาจแห่งพระจักรพรรดิที่ ล่วงละเมิดไม่ได้นำมาตบแต่งพระราชวังแต่ในการตบแต่งของ"หอเทียน ถาน"นั้นกลับใช้สีน้ำเงินซึ่งเป็นสีของฟ้ามาเป็นสีสันสำคัญ สิ่งปลูกสร้าง สำคัญอื่นๆใน"เทียนถาน"ต่างก็มุงด้วยหลังคากระเบื้องเคลือบที่เป็นสีน้ำเงินเช่นกัน พอเดินเข้าสู่"เทียนถาน" ก็จะเห็นสีน้ำเงินเป็นส่วนใหญ่ซึ่งช่วย เพิ่มสีสันและเสริมความหมายอันทรงพลังให้แก่"เทียนถาน"ที่เป็นสถานที่ สำหรับประกอบพระราชพิธีสักการะบูชาฟ้า ยิ่งทำให้ผู้คนตระหนักถึงความ หมายอันลึกซึ้งและยิ่งใหญ่ของ"เทียนถาน"แห่งนี้

เทียนถานแห่งนี้ สร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์หมิง ใช้เวลาก่อสร้างนานกว่า 14 ปีเลยทีเดียวกว่าจะแล้วเสร็จ เพื่อใช้เป็นสถานที่ที่จักรพรรดิแห่งราชวงศ์หมิงและชิง ใช้ประกอบพิธีสักการะและบวงสรวงเทพยดาฟ้าดิน ซึ่งจะจัดขึ้นปีละ3 ครั้ง เพื่อขอฝนให้พืชผลอุดมสมบูรณ์ การเก็บเกี่ยวได้ผลผลิตที่ดี และขอบคุณเทพเจ้า ที่ช่วยบันดาลให้ประชาชนอยู่เย็นเป็นสุข
ซึ่งอาณาบริเวณของเทียนถานมีความกว้างขวางกว่า 2,700,000 ตร.ม. มีกำแพง 2 ชั้นโอบล้อมรอบ แบ่งเป็นเขตชั้นนอก และเขตชั้นใน กำแพงด้านทิศเหนือ เป็นรูปครึ่งวงกลมสูงกว่าด้านทิศใต้ที่เป็นรูปสี่เหลี่ยม โดยเหตุที่ออกแบบในลักษณะนี้ก็เพราะยึดคติของจีนโบราณที่เชื่อกันว่า “แผ่นฟ้าโค้ง ผืนดินเหลี่ยม” นั่นเอง และความเชื่อนี้ก็เป็นรากฐานในการสร้างวัดจีนสมัยโบราณอีกหลายแห่งด้วย มาถึงแล้วอันนี้ด้านหน้าทางเข้า คนมาเที่ยวเยอะแยะเลย

Photobucket

Photobucket

มีกิจกรรมแบบนี้ตลอดทางเดิน สวนสาธารณะเทียนถานในยามเช้าจะเต็มไปด้วยอาแปะ อาอึ้ม อาม่า อากง มาทำกิจกรรมกัน ผู้สูงอายุชาวจีนดูแข็งแรงดีจัง คงเป็นเพราะมีกิจกรรมให้ทำ ออกกำลังกายกันสม่ำเสมอละมั้ง มีทั้งมีกิจกรรมกลางแจ้งและในร่มต่างๆสารพัดชนิด ไม่ว่าจะเป็นจ๊อกกิ้ง รำมวยจีน รำดาบ เต้นรำ มีรำกระบี่ ลีลาศ (แอบเปิดเพลง My Heart Will Go On ด้วย) ตะกร้อ แบดมินตัน เตะลูกขนไก่ คล้ายๆ ตะกร้อวงบ้านเรา แต่ลีลาอาแปะอาอึ้มทั้งหลายน้องๆ ทีมชาติเลย (ฟังไม่ผิดหรอก ผู้หญิงก็เตะั!) มีกีฬาอีกอย่างคล้ายๆ เทนนิส มีไม้มีลูกกลมๆ คล้ายกันแต่ไม่ได้เอามาตีโต้กัน แต่โยนรับส่งกันไปมา ลีลาตอนรับตอนส่งนี่อย่างเท่ห์เลย ส่วนผู้อาวุโสจะนั่งจิบน้ำชา เล่นหมากรุก พูดคุยสังสรรค์กันเป็นกลุ่มๆ อย่างสบายอารมณ์ เยอะแยะ ดูเพลินจนลืมเข้าหอฟ้าเทียนถานไปเลย
Photobucket

