... เจ็บแล้วจำคือคน เจ็บแล้วทนคือควาย ...
เที่ยวปักกิ่ง ตอนที่ 2 พระราชวังต้องห้าม วันที่ 26



หลังไมค์ถึงเจี้ยบกดที่นี่





จากนี้เราก็ไปพระราชวังต้องห้ามกัน เค้าสีแดงทั้งหมด บ้านเราสีแดงหมายถึงห้าม ตาย หรืออะไรที่อันตรายมั้ง ที่นี่ก็เลยมีสีแดง ถามไกด์ว่าที่นี่กว้างขนาดไหน เค้าบอกว่าวันนี้เราต้องเดินกันประมาณ 5 กิโล อยากจะบ้าตายกลางอากาศร้อน ๆ นี่แหละ อันนี้ด้านหน้ามีรายละเอียดว่ามีไกด์ภาษใดบ้าง หลายภาษามาก


ระหว่างรอไกด์ไปซื้อตั๋ว ไปเข้าห้องน้ำ หน้าห้องน้ำมีร้านขายของที่ระลึกด้วย






ดูประวัติของพระราชวังต้องห้ามกันซักเล็กน้อยนะค่ะ
พระราชวังต้องห้าม (จีน: จื่อจิ้นเฉิง; อังกฤษ: Forbidden City) จากชื่อภาษาจีน แปลตามตัวอักษรได้ว่า "เมืองต้องห้ามสีม่วง" เป็นพระราชวังหลวงมาตั้งแต่สมัยกลางราชวงศ์หมิงจนถึงราชวงศ์ชิง พระราชวังต้องห้ามยังรู้จักกันในนาม พิพิธภัณฑ์พระราชวัง (ภาษาจีน: Gùgōng Bówùyùan) ครอบคลุมพื้นที่ 720,000 ตารางเมตร อาคาร 800 หลัง มีห้องทั้งหมด 9,999 ห้อง และมีพระที่นั่ง 75 องค์ แผนผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ยาวจากเหนือจรดใต้ 961 เมตร กว้าง 753 เมตร มีกำแพงวังล้อมรอบ ยาว 3 กิโลเมตร สูง 10 เมตร มีคูน้ำล้อมรอบ กว้าง 52 เมตร มีประตูวัง 4 ประตู 4 ทิศ มีป้อมหอคอยกำแพงวังอยู่ 4 มุม ใช้ระยะก่อสร้างประมาณ 14 ปี ตั้งแต่ พ.ศ. 1949 จนถึง พ.ศ. 1963


ประตูนี้ไม่เปิดให้คนเข้า ต้องไปเข้าประตูด้านหลัง เห็นไกด์บอกว่าวันนี้มีนายใหญ่เสด็จมา เราผู้น้อยต้องไปประตูข้าง เพค่ะ


เข้ามาแล้วก็เทางแบบนี้ เค้าปลูกต้นสนไว้เยอะเลย เราบ้านนอกไม่เคยเห็นลูกสนก็แถเข้าไปถ่ายเลยค่ะ ดกมาก




แล้วก็พอเดินมาที่ทางเดินด้านข้างซึ่งยาวมาก ซึ่งปกติแล้วจะไปได้พาลูกทัวร์มาทางนี้บ่อยเพราะมีทหารเฝ้าอยู่ วันนี้ทหารไปเฝ้านายใหญ่หมดแล้ว




ประตูเหล็กเก่ามาก ต้องล็อคไว้ห้ามเข้าออก กลัวขโมย


อีกอัน










มีคนขี้สงสัยด้วย ส่วนไกด์เดินนำลิ่วไปแล้ว เรามัวแต่แชะ ๆ ๆกัน



อันนี้เดินมาถึงด้านในแล้ว เมื่อกี้อ้อมมา




ไม่ค้อยมีต้นไม้เลย มีแค่นี้แหละ แล้วแดดร้อนมาก





บางส่วนก็มีการซ่อมแซม เพราะสีซีดมาก ไกด์บอกว่าที่นี่ต้องซ้อมทุก 10 ปี เพราะมีนักท่องเที่ยวมามาก ทรุดโทรมเร็ว


