ติดตาม twitter ได้ที่ @karnoi กด
ติดตามข้อมูลเว็บทาง FaceBook กด

cartoonthai
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 237 คน [?]




New Comments
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add cartoonthai's blog to your web]
Links
 

 
ตามรอยมะละกอ นั่งสามล้อเที่ยว"มะละกา" สัมผัสเสน่ห์มรดกโลกชวนตื่นตาที่ "มาเลเซีย"

ตามรอยมะละกอ นั่งสามล้อเที่ยวมะละกา สัมผัสเสน่ห์มรดกโลกชวนตื่นตาที่ มาเลเซีย
“จัตุรัสดัตช์” ไฮไลท์ของเมืองมะละกา
       มีหนึ่งในข้อมูลน่าสนใจว่า"มะละกอ"ที่เราคุ้นเคยกับการนำไปทำเป็นส้มตำสุดแซบนั้น ได้พันธุ์เข้ามาเมืองไทยครั้งแรกในสมัยกรุงธนบุรีจากเมือง"มะละกา"ประเทศมาเลเซีย(และเป็นที่แพร่หลายในต้นยุครัตนโกสินทร์มาถึงปัจจุบัน)

       เดิมผลไม้ชนิดนี้มีถิ่นกำเนิดอยู่ทางอเมริกาใต้ ก่อนที่โปรตุเกสกับสเปนจะนำมาปลูกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยโปรตุเกสนำเอามะละกอมาปลูกครั้งแรกที่เมืองมะละกา

       นั่นจึงทำให้ใครหลายๆคน เมื่อไปมะละกาก็มักจะถือโอกาสตามรอยตำนานมะละกอไปในตัว ส่วนใครที่อยากกินส้มตำนั้น คงต้องอดใจกลับมาหาส้มตำรสแซ่บที่บ้านเรากันเอาเอง

ตามรอยมะละกอ นั่งสามล้อเที่ยวมะละกา สัมผัสเสน่ห์มรดกโลกชวนตื่นตาที่ มาเลเซีย
"Melaka Taming Sari Bebhad" หอคอยมะละกา สามารถชมวิวได้ 360 องศา
       สำหรับ "ตะลอนเที่ยว" การมามะละกาในครั้งนี้ นอกจากเราจะตามรอยมารับรู้เรื่องราวพอสังเขปของตำนานมะละกอที่เดินทางมาในบ้านเราแล้ว เป้าหมายหลักของเราในครั้งนี้ก็คือการออกเที่ยวยลเสน่ห์เมืองมะละกาที่โดดเด่นไปด้วยประวัติศาสตร์และงานสถาปัตยกรรมอันเป็นเอกลักษณ์จนมะละกาได้รับการประกาศให้เป็น"มรดกโลก" ในปี ค.ศ. 2008(พ.ศ.2551)

จากรุงเทพฯ เราบินลัดฟ้าด้วย"สายการบินแอร์เอเชีย"(ดอนเมือง-KL) ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงสู่กรุงกัวลาลัมเปอร์ เมืองหลวงของมาเลเซีย จากนั้นจึงนั่งรถต่อไปอีกประมาณ 2 ชั่วโมง ก็มาถึงยังเมืองมะละกา อันน่าตื่นตาตื่นใจ

ตามรอยมะละกอ นั่งสามล้อเที่ยวมะละกา สัมผัสเสน่ห์มรดกโลกชวนตื่นตาที่ มาเลเซีย
ตึกอนุสรณ์ประกาศอิสรภาพ
“มะละกา” เป็นเมืองหลวงรัฐมะละกา ซึ่งเป็น 1 ใน 13 รัฐ ของประเทศมาเลเซีย มีชื่อเรียกมาจาก "ต้นมะขามป้อม" หรือที่ชาวมะละกาเรียกว่า “Malacca Tree” ซึ่งเป็นต้นไม้ประจำเมืองมะละกา ไม่เกี่ยวเนื่องกับมะละกอแต่อย่างใด

