คุณยายยังอยู่
คุณยายยังอยู่

ขนหัวลุก

ใบหนาด



"มนัส" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกเมื่อวิญญาณคุณยายมาหา

ผมเคยถามเล่นๆ ว่าคนเรานี่ตายแล้วไปไหน? พ่อผมบอกว่า ตายแล้ววิญญาณยังอยู่ เราต้องไปตามบุญกรรมของแต่ละคนอย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้น

ดู พ่อจะเชื่อเหลือเกิน เพราะมีประสบการณ์เรื่องผีมาไม่น้อย แต่ผมฟังแล้วก็ยังไม่ถึงกับเชื่อสนิท บางเรื่องดูเหมือนจะฝันเป็นตุเป็นตะ บางเรื่องเหมือนตาฝาดไปเอง ไม่มีอะไรพิสูจน์เป็นหลักฐานได้...แต่พ่อไม่โกรธผมหรอกครับ

พ่อ บอกว่าดีแล้วที่ไม่เชื่อเรื่องอะไรง่ายๆ และเป็นคนที่พยายามคิดหาเหตุผล แต่เรื่องผีนี่น่ะพิสูจน์กันยาก เพราะคนเจอผีนั้นจะรับรู้ถึงผีได้ด้วยประสาทสัมผัสทั้งห้าของคนนั้นโดยเฉพาะ อย่างมองเห็น ได้ยิน หรือสัมผัสได้ถึงมือเย็นๆ ที่ไม่มีตัวตน เวลาไปเล่าให้คนอื่นฟังก็เลยเหมือนประสาทหลอน บวกกับจินตนาการแล้วได้ผลลัพธ์ออกมาเป็นเรื่องผี!

ถึงไม่เชื่อแต่ผมก็ชอบฟังครับ มันสนุกดี และทำให้ผมคิดหาเหตุผลจริงๆ ด้วย แต่ผมไม่เคยประสบกับตัวเองเลย จนกระทั่ง...

คืน หนึ่งในช่วงเทศกาลสงกรานต์ปีที่แล้ว เราอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาทั้งครอบครัว คือพ่อแม่และน้องๆ เราเพิ่งกลับจากบ้านคุณปู่คุณย่า โอ๊ย...สนุกมากเลยครับ หลังจากรดน้ำขอพรจากผู้ใหญ่แล้ว ผมก็ได้เล่นน้ำกับพี่ๆ น้องๆ ตั้งเกือบสิบคนแน่ะ

เฮ้อ! เทศกาลสงกรานต์นี้อบอุ่นและสนุกมากนะครับ ผมกลับบ้านหลังจากเล่นจนหมดแรงมาตั้งแต่เช้าโน่น...พอเข้าบ้านก็รู้สึกเหงา ขึ้นมาทันที ทำไมนะ? อ้อ! นึกออกแล้ว...เพราะไม่มีคุณยายนั่นเอง!

คุณยายผมตายไปสองปีแล้วละครับ...

ตอน ที่คุณยายยังอยู่เมื่อสองปีก่อน ผมอายุสิบสาม ผมรดน้ำขอพรคุณยาย ท่านยังให้มาตั้งห้าร้อยบาทแน่ะ! เราอยู่บ้านเดียวกัน คุณยายเลี้ยงผมเวลาที่พ่อกับแม่ไปทำงาน ตอนท่านตายผมเหงามากจนแอบร้องไห้คนเดียว ถึงอย่างนั้นแม่ก็จับได้ว่าผมเศร้าแค่ไหน แม่บอกว่า...คุณยายอยู่กับเรา ไม่ไปไหนหรอก

คืนนี้ผมคิดถึงคุณยายมาก นั่งดูท้องฟ้าอยู่คนเดียวจนแม่เรียกเข้าบ้าน ผมเดินไปอยู่ในห้องนั่งเล่น พ่อและแม่กับน้องมด น้องม่อน กำลังดูทีวี ส่วนผมนั่งเล่นคอมพ์

ตอน นั้นละที่นึกออกว่า อีกคนที่ผมคิดถึงคือ "น้ากิ่ง" น้องสาวแท้ๆ ของแม่ ทุกปีน้ากิ่งจะมาหาแม่ แต่ปีนี้น้ากิ่งไปต่างจังหวัดกับเพื่อน

" ก๊อกๆ...ก๊อกๆ..." เสียงใครมาเคาะประตูกระจก เราทุกคนหันไปมอง และเห็นพร้อมๆ กันว่ามีใบหน้าหนึ่งโผล่มาคล้ายชะโงกมาหาเราเหมือนจะบอกอะไรบางอย่าง...เรา เห็นใบหน้านั้นอยู่นอกประตูกระจก...

ทันทีที่เห็นผมชาวาบ...นั่นคุณยาย!!

คุณยายแน่ๆ ครับ แว่นตาขาวใบหน้ากลมใสเหมือนเมื่อมีชีวิตอยู่ไม่มีผิด...เพียง 2-3 วินาทีท่านก็ละลายไปในความมืด

"คุณเห็นอะไรมั้ย?" พ่อผมเสียงสั่น แม่พยักหน้ามือทาบอก น้องมดกับน้องม่อนยังตะลึงแบบเด็กๆ ขณะพูดเหมือนละเมอพร้อมกันว่า "คุณยาย"

เราเห็นกันทุกคน และเราตื่นเต้นมากๆ แต่เล่าไปใครจะเชื่อ?