Photobucket

Photobucket

Photobucket

Photobucket

Photobucket


Photobucket

ชอบดอกไม้จังมีแบบนี้เยอะแยะเลย กระถางใหญ่ด้วย ตามริมทาง
Photobucket

อันนี้ไปขอแจม แต่ไม่เหมือน จากการไปสอบถามไกด์บอกว่าคนแก่ที่นี่เค้าซื้อตั๋วเข้ามาทำกิจกรรมทุกวัน สำหรับคนแก่มีตั๋วเดือน ซื้อเดือนละครั้งใช้ได้ทั้งเดือนเหมือนตั๋วรถไฟฟ้าบ้านเราเลย แต่ว่าจะสามารถอยู่ได้แค่ในส่วนสวนสาธารณะนี้เท่านั้น จะอยู่นานเท่าใดก็ได้ เปิดตั้งแต่ 7 โมงเช้าไปจนถึง 5 – 6 โมงเย็น แต่ถ้าจะเข้าไปชมด้านในด้วยต้องซื้อเพิ่ม
Photobucket

โคมไฟที่อยู่ระหว่างทาง สวยดี ถ้าจุดทุกอันเวลากลางคืน
Photobucket

ประตูเล็กของตำหนักริมทาง
Photobucket


มีร้านค้าริมทางด้วย
Photobucket



เดินมาถึงแล้วว แท่นบวงสรวง (หวานชิวถาน)
เป็นแท่นกลม สูง 3 ชั้น ตั้งอยู่กลางแจ้ง สร้างในปี ค.ศ.1530 ล้อมรอบด้วยรั้วหินหยกขาว แกะสลักเป็นลวดลายเมฆและมังกร ชั้นบนสุดเป็นลานกว้างโล่ง ตรงกลางเป็นหินอ่อนกลม มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 80 เซนติเมตร ล้อมรอบด้วยหิน 9 ก้อน รอบ 2 มีหิน 18 ก้อน มีทั้งหมด 9 รอบ รอบที่ 9 สุดท้ายมีหินล้อมรอบ 81 ก้อน รวมทั้งสิ้น 3,402 แผ่น หินแต่ละก้อนจะมีขนาด และการจัดวางที่ประณีต แม้จะผ่านร้อนผ่านหนาวมาเป็นเวลานับร้อย ๆ ปี ก็ยังสามารถคงสภาพ สมบูรณ์และเป็นระเบียบเหมือนเมื่อแรกสร้างจนถึง
ปัจจุบันอย่างน่าทึ่ง ตามความเชื่อของคนจีนในสมัยโบราณ เรียกที่นี่ว่า "สวรรค์ 9 ชั้น" เป็นจุดสูงสุดและเชื่อว่า เป็นที่ประทับของเทพเจ้าเง็กเซียนฮ่องเต้ การคำนวณ การใช้วัสดุก่อสร้างและการก่อสร้างเป็นต้นของสิ่งปลูกสร้างวงกลมต่างมี ความสลับซับซ้อนมากกว่าสิ่งปลูกสร้างทรงสี่เหลี่ยม เวลาประกอบพิธี ฮ่องเต้จะคุกเข่าลงตรงใจกลางของแท่นที่มีหินรูปร่างกลมก้อนใหญ่ แล้วตั้งจิตอธิษฐานเพื่อขอพรจากพรจากสวรรค์ ให้ฟ้าฝนตกต้องตามฤดูกาล พืชพันธุ์ธัญญาหารอุดมสมบูรณ์ และเมื่อพูดด้วยเสียงดังฟังชัด ฮ่องเต้จะได้ยินเสียงสะท้อน(Echo) ชัดเจน ทำให้รู้สึกว่าได้อยู่ใกล้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ใกล้ฟ้า ใกล้สวรรค์ และเหล่าเทพเทวดา เชื่อกันว่าเป็นส่วนของบันไดที่เชื่อมต่อกับสวรรค์ ดังนั้น ในทุกวันที่ 22 ธันวาคม ของทุกปี อันเป็นการเริ่มต้นฤดูหนาว องค์จักรพรรดิทุกพระองค์จะถวายรายงานต่อฟ้าถึงผลงานตลอด 1 ปีที่ผ่านมา และขอพรจากฟ้าเพื่อให้ปีต่อไป ร่มเย็นเป็นสุข ทำมาค้าขึ้น ปลูกพืชผลได้ผลดีเป็นเทคนิคพิเศษของการก่อสร้างและการออกแบบเฉพาะในสมัยโบราณจะมีการเผาไหมเป็นเครื่องบวงสรวงบูชาสวรรค์กันที่นี่อีกด้วย