       แต่กระนั้นก็ไม่ได้ทำให้การมาเยือนเมืองมะละกาของเราในครั้งนี้มีความน่าสนใจน้อยลงเลยสักนิด เพราะมะละกายังมีเสน่ห์ที่น่าสนใจไม่เสื่อมคลาย โดยในตำนานการก่อสร้างเมืองมะละกามีอยู่ว่า เจ้าชายปรเมศวร (Parameswara) ทรงลี้ภัยมาจากเกาะสุมาตราได้มาค้นพบที่ตั้งเมืองแห่งนี้ โดยขณะที่เจ้าชายกำลังขึ้นฝั่งพักผ่อน ได้เห็นกระจงถูกฝูงหมาป่ารุมไล่ทำร้าย กระจงเมื่อจวนตัวจึงหันมาสู้กับหมาป่าจนตัวตาย เมื่อเจ้าชายเห็นดังนั้นก็เกิดความประทับใจในความกล้าหาญของกระจง และเกิดความคิดว่าควรสร้างเมืองใหม่ขึ้นที่นี่ ในบริเวณที่กระจงตายอยู่ใกล้ต้นมะละกา

ตามรอยมะละกอ นั่งสามล้อเที่ยวมะละกา สัมผัสเสน่ห์มรดกโลกชวนตื่นตาที่ มาเลเซีย
ตึกแถวสีแดงเรียงรายตลอดสองข้างทาง
       ในสมัยก่อนเราคงเคยได้ยินชื่อช่องแคบมะละกากันอยู่บ่อยๆ ซึ่งช่องแคบมะละกานั้น เป็นช่องแคบที่อยู่ระหว่างแหลมมลายูกับเกาะสุมาตราของประเทศอินโดนีเซีย ที่มีความยาวกว่า 800 กิโลเมตร ส่วนที่แคบที่สุดมีความกว้าง 1.5 ไมล์ เป็นยุทธศาสตร์ทางการเดินเรือที่สำคัญของดินแดนสุวรรณภูมิซึ่งตั้งอยู่ในเขตพื้นที่ของมะละกา และด้วยความแคบที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ของมะละกานี้ จึงทำให้เป็นที่มาของคำว่า ช่องแคบมะละกา

ตามรอยมะละกอ นั่งสามล้อเที่ยวมะละกา สัมผัสเสน่ห์มรดกโลกชวนตื่นตาที่ มาเลเซีย
ภายในโบสถ์เซนต์ปอล (St. Paul Church) มีเรื่องราวมากมาย
       ด้วยภูมิศาสตร์และที่ตั้ง ทำให้เมืองมะละกากลายเป็นเมืองท่าริมทะเลที่เติบโตจนกลายเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจที่สำคัญ เป็นเส้นทางเดินเรือค้าขายระหว่างชาติตะวันตกและตะวันออก สินค้าสำคัญก็มีทั้ง เครื่องเทศ ผ้าไหม ชา ฝิ่น ยาสูบ ทองคำ ฯลฯ มะละกาจึงเป็นสิ่งดึงดูดความสนใจจากบรรดานักล่าอาณานิคมชาวตะวันตก โดยโปรตุเกสเป็นชาติแรกที่เข้ามายึดครองมะละกาใน ค.ศ.1511-1641 ก่อนที่จะถูกดัตช์ (ฮอลแลนด์) เข้ามาครอบครองต่อใน ค.ศ.1641-1795 จากนั้นเปลี่ยนมือผู้ปกครองมาเป็นอังกฤษใน ค.ศ.1795-1941 และญี่ปุ่นเข้ามายึดครองในช่วงสั้นๆ ระหว่าง ค.ศ.1941-1945 ก่อนจะกลับไปอยู่ใต้อาณานิคมของอังกฤษอีกครั้ง ใน ค.ศ.1945-1957 และท้ายที่สุด มาเลเซียได้ประกาศอิสรภาพใน ค.ศ. 1957 ซึ่งมะละกาคือสถานที่ประกาศเอกราช โดยปัจจุบันตึกอนุสรณ์ประกาศอิสรภาพยังคงตั้งตระหง่านโดดเด่นอยู่ในย่านท่องเที่ยวสำคัญของเมืองนี้

ตามรอยมะละกอ นั่งสามล้อเที่ยวมะละกา สัมผัสเสน่ห์มรดกโลกชวนตื่นตาที่ มาเลเซีย
ตึกเก่ายังคงได้รับการอนุรักษ์ไว้
       จากเหตุการณ์ที่ผ่านมาทำให้ “มะละกา” มีสถาปัตยกรรมต่างๆ ที่ผสมผสานระหว่างศิลปกรรมโปรตุเกส ดัชต์และมาเลย์เกิดขึ้นมากมาย จนทำให้กลายมาเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจในปัจจุบัน

