Group Blog
 
All blogs
 
เมื่อหัวใจเราใกล้กัน 16


แนะนำ

สำหรับคนที่เพิ่งได้อ่านนิยายเรื่องนี้เป็นครั้งแรก ขออธิบายล่วงหน้าว่าเรื่องนี้จะเน้นที่ความสัมพันธ์ระหว่างตัวเอกสองคนซึ่งเป็นชายทั้งคู่ และอาจมีเนื้อหาบางส่วนไม่เหมาะสมสำหรับเยาวชน หรือคนที่ไม่นิยมเรื่องแนว Boy's Love ดังนั้นหากไม่ชอบอ่านนิยายแนวที่ไม่มีนางเอก ขอแนะนำว่าให้คลิกไปอ่านหน้า About me , เท้าพาไป หรือ พร่ำ(เพ้อ)รายสะดวก ซึ่งเนื้อหาจะเกี่ยวกับเรื่องทั่วไปค่ะ เราเตือนคุณแล้วนะคะ

ปล. เราเขียนเรื่องนี้หลังจากเขียนตอนปฐมบทของเรื่อง ลำนำรักสีรุ้ง และตัวละครจากเรื่องนั้นก็จะมีบทบาทในเรื่องนี้ด้วย แต่เนื้อหาสามารถแยกอ่านจากกันได้ ไม่จำเป็นว่าต้องอ่านเรื่องนั้นก่อนก็สามารถอ่านเรื่องนี้เข้าใจได้ค่ะ


++------++


ตอนที่ 16: แพ้ทางเธอคนเดียว


“จริงๆน้า พวกคนหนุ่มเนี่ย กลับมาทำผู้ใหญ่ตกอกตกใจได้ไม่กี่วันก็จะหนีกลับกันอีกแล้ว”

แม่พูดไปปอกมะม่วงไปแต่นัยน์ตาก็เหล่มองผมไปด้วย ผมเลยต้องรีบกลืนบัวลอยไข่หวานคำสุดท้ายจนเกือบสำลัก

“โหยแม่ พูดซะเสียเลย อ๊อฟกลับไปเรียนนะครับไม่ได้หนีไปเที่ยว”

ผมแก้ตัวแล้วก็ดึงกระดาษทิชชูขึ้นเช็ดปาก เนื่องจากบ่ายวันนี้ผมจะกลับกรุงเทพฯแล้ว เมื่อเช้าเลยโดนแม่ปลุกไปตักบาตรด้วยก่อนจะกลับมาช่วยกันทำความสะอาดบ้านและจัดห้องตัวเองให้เรียบร้อย ไม่น่าเชื่อว่าจากตอนแรกที่ผมวางแผนกับนะไว้ว่าจะกลับมาเยี่ยมบ้านกันแค่สองสามวัน แต่ต้องมาเจอทั้งเรื่องปวดหัวแถมยังทำให้ผมเจ็บตัวเราเลยต้องอยู่กันนานกว่าที่ตั้งใจ ทว่าหลังจากเคลียร์เรื่องยุ่งๆกันไปได้ เผลอแผลบเดียวพวกเราก็ได้เวลาเตรียมตัวกลับไปเรียนกันอีกแล้ว

แผลของผมที่โดนเย็บเพิ่งถูกตัดไหมออกไปเมื่อวาน คุณหมอคนเดิมบอกว่าโชคดีที่แผลอยู่ขนานกับหางคิ้ว ดังนั้นถึงจะมีรอยแผลเป็นบ้างแต่ถ้าไม่มองใกล้ๆก็จะไม่เห็นชัด ส่วนหนวดที่นะเคยขอว่าให้ไว้จนกว่าจะกลับไปหอก็โดนโกนออกเรียบร้อยเพราะแม่ผมบ่นว่าเห็นแล้วรกหูรกตา ตอนที่พาพ่อหนูน้อยมาเยี่ยมบ้านเมื่อวันก่อนเลยให้จัดการโกนให้เสร็จกันไปซะเลย

“จ้ะพ่อคุณ แต่หลังจากนี้อ๊อฟต้องพาน้องนะกลับมาบ้านบ่อยๆหน่อยรู้มั้ย พ่อแม่เค้ารู้แล้วว่าเราคบกับลูกเค้าอยู่ ยังไงก็ต้องรู้จักเกรงใจผู้ใหญ่บ้าง”

แม่ว่าแล้วก็ฝานมะม่วงดิบออกเป็นแผ่นๆเอาไว้สำหรับทานกับกะปิหวาน ผมคว้าเหยือกน้ำบนโต๊ะมารินใส่แก้วดื่มแล้วก็พยักหน้ารับ

“เรื่องนั้นรู้อยู่แล้วล่ะ ขนาดที่ไปกินข้าวด้วยกันที่บ้านเมื่อคืนก่อนอ๊อฟยังโดนลุงพงษ์ซักฟอกซะขาวเลยนี่ โดนจับตามองขนาดนี้อ๊อฟให้แม่ยกขันหมากไปขอนะไว้เลยดีมั้ยเนี่ย”