พ่อพูดอย่างตื้นตันว่า ท่านคงมาหาเราเพราะเป็นวันสงกรานต์-วันของครอบครัว แต่แม่กังวลมาก บอกว่าน่าจะมีอะไรมากกว่านั้น!

จริง อย่างที่แม่คิด...น้ากิ่งประสบอุบัติเหตุร้ายแรงถึงจะอยู่ในขั้นปลอดภัยแต่ กระดูกหักทั้งตัว ตั้งแต่ไหปลาร้า ซี่โครง แขน ขา เพื่อนที่นั่งข้างๆ น้ากิ่งเคราะห์ร้ายกว่า...เธอตายคาที่ อีกสี่คนบาดเจ็บสาหัสขนาดเข้าไอซียู

น้ากิ่งเป็นลูกสาวคนเล็กของคุณยาย ท่านพูดเสมอกับแม่ว่าอย่าทิ้งน้อง ดูแลน้องดีๆ น้ากิ่งเป็นโสดและยังไม่มีแฟน เธอบ้างานครับ

ผม รู้แล้ว คุณยายมาปรากฏตัวให้เราเห็นเพื่อจะบอกเรื่องน้ากิ่งนี่เอง...อุตส่าห์มาเคาะ ประตู พยายามจะบอกเราว่ากำลังจะมีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้นกับน้ากิ่ง

ซึ้งเลยครับ!

ตอน นี้ผมเชื่อแล้วว่าวิญญาณยังอยู่ ถ้าเราตายไป เราก็ต้องไปอยู่ในที่ที่เราควรอยู่แล้วแต่บุญแต่กรรม และผมหวังว่าเราจะได้วนเวียนอยู่ใกล้ๆ คนที่เรารักเสมอ อย่างคุณยายผมที่ยังรักและดูแลพวกเราอยู่...

//www.matichon.co.th/khaosod/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hPREl5TURRMU1nPT0=§ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd09TMHdOQzB5TWc9PQ==



Create Date : 22 เมษายน 2552
Last Update : 22 เมษายน 2552 13:27:37 น.
Counter : 775 Pageviews.

0 comment
ลางตาย
ลางตาย

ขนหัวลุก

ใบหนาด



"ปอง" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากลางมรณะ

เขาว่าคนจะตายมักมีลางสังหรณ์ หรือสิ่งบอกเหตุล่วงหน้า!

ลาง มรณะที่ว่านั้นอาจจะประสบกับตัวเองก็ได้ แม้แต่ฝันร้ายที่บ่งบอกว่าจะถึงแก่ชีวิต ชะตาขาด คนสมัยก่อนเชื่อถือกันมาก ถึงกับต้องทำบุญต่ออายุ ถวายสังฆทาน นิมนต์พระมาสวดบังสุกุลเป็น หลายๆ รายก็ถึงกับลงทุนลงไปนอนในโลงศพเพื่อแก้เคล็ด หรือหลอกพญามัจจุราชว่าตัวเองตายไปแล้ว

สมัยนี้มักจะไม่ค่อยสนใจกันแล้ว อ้างว่าการงานรัดตัว ไม่มีเวลาไปสนใจเรื่องไร้สาระ...คนเราเมื่อถึงคราวตายก็ต้องตายอยู่ดี

คราวนี้ก็มาถึงคนอื่นเห็นลางร้ายของคนชะตาขาด!

ส่วน มากมักจะเป็นญาติสนิทมิตรสหาย เช่น ได้ยินเสียงแมงมุมทุบอกบ้าง นกแสกบินข้ามหลังคาบ้าง...อย่างหลังนี้เชื่อกันว่าถ้าบ้านนั้นมีคนเจ็บป่วย อาการหนักอยู่แล้ว รับรองว่าจะไม่ได้รอดชีวิตไปถึงวันรุ่งขึ้นแน่นอน

ถ้า เป็นในตัวเมืองก็มักจะมีลางร้ายว่าเห็นคนเดินมากลางแดดแต่ไม่มีเงา! หรือมีเงาเหมือนกัน แต่หัวขาด! ถือว่าเป็นลางมรณะที่ทำให้คนใกล้ชิดได้รับรู้ลางร้ายนั้นคือสิ่งบอกเหตุล่วง หน้า ไม่เกิน 3 วัน 7 วัน หรือบางทีก็ประสบอุบัติเหตุสยองจนเสียชีวิตในวันนั้นเอง

ดิฉันได้พบ กับลางร้ายและเรื่องแปลกประหลาดของเพื่อนรุ่นน้องที่บริษัท ยอมรับว่าใจคอไม่ดีไปนาน แม้จะพยายามปลอบใจว่าไม่น่าจะเกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องสยอง...โธ่! เราอยู่ในสมัยไฮเทค สุดๆ แล้วนี่คะ

จุ๋มเป็นสาวสวยที่ครองโสดเอาไว้ เหนียวแน่น แม้ว่าอายุจะเริ่มเข้าเลขสามแล้ว แต่หน้าตาอ่อนเยาว์ กับนิสัยร่าเริง อารมณ์ขันฟุ่มเฟือย ตั้งแต่รู้จักกันเมื่อราว 3-4 ปีก่อนในฐานะน้องใหม่ของบริษัท ดูเผินๆ เหมือนอายุราว 24-25 เท่านั้นเอง!