ตามรอยมะละกอ นั่งสามล้อเที่ยวมะละกา สัมผัสเสน่ห์มรดกโลกชวนตื่นตาที่ มาเลเซีย
ทัศนียภาพเมื่อมองจากด้านบนหอคอยมะละกา
       สำหรับจุดแรกในมะละกา เราเริ่มต้นด้วยการไปเที่ยวชมความงามของเมืองมะละกา ในมุมสูง 360 องศา กันที่ “หอคอยมะละกา” ที่มีความสูง 110 เมตร ภายในหอคอยมีที่นั่งสามารถบรรจุคนได้ราว 60 คน

       การขึ้นหอคอยนี้จะใช้เวลาประมาณ 15 นาที เมื่อทุกคนนั่งประจำที่กันพร้อมแล้ว หอคอยจะค่อยๆ หมุนขึ้นด้านบนโดยจะหมุนวนทางขวาแบบรอบ 360 องศาไปเรื่อยๆ ไปจนถึงด้านบนสุด มองลงจะเห็นเมืองมะละกาได้รอบทิศทาง ทั้งเมืองเก่า เมืองใหม่ ท้องทะเล ช่องแคบมะละกา แม่น้ำมะละกา คลองมะละกา หลังคาบ้านเรือที่ดูมีสีสันสวยงามมีเสน่ห์ไม่แพ้ที่ไหน และเมื่อหอคอยไต่ระดับขึ้นไปสูงอีก ก็จะทำให้เห็นในมุมที่กว้างมากขึ้นจนสุดความสูงของหอคอย จากนั้นหอคอยจะค่อยๆ หมุนลงมาด้านล่างจนถึงพื้นราบเป็นอันจบการชมวิวเมืองมะละกาแบบ 360 องศา

ตามรอยมะละกอ นั่งสามล้อเที่ยวมะละกา สัมผัสเสน่ห์มรดกโลกชวนตื่นตาที่ มาเลเซีย
ป้อม “A’Famosa”
       อีกจุดหนึ่งที่โดดเด่นที่ไม่ว่าใครที่มาเมืองมะละกาก็ต้องแวะชม “A’Famosa” ป้อมแห่งนี้ตั้งที่อยู่เชิงเขาเล็กๆ ชื่อว่าเขา St. Paul hill เป็นป้อมปืนที่โปรตุเกสสร้างขึ้นใน ค.ศ.1511 ปัจจุบันคงเหลืออยู่เพียงป้อมเดียว ถือเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของมะละกาที่มีนักท่องเที่ยวไปเยือนกัน

ตามรอยมะละกอ นั่งสามล้อเที่ยวมะละกา สัมผัสเสน่ห์มรดกโลกชวนตื่นตาที่ มาเลเซีย
รูปปั้นของนักบุญ Francis Xavier ด้านหน้า St. Paul Church
       ถัดจากป้อมปืนโปรตุเกสเราเดินขึ้นเขากันนิด บนยอดเขา St. Paul hill เป็นที่ตั้งของ "โบสถ์เซนต์ปอล (St. Paul Church)" เป็นโบสถ์ที่สร้างขึ้นใน ค.ศ.1753 ภายในเป็นสุสานของนักบุญ Francis Xavier ด้านหน้าโบสถ์มีรูปปั้นของนักบุญ Francis Xavier (ข้อมือขวาขาด) ตั้งโดดเด่นอยู่ สำหรับการเดินขึ้นไปยังโบสถ์เซนต์ปอลนั้นมีสองเส้นทาง คือขึ้นจากทางป้อม A’Famosa หรือจะเลือกขึ้นทางอาคารสตัดธิวท์ก็ได้ ด้านบนสามารถมองมาเห็นทะเลและทัศนียภาพด้านล่างได้ เมื่อชมกันพอหอมปากหอมคอแล้ว จากนั้นเดินลงเขา St.Paul จะพบกับต้นมะละกาหรือต้นมะขามป้อม ต้นไม้ประจำเมืองมะละกาอีกด้วย