รายละเอียดของหลังคา มีตาข่ายกันนกด้วย




เอาไว้ใส่น้ำดับไฟ เวลาไฟไหม้


เอื้อมถ่ายได้แค่นี้


ช่างก็ซ่อมไป


มีร้านขายไอติมด้วย


ร้านขายของที่ระลึก แพงมาก ไม่กล้าเข้าไปถ่ายข้างนอกพอ












กระถางทอง ต้องเอาเหล็กมากั้นไว้เพราะมีคนมาขูดเอาทองที่เคลือบไว้ออกไปเยอะ

















อันนี้อยากไปถ่ายรูปกับยามมาก หน้าล่ะอ่อน แต่เค้าให้เข้าใกล้ได้แค่นี้


ตำหนักไหนชื่ออะไรบ้างจำไม่ได้แล้ว ถ่ายอย่างเดียว ส่วนฟังไกด์พูดก็ปานสีซอให้ควายฟัง จำไม่ได้ เอาไปอ่านเองนะ สังเกตุเอง ว่าอันไหนเป็นอันไหนคนไปจำไม่ได้จริง ๆ

• ภายในพระราชวังแบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือ วังหน้าและวังใน
- วังหน้าเป็นเขตที่ฮ่องเต้ออกว่าราชการ จัดงานพิธีต่างๆ รับเข้าเฝ้า
- วังในเป็นเขตหวงห้าม ผู้ชายห้ามเข้า ยกเว้นขันทีเท่านั้น
• วังหน้ามี 3 ตำหนัก เป็นศูนย์กลางที่สร้างอยู่บนเส้นแกนตรงกันเป็นเส้นตรง ดังนี้
1.ตำหนักไถ่เหอ เป็นตำหนักด้านหน้าที่สำคัญที่สุดและใหญ่ที่สุดในพระราชวังหลวง ตั้งอยู่บนแท่นหินหยกขาวยกพื้นสูง 2 เมตรเศษ ล้อมรอบด้วยรั้วหินหยกขาว แกะสลักเป็นเมฆ มังกร และหงส์ สร้างในปีค.ศ. 1420 สมัยของพระเจ้าหย่งเล่อ กว้าง 11 เมตร ลึก 5 เมตร หลังคาซ้อน 2 ชั้น สูง 35 เมตร พื้นที่ 2,377 ตารางเมตร ปูด้วยอิฐ(ที่นวดด้วยแป้งทองคำ) ตรงกลางมีบัลลังก์มังกรสีทอง(มังกร 5 เล็บ สัญลักษณ์ของฮ่องเต้อันสูงส่ง) ใช้เป็นสถานที่ฮ่องเต้ออกว่าราชการแผ่นดินรับการเข้าเฝ้าจากขุนนางขุนศึก ต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองและอาคันตุกะชาวต่างต่างประเทศ หลังคามุงกระเบื้องสีทอง(สีเฉพาะของฮ่องเต้เท่านั้น)
2.ตำหนักจงเหอ เป็นตำหนักหลังที่ 2 อยู่ด้านหลังตำหนักไถ่เหอ เป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมมียอดแหลม ใช้เป็นสถานที่พักรอก่อนออกว่าราชการแผ่นดิน รับการรายงานจากข้าหลวงชั้นใน รวมทั้งพิธีการจัดงานเข้าเฝ้า หากมีงานพิธีแต่งตั้งพระราชินีและจัดงานใหญ่ในพระราชวังจะต้องตรวจเอกสารความเรียบร้อยของงาน ณ ตำหนักแห่งนี้ล่วงหน้า 1 วัน
3.ตำหนักเป่าเหอ เป็นตำหนักหลังที่ 3 อยู่หลังตำหนักจงเหอ เป็นตำหนักใหญ่ มีพื้นที่เท่ากับตำหนักไถ่เหอ ภายในมีบัลลังก์ก่อสร้างโดยไม่มีเสาแถวที่ 2 ทำให้ห้องโถงด้านหน้าท้องพระโรงกว้างขึ้น ไม่บังสายพระเนตรพระองค์ฮ่องเต้ ใช้เป็นสถานที่จัดงานเลี้ยงรับรองบรรดาหัวหน้าชนเผ่ากลุ่มน้อยต่างๆทุกปี ในวันที่ 30 เดือน 12 (วันสิ้นปีของจีน) พิธีอภิเษกสมรสของฮ่องเต้หรือโอรสธิดา มาถึงในสมัยพระเจ้าเฉียนหลงใช้ที่นี่เป็นสถานที่สอบจอหงวน องค์ฮ่องเต้เป็นผู้ออกข้อสอบและคุมสอบด้วยพระองค์เอง โดยสอบในห้องท้องพระโรงแห่งนี้เอง
ผู้ที่สอบได้ที่ 1 มีเพียงคนเดียวเท่านั้น จะได้เป็น “จอหงวน” และเป็นลูกเขยของฮ่องเต้
ผู้ที่สอบได้ที่ 2 อาจมีหลายคน จะได้เป็น “ท่านฮั้ว” เป็นที่ปรึกษาประจำองค์ฮ่องเต้
ผู้ที่สอบได้ที่ 3 อีกหลายคน จะเรียกว่า “ป่างเหี่ยน” ดำรงตำแหน่งรองผู้ช่วยฮ่องเต้