เมื่อ ปีใหม่นี่เอง จุ๋มกับญาติๆ นัดแนะกันซื้อทัวร์ไปเที่ยวทางเหนือ ตั้งแต่สิงห์บุรี สุโขทัยและพิษณุโลก...ดิฉันอยากจะไปพักผ่อนและเปิดหูเปิดตาเหมือนกัน แต่บังเอิญต้องต้อนรับญาติที่มาจากต่างจังหวัด เลยขอผัดไปคราวหน้า

จุ๋ม กับญาติๆ นัดพบกันที่หน้าสถานีรถไฟฟ้าย่านสีลม ได้ข่าวว่าเป็นชุมทางแห่งหนึ่งที่บริษัททัวร์นิยมนัดหมายกันที่นั่น...กำหนด ออกรถในเวลา 07.00 น.

จุ๋มอยู่บางอ้อ ญาติอยู่ลาดพร้าว เป็นอันว่าต่างคนต่างมาก็แล้วกัน

คืน นั้นจุ๋มหอบกระเป๋าเดินทางมาค้างบ้านดิฉันที่สามย่าน เพราะกลัวว่าจะไปไม่ทันรถ...มีอะไรหลายๆ อย่างที่ผิดหูผิดตา เห็นหน้าจุ๋มดูเศร้า หม่นหมองอย่างไม่เคยเป็น แถมดำคล้ำคล้ายไปตากแดดที่ไหนมาเนิ่นนาน...

อยากจะทักถามก็ไม่ กล้า รู้สึกหวั่นหวิวใจจนบอกไม่ถูก บางครั้งมองหน้าเพื่อนรุ่นน้องคนนี้ก็เห็นซีดเซียวไม่มีสีเลือด ทั้งที่เพิ่งดำคล้ำอยู่หยกๆ

เรานอนเตียงเดียวกัน ขณะที่เคลิ้มๆ ก็แว่วเสียงเหมือนใครสะอื้นอยู่ใกล้ๆ ถึงกับนอนตัวแข็ง แต่สักครู่ก็หายไป...จู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนนอนคนเดียว ไม่มีจุ๋มมานอนร่วมเตียงเหมือนตอนหัวค่ำ... เครื่องปรับอากาศก็กลับเย็นยะเยือกจนขนลุกซ่า เล่นเอาดิฉันนอนตัวแข็งทื่อ ปากคอแห้งผากไปหมด

หันขวับไปมองก็เห็นจุ๋มนอนหงาย เหยียดแข้งเหยียดขาอยู่ในความสลัว...ดูเผินๆ เหมือนคนตายไม่มีผิด!

คง จะอุปาทานไปเองน่า! แม้จะบอกตัวเองอย่างนั้น แต่ดิฉันก็นอนหลับๆ ตื่นๆ จนถึงตีสี่ ข่มใจนอนไม่สำเร็จเลยลุกไปเข้าห้องน้ำ ล้างหน้าสีฟันแล้วอาบน้ำแต่งตัว ตั้งใจว่าจะปลุกเพื่อนราวตีห้าเศษๆ เพราะเธอแต่งตัวค่อนข้างช้าค่ะ

ครั้นเปิดไฟร้องเรียกชื่อเธอก็ไม่ได้ ยิน คนขี้เซาก็อย่างนี้แหละ! ดิฉันอดยิ้มไม่ได้ขณะเดินไปหยุดอยู่ข้างเตียง...ตกใจจนต้องยกมือขึ้นปิดปาก ตัวเองก่อนจะร้องกรี๊ดอย่างลืมตัว

จุ๋มนอนอ้าปากค้าง ลืมตาโพลง!!

ตอน แรกคิดว่าเธอเป็นอะไรไปจริงๆ รีบเขย่าตัวพลางเรียกชื่อ...เอ๊ะ! จุ๋มเพิ่งลืมตาขึ้นมา แล้วผลุนผลันเข้าห้องน้ำเกือบครึ่งชั่วโมงก่อนจะออกมาแต่งตัวในชุดเดินทางสี ม่วงแสนสวย...เมื่อดิฉันขับรถไปส่งเธอที่จุดนัดพบ จุ๋มพูดคุยอย่างตื่นเต้นร่าเริงตามปกติ จนกระทั่งไปถึงก่อนเวลานัดราว 15 นาที...ก่อนจะลงจากรถเธอก็ยกมือไหว้ขอบคุณก่อนจะถามยิ้มๆ

"ถ้าจุ๋มเป็นไรไปไม่ได้กลับมา พี่ปองจะคิดถึงจุ๋มไหมคะ?"

ดิฉัน ดุเธอแรงๆ ที่พูดจาไม่เป็นมงคล จุ๋มหัวเราะร่วนไม่ถือสาก่อนจะปราดเข้าไปหาญาติที่รถทัวร์...อีกสองวันต่อมา ก็ได้ข่าวเธอประสบอุบัติเหตุถูกรถยนต์เฉี่ยวชนตอนข้ามถนนที่สุโขทัย กะโหลกแตกตายคาที่...แม้จะคิดถึงจุ๋มอยู่เสมอแต่ก็ขอให้เธอไปสู่สุคติโดย เร็วเถอะค่ะ!