ตามรอยมะละกอ นั่งสามล้อเที่ยวมะละกา สัมผัสเสน่ห์มรดกโลกชวนตื่นตาที่ มาเลเซีย
พิพิธภัณฑ์สมุทรศาสตร์มะละกา (Maritime Museum) เป็นรูปเรือสำเภา
       นอกจากป้อมเก่าแก่แล้ว ในละแวกนี้ยังมีสิ่งน่าสนใจอีกหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นพิพิธภัณฑ์สมุทรศาสตร์มะละกา (Maritime Museum) เป็นลักษณะของเรือสำเภาจำลองของชาวโปรตุเกส ที่มีชื่อว่า Flora de La Mar ภายในจัดเก็บเรื่องราวของเรือสำเภาในอดีต ตึกอนุสรณ์ประกาศอิสรภาพ ภายในจัดเก็บข้อมูลเหตุการณ์การประกาศอิสรภาพของชาวมาเลเซีย พระราชวังวังสุลต่านแห่งมะละกา (จำลอง) ปัจจุบันเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์วัฒนธรรม เป็นต้น

ตามรอยมะละกอ นั่งสามล้อเที่ยวมะละกา สัมผัสเสน่ห์มรดกโลกชวนตื่นตาที่ มาเลเซีย
ทางเดินริมคลองมะละกา
       สิ่งน่าสนใจอีกอย่างหนึ่งของเมืองมะละกาที่ดูเรียบง่ายและเงียบสงบนั่นก็คือแม่น้ำมะละกา บริเวณริมแม่น้ำสายเล็กๆ แห่งนี้ นักท่องเที่ยวสามารถเดินเล่นชมวิวได้ ที่บริเวณด้านข้างสองฟากฝั่งเต็มไปด้วยร้านค้าที่เรียงรายกันเป็นระเบียบเรียบร้อย ทั้งร้านอาหาร คาเฟ่ ร้านกาแฟ รวมไปถึงเกสท์เฮ้าส์ โรงแรม รีสอร์ทต่างๆ ที่ทำให้ทั้งริมคลองทั้งสองฝั่งดูสวยงามลงตัว ส่วนใครที่อยากจะดื่มด่ำกับทัศนียภาพริมคลองมะละกาก็สามารถนั่งเรือเที่ยวรอบๆ กันได้

ตามรอยมะละกอ นั่งสามล้อเที่ยวมะละกา สัมผัสเสน่ห์มรดกโลกชวนตื่นตาที่ มาเลเซีย
โบสถ์คริสต์ (Christ Church)
       ส่วนจุดที่ถือว่าเป็นไฮไลท์ของเมืองมะละกาก็คือ “เรด สแควร์” (Red Square) หรือจัตุรัสแดง หรือที่รู้จักกันในชื่อ “จัตุรัสดัตช์” ที่นี่เคยเป็นศูนย์กลางชุมชนดัตช์ในสมัยที่เข้ามาปกครองมลายู อาคารต่างๆ ที่ล้อมรอบจัตุรัสเป็นสถาปัตยกรรมแบบตะวันตก ใจกลางจตุรัสเป็นลานน้ำพุแบบอังกฤษที่สร้างถวายแด่พระราชินีวิคตอเรียใน ค.ศ.1904 ส่วนรอบๆ ลานน้ำพุคือหอนาฬิกา โบสถ์คริสต์ (Christ Church) ศิลปกรรมดัตช์ประยุกต์ ที่สร้างขึ้นใน ค.ศ.1753 และอาคารสตัดธิวท์ (Stadhuys) ที่สร้างขึ้นใน ค.ศ.1650 เป็นอาคารดัตช์เก่าแก่ที่สุดในมาเลเซีย ปัจจุบันอาคารสตัดธิวท์กลายเป็นพิพิธภัณฑ์ทางประวัติศาสตร์ โบราณคดี และวรรณคดีของมะละกา อาคารทั้งสามต่างทาด้วยสีแดงเข้ม จนกลายเป็นชื่อเรียกจัตุรัสแดง

ตามรอยมะละกอ นั่งสามล้อเที่ยวมะละกา สัมผัสเสน่ห์มรดกโลกชวนตื่นตาที่ มาเลเซีย
ด้านหน้าห้องแถวตึกแดงเรียงรายอย่างเป็นระเบียบ
       ที่บริเวณด้านหน้าจัตุรัสแดงถือเป็นศูนย์รวมสิ่งของมากมาย ทั้งสินค้าจากมะละกา หรือของฝากที่เป็นสัญลักษณ์ของเมืองมะละกา ก็สามารถหาซื้อกันได้จากบริเวณนี้ หากเดินย้อนไปทางด้านหลังของจัตุรัสดัตซ์จะพบกับบ้านเรือนเก่าแก่ที่เรียงรายกันตลอดสองข้างทาง ซึ่งจุดนี้ก็ถือเป็นไฮไลท์ของเมืองมะละกา เนื่องจากบ้านเมืองเหล่านี้ทุกหลังจะเป็นห้องแถวที่คงความเป็นเอกลักษณ์ไว้ ทุกบ้านจะทาสีแดงเข้มเหมือนกันหมด เมื่อตัดกับถนนเส้นเล็กๆ แล้ว ทำให้ยิ่งเมืองนี้ยิ่งดูมีเสน่ห์มากขึ้นไปอีก