• วังใน เป็นเขตต้องห้ามสำหรับผู้ชาย ทาสเพศชายที่จะเข้ามารับใช้ในวังได้นั้นต้องผ่านขั้นตอนการตอนให้เป็นขันทีเสียก่อน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเรื่องเสื่อมเสียกับมเหสีและเหล่านางสนมใน ขันทีมาจากชนชั้นยากจนเสียเป็นส่วนใหญ่ พวกพ่อค้าทาสจะลักพาตัวมาตั้งแต่เด็ก แล้วส่งไปให้คนของตระกูลไป่ในกรุงปักกิ่งทำการตอน ตอนเสร็จแล้วก็มีการออกใบรับรองส่งให้ราชสำนัก ขันทีที่ฉลาดมีการศึกษาอาจได้เป็นกุนซือหรืออาจารย์ในวังหลวง แต่ขันทีส่วนใหญ่ต้องทำงานหนักในโรงครัวและในสวนไปตลอดชีวิต ทำผิดเล็กน้อยก็จะถูกโบยถูกเฆี่ยนตี ทำผิดมากโชคไม่ดีก็อาจถูกตัดหัวได้ง่าย
• การได้เข้ามารับใช้ใกล้ชิดกับพระราชวงศ์ ทำให้ขันทีบางคนสามารถกุมอำนาจเอาไว้ได้ สร้างความร่ำรวยให้ตนเองใช้ตำแหน่งใหญ่โตสร้างอิทธิพล แสวงหาทรัพย์สินเงินทองในทางมิชอบ จนสามารถซื้อบ้าน ที่ดิน ทำธุรกิจการค้านอกวังหลวง พอเกษียณแล้วจะย้ายออกไปอยู่ตามวัดที่ตนเองเคยให้การอุปถัมภ์ด้วยการบริจาคเงินจำนวนมากอย่างสม่ำเสมอ ในยุคราชวงศ์หมิงมีขันทีอยู่ในพระราชสำนักถึง 20,000 คน แต่ภายหลังก็ค่อยๆลดจำนวนลงจนเหลือเพียง 1,500 คน ในรัชกาลสุดท้ายก่อนที่ราชวงศ์ชิงจะล่มสลายเมื่อปี ค.ศ. 1991
• การตอนหรือการตัดอวัยวะเพศทิ้งก็ใช่จะให้ผลเป็นที่น่าเชื่อถือได้เสมอไป ข่าวลือเรื่องการลักลอบมีความสัมพันธ์กันระหว่างขันทีกับนางกำนัลก็มีให้ได้ยินอยู่บ่อยครั้ง คนทั่วไปมองขันทีว่าเป็นพวกน่าสมเพช มักถูกดูหมิ่นอยู่เสมอ เพราะ การเป็นคนที่ไม่สามารถเพื่อมีบุตรสืบสกุลได้นั้นย่อมถูกเหยียดหยามเป็นธรรมดา
• ดังนั้นพวกขันทีที่มีอำนาจมากๆ ก็จะซื้อบ้านเอาไว้นอกพระราชวังหลวง ทำบันทึกอ้างอิงถึงการสืบทอดวงศ์ตระกูลลงมาเป็นรุ่นๆ โดยมีการซื้อสตรีและทารกมาเป็นภรรยาและบุตร ซื้อบ่าวทาสหรือแม้กระทั่งนางบำเรอหลายๆคนมาไว้ข้างกาย