//www.matichon.co.th/khaosod/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hPREl4TURRMU1nPT0=§ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd09TMHdOQzB5TVE9PQ==



Create Date : 21 เมษายน 2552
Last Update : 21 เมษายน 2552 13:36:15 น.
Counter : 1104 Pageviews.

0 comment
ข้าวโพดถุงสุดท้าย
ข้าวโพดถุงสุดท้าย

ขนหัวลุก

ใบหนาด



"ชาย" เล่าประสบการณ์จากเรือนแพริมแม่น้ำชี

ผมเป็นข้าราชการอยู่ที่จังหวัดกาฬสินธุ์ ถ้ามีโอกาสว่างตอนสุดสัปดาห์มักจะพาภรรยาและลูกสาววัย 5 ขวบไปพักผ่อนและเปิดหูเปิดตาตามจังหวัดใกล้เคียงเช่นร้อยเอ็ดหรือมหาสารคาม เป็นต้น

จังหวัดหลังนี้ผมกับครอบครัวมักจะชวนกันไปบ่อยๆ เพราะความเงียบสงบ ผู้คนล้วนน่ารัก มีอัธยาศัย เฉกเช่นคนในชนบทสมัยก่อนทั่วๆ ไป ที่ยังไม่ถูกความเจริญแผ่ขยายมาแบบจังหวัดใหญ่ๆ ส่วนมาก ที่ทำให้นิสัยใจคอค่อนข้างแข็งกระด้าง คิดถึงแต่ประโยชน์ส่วนตัวมากกว่าส่วนรวม แสวงหาความสุขใส่ตัวโดยไม่มีสติยั้งคิด...

เสน่ห์ของจังหวัดมหาสารคามสำหรับผมและครอบครัวอีกอย่าง ก็คือเรือนแพของร้านอาหารที่อยู่ริมฝั่งแม่น้ำชี!

ร้านค้านั้นอยู่บนฝั่ง แต่มีบันไดทอดลงสู่เรือนแพราวสิบหลังที่เรียงรายกันเป็นตับเรือนแพแต่ละหลัง ก็คือโต๊ะอาหารหนึ่งโต๊ะ หรือจะเรียกว่าเป็นห้องส่วนตัวก็ได้...ของใครของมัน โดยไม่มีการปะปนกัน เพราะเป็นเรือนแพหลังกะทัดรัด ไม่มีโต๊ะเก้าอี้หรอกครับ แต่ปูเสื่อให้นั่งล้อมวงกันดื่มกินตั้งแต่มื้อกลางวันไปจนถึงมื้อค่ำ

บางหลังมีแขกเกือบสิบคน แต่บางหลังก็มีเพียงหนุ่มสาวคู่เดียวนั่งดื่มกินและออดพลอดกันไปด้วยอย่างน่าอิจฉาที่สุด

เรือน แพแต่ละหลังมีทางเดินผ่านไปถึงสุขาหลังสุดท้าย แม้ว่าจะเรียงรายติดๆ กัน ก็ไม่ถึงกับประเจิดประเจ้อ เพราะมีหลังคามุงแฝกคลุมลงมาเกือบถึงราวไม้ที่กั้นไว้เกือบรอบด้าน ยกเว้นทางเข้าออกที่มีบริกรหนุ่มๆ มาเสิร์ฟอาหารและเครื่องดื่มตามคำสั่งลูกค้า

ในเมื่อร้านอาหารอยู่บนฝั่งสูง จะสั่งของกันอย่างไร?

เรือนแพทุกหลังจะมีท่อนไม้แขวนอยู่ตรงมุมทางเข้า ใครต้องการเรียกบริกรมาสั่งอะไรเพิ่มเติมก็ใช้ไม้นั่นเคาะเสาเป็นสัญญาณ เรียก...เกิดมาก็เพิ่งเคยเห็นที่เรือนแพแห่งนี้เอง!

บางครั้งเราก็ได้เรือนแพหลังเกือบท้ายสุด...ถัดไปคือวงไพ่ป๊อกเด้งที่มีขา ไพ่ทั้งชายและหญิงเกือบสิบคน ถึงแม้จะมองผ่านใต้ชายคาเห็นเพียงท่อนล่างของคนที่ล้อมวงกันอยู่ แต่ก็ได้ยินเสียงหัวเราะเฮฮาตลอด...