Photobucket


Photobucket


Photobucket


Photobucket


Photobucket


Photobucket



เสานี้เอาไว้สำหรับจุดไฟเวลามาบวงสรวงฟ้าดิน เพราะต้องตื่นมาทำตั้งแต่เช้ามืด จุดเพื่อให้ความสว่าง
Photobucket

Photobucket



ถังขยะในบริเวณนี้ ทำให้แบบกลมกลืนไปเลย
Photobucket



แผ่นหินตรงกลางไปยืนแล้วหันหน้าไปทางทิศตะวันออกแล้วพูดดัง ๆ จะมีเสียงสะท้อนกลับมาด้วย ลองทำดูแล้ว พูดว่า ขอให้รวย ก็จะมีเสียง รวย ๆ ๆ ๆ ๆ สะท้อนตามมา น่าทึ่งมาก หันไปด้านอื่นไม่มีเสียงนะ
Photobucket


รั้ว 3 ชั้นลดหลั่นกันลงไป
Photobucket


Photobucket


Photobucket



ภาพหมู่ซะหน่อย

Photobucket


Photobucket


รูปเดี่ยวมั่ง
Photobucket


Photobucket

จบสำหรับ แท่นบวงสรวง (หวานชิวถาน) แล้วเราจะไปต่อกันที่ "ตำหนักหวงฉุงยูว์" หรือ"หอเทพสถิต" เป็นสถานที่ประดิษฐานแผ่นป้ายองค์เทพเทวาทั้งหลายโดยเป็นอาคารสูง 19.5 เมตร เส้นผ่าศูนย์กลางที่ฐาน 15.6 เมตร สร้างด้วยไม้ทั้งหลัง จะเข้าไปชมต้องซื้อตั๋วอีก
Photobucket


ประตูทางเข้า

Photobucket




เข้ามาข้างในแล้วว
Photobucket

Photobucket


รายละเอียดภายใน แผ่นป้ายองค์เทพเทวา
Photobucket


Photobucket


ตำหนักที่อยู่ข้าง ๆ กัน

Photobucket



เสาหินอ่อนที่อยู่ด้านนอก รอบ
Photobucket


Photobucket


รายละเอียดภายใน
Photobucket


Photobucket


Photobucket



กำแพงสะท้อนเสียงที่มีชื่อเสียงเรืองนามไปทั่วโลก เพราะเป็นกำแพงทรงกลมรอบนอกของหอเทพสถิต มีความยาว 193.2 เมตร สูง 3.7 เมตร และหนา 0.9 เมตร สามารถส่งผ่านเสียงผ่านไปถึงผู้ยืนอยู่ที่กำแพงฝั่งตรงข้ามได้อย่างชัดเจน ปัจจุบันเค้าทำเหล็กมากั้นไว้กันคนไปกระซิบผ่านกำแพง เพื่อป้องกันความเสียหาย แต่หลายคนก็ยังพยายามชะโงกหน้าตะโกนกัน ได้ยินเสียงด้วย
Photobucket