ผมแหย่จนแม่หัวเราะชอบใจ “อู้ย ที่ไปพูดให้เมื่อวันที่เราโดนชนนั่นยังไม่เหมือนไปสู่ขออีกเรอะ แต่จะว่าไปก็แปลกดีเหมือนกันแฮะ ได้ลูกสะใภ้เป็นเด็กผู้ชาย นี่ถ้าพี่อิมเค้ารู้คงตกใจน่าดู แต่แม่ว่าพี่สาวเราคงไม่มีปัญหาอยู่แล้วละ น้องเค้าออกจะเป็นเด็กดีขนาดนั้น”

ผมฟังแม่พูดแล้วก็ยิ้ม ท่าทางจะโดนนะทำเสน่ห์เข้าไปอีกคนแล้ว แต่อย่างว่า ดูเหมือนแฟนผมจะค่อนข้างชินกับการเข้าหาผู้ใหญ่เพราะถูกแม่ซึ่งเป็นอาจารย์สอนมาตั้งแต่ยังเล็ก แถมแม่ผมเองก็เป็นคนเข้ากับคนอื่นง่ายเลยเอ็นดูนะได้ง่ายเข้าไปอีก ต่างกับผมที่ไม่ค่อยได้เจอญาติผู้ใหญ่เพราะกระจัดกระจายไปอยู่คนละจังหวัดกันหมด เวลาต้องคุยกับลุงพงษ์กับอาจารย์วรรณีผมเลยแอบเกร็งทุกที

“ว่าแต่ทำไมมุ้ยยังไม่กลับไปด้วยกันวันนี้เลยล่ะอ๊อฟ?”

“เห็นบอกว่าน้าเหมียวจะพาไปเยี่ยมบ้านคุณยายก่อน แล้วพรุ่งนี้พี่เม่นคงขับพาเข้ากรุงเทพฯเพราะเค้ามีธุระในเมืองอยู่แล้ว”

แม่พยักหน้าเข้าใจก่อนจะลุกขึ้นล้างมือแล้วเปิดตู้หยิบถุงพลาสติกใสกับหนังยางออกมาวางบนโต๊ะให้

“งั้นเดี๋ยวอ๊อฟช่วยแม่ตักกะปิหวานกับมะม่วงใส่ถุงสองชุดนะ แม่จะเอาไปฝากพ่อแม่น้องนะกับให้เราสองคนเอากลับไปทานที่หอ เดี๋ยวแม่ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแป๊บนึง”

“ครับๆ ไม่ต้องสวยมากก็ได้นะแม่ แค่ไปส่งอ๊อฟกลับกรุงเทพเอง”

แม่หันมาค้อนเข้าให้ที่โดนแซวก่อนจะเดินขึ้นห้อง ผมเลยจัดการล้างถ้วยบัวลอยแล้วก็เอาถุงพลาสติกใสมาแยกใส่มะม่วงกับกะปิหวานตามที่แม่บอก ถ้าหากเทียบฝีมือทำกับข้าวแล้วต้องยอมรับว่าแม่ผมไม่เก่งเท่าอาจารย์วรรณี แต่เรื่องกะปิหวานนี่ใครได้กินก็ต้องชมจนแม่ชอบทำเป็นของฝากคนรู้จักอยู่บ่อยๆ

เสียงโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนโต๊ะดังขึ้นผมเลยละมือที่กำลังมัดถุงมะม่วงหยิบขึ้นดู พอเห็นชื่อคนโทรเข้าก็ต้องเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจก่อนจะกดรับ

“ไงเป้ ทำไมกลับจากอังกฤษเร็วจังวะ”

เสียงเพื่อนสนิทหัวเราะในคอกลับมาตามสาย ผมจำได้ว่าหลังสอบเสร็จเป้บินไปเยี่ยมพี่ชายที่อังกฤษเพื่อฉลองปีใหม่พร้อมหน้ากับครอบครัวเลยนึกว่าคงได้เจอกันอีกทีที่มหา’ลัยเลยเสียอีก

“เบื่อเลยกลับมาก่อนว่ะ ว่าแต่มึงกับน้องนะจะกลับมาหอกันเมื่อไหร่ กูจะได้เอาของฝากไปให้”

ผมได้ยินคำตอบแล้วก็ยิ้ม ปากดีจริงๆเพื่อนผม คิดถึงแฟนเลยรีบกลับมาก่อนสิไม่ว่า เพราะผมจำได้ลางๆว่าช่วงหยุดปีใหม่ที่ผ่านมาวิวไม่ได้กลับบ้านที่ต่างจังหวัด พูดถึงถ้าเป็นผมก็คงเป็นห่วงกลัวแฟนจะเหงาเหมือนกัน