ตามรอยมะละกอ นั่งสามล้อเที่ยวมะละกา สัมผัสเสน่ห์มรดกโลกชวนตื่นตาที่ มาเลเซีย
สามล้อถีบ ตกแต่งในแบบต่างๆ
       และสิ่งหนึ่งที่พลาดไม่ได้เมื่อมาเยือนเมืองมะละกาก็คือ “รถสามล้อถีบ” หรือที่คนท้องถิ่นเรียกว่า “Trishaw” สามล้อที่นี่หน้าตาจะแตกต่างไปจากเมืองไทยก็ตรงที่สามล้อแต่ละคันจะมีการตกแต่งประดับประดาด้วยดอกไม้สีสันสดใสทั่วทั้งคัน บ้างเป็นรูปหัวใจ เป็นการ์ตูน รูปผีเสื้อ หรือสร้างเป็นโดมลักษณะโค้งๆ สีสันสดใส เหลือง แดง ส้ม มีให้เลือกนั่งกันจนลายตา

ตามรอยมะละกอ นั่งสามล้อเที่ยวมะละกา สัมผัสเสน่ห์มรดกโลกชวนตื่นตาที่ มาเลเซีย
ตึกแถวภายใน Jonker Walking Street
       สุดท้ายมาปิดทริปเที่ยวเมืองมะละกากันที่ “Jonker Walking Street” หรือ “ถนนคนเดินยองเกอร์” สำหรับใครที่ชื่นชอบการถ่ายรูปนั้น มาถนนเส้นนี้ต้องถูกอกถูกใจเป็นแน่ เนื่องจากถนนเส้นนี้เต็มไปด้วยตึกแถวสวยๆ เรียงรายกันทั้งสองฟากฝั่งให้ถ่ายรูปกันสนุกสนาน นอกจากนี้แล้วถนนเส้นนี้ยังมีร้านขายของเก่า ร้านอาหาร รวมถึงร้านขายของที่ระลึก ให้ได้เลือกซื้อกันอยู่มากมาย

ตามรอยมะละกอ นั่งสามล้อเที่ยวมะละกา สัมผัสเสน่ห์มรดกโลกชวนตื่นตาที่ มาเลเซีย
ถนนคนเดินยองเกอร์ มีตึกสีสันแปลกตาให้ถ่ายรูปมากมาย
       จะเห็นได้ว่ามะละกานั้น เป็นเมืองเก่าอีกแห่งหนึ่งที่เต็มไปด้วยเรื่องราวในอดีตและประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจมากมาย จนทำให้ยูเนสโกประกาศให้เมืองมะละกาเป็นเมืองมรดกโลก และการมาเยือนเมืองมะละกาครั้งนี้ของ “ตะลอนเที่ยว” เอง ก็สนุกสนาน และประทับใจกับมะละกาเมืองเก่าแห่งนี้ไม่แพ้ที่ไหนๆ

       * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

การเดินทางไปประเทศมาเลเซีย มีสายการบินแอร์เอเชียบินตรงจากกรุงเทพฯ ไปยังกรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย และจากกรุงกัวลาลัมเปอร์ สามารถเดินทางทางรถยนต์มายังมะละกา ใช้เวลาประมาณ 2 ชม. สอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับเที่ยวบินได้ที่ www.airasia.com หรือ โทร.0-2515-9999
และสามารถสอบถามรายละเอียดเกี่ยวกับการท่องเที่ยวประเทศมาเลเซียได้ที่ การท่องเที่ยวมาเลเซีย สำนักงานกรุงเทพฯ โทร.0-2636-3380

       * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *


//manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9570000027778



Create Date : 11 มีนาคม 2557
Last Update : 11 มีนาคม 2557 22:02:09 น. 0 comments
Counter : 1712 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.