ไม่ใช่เรื่องซีเรียสอะไรหรอกครับ เพราะเท่าที่ได้ยินการพูดคุยยั่วเย้ากันนั่นน่ะก็พอจะรู้ว่าเป็นวงไพ่แบบเพื่อนฝูงเท่านั้นแหละ

วันนั้นน้าไพทูรย์กับน้าเพ็ญ-ญาติสนิทของผมที่เป็นอาจารย์อยู่มหาสารคามมา เกือบสิบปีแล้ว...ถือว่าเป็นเจ้าถิ่นก็แล้วกัน นำเที่ยวจนเกือบบ่ายสองโมง จึงได้พาเราสามคนพ่อแม่ลูกลงไปที่เรือนแพหลังสุดท้ายพอดี...มีเหตุผลว่าตอน เที่ยงๆ มักจะเต็มทุกหลัง ต้องนั่งชมวิวลำน้ำชีอยู่ที่ร้านอาหารบนฝั่ง ไม่ได้บรรยากาศเหมือนบนแพที่ลอยอยู่ในน้ำอย่างแน่นอน

เบียร์สำหรับเจ้าภาพกับผม เป๊ปซี่สำหรับผู้หญิงและเด็ก อาหารก็คือกุ้งเผา กับพวกพล่า ยำและปลาเนื้ออ่อนทอดกับต้มยำรสเด็ด

เรา พักผ่อนหย่อนอารมณ์ด้วยการดื่มกินตามสบาย พูดคุยกันสนุกสนานโดยไม่ต้องกลัวว่าจะรบกวนใคร ส่วนมากก็มักจะชี้ชวนให้กันดูสายน้ำชีไหลเอื่อย...มีจอกกับผักตบชวาสวยๆ ลอยผ่านไป บางทีก็มีเสียงปลาฮุบโผงขึ้นมา

ถ้าจะนั่งให้สบายที่สุดบนแพก็คือนั่งเหยียดขาครับ ผมกับภรรยานั่งด้านในจึงเหยียดแข้งขาได้เต็มที่ ตอนแรกก็ระวังกิริยาตามสมควร แต่นั่งขัดสมาธิหรือพับเพียงนานๆ ก็ย่อมเมื่อยขบเป็นธรรมดา

ยายหน่อย-ลูกสาวผมเห็นน้าไพทูรย์ใช้ไม้ไผ่เคาะเสาดังป๊อกๆ ไม่ช้าก็มีบริกรหนุ่มมารับคำสั่งว่าต้องการเบียร์ เป๊ปซี่และน้ำแข็งเพิ่มเติม...ยายหน่อยก็อยากลองเคาะดูบ้างตามประสาเด็ก แต่ภรรยาผมห้ามไว้ บอกว่าเดี๋ยวพนักงานลงมาจะสั่งอะไร?

จนกระทั่งญาติผมขอตัวไปห้องน้ำทั้งคู่ ยายหน่อยได้โอกาสก็ปราดเข้าไปเคาะไม้ทันที กว่าแม่แกจะอุ้มกลับมาได้ก็สายไปแล้ว...แต่คนที่โผล่เข้ามากลับเป็นเด็กหญิง วัยสิบกว่าขวบ ผอมและดำ ถือตะกร้าใส่ข้าวโพดต้มเข้ามาขาย บอกว่าถุงสุดท้ายแล้ว ถุงละ 20 บาท

ดูๆ ก็น่าสงสาร ภรรยาผมเลยซื้อข้าวโพดข้าวเหนียวถุงสุดท้าย เด็กหญิงนั่นก็ยกมือไหว้ นัยน์ตาซาบซึ้ง ก่อนจะเลี้ยวกลับไปทางบันได...ไม่ช้าน้าไพทูรย์กับน้าเพ็ญก็กลับมา พอรู้เรื่องหน้าซีดขาว มองสบตากันก่อนจะครางว่า...เอาอีกแล้วหรือนี่?

เด็กคนนั้นเคยลงมาขายข้าวโพดต้มเป็นประจำ แต่เมื่อปีกลายบันไดลื่นเลยพลาดตกลงมาคอหักตายคาที่ หลังจากนั้นก็มีคนเห็นแกหิ้วตะกร้ามาขายที่แพบ่อยๆ เราไม่อยากจะเชื่อก็ต้องเชื่อ...เพราะข้าวโพดต้มที่ซื้อมาวางบนเสื่อหยกๆ ไม่รู้หายไปไหนแล้วครับ!

//www.matichon.co.th/khaosod/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hPREl3TURRMU1nPT0=§ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd09TMHdOQzB5TUE9PQ==



Create Date : 20 เมษายน 2552
Last Update : 20 เมษายน 2552 12:44:39 น.
Counter : 692 Pageviews.

0 comment
วิญญาณยังอยู่
วิญญาณยังอยู่

ขนหัวลุก

ใบหนาด



"อ๋อง" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกเมื่อผีเพื่อนมาหาถึงบ้าน

ผมมีเพื่อนสนิทคนหนึ่งชื่อ นิค เป็นคนรูปร่างหน้าตาดี อายุ 25 เท่าๆ กับผมนี่ละครับ เราเรียนมัธยมมาด้วยกัน และนิคก็มาบ้านผมเกือบทุกวัน เพราะเขามีบ้านอยู่ห่างจากผมไปแค่สองซอย แต่บ้านนิคน่ะมีคนอยู่ด้วยกันเยอะ ค่อนข้างแออัด ไม่เป็นส่วนตัว

นับไปนับมาตั้งแต่ ม.4 จนถึงตอนนี้ เราก็คบกันมาสิบปีแล้วละครับ แม่ผมน่ะเห็นเจ้านิคเป็นลูกคนหนึ่งเลยก็ว่าได้ บางวันมันก็มานอนค้างเหมือนบ้านผมเป็นบ้านมันเลยละ!