“น่าจะกลับถึงกันเย็นนี้แหละ แต่ว่าไม่ต้องรีบเอามาให้ก็ได้นี่หว่า มึงอุตส่าห์รีบกลับมาอยู่เป็นเพื่อนวิวทั้งที”

“ไม่เป็นไรหรอก วิวเองแหละที่บอกกูว่าน่าจะรีบเอาให้ ยังไงเย็นนี้นัดกินข้าวด้วยกันเลยมั้ยล่ะ มึงถึงหอแล้วโทรบอกแล้วกันจะได้นัดกันอีกที”

“เออ เอางั้นก็ได้ งั้นเย็นนี้เจอกันมึง”

ผมวางสาย แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าถ้างั้นเอามะม่วงกะปิหวานไปฝากเป้กับวิวด้วยดีกว่า เลยฝานมะม่วงเพิ่มอีกสองลูกใส่ถุงแยกไว้อีกชุด ไม่นานแม่ก็เดินลงมาจากชั้นบน ผมเลยหยิบกระเป๋าเป้กับถุงมะม่วงทั้งสามชุดเดินตามแม่ไปที่รถที่ศูนย์ให้มาใช้แทนรถที่ยังเข้าอู่ซ่อมอยู่

“อ้าวแม่ ไม่ให้อ๊อฟขับเหรอ?”

ผมเอ่ยถามเมื่อเห็นแม่ไม่ส่งพวงกุญแจให้แถมเดินไปนั่งฝั่งคนขับเอง เลยโดนย้อนกลับซะสะอึก

“ไม่เอา แม่กลัวโดนเสยอีก”

ผมคงทำหน้าเจื่อนๆไป แม่เลยหันกลับมาหัวเราะให้หลังผมขึ้นนั่งประจำที่ข้างคนขับแล้ว

“แม่ล้อเล่นน่า ยังไงอ๊อฟก็จะกลับไปกรุงเทพทั้งที ให้แม่ขับไปส่งเถอะ”

แม่ยื่นมือมาโยกหัวผมแล้วก็ยิ้มให้ ผมเลยยิ้มตอบก่อนจะคว้าสายเข็มขัดนิรภัยมาคาด เราใช้เวลาไม่ถึงสิบนาทีก็มาถึงท่าจอดรถตู้สำหรับเข้ากรุงเทพฯ พอดีกับที่นะโทรเข้ามือถือผมพอดี

“พี่อ๊อฟ ถึงท่ารถหรือยัง?”

เสียงคุ้นเคยเอ่ยถาม เสียงลมหวีดหวิวกับเสียงการจราจรที่ดังแทรกโทรศัพท์เข้ามาบอกให้รู้ว่าปลายสายคงไม่ได้นั่งอยู่ในรถ

“ถึงแล้วครับ กำลังจอดรถอยู่ นะถึงไหนแล้ว?”

“พอดีแม่เค้าให้พ่อจอดแวะซื้อขนมสำหรับเอาไปฝากเพื่อนก่อน อีกห้านาทีคงไปถึง พี่อ๊อฟรอแป๊บนึงนะ”

“ครับ ไม่รอแล้วพี่จะกลับคนเดียวได้ไงล่ะ ยังไงรีบมานะ”

“อื้อ”

คนตัวเล็กรับคำสั้นๆก่อนจะวางสายไป พอผมวางมือถือลงก็เห็นแม่กำลังยิ้มเหมือนกลั้นหัวเราะอยู่

“แหม ไม่ยักรู้ว่าลูกแม่ก็ปากหวานเป็น มิน่าล่ะน้องนะถึงได้ติดน่าดู”

“อ้าว แฟนกันนี่แม่ อ๊อฟก็ต้องอ้อนมั่งสิ”

พอโดนคนข้างตัวเอ่ยทักผมก็เริ่มจะเขินขึ้นมาเหมือนกัน จะว่าไปผมกับนะก็ไม่เคยคุยหวานๆอย่างที่ปกติทำกันเวลาอยู่ต่อหน้าคนในครอบครัวเลยเพราะเกรงใจ แต่แม่ก็ไม่ได้แซวอะไรต่อ เรานั่งฟังวิทยุรอกันไม่นานรถปิ๊กอัพของลุงพงษ์ก็มาเทียบจอดต่อจากรถแม่ผมเราเลยเปิดประตูลงไปรับ แล้วก็ปล่อยให้พวกผู้ใหญ่ทักทายกันไปขณะผมกับนะเอาถุงของฝากทั้งหลายใส่ท้ายรถตู้ก่อนจะเดินกลับไปลา

“ต่อไปก็พากันกลับมาบ้านบ่อยๆแล้วกันนะ ทั้งสองคน พ่อกับแม่จะได้ไม่ต้องเป็นห่วงพวกเรามาก”