• เขตพระราชวังชั้นใน(วังใน) ประกอบด้วยตำหนักเฉียนชิงกง เจียวไถ่เตี่ยน คุนหมิงกง ตำหนักตะวันออกและตะวันตก เป็นสถานที่ที่ฮ่องเต้ดำเนินการประจำวันทางการเมือง อาทิ ตรวจเอกสาร ลงพระนามอนุมัติ ตัดสินความ และเป็นสถานที่พักอาศัยของพระราชวงศ์ พระราชินี พระสนม พระโอรส และพระธิดา รวมไปถึงมีพระราชอุทยานของฮ่องเต้ เขตวังในจะมีพระตำหนักที่มีความสำคัญอยู่ 2 หลังคือ
• เฉียนชิงกง เป็นตำหนักด้านหน้าของวังใน เป็นที่ประทับของฮ่องเต้ เพื่อตรวจเอกสารลงพระนามอนุมัติราชการแผ่นดินประจำวัน ต่อมาในปี ค.ศ. 1644 ทหารและชาวนาของหลี่จื้อเฉินทำการปฏิวัติ นำกำลังบุกเข้าปักกิ่ง ซึ่งตรงกับรัชกาลฮ่องเต้องค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์หมิง พระเจ้าจูหยิวเจี่ยนชักกระบี่ฟันพระธิดาของพระองค์จนขาดสะพายแล่ง แล้วทรงหนีออกจากพระราชวังไปแขวนคอตายที่ต้นสน ณ ภูเขาเหมยซาน(ปัจจุบันเรียกว่า ภูเขาจิ่งซาน) ซึ่งอยู่ด้านหลังพระราชวังหลวง
• หย่างซินเตี้ยน เป็นตำหนักอยู่บริเวณด้านตะวันตกเฉียงใต้ของวังใน เป็นที่ประทับของฮ่องเต้ นัดพบปะพูดคุยกับพวกข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ทั้งเรื่องการเมืองและการทหารในรัชสมัยพระเจ้าถงจื้อและกวางซี่ใช้เป็นสถานที่ออกว่าราชการหลังม่านของพระนางซูสีไทเฮา รวมทั้งในสมัยฮ่องเต้องค์สุดท้าย เมื่อครั้งที่ ดร.ซุนยัดเซ็นทำการปฏิวัติ จักพรรดิปูยีก็ทรงสละราชบัลลังก์ในปี ค.ศ. 1962 ณ ตำหนักแห่งนี้
• สำหรับประตูทางเข้าด้านหน้าของพระราชวังหลวงหลังพลับพลาเทียนอันเหมิน ทางด้านทิศใต้ของพระราชวังจะมีซุ้มประตูไถ่เหอ แนวกำแพงวังประกอบด้วยประตูใหญ่อยู่ตรงกลาง ประตูเล็ก 2 ข้าง รวม 3 ประตู ประตูมีความลึกถึง 28 เมตร ประตูใหญ่ตรงกลางเป็นประตูเข้าเฉพาะฮ่องเต้เพียงพระองค์เดียว คนอื่นห้ามเดินออกเด็ดขาด ใครฝ่าฝืนเดินออกจะถูกประหารชีวิต คนอื่นเดินออกได้เพียงประตูเดียวเท่านั้นคือประตูด้านทิศเหนือชื่อ “เสินอู่เหมิน” (ประตูหลัง)
• ประตูใหญ่ตรงกลาง ในชั่วชีวิตของพระราชินีมีเพียงครั้งเดียวเท่านั้นที่จะได้เดินผ่านเข้าประตูนี้คือ วันอภิเษกสมรส นอกนั้นขุนนางและพระราชวงศ์ทุกพระองค์จะเดินเข้าพระราชวังทางประตูเล็กทั้งสองข้างเท่านั้น