ตอนหลังๆ สัก 2-3 เดือนมานี่ นิคมีงานที่ต้องออกต่างจังหวัดบ่อย เชื่อไหมครับ บางทีมันกลับมาดึกๆ ดื่นๆ ก็จะโทร.เข้ามือถือผม บอกว่าเดี๋ยวเปิดประตูบ้านให้ด้วย...ดูเหอะ! มันไม่ยักกลับไปนอนบ้านมันหรอก เห็นมั้ยครับว่าเราสนิทกันแค่ไหน? สนิทจนแม่ค้าส้มตำหน้าบ้านรู้จักมักคุ้นเป็นอย่างดี

เมื่อเดือนที่แล้วนิคออกต่างจังหวัด คือมีงานที่โคราชน่ะครับ และบอกว่าไม่รู้จะกลับเมื่อไหร่?!

ปกติเวลาใครพูดกับเราแบบนี้ก็รู้สึกเฉยๆ ใช่ไหมครับ? แต่ผมฟังแล้วใจหายวูบพิกล ยิ่งตอนเย็นแม่ถามว่านิคจะมากินข้าวด้วยหรือเปล่า? ผมบอกว่านิคไปโคราชแล้วแม่ถอนใจเฮือกใหญ่ บอกว่าแม่ไม่ชอบงานของนิคเลย ต้องเดินทางขึ้นเหนือล่องใต้ ขับรถไปเอง รถก็เก่า...แม่เป็นห่วงมาก

มีอยู่คำหนึ่งที่แม่พูดแล้วผมถึงกับผวา คือแม่ทักว่าเราอยู่ในวัยเบญจเพส ต้องระวังตัวให้มากๆ

ฟังแล้วก็ใจคอไม่ดี เย็นวันนั้นดูบรรยากาศรอบๆ ตัวเหงาหงอยอย่างบอกไม่ถูก...

ใช่แล้วละครับ นั่นคือลางสังหรณ์ที่เกิดขึ้นกับผม เป็นลางที่บอกให้รู้ว่า นับจากนี้ไปผมจะไม่ได้เห็นหน้าเพื่อนรักของผมอีกแล้ว...เขาจะจากผมไปตลอด กาล!

นิคประสบอุบัติเหตุที่น่าสยดสยอง รถของมันเสยท้ายรถบรรทุกที่จอดอยู่ไหล่ทาง เข้าใจว่า

นิคไม่รู้ว่ารถจอด หรือไม่มันก็หลับใน เพราะเป็นการชนที่รุนแรงมาก ไม่มีเบรกเลย

สรุปว่านิคตายแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว!!

เราไปงานศพของนิคกันทั้งบ้าน มีตัวผม พี่สาวและแม่ บ้านเราอยู่กันสามคนแค่นี้เอง...ต่อจากนี้เราคงเหงา ขาดนิคไปคนหนึ่งก็เหมือนขาดสมาชิกในบ้าน

ป้าส้มที่ขายส้มตำไก่ย่างอยู่หน้าบ้านเรา ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับบ้านผมคงจะงง ที่เห็นเราแต่งดำมืดไปงานศพกันหมด โดยปิดบ้านไว้

"ฝากบ้านด้วยนะป้า" แม่ผมร้องบอกอย่างสนิทสนม เออ...ผมก็ลืมบอกป้าส้มว่า เจ้านิคลูกค้าประจำของแกจากโลกนี้ไปแล้ว ที่จริงผมน่าจะบอกแกนะ! อะไรที่ทำให้ผมปากหนักขนาดนั้นก็ไม่รู้ซี

สามทุ่มกว่า พวกผมกลับมาถึงบ้าน พอจอดรถที่หน้าประตูใหญ่แล้วลงไปเปิดประตูนั้น ป้าส้มก็ตะโกนมา

"คุณอ๋องคะ เมื่อตอนพลบน่ะคุณนิคมาเรียกอยู่หน้าบ้าน แกเดินวนไปวนมาจนน่าสงสาร เข้าบ้านไม่ได้! ป้าบอกแกว่าพวกคุณไปงานศพ คุณนิคก็ทำท่างงๆ แกรออยู่พักใหญ่ละ ป้าก็ไม่ทันดูว่าแกกลับออกไปตอนไหน?"

ผมตัวชาวาบตะลึงอยู่ตั้งนานกว่าจะหันไปดูแม่กับพี่สาวที่นั่งหน้าซีดอยู่บนรถ

"นิคจริงๆ รึป้าส้ม?" แม่ผมเปิดกระจกหน้าต่างรถ ชะโงกหน้าถาม

"จริงค่ะ แหม! รู้จักกันมาตั้งนานจะจำผิดได้ยังไงคะ?"

"นิคตายแล้วนะ ป้าส้ม นี่น่ะเราเพิ่งไปงานศพเขามา" แม่ของผมเฉลย เล่นเอาป้าส้มผงะหน้า อ้าปากค้าง ตบอกผางก่อนจะร้องดังลั่น

"ไฮ้! เป็นไปได้ยังไง? ถ้างั้นที่มาเรียกอยู่หน้าบ้านคุณตอนนั้นก็ไม่ใช่คนเป็นๆ น่ะซี! แต่เป็น...เป็นผี! ว้าย...ตายแล้ว!"