ลุงพงษ์ย้ำกับนะแล้วก็ตวัดสายตาขึ้นมองผมช่วงท้ายประโยคจนสะดุ้ง ผมเลยยิ้มแห้งๆก่อนจะตอบรับ ดูท่าว่าถึงแม้พ่อของนะจะรับเรื่องที่ผมคบกับลูกชายได้ก็จริงแต่ก็ยังไม่ได้วางใจผมซะทีเดียว ผมเห็นแม่ที่ยืนอยู่ข้างอาจารย์วรรณีกำลังอมยิ้มเพราะลุงพงษ์เล่นพูดเหมือนที่แม่เตือนไว้ก่อนเป๊ะ

“รถเที่ยวต่อไปใกล้จะออกแล้วนะน้อง”

เสียงคนปล่อยรถตู้ตะโกนบอกเสียงดัง นะเลยไหว้ลาพ่อกับแม่ของตัวเอง แต่พอจะหันไปไหว้แม่ผมต่อก็โดนดึงเข้าไปกอดแบบไม่ทันให้ตั้งตัว ขนาดผมยังตกใจเพราะกับแฟนเก่าที่เคยพามาเยี่ยมตอนปีหนึ่งแม่ยังไม่เอ็นดูขนาดนี้เลย สักครู่แม่ก็ดันตัวนะออกเบาๆก่อนจะลูบหัวแล้วยิ้มให้

“ต่อไปก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกลกันแล้วนะลูกนะ ถ้ากลับถึงหอเมื่อไหร่ก็โทรมาบอกหน่อยแล้วกันพ่อแม่เค้าจะได้รู้ว่าเดินทางปลอดภัย แล้วไว้เจอกันใหม่คราวหน้านะจ๊ะ”

ผมเห็นนัยน์ตากลมโตเหมือนจะรื้นน้ำตาขึ้นก่อนคนตัวเล็กจะพยักหน้า ผมเลยหันไปไหว้ลาอาจารย์วรรณีกับลุงพงษ์แล้วก็บีบมือแม่ด้วยความขอบคุณก่อนจะรับเป้ของนะมาถือไว้เอง

“งั้นพวกผมไปก่อนนะครับ”

ผมดันหลังนะเบาๆให้คนตัวเล็กเข้าไปนั่งด้านในก่อนจะส่งตัวเองตามเข้าไป เรารอกันอีกไม่กี่นาทีรถก็เคลื่อนตัว แต่ถึงอย่างนั้นเมื่อมองออกจากกระจกหน้าต่างผมก็ยังเห็นพวกผู้ใหญ่ยืนส่งพวกเรากันอยู่ แม้จะไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมต้องจากบ้านเพื่อกลับเข้ากรุงเทพฯ แต่ก็อดใจหายนิดๆไม่ได้เพราะแค่ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมามีเรื่องราวที่ไม่คาดคิดประดังเข้ามาเต็มไปหมด แต่นั่นก็ทำให้ผมกับนะยิ่งใกล้ชิดกันยิ่งขึ้น และทำให้ครอบครัวของพวกเรารับรู้และยอมรับการที่เราคบกัน ถึงทุกอย่างจะเกิดขึ้นเร็วจนแทบไม่น่าเชื่อ แต่ผมก็ดีใจที่ทุกอย่างคลี่คลายไปในทางที่ดี และทำให้ผมมั่นใจในความสัมพันธ์ของผมกับนะมากขึ้นไปอีก บรรยากาศตอนขากลับคราวนี้จึงเต็มไปด้วยความปลอดโปร่งใจต่างกับขามาชนิดหน้ามือเป็นหลังมือเลยทีเดียว

“ได้กลับห้องเรากันซักทีนะพี่อ๊อฟ”

นะหันมาบีบมือผมแล้วก็ยิ้มให้ทั้งที่ปลายจมูกแดงเรื่อ ผมเลยยิ้มตอบก่อนจะสอดแขนโอบไหล่บางแล้วฝังจมูกลงกับเรือนผมนิ่มเบาๆ ใครจะหันมาเห็นก็ช่างละตอนนี้ ผมอยากให้คนข้างตัวได้รู้ว่าผมก็ดีใจเหมือนกันนี่นา

“อื้ม กลับห้องเรากันนะ”


+------+


หลังรถตู้กลับเข้าถึงท่ารถที่กรุงเทพฯผมก็เรียกแท็กซี่ให้ไปส่งที่หอ นะแวะเอาขนมโมจิที่อาจารย์วรรณีซื้อให้สำหรับเอามาฝากเพื่อนๆให้ยามหน้าหอหนึ่งกล่องแล้วก็ให้อาม่าผู้ดูแลหอสองกล่อง แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังเหลือขนมในถุงอีกเป็นสิบกล่องอยู่ดี

“แล้วจะจัดการโมจิที่เหลือยังไงดีล่ะเนี่ย?”