พอออกมาจากหอเทพสถิตย์ก็มาเจอนี่ ลานกิจกรรมของที่นี่ รำไท้เก๊ก อยู่ระหว่างทางที่เราจะไปหอประกอบพิธีบวงสรวงฟ้าดิน
Photobucket

Photobucket


อันนี้เหมือนตีแบตแต่ลูกที่ตีไม่เหมือนกัน มีลีลา หลายท่า พริ้วมาก
หมุนตัวรับ รับใต้ขา เหมือนต่อสู้กันเลย

Photobucket


Photobucket


ชอบต้นนี้ใหญ่มากคงหลายร้อยปีแล้ว

Photobucket





ประตูทางที่จะไปหอประกอบพิธีบวงสรวงฟ้าดิน
Photobucket

Photobucket

เข้ามาแล้วก็ต้องเดินอีกไกล ดูหนทางที่เราจะไปซะก่อนลิบลับเหลือเกิน
Photobucket


ระหว่างทางมีร้านขายของที่ระลึก มีคนนี้แต่งตัวเป็นฮ่องเต้เรียกแขกอยู่หน้าร้าน ก็เลยถ่ายรูปด้วย
Photobucket


ที่นี่ปลูกต้นไม้ร่มรื่นจำนวนมากและยังปลูกพืชคลุมดินไว้อีกส่วนหนึ่ง เมื่อ เดินเข้าสู่"หอเทียนถาน"ก็จะเห็นต้นไม้สูงใหญ่เขียวชอุ่มให้ความร่มเย็นอยู่ทั่วไป โดยเฉพาะต้นไป๋ ที่มีอายุหลายร้อยปีแผ่กิ่งก้านโน้มเข้าหากันจำนวนมาก ซึ่งได้สร้าง บรรยากาศที่น่าเกรงขามให้กับ "หอเทียนถาน" ยิ่งขึ้น ตามสถิติที่มีผู้ศึกษาไว้ เฉพาะต้นไป๋ภายใน "เทียนถาน" ก็มีจำนวนมาก กว่า 4,000 ต้นแล้ว เพราะตามความเชื่อของคนจีนในสมัยโบราณ สีเขียวเป็นสัญลักษณ์แสดงถึง "ความเคารพ ระลึกถึงและความปรารถนา" ทั้งนี้จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้คนจีนมักจะปลูกต้นสน และต้นไป๋ไว้ตามหอสักการะวัดวาอารามและสุสานต่างๆซึ่งมีให้เห็นทั่วประเทศ
Photobucket