เราเหลียวซ้ายแลขวา...ทั้งซอยมืดสนิท มีแต่ไฟถนน เสียวไส้เหลือเกินว่าจะเห็น ร่างที่คุ้นตาโผล่ออกมาจากเงามืดนั้น! ขนาดเข้าบ้านแล้วยังหน้าซีดหน้าเซียวไปตามๆ กันเพราะไม่รู้ว่าจะเห็นภาพสุดสยองอะไรเข้า...

ต่อให้รักกันขนาดไหน พอตายไปเราก็กลัวผีเขาทั้งนั้นละครับ! พวกเรากลัวผีเจ้านิคอยู่นานเชียว นึกๆ แล้วก็น่าสงสาร...ผมบอกแล้วว่านิคน่ะตายไม่รู้ตัว! เผื่อมันยังคิดว่าตัวยังไม่ตายแล้วจะเป็นยังไง? บรื๋อออ...

อย่างไรก็ตาม นั่นเป็นการปรากฏตัวเพียงครั้งเดียว จากนั้นนิคก็ไม่เคยมาอีกเลย...แม้แต่มาเข้าฝัน เขาคงไปสู่สุคติแล้วนะครับ!

//www.matichon.co.th/khaosod/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hPREUzTURRMU1nPT0=§ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd09TMHdOQzB4Tnc9PQ==



Create Date : 17 เมษายน 2552
Last Update : 17 เมษายน 2552 13:40:15 น.
Counter : 738 Pageviews.

1 comment
ตำหนักอาถรรพณ์
ตำหนักอาถรรพณ์

คอลัมน์ ขนหัวลุก

ใบหนาด



" ป้าสมร" เล่าเรื่องขนหัวลุกจากหอสมุดการเมืองที่ถนนพิชัย

ป้า เคยสัญญาว่าจะเล่าเรื่องแปลกประหลาด แสนสยองขวัญของตำหนักโบราณที่ถนนพิชัย แหม! สัญญาก็ต้องเป็นสัญญาซีคะ คนเราขืนไม่รู้จักรักษาคำพูดทั้งๆ ที่ผมสองสีเข้าไปแล้วน่ะ รังแต่จะโดนนินทา-หมาดูถูก จริงไหมคะ?

บอก ตรงๆ ว่าครั้งที่แล้วเล่าไปขนลุกไป ถึงแม้เรื่องราวแสนน่ากลัวจากตำหนักอาถรรพณ์จะผ่านไปสิบปีเศษแล้ว แต่นึกขึ้นมาทีไรเป็นเสียวสันหลังวาบๆ ทุกที...อุปาทานหรือเปล่าก็ไม่ทราบ แต่รู้สึกเหมือนมีใครมาจ้องมองอยู่ข้างหลังป้าตลอดเวลาเลยละค่ะ! บรื๋อออ...

เข้าเรื่องเลยนะคะ!

ตอน ที่คนงานกำลังบูรณะซ่อมแซมตำหนักพระองค์เจ้าหญิงอัพภัณตรีปชา เพื่อทำเป็นหอสมุดสำหรับประชาชนทั่วไปได้เข้าไปศึกษาหาความรู้ โดยเฉพาะค้นคว้าข้อมูลเกี่ยวกับการเมืองตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน แต่มีเหตุการณ์แปลกประหลาดต่างๆ ที่เชื่อกันว่าเป็นอาถรรพณ์ของตำหนักแห่งนี้ทำให้การบูรณะมีอุปสรรคขัดขวาง จนสะดุดขลุกขลัก ล่าช้าไปกว่ากำหนดเดิมหลายเดือน

แหม! ขนาดคนงานโดนผีหลอกจนเผ่นกระเจิง เก็บข้าวของเปิดแน่บไปเป็นโขยงน่ะ จะไม่ทำให้การงานล่าช้าได้ยังไงล่ะคะ? ไหนจะต้องเสียเวลาหาคนงานใหม่ๆ มาเพิ่ม ไหนคนงานเก่าๆ ก็มีอาการเสียวสันหลัง...กล้าๆ กลัวๆ แต่ส่วนมากมักจะกลัวมากกว่ากล้าค่ะ

ขอถามหน่อยเถอะว่าใครมั่งจะไม่กลัวผีน่ะ?

ตำหนัก สองชั้นที่มีต้นปาล์มสองต้นโดดเด่นอยู่ด้านหน้า ยามค่ำคืนมีเสียงลมพัดกิ่งใบไหวซู่ซ่าน่าวังเวงใจ เดี๋ยวมีเสียงผู้หญิงร้องไห้กลางดึกมั่ง เล่นน้ำพลางหยอกล้อกันเกรียวกราวมั่ง แต่เมื่อชวนกันออกไปดูก็ไม่เห็นอะไรเลย แถมบางคืนก็ไฟสว่างโร่ขึ้นที่ชั้นบน ทั้งๆ ที่ตัดไฟไปนมนานแล้ว

ชาว บ้านที่อยู่ใกล้ๆ ป้าก็เล่าว่า เคยได้ยินเสียงดนตรีไทยดังมาจากวังบ่อยๆ แต่เห็นว่าดึกดื่นค่อนคืนแล้วเลยไม่กล้าออกมาดู....ป้านึกได้ก็ใจหายวับที เดียว

โธ่เอ๋ย...ป้าเองก็เคยได้ยินเหมือนกัน ยังนึกว่าบ้านใกล้ๆ เขาเปิดเพลงไทยเดิมจากวิทยุ เสียงไพเราะเสนาะหูเหลือหลาย ไม่ว่าเพลงตับเพลงเถา ฟังแล้วรื่นหูสบายใจ...ใครจะไปรู้ว่าดังมาจากตำหนัก นักดนตรีก็ล้วนแต่เป็นผู้ไม่มีร่างกายทั้งนั้นล่ะเจ้าคะ! บรื๋อออ...