ผมเอ่ยขึ้นเมื่อกลับมาถึงห้องแล้ว พ่อหนูน้อยวางกระเป๋าเป้ตัวเองลงแล้วก็หยิบกล่องขนมมานั่งนับบนเตียงพลางทำท่าคิด

“เดี๋ยวนอกจากส่วนที่ฝากเพื่อนนะจะเอาไปฝากพี่ๆที่ออฟฟิศนักศึกษากับพวกอาจารย์แล้วกัน พี่อ๊อฟบอกว่าเย็นนี้พี่เป้นัดไปกินข้าวด้วยใช่มั้ยล่ะ งั้นเดี๋ยวนะกันไว้ให้พี่เป้กับพี่วิวคนละกล่องด้วย แค่นี้ก็หมดละ”

คนตัวเล็กว่าแล้วก็หันมายิ้มให้ ผมเลยทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงบ้างแล้วก็หันไปจุ๊บริมฝีปากนิ่มเร็วๆทีนึง พอถอยออกก็ยิ้มชอบใจที่ได้เห็นว่าคนถูกจูบหน้าแดงขึ้นเพราะไม่ทันตั้งตัว

“โอเคครับ งั้นเดี๋ยวพี่ขออาบน้ำก่อนแล้วกัน เดี๋ยวค่อยโทรหาเป้มันอีกที นะจะอาบน้ำกับพี่เลยมั้ย?”

หลังประโยคสุดท้ายผมหันไปทำตาวิบวับใส่คนที่ยังหน้าแดงไม่หาย เลยโดนกำปั้นเล็กๆทุบไหล่มาทีหนึ่ง แต่แล้วนะก็ก้มหน้าพูดเสียงอุบอิบ

“ไม่เอาหรอก ขืนอาบน้ำกับพี่อ๊อฟเย็นนี้ก็ไม่ได้ไปไหนกันพอดีสิ รีบๆโทรหาพี่เป้เดี๋ยวนี้เลยจะได้นัดกันให้รู้เรื่องรู้ราว"

น้ำเสียงเขินๆทำให้ผมยิ้ม ช่างเฉไฉจริงเลยคนเรา ต่อให้ผมโทรนัดเป้เย็นนี้จริงๆตอนนี้ก็ยังบ่ายอยู่ มีเวลาทำ “อะไรๆ” อีกถมถืด ผมเลยหยิบมือถือมากดโทรออกขณะดึงมือข้างหนึ่งของนะมาคลึงเล่นไปด้วย หลังฟังเสียงเพลงรอสายได้ไม่นานก็ได้ยินเสียงเพื่อนผมตอบรับ

“ฮัลโหล กลับถึงห้องแล้วเหรอวะ?”

“เออ เพิ่งถึงเดี๋ยวนี้แหละ ว่าแต่ที่นัดกันเย็นนี้กูขอเลื่อนเป็นวันหลังได้มั้ยวะเป้ พอดีกูกับนะตั้งใจว่าจะช่วยกันจัดห้องใหม่ตั้งแต่หลังสอบ จนตอนนี้ก็ยังไม่มีเวลาได้ทำเลยเนี่ย”

ผมรีบแก้ตัวจนคนที่ผมกุมมืออยู่ทำตาโต ผมเลยถือโอกาสยกมือที่ตัวเองคลึงเล่นอยู่ขึ้นมาหอมซะเลย พอนะเหลือบตาขึ้นสบตากับผมก็รีบเบนสายตาลงมองมือที่ถูกกุมอยู่แทน สีเลือดฝาดที่แต้มอยู่บนผิวแก้มสองข้างดูจะยิ่งแดงก่ำขึ้นไปอีก ยิ่งมองก็ยิ่งน่าฟัดเป็นบ้า

“ก็ไม่มีปัญหา ว่าแต่มึงอ้างรึเปล่าวะอ๊อฟ ทำเป็นพูดอย่างโน้นอย่างนี้ ที่จริงไม่อยากเสียเวลาอยู่กับน้องนะมากกว่าล่ะสิ”

ปลายสายหัวเราะแล้วเอ่ยดักคออย่างรู้ทัน แต่ตอนนี้คนที่นั่งหน้าแดงอยู่ตรงหน้าทำให้ผมไม่มีอารมณ์จะต่อปากต่อคำด้วยแล้ว

“มึงไม่ต้องทำเป็นรู้ดี สรุปว่าเดี๋ยวค่อยนัดกันอีกทีแล้วกันนะเว่ย บาย”

ก่อนกดตัดสายผมยังไม่วายได้ยินเสียงไอ้เพื่อนตัวดีหัวเราะอีก เลยกดปิดโทรศัพท์เสียเลยกันใครโทรเข้ามาก่อนจะโยนมือถือตัวเองไว้แถวๆหมอน สงสัยเป้มันจะลืมเรื่องที่ตัวเองรีบบินกลับจากอังกฤษเพื่อมาหาแฟนไปแล้วมั้งเนี่ย เดี๋ยวโดนแซวกลับมั่งเหอะจะรู้สึก

“ทีนี้ก็หมดปัญหาแล้วนะ จะอาบน้ำกับพี่ได้หรือยัง?”