Photobucket


Photobucket



บรรยากาศมันพาไป
Photobucket



วิวข้างทาง มีการร้องงิ้วมั้งคนดูเต็มเลย
Photobucket


ใกล้เข้ามาแล้ว
Photobucket


เด็กที่นี่น่ารักเนอะ
Photobucket


"สะพานตันปี้" ที่มีความยาว 360 เมตรและมีความกว้าง 30 เมตรนั้นเป็นทางเชื่อมระหว่างตำหนัก "ฉีเหนือนเตี้ยน" กับ "แท่นบวงสรวงฟ้า" โดยทางเดินที่เหยียดยาวจากด้านใต้ที่สูงเพียง 1 เมตรนั้น จะค่อยๆเพิ่มความสูงขึ้นจนไปสูงสุดที่จุดหมายปลายทางด้านเหนือที่มี ความสูงถึง3เมตรได้แฝงความหมายสำคัญเอาไว้ว่าในแต่ละก้าวที่องค์จักรพรรดิ์เสด็จย่ำพระบาทผ่านมาบนเส้นทางสายนี้ จะค่อย ๆ สูงขึ้นเรื่อย ๆ ไปสู่สรวงสวรรค์ ซึ่งถูกเรียกว่า"เสินเต้า"หรือ"ทางศักดิ์สิทธิ์"เป็นทางเดินของสวรรค์และเทพเทวดาองค์ต่าง ๆ โดยถนนฝั่งซ้ายสำหรับองค์จักรพรรดิเสด็จผ่าน ส่วนถนนฝั่งขวาสำหรับขุน นางชั้นผู้ใหญ่ ในภาพเป็นเป็นทางลงเพราะว่าตอนที่เราเดินมา เราเดินย้อนเส้นทางเพื่อเดินทางไปที่รถ ความจริงต้องเดินมาจากทางด้านหน้าแล้วเดินไปยังทางที่เราผ่านมาแล้วจึงจะถูกต้อง เลยไม่ได้เดินไปสวรรค์ สงสัยไปลงนรก อิอิ
Photobucket




สนามหญ้าข้างทาง เขียวดี
Photobucket


อันนี้เป็นศาลเจ้า เข้าไปไหว้พระได้ เมื่อก่อนเป็นห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนขึ้นไปบวงสรวงฟ้าดิน
Photobucket


ป้ายที่อยู่ด้านหน้า

Photobucket


น่ารักอีกแล้ว
Photobucket



ใกล้เข้ามาแล้ว
Photobucket


ผ่านตรงนี้ไปก็ถึงแล้ว
Photobucket


เจอลุงคนนี้อยู่ที่ประตู
Photobucket


ดูเหมือนเล็ก ๆ นะ
Photobucket

ใกล้ ๆ
Photobucket


ขึ้นมาข้างบนหอ
Photobucket

Photobucket


รายละเอียดภายใน "ฉีเหนียนเตี้ยน" หรือ "ตำหนักสักการะ" เป็นสิ่งปลูกสร้างที่มีเอกลักษณ์ของจีนและก็เป็นสิ่ง ปลูกสร้างที่ยิ่งใหญ่สวยงามและโดดเด่นที่สุดในเทียนถาน เป็นสถานที่สำหรับบวงสรวงฟ้า เพื่อขอให้พืชพันธ์ธัญญาหารอุดมสมบูรณ์ เมื่อเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ ตำหนักนี้มีเส้นผ่าศูนย์กลาง32เมตรและมีความสูงราว 40 เมตร เป็นตำหนักทรงกลมโครงไม้โดยมีหลังคาลักษณะพิเศษที่ไม่มีคานไม้เลย ส่วนเสาใหญ่ที่ตั้งอยู่บริเวณกลางห้องโถงทั้ง 4 เสานั้นต่างมี ความสูงราว 20 เมตร เป็นสัญลักษณ์แห่งความหมายของ 4 ฤดูกาลในรอบหนึ่งปีนั่นเอง อีก 12 เสาที่เล็กกว่าซึ่งก็ตั้งอยู่ในห้องโถงใหญ่ของฉีเหนียนเตี้ยนเช่นกันนั้น เป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงเดือนทั้ง 12 เดือนในรอบหนึ่งปีนั่นเอง นอกจากนั้นยังมีอีก12เสาที่รวมเข้าอยู่กับกำแพงของ "ฉีเหนียนเตี้ยน" ด้วยกันซึ่งมีความหมายว่า วันหนึ่งมี 12 ช่วงและแต่ละ ช่วงในอดีตนั้นตรงกับเวลา 2 ชั่วโมงในสมัยปัจจุบัน ส่วนฝ้าเพดานในห้องโถง ที่เป็นรูปปั้นมังกร 9 ตัวนั้นมีสีสันหลากหลาย มีความประณีตและมีความโอ่อ่างดงามยิ่ง ส่วนยอดหลังคาที่หุ้มทองนั้นมีความงามสอดคล้องกับหลังคา กระเบื้องเคลือบสีน้ำเงินอย่างกลมกลืน อีกทั้งตำหนักนี้ได้สร้างบนแท่นหินอ่อนสีขาวสามชั้นที่มีความใหญ่โต ยิ่งทำให้ลักษณะ ของ "ฉีเหนียนเตี้ยน" มองดูแล้วยิ่งใหญ่และงดงามมาก
Photobucket