เด็ก ผู้หญิงข้างบ้านวิ่งเล่นอยู่ดีๆ ก็มองเห็นเด็กผมจุกนุ่งโจงกระเบนสีแดงนั่งยิงฟันขาวอยู่ที่ตำหนัก ทั้งๆ ที่ของจริงไม่เคยมีเด็กผมจุกนุ่งโจงกระเบนแดงอยู่ที่นั่นหรอก...ถ้าจะอยู่ก็ คงอยู่มาหลายสิบปีแล้วละค่ะ! กึ๋ยยยย...

เคยมีคนงานขี้เมาไปนอนหลับในพระตำหนักชั้นล่าง ใกล้ๆ กับพระฉายาลักษณ์ของพระองค์หญิงฯ รุ่งขึ้นก็กลายเป็นศพโดยไม่มีใครทราบสาเหตุ

คน งานที่จิตใจเข้มแข็ง เห็นอะไรหรือได้ยินอะไรแปลกๆ ก็ไม่กลัว...แต่คืนหนึ่งมองเห็นสาวสวยแต่งชุดไทยห่มสไบแดงเดินกรุยกรายอาบ แสงจันทร์อยู่หน้าตำหนัก พอรู้ว่ามีคนมองอยู่ก็หันมายิ้มหวาน...เท่านั้นแหละ พ่อคนใจกล้าเรอเอิ๊กเดียวแล้วล้มแผละลงนั่งพนมมือแต้ตัวสั่นเป็นลูกนกตกน้ำ ...รุ่งขึ้นก็เก็บเสื้อผ้าเผ่นไปทันใด

ข้าวของอื่นๆ ไม่สน! ขนาดเงินค่าแรงที่ยังค้างอยู่ยังไม่เอาเลยค่ะ...คงถือคติว่าถ้ายังไม่ตายก็ หาเงินได้ แต่ถ้าตายแล้วเพราะขนหัวลุกก็จบเห่กันเท่านั้นเอง!

โธ่! อย่าว่าคนงานกับชาวบ้านแถวนั้นจะเจอะเจอเลยค่ะ ขนาดท่านบรรหาร ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทยยังเคยโดนเข้าจังๆ นี่นา

คุณ วีระศักดิ์ โควสุรัตน์ ผู้อำนวยการหอสมุดพรรคชาติไทยเคยให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวว่า...ขณะที่ท่านหัว หน้าอยู่ในพระตำหนัก พูดเปรยๆ ว่าน่าจะปรับบริเวณหน้ามุข! แค่นั้นแหละ ไฟในตัวพระตำหนักเกิดสว่างจ้าขึ้นมาเองโดยไม่ทราบสาเหตุ แถมยังไม่มีใครอาศัยอยู่ที่นั่นอีกต่างหาก

"ท่านเติ้งเสี่ยวหาร" ถึงกับนึกรู้ได้ทันทีว่าเกิดอาถรรพณ์เพราะอะไร?

วิธี แก้ไขของมังกรเมืองสุพรรณบุรีก็คือจัดพิธีบวงสรวงครบเครื่อง ทั้งบายศรี หัวหมู สุรา อาหาร และผลไม้ รวมทั้งเครื่องเซ่นต่างๆ และธูปเทียนครบครัน...หลังจากนั้นก็อัญเชิญพระฉายา ลักษณ์ของเสด็จพระองค์หญิงขึ้นไปชั้นบน

แปลกไหมล่ะคะ? เมื่อเจ้าหน้าที่จะเปลี่ยนกรอบพระฉายาลักษณ์ใหม่ แต่ไม่อาจดึงพระฉายาลักษณ์ออกจากกรอบเดิมได้ จึงต้องคงสภาพเดิมไว้เช่นนั้น

เมื่อ ทำพิธีบวงสรวงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ครบถ้วนแล้ว การบูรณะตำหนักทั้งสองก็เสร็จสิ้นลงโดยไม่มีอาถรรพณ์น่าขนหัวลุกใดๆ เกิดขึ้นอีกเลยค่ะ!

//www.matichon.co.th/khaosod/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hOekUyTURRMU1nPT0=§ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd09TMHdOQzB4Tmc9PQ==



Create Date : 16 เมษายน 2552
Last Update : 16 เมษายน 2552 12:42:47 น.
Counter : 754 Pageviews.

1 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  

iamZEON
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 111 คน [?]



ยินดีต้อนรับทุกท่านนะครับ ^^/

ข่าวสารการ์ตูนญี่ปุ่น
กับเกี่ยวข้องอย่างภาพยนตร์-เพลง
รายชื่อการ์ตูนออกใหม่-งานหนังสือ
เรื่องทั่วๆไปทั้งในและนอกประเทศก็มีบ้าง
New Comments
Group Blog
All Blog
MY VIP Friend