ผมเขย่ามือที่ตัวเองกุมอยู่เบาๆ พาลให้คนถูกทวงถามก้มหน้างุด แต่พอเห็นว่าคนตัวเล็กไม่ได้ต่อต้านผมเลยแกล้งยื่นมืออีกข้างไปทำท่าจะเลิกชายเสื้อที่นะใส่อยู่จนเจ้าตัวรีบยกมือตะปบทันควัน

“พี่อ๊อฟ! ไหนบอกว่าจะอาบน้ำไง!”

“อ้าว ก็จะอาบน้ำก็ต้องถอดเสื้อก่อนไม่ใช่เหรอ หรือนะจะเข้าไปอาบกับพี่ทั้งที่ยังใส่เสื้อ?”

ผมแกล้งเลิกคิ้วแถมทำน้ำเสียงสงสัยจนคนรู้ทันค้อนควั่ก ที่จริงเจ้าตัวก็คงจะรู้อยู่แล้วละว่าต่อให้บ่ายเบี่ยงยังไงก็โดนผมจับอาบน้ำด้วยอยู่ดี นะนั่งยื้อชายเสื้อตัวเองแข่งกับผมที่พยายามจะเลิกเสื้อขึ้นแล้วก็ขมวดคิ้ว

“จะอาบน้ำก็ต้องเข้าไปถอดเสื้อในห้องน้ำสิ ถ้าพี่อ๊อฟมาถอดเสื้อให้นะตรงนี้แล้วจะได้อาบกันมั้ยล่ะ?”

ใบหน้าหวานก้มลงแล้วก็พูดเสียงอุบอิบ ผมเลยเด้งลุกจากเตียงแล้วยื่นมือส่งให้คนตัวเล็กยึดเอาไว้ก่อนจะฉุดให้ตามเข้าไปในห้องน้ำ ตอนแรกพ่อหนูน้อยก็ยังทำท่าอิดออดแถมรำพึงเสียงเบาว่า ‘ฟ้ายังสว่างอยู่เลย’ แต่พอผมเริ่มถอดเสื้อแล้วก้มลงจูบซุกไซ้กับซอกคอขาวๆพลางลูบไล้ไปตามจุดอ่อนไหวที่รู้กันระหว่างเรา คนที่ยังทำท่าไม่ค่อยเต็มใจเมื่อกี้ก็มือไม้อ่อนลงทันที ผมคลอเคลียริมฝีปากกับใบหูนิ่มไปก็กระซิบเสียงเบาใส่จนคนในอ้อมแขนสั่นสะท้าน

“ไม่ได้อาบน้ำด้วยกันตั้งนานแล้ว งั้นวันนี้พี่จะขัดตัวนะให้สะอาดทุกส่วนเลยแล้วกันนะ”


+------+


“หิวจัง”

ร่างเล็กกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียงในเสื้อยืดตัวโคร่งของผมกับกางเกงบ็อกเซอร์ขาสั้นโดยมีผมนั่งตัดเล็บเท้าให้ น้ำเสียงไร้เรี่ยวแรงบอกให้รู้ว่าคนพูดคงจะเพลียน่าดูเพราะโดนผม “อาบน้ำ” ให้ไปหลายรอบ ถ้าไม่ติดว่าหลังรอบที่ห้าผมโดนขอร้องด้วยเสียงที่เริ่มแหบแห้งกับหน้าตาน่าสงสารว่าไม่ไหวแล้วจริงๆสงสัยตอนนี้ก็คงยังอาบน้ำกันไม่เลิก

ผมละสายตาขึ้นมองคนพูดที่เอามือสองข้างวางประสานกันไว้บนตัก นัยน์ตากลมโตดูมีแววเหนื่อยอ่อน แต่ผิวใสที่เป็นสีชมพูเรื่อหลังอาบน้ำคงทำเอาผมจ้องนานไปหน่อย คิ้วเรียวเลยขมวดก่อนจะกระตุกเท้าในมือผมเหมือนจะเตือนว่าให้ตัดเล็บต่อให้เสร็จจนผมหัวเราะ จะว่าไปเสื้อผ้าที่นะใส่อยู่ตอนนี้ก็ผมเองที่เลือกมาใส่ให้ เพราะพออุ้มออกมาจากห้องน้ำแล้วท่าทางนะจะหมดแรงจริงๆเลยไม่ดิ้นหรือบ่นสักคำไม่ว่าจะโดนผมจับเช็ดตัวท่าไหน ได้แต่นอนหลับตาทั้งที่หน้าแดงอย่างเดียว แต่ครั้นจะแซวก็กลัวว่าเดี๋ยวจะโดนงอนเลยต้องยอมหุบปากเงียบ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังกลั้นยิ้มไม่อยู่จนโดนพ่อหนูน้อยลืมตาขึ้นส่งค้อนให้ซะหลายรอบ

“จะพักให้หายเหนื่อยแล้วค่อยลงไปหาอะไรกินที่ตลาดมั้ย? หรือนะอยากสั่งอะไรขึ้นมากินบนห้องมากกว่า?”