จำนวนเสาที่อยู่ภายใน สีแดงใหญ่คือเสาที่อยู่กลางห้องโถง รูปข้างบน
Photobucket


คนจีนมั้งหน้าตาเค้าโบราณดีชอบแล้วถ่ายรูปหมู่ด้วยนะ
Photobucket



อันนี้คนไทยอยากเป็นคนจีนมั้ง ค่าเช่าชุด 150 บาท เค้าถ่ายให้ 1 ภาพ พร้อมใส่กรอบกระดาษรูปหอฟ้า ส่วนที่เหลือเราเอากล้องไปเอง รัวไม่ยั้ง อิอิ
Photobucket



Photobucket






อันนี้ไกด์ของกรุ๊ปอื่น น่ารักดี ดูธงสัญญลักษณ์ซิน่ารักสีเหลือง
Photobucket


อันนี้เข้ามาในพิพิธภัณฑ์ที่แสดงอยู่บ้าง ๆ หอบวงสรวง
Photobucket


Photobucket


Photobucket


Photobucket



แบบจำลอง
Photobucket


Photobucket




จำนวนเสาที่อยู่ภายใน
Photobucket


ยอดโดมเป็นทองคำ
Photobucket


อันนี้ถ่ายหน้าพิพิธภัณฑ์ ต้องกระโดดขึ้นไปสูงมาก เพื่อให้ได้ภาพของหอ บวงสรวงฟ้าดิน
Photobucket



ออกมาทางเดินจะกลับไปที่รถ อีกก็อีกซักรูป
Photobucket

ดูแล้วเหมือนสวนลุมบ้านเรา ที่มีคนมาแสดงความสามารถต่าง ๆ ให้ดู อันนี้เหมือนแสดงละคร
Photobucket



อันนี้เล่นโดมิโนกัน ดูสนามที่อยู่ข้างหลังซิร่มรื่นและกว้างมากเลย
Photobucket


ต้นอะไรไม่รู้มีลูกด้วย
Photobucket



อันนี้เค้าเล่นงิ้วกันแต่ไม่แต่งตัวร้องแข่งกันเฉย ๆ แต่คนดูเยอะมาก เราต้องฝ่าฝูงชนนี้ไป
Photobucket


Photobucket


ช่วงนี้ทางโล่งก็จะมีคนเขียนภู่กันจีน โชว์
Photobucket



สนามที่อยู่ข้าง ๆ ทางเดิน
Photobucket



อันนี้ทำงานฝีมือพอเราไปดูใกล้ ๆ เค้าก็จะผลงานออกมาโชว์และถามขายให้เรา เค้าทำหมวก เสื้อ ผ้า
Photobucket


อันนี้ร้องคาราโอเกะโชว์ มีจอทีวีดูด้วยนะ
Photobucket



อันนี้เล่นไพ่กัน แต่เล่นอะไรไม่รู้เหมือนรัมมี่แต่ถือกันคนละ 10 กว่าใบ
Photobucket