มีรอยคนขูดเอาทองออกไปด้วย








ดูจำนวนคน ต้องฝ่าฝูงชนเข้าไปถ่ายนะ


ได้มาแล้ววว อันนี้เป็นที่นั่งว่าราชการของฮ่องเต้นะ






อันนี้เป็นลายแกะสลัก ข้างบันไดทางขึ้น


เอาเหล็กมากั้นเหมือนเดิม


















ช่องระบายอากาศยังหรู นี่แหละน้าเรียกว่าวัง อิอิ


ชัด ๆ อีกซักรูป


รายละเอียดชายคา




น่ารักดี


คล้าย ๆ เต่า สัญลักษณ์ให้ฮ่องเต้อายุยืน


นกกระเรียนเป็นสัญลักษณ์ของฮองเฮา


สมัยก่อนก็มีนาฬิกาใช้กันแล้วเหรอ ทำมาจากหินนะเรียกว่านาฬิกาแดดและเจียเลี่ยง ซึ่งเป็นเครื่องมือชั่งตวงวัดชนิดหนึ่ง


ประวัติเอาไปอ่านเอง


มีตะเกียงยักษ์ด้วย เอาไว้ทำพิธี


เขียนว่าอะไรไม่รู้ เป็นราวกั้นรอบ ๆ


อันนี้เป็นลายที่หน้าประตูใหญ่ ตำหนักฮ่องเต้ อลังการรรรร



ราวเหล็กกั้นหน้าประตูทางเข้า


ภาพข้างในตำหนักที่อ่องเต้ว่าราชการ ใหญ่ กว้าง มีพรมเก่า ๆ ด้วย



เสาของรั้ว




อันนี้ดูไม่ออกว่าถ่ายใครดูวุ่นวายมาก




รายละเอียดชัด ๆ บนเพดาน ขื่อหลังคา



อันนี้เป็นประตูเชื่อมระหว่างตำหนัก ใหญ่มาก เหมือนในหนังจีนที่เป็นประตูเมือง แบบว่าต้องใช้หลายคนเปิด ชอบปุ่มที่ยื่น ๆ ออกมาน่าจะเป็นทองเหลืองคงมีคนมาลูบ ๆ คลำ ๆ หรือขัดจนแวววาวเยี่ยงนี้


รายรอบ ๆ ของซุ้มประตู ไม่ใช่ตำหนักนะ


แบบชัด ๆ


อันนี้เป็นแผนผังของพระราชวังทั้งหมด แล้วก็ประวัติ




มีแบบบรรยายเป็นวีดีโอด้วย


เพดาน


เป็นรูปสิงโตมั้ง


เอาไว้ทำไรไม่รู้ บ้านเราเอาไว้ปักร่มใหญ่


สิงโตยักษ์ ในวังนี้มีหลายตัวแต่หน้าตาจะไม่เหมือนกันซักตัว




ถ่ายรูปรวมพอดีเดินมาเจอกัน




กำลังจะเดินออกไปทางประตูนั้นจะต้องข้ามสะพานน้อย ๆ นั่นด้วย


ถ่ายบนสะพานน้ำสายนี้จะอยู่รอบ ๆ วัง




ทางเดินที่จะเดินออกไปจตุรัสเทียนอันเหมิน


อันนี้เป็นเสาที่ใช้ขัดสำหรับปิดประตู เก่ามากแล้ว


ประตูก็เก่า ลืมบอกว่าในพระราชวังนี้ พื้นปูด้วยแผ่นหินแบบนี้ทั้งหมด


มองไกล ๆ


ประตูกลางนี่แหละที่ใช้เข้าออกสำหรับฮ่องเต้คนเดียวเท่านั้น คนอื่นไปใช้ประตูเล็ก หรือประตูหลัง



ออกมาแล้วไปต่อกันที่จตุรัสเทียนอันเหมินนะจ๊ะ รีบตามมาเร็ว

ตอนต่อไปค่ะ คลิ๊กเลย








Create Date : 29 มิถุนายน 2552
Last Update : 10 มิถุนายน 2553 16:52:59 น. 2 comments
Counter : 1682 Pageviews.

 
ขอบคุณนะคะที่พามาเที่ยว


โดย: ดีเจ..เมวิกา หน้าหวาน วันที่: 29 มิถุนายน 2552 เวลา:11:18:18 น.  

 
รูปเยอะมาก ชอบๆ


โดย: darinfc วันที่: 4 ธันวาคม 2552 เวลา:0:32:25 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

j230i
Location :
ชลบุรี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add j230i's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.