ผมหันไปหยิบกองใบปลิวของพวกร้านแนวเดลิเวอรีทั้งหลายส่งให้คนที่เพิ่งบ่นหิวแล้วก้มลงตัดเล็บต่อ พอชำเลืองมองก็เห็นเจ้าของนัยน์ตากลมโตกำลังกวาดสายตาไปตามเมนูของแต่ละร้านอย่างไม่รู้จะเลือกอะไร พอดีกับที่ผมตัดเล็บนิ้วสุดท้ายให้นะเสร็จเลยขยำกระดาษที่รองเศษเล็บทิ้งลงถังขยะมุมห้อง พอล้างมือเรียบร้อยก็กลับมานั่งเอนหลังบนเตียงข้างคนตัวเล็กที่ขยับที่ให้ผมนั่งโดยที่มือยังพลิกใบปลิวไปมา ผมเลยใช้ปลายนิ้วสางผมเส้นเล็กที่ยังชื้นนิดๆเล่น

“ตกลงเอาเป็นพิซซาก็แล้วกัน ตอนนี้มันมีหน้าที่เพิ่งออกใหม่อยู่นี่นา พอพิซซามาแล้วก็เปิดหนังดูกัน ตกลงตามนี้นะ?”

ผมช่วยเลือกให้แทนคนที่ยังคิดไม่ตกเพราะดูท่าว่าเจ้าตัวจะตัดสินใจไม่ได้สักที ที่จริงนะก็คงอยากลงไปเดินเล่นที่ตลาดอยู่เหมือนกัน แต่เพราะว่าร่างกายกำลังเพลียก็เลยยังสองจิตสองใจ สุดท้ายพ่อหนูน้อยก็พยักหน้าแล้วเอนหัวลงพิงไหล่ผมเพราะดูท่าทางจะเป็นทางเลือกที่เข้าท่าที่สุดแล้ว

ผมหยิบมือถือมากดโทรสั่งพิซซา แล้วระหว่างที่รอก็ช่วยนะนั่งคุ้ยกองแผ่นดีวีดีที่เจ้าตัวสะสมไว้ (รู้สึกไอ้หนังเกย์ที่นะเคยยืมเพื่อนมาจะเอาไปคืนแล้ว พอผมถามถึงเลยโดนค้อนเข้าให้) เนื่องจากเจ้าของคอลเลคชันอยากดูการ์ตูนอนิเมชันแต่ผมอยากดูหนังสืบสวนเราเลยต้องใช้วิธีเป่ายิ้งฉุบสามครั้งตัดสิน ปรากฏว่าผมชนะได้เลือกเรื่องที่จะดูก่อน พอพิซซามาส่งนะเลยให้ผมป้อนพิซซาให้เพื่อชดเชยกับการที่ตัวเองได้ดูหนังทีหลัง ตอนที่หยิบพิซซาขึ้นป้อนหลังเปิดแผ่นหนังแล้วผมเลยแกล้งทำเป็นยื่นมือหนีบ้าง เลี้ยวเข้าปากตัวเองบ้างจนโดนทุบไปหลายที กว่าจะกินพิซซาหมดถาดเลยกลายเป็นว่าทั้งผมทั้งนะดูหนังเรื่องแรกกันไม่รู้เรื่องเลย ส่วนเรื่องที่เราดูกันต่อเป็นอนิเมชันญี่ปุ่นที่เห็นว่าเคยชนะรางวัลออสการ์เมื่อหลายปีก่อนมาแล้ว ปกติผมไม่ค่อยชอบดูหนังญี่ปุ่นหรือเกาหลีเพราะปวดหัวกับภาษาที่ฟังไม่รู้เรื่อง หรือต่อให้ฟังพากษ์ไทยก็จะจั๊กกะจี้กับเสียงที่บอกความเป็นพระเอกนางเอกจ๋าเลยมักจะหลีกเลี่ยงหนังพวกนี้ แต่ก็ต้องยอมรับว่าหนังที่นะเลือกมาดูสนุกจนผมเองยังดูเพลินจนลืมบ่นไปเลย

กว่าหนังเรื่องที่สองจะจบก็เที่ยงคืนกว่าเข้าไปแล้ว ผมหันไปหาคนข้างตัวที่นั่งพิงไหล่ผมอยู่เพราะกะจะถามว่าจะดูเรื่องอะไรต่อ แต่กลายเป็นว่าคนตัวเล็กหลับไปแล้วตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้ ท่าทางคงจะเหนื่อยจริงๆผมเลยก้มลงจูบหน้าผากแล้วก็เขย่าไหล่ปลุก ความจริงเห็นคนอื่นหลับสนิทก็ไม่อยากกวนให้ตื่นเท่าไหร่ แต่ขืนปล่อยให้นอนทั้งที่ยังไม่ได้แปรงฟันคงไม่ดีแน่

