AZURE
Group Blog
 
All Blogs
 
Chasing Daylight

เลือกอ่านหนังสือเล่มนี้ เพราะว่า ได้ฟังจากชุมชน yahoo รอบรู้ ว่าเรื่องนี้ เป็นหน้งสือที่สร้างแรงบันดาลใจคน และเหมาะกะคนที่กะลังท้อแท้ เราเลยอยากรู้ว่า เป็นหนังสือแบบไหนค่ะ

ปรากฏว่า ได้หนังสือเล่มนี้มาเมื่อสัปดาห์หนังสืองวดก่อนหน้านี้ เพิ่งจะมีเวลาอ่านจบเมื่อสงกรานต์นี้เองค่ะ

เค้าเล่าว่า.......................

คำโปรยของหนังสือ บอกไว้ว่า เป็นเรื่องจริงของ CEO ที่ต้องเผชิญหน้ากับความตาย และมีเวลาบนโลกเหลือเพียง 3 เดือน เท่านั้น

หนังสือเล่มนี้ต้องยกความดีให้ คุณ สุทธิชัย หยุ่น ค่ะ ที่ได้อ่านภาคภาษาอังกฤษ และอยากแบ่งปันเรื่องราวดีๆ ให้คนไทยได้อ่านกัน ขอบคุณค่ะ

หนังสือเล่มนี้ ถือเป็น ไดอารี่ของผู้ตายก็ว่าได้ค่ะ แม้ว่าตอนท้ายของหนังสือจะเปลี่ยนตัวผู้เขียนเป็นภรรยาของผู้ตาย เนื่องว่า ผู้ตายได้เสียชีวิตแล้วนั้น แต่เนื้อความของส่วนที่ภรรยาผู้ตายเขียนไว้นั้น ยังคงรักษาทำนองการเล่าเรียงได้ไม่สะดุดจากส่วนก่อนหน้าค่ะ

หลังจากอ่านจบแล้ว ทำให้ได้รู้ว่า ยังมีหนังสือที่ทำให้เราต้องน้ำตาไหลอีก 1 เล่ม ค่ะ นอกจาก ต้นส้มแสนรักแล้ว แต่เล่มนี้ น้ำตาไม่ถึงกะไหลพลั่กๆ เหมือนที่คุณ โจเซ่ เขียนในต้นส้มแสนรักนะคะ เรื่องนี้ เอาแค่น้ำตาซึมค่ะ และมีเพียงแค่ฉากเดียวเท่านั้นค่ะ ที่บอกว่าเป็นฉากเพราะ ทุกครั้งที่อ่านหนังสือ มักจะมีจินตนาการติดตามมาด้วยทุกครั้งสิน่า

ฉากน้ำตาซึม เค้าว่ายังงัยนะ.................

นี่ค่ะ เป็นฉากที่พ่อของเด็กอายุ 13 ขวบ กะลังพยายามที่จะใส่เสื้อเชิ้ตอย่างทุลักทุเล เพราะการมาเยือนของมะเร็งร้ายที่สมองทำให้ผู้เป็นพ่อไม่สามารถบังคับร่างกายให้สามารถทำเรื่องง่ายๆ แค่การใส่เสื้อให้สำเร็จลงได้ เช้าวันนั้น ขณะที่ผู้เป็นพ่อกะลังหาทางปลุกปั้นในการยัดเสื้อลงไปให้ได้นั้น สายตาเค้าก็เหลือบมาเห็นลูกสาวที่แอบมองอยู่มุมประตูห้องนอน แวบนั้น พ่อเกิดความรู้สึกว่า ลูกของเขาจะรู้สึกอย่างไรที่ได้เห็นพ่อเป็นแบบนี้ สงสาร หรือ เป็นห่วง ความรู้สึกของคนเป็นพ่อคือ ไม่อยากให้ลูกสาวมาเห็นฉากนี้

ประเด็นของหนังสือเรื่องนี้มีหลายประเด็น

แก่นของมันคือ ผู้ตายเป็นผู้บริหารระดับสูง ที่เป็นนักวางแผนชีวิตมาโดยตลอด แต่เมือรู้ว่าตนเองเป็นมะเร็งในสมองแล้วนั้น โดยจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน คำถามคือ เค้าจะจัดการกับชีวิตที่เหลืออย่างไร

