Group Blog
 
All blogs
 
เมื่อหัวใจเราใกล้กัน 14



แนะนำ

สำหรับคนที่เพิ่งได้อ่านนิยายเรื่องนี้เป็นครั้งแรก ขออธิบายล่วงหน้าว่าเรื่องนี้จะเน้นที่ความสัมพันธ์ระหว่างตัวเอกสองคนซึ่งเป็นชายทั้งคู่ และอาจมีเนื้อหาบางส่วนไม่เหมาะสมสำหรับเยาวชน หรือคนที่ไม่นิยมเรื่องแนว Boy's Love ดังนั้นหากไม่ชอบอ่านนิยายแนวที่ไม่มีนางเอก ขอแนะนำว่าให้คลิกไปอ่านหน้า About me , เท้าพาไป หรือ พร่ำ(เพ้อ)รายสะดวก ซึ่งเนื้อหาจะเกี่ยวกับเรื่องทั่วไปค่ะ เราเตือนคุณแล้วนะคะ

ปล. เราเขียนเรื่องนี้หลังจากเขียนตอนปฐมบทของเรื่อง ลำนำรักสีรุ้ง และตัวละครจากเรื