“นะครับ ไปแปรงฟันก่อนเร็วจะได้ไปนอนบนเตียงดีๆ”

คนถูกปลุกงัวเงียขึ้นมองผมก่อนจะหันไปทางหน้าจอทีวีที่กำลังขึ้นเครดิตหนังกับเพลงประกอบแล้วก็ทำหน้ามุ่ย

“อ้าว หนังจบตอนไหน พี่อ๊อฟทำไมเห็นนะหลับแล้วไม่รีบปลุกล่ะ”

เสียงตัดพ้อแบบง่วงๆทำเอาผมต้องขยี้ผมนิ่มอย่างมันเขี้ยว พ่อหนูน้อยเลยยิ่งทำหน้ามู่ทู่เข้าไปอีกจนผมอดหัวเราะไม่ได้

“ก็พี่เพิ่งเห็นเราหลับก็ตอนหนังจบแล้วเนี่ย แบบนี้หลับไปตั้งแต่ฉากไหนยังจำไม่ได้เลยสิท่า เดี๋ยวพรุ่งนี้ตื่นแล้วค่อยมาดูใหม่ก็แล้วกัน แต่ตอนนี้ไปแปรงฟันนอนก่อนดีกว่าไป”

นะขยี้ตาแล้วก็ยอมลุกไปเข้าห้องน้ำแต่โดยดี ผมเลยจัดการเก็บแผ่นดีวีดีลงกล่องแล้วเอาถุงขยะมาใส่ถาดพิซซาที่กินเหลือก่อนจะเอาไปทิ้งที่ถังขยะหน้าลิฟต์ ขืนแค่มัดถุงแล้วปล่อยทิ้งไว้ในห้องมีหวังได้ตื่นมาโดนมดหามแน่

พอผมเดินกลับมาที่ห้องอีกทีก็เห็นว่าคนตัวเล็กแปรงฟันเรียบร้อยและขึ้นไปนอนอ่านหนังสือรอบนเตียงแล้ว ผมเลยเข้าห้องน้ำไปแปรงฟันบ้างก่อนจะเดินกลับมาหาคนที่นอนรออยู่ พอนะเห็นผมซุกตัวลงใต้ผ้าห่มก็ปิดหนังสือแล้วกระเถิบเข้ามานอนใกล้ๆ ผมเลยเอื้อมมือไปปิดโคมไฟก่อนจะกอดร่างเล็กตอบแล้วก็ขยับตัวให้นอนสบายขึ้น

หลังจากดับโคมไฟหัวเตียงแล้วคนในอ้อมแขนก็เงียบไปนานจนผมนึกว่าหลับไปแล้ว แต่พอผมกำลังจะหลับบ้างก็รู้สึกว่าโดนริมฝีปากนิ่มๆอุ่นๆยื่นมาแตะที่ริมฝีปากตัวเองอย่างแผ่วเบาก่อนคนจูบจะรีบถอยออกไป

“ฝันดีนะพี่อ๊อฟ”

เสียงใสกระซิบก่อนจะซุกหน้าลงกับอกผมเหมือนเดิม แต่สงสัยเจ้าตัวคงไม่รู้ว่าที่จริงผมยังไม่หลับ แถมตอนนี้ยังหุบยิ้มไม่ลงอีกต่างหาก ก็คนตัวเล็กเล่นมาแอบทำหวานใส่ตอนที่คิดว่าผมไม่รู้นี่นา ผมเลยกระชับร่างในอ้อมแขนแน่นขึ้นแล้วปิดตาลงบ้าง หลังจากกลับไปนอนเตียงที่บ้านเสียหลายวัน การได้กลับมานอนเตียงที่หอซึ่งคุ้นเคยมากกว่าพร้อมกับคนที่นอนด้วยทุกคืนให้ความรู้สึกที่ดีจริงๆ

ถ้าพรุ่งนี้คนที่กอดอยู่ตื่นขึ้นมาก่อนแล้วเห็นผมนอนยิ้ม ก็คงต้องโทษความน่ารักของเจ้าตัวแล้วละ...


+---tbc---+


Create Date : 26 กรกฎาคม 2552
Last Update : 28 มกราคม 2553 20:02:23 น. 0 comments
Counter : 742 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Applebee
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 29 คน [?]






ลายปากกา



~ สงวนลิขสิทธิ์ตามพรบ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ~
ห้ามมิให้ผู้ใดละเมิดโดยนำข้อความทั้งหมดหรือส่วนใดไปเผยแพร่โดยมิได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร หากฝ่าฝืนจะถูกดำเนินคดี
ตามที่กฎหมายบัญญัติไว้สูงสุด!!

Friends' blogs
[Add Applebee's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.