อันนี้เหมือนวงประสานเสียง ร้องด้วย เล่นด้วย
Photobucket



ร้านขายของที่อยู่บริเวณนั้น
Photobucket


Photobucket

Photobucket


อันนี้เป็นรากไม้ แต่เหมือนคนมาก
Photobucket


ห้องน้ำของที่นี่ แต่กลิ่นรุนแรงมาก ขนาดผู้ชายที่มาด้วยกันยังเข้าไม่ได้ เราเลยไม่เสี่ยง อาจตายอยู่ในนั้น
Photobucket



จบแล้วสำหรับเทียนถาน จากนี้เราจะไปกินข้าวและตอนบ่ายไปช๊อปปิ้งค่ะ ตามมา ๆ ๆ


ตอนต่อไปค่ะ คลิ๊กเลย




 

Create Date : 11 กรกฎาคม 2552    
Last Update : 10 มิถุนายน 2553 17:07:46 น.
Counter : 2525 Pageviews.  

เที่ยวปักกิ่ง ตอนที่ 22 กินข้าว วันที่ 28






หน้าร้านที่เราจะไปทานอาหารเย็นกันกันค่ะ
Photobucket


Photobucket



มีโซฟาให้นั่งรอด้วยนะ
Photobucket


บรรยากาศภายในร้านค่ะ คนเยอะสงสัยอร่อย
Photobucket



หน้าตาอาหารค่ะ มีอันนึงแปลกดีเป็นหอยหลอดมั้ง ยาว ๆ เรียว ๆ มีไม่กี่ตัวอร่อยดี มีปลานึ่งซีอิ้ว ผัดผัก กุ้งชุปแป้งทอด
Photobucket

Photobucket


อิ่มแล้วเข้านอนเลย ต้องเก็บแรงไว้ไปเทียนถานพรุ่งนี้ ต้องเดินอีกเยอะ

ส่วนนี่ก็อาหารเช้าของวันที่ 29 ค่ะ ก่อนไปเทียนถานต้องกินให้อิ่มเพราะเดินเยอะอีกแล้ว มีตีนไก่ด้วยอร่อยดี ตักมาหลายรอบ เป็นบุฟเฟ่ท์ ตักไม่อั้นกินกับข้าวต้มอร่อยดี
Photobucket


อิ่มแล้วไปกันเลย ตามมา ๆ ๆ

ตอนต่อไปค่ะ คลิ๊กเลย




 

Create Date : 11 กรกฎาคม 2552    
Last Update : 10 มิถุนายน 2553 17:05:07 น.
Counter : 389 Pageviews.  

เที่ยวปักกิ่ง ตอนที่ 21 โรงงานผ้าไหม วันที่ 28






วันนี้พาไปชมโรงงานไหมของปักกิ่ง ซึ่งแตกต่างจากของไทยมาก ซึ่งเป็นของรัฐบาลอีกเช่นกัน อันนี้ด้านหน้านะจ๊ะ
Photobucket


เข้ามาข้างในเป็นภาพถ่ายในวังประมาณว่าของจากที่นี่เอาไปเป็นของใช้ในวังทั้งหมด เช่น ทำเสื้อผ้า เครื่องนอน ผ้าม่าน
Photobucket



เข้ามาแล้วก็จะมีเจ้าที่พาไปชมวิวัฒนาการของไหม ก่อนที่จะเป็นเส้นไหม จากภาพจะเห็นด้านล่างขวาเป็นผีเสื้อกลางคืน ตรงกลางเป็นขี้หนอน ด้านล่างซ้ายเป็นไข่ผีเสื้อ บนขวาเป็นตัวหนอนโตเต็มที่ ที่อยู่ในขวดแช่น้ำเหลือง ๆ คือตัวดักแด้ บนสุดเป็นรังไหมที่พร้อมใช้งาน
Photobucket