ที่เห็นว่าฉลาดสำหรับภรรยาของผู้ตายคือ การยอมรับความเป็นจริงร่วมกันกับสามี แม้หมอจะบอกว่า ระยะเวลายาวนานที่อยู่ได้คือ 1 ปี แต่ คู่สามีภรรยาก็เลือกที่จะไม่เชื่อในสิ่งที่หมอบอก 100% แต่เลือกที่จะวิเคราะห์ถึงอาการทั้งก่อนรู้และเปรียบเทียบระยะเวลาว่าน่าจะเหลือใช้ชีวิตได้อีกนานเท่าไหร่

ที่น่านับถือ คือ การยอมรับความตายของผู้เป็นสามี ซึ่งในความเห็นแล้ว เราว่ามีผลต่อสภาวะทางจิตของสามีอย่างมาก ทำให้สามารถอยู่ในโลกได้ในระยะเวลานาน แม้จะไม่นานมากก็เหอะ

ที่น่าเสียดายคือ ช่วงเวลาที่ผ่านมาที่สามีทำงานอย่างหนักเพื่อครอบครัว ทำให้มีเวลาให้กับภรรยาแม้การทานอาหารร่วมกันไม่มาก หรือการท่องเที่ยวร่วมกันกับภรรยาและลูก ก็ยังไม่สามารถทำได้ จุดนี้คงต้องเข้าใจว่า ผู้บริหารส่วนใหญ่ แม้จะเหมือนไม่ทำงานหนักด้านร่างกาย แต่สมองถูกทำงานตลอดเวลา ขณะที่เวลาส่วนตัวส่วนใหญ่ ถูกใช้ไปกับการพบปะ steakholder ทั้งหลาย แต่กับครอบครัวเล็กๆ ที่หัวหน้าครอบครัวไม่มีหน้าที่การงานใหญ่โต สามารถมีเวลากลับบ้านมาทานข้าวเย็นพร้อมกันทั้งครอบครัวได้ แต่ยังไงก็ตาม การบริหารเวลาคือ สิ่งสำคัญที่สุด ไม่ว่าเราจะยุ่งมากมายแค่ไหน ถ้าเราให้ครอบครัวเป็น priority แรกแล้ว เราก็ต้องจัดเวลาให้ครอบครัวได้ไม่มากก็น้อย

ยินดีกับผู้ตาย ที่สุดท้ายแล้ว เห็นว่า การใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบัน เป็นสิ่งสำคัญ แม้ว่าตลอดชีวิตของผู้ตาย จะวางแผนชีวิตตัวเองมาโดยตลอด แม้กระทั่งตอนรู้ว่าเป็นมะเร็งก็ยังวางแผนชีวิตก่อนตายก็ตาม จุดนี้ มันเหมือนการไม่ปล่อยวางโดยสิ้นเชิง แต่มองอีกแง่ มันคือการรับผิดชอบของผู้ตายนั่นเองค่ะ เรื่องนี้พูดยากค่ะ ต่างมุมก็ต่างมองกันไป เห็นด้วยว่า หนุ่มสาว ย่อมต้องมองอนาคตดังนั้น การจะทำอะไรก็ต้องวางแผนและหาเป้าหมายในชีวิต แต่การใช้ชีวิตทุกวันให้มีความสุขก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรลืม

อย่าลืมบริหารชีวิตตัวเองให้สมดุลนะคะ ใช้ชีวิตทุกวันให้มีความสุข แต่ก็อย่าลืมเป้าหมายชีวิตตัวเองด้วยหล่ะ




Create Date : 14 เมษายน 2551
Last Update : 14 เมษายน 2551 22:26:35 น. 0 comments
Counter : 524 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

chocomania
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ได้เกิดเป็นคนทั้งที ใช้ชีวิตให้เต็มที่หน่อยดีมั๊ย

แต่ถ้ากระเป๋าตุง ก็คงทำได้อย่างใจอยากแล้วอะนะ
Friends' blogs
[Add chocomania's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.