อันนี้เป็นรังไหมหลายขนาด มี 2-3 สี
Photobucket


อันนี้สีทองชัดมาก ใหญ่ดี ซึ่งเป็นรังไหมแฝด มี2 ตัวใน 1 รังซึ่งเป็นรังขนาดใหญ่ให้เนื้อไหมมาก เมืองไทยยังไม่มี ต่อไปจีนเค้าจะพัฒนาให้มีไหมหลากสี ซึ่งกำลังทดลองอยู่ ต่อไปไม่ต้องย้อมสีอีกแล้ว
Photobucket



อันนี้เป็นรังที่เค้าจะเอามาสาธิตให้ดู ไม่ค่อยสวย
Photobucket



เค้าจะเอาไปแช่น้ำก่อนให้พร้อมที่จะดึงไหมออก
Photobucket



เอาขึ้นมาแกะเอาตัวออก
Photobucket


แล้วแกะเอาเนื้อไหมออกมาได้เลย ไม่ต้องมีเครื่องช่วย มือนี่แหละ แล้วกางออก
Photobucket


คลุมตรงนี้ได้พอดีเหลือด้วย ดึงออกได้แผ่นใหญ่ เราคิดว่ามันจะบางขาดง่าย ๆ เปล่าเลยไปจับดูมันแน่น ตึง เหมือนหนังเลย
Photobucket


อันนี้คืออันที่แห้งแล้ว ขาว นุ่ม
Photobucket



อันนี้สาธิตการทำผ้าห่มและการดึงไหม ผ้าห่มที่นี่เค้าจะใช้แรงงานคนทั้งหมด ใช้เครื่องจักรไม่ได้เพราะแรงไม่เหมือนกัน เพราะใช้แรงในการดึงแต่ละด้านไม่เหมือนกัน
Photobucket



เค้าให้ทดสอบการดึงไหมด้วยนะ จากไหมก้อนเล็ก ๆ กลายเป็นผืนใหญ่ ๆ เห็นแล้วทึ่ง ออกแรงมากในการดึง เข้าใจแล้วว่าทำไมเครื่องจักรจึงทำไม่ได้ต้องใช้แรงงานคนเท่านั้น ต้องถึงแบบค่อย ๆ เดี๋ยวไม่เสมอกัน
Photobucket

Photobucket




เสร็จแล้วไปชมผ้าห่มกัน อันนี้เป็นไส้ผ้าห่มที่ทำจากไหม หนา นุ่ม แต่เบา ไม่ต้องซัก ตากแดดก็พอ มีหลายขนาด แต่แพงมาก อย่างถูก ๆ ก็พันขึ้นไปเฉพาะไส้อย่างเดียวนะ ไม่รวมปลอกผ้าห่มนะ เค้าสาธิตวิธีการใส่ปลอกด้วย ชอบคนนี้เค้าเป็นคนไทยนะอิสานด้วย แต่ครอบครัวส่งมาเรียนที่จีน พูดไทยชัดแจ๋ว พูดลาวด้วยตลกดี เป็นผู้จัดการฝ่ายขายที่นี่
Photobucket


จากนั้นก็พาชมชุดเครื่องนอน ผ้าปู ปลอกหมอน ผ้าห่มพร้อมปลอก แต่ละผืนนิ๊ม นิ่ม ลื่นมาก เนียน จับแล้วเย็น ๆ ถ้าได้นอนคงจะหลับสบาย แต่ถ้าซื้อไปคงนอนไม่หลับไปหลายเดือนเพราะแพงมาก
Photobucket


ชั้นที่ 2 เป็นเสื้อผ้าที่ทำมาจากผ้าไหม การจัดเย็บสวยมาก แบบก็เดิ้นค่ะ
Photobucket



จบแล้วสำหรับการชมโรงงานผ้าไหม ต่อไปจะไปทานอาหารเย็นกันค่ะ ตามมา ๆ ๆ ๆ




 

Create Date : 11 กรกฎาคม 2552    
Last Update : 11 กรกฎาคม 2552 16:34:17 น.
Counter : 1902 Pageviews.  

1  2  3  4  5  

j230i
Location :
ชลบุรี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add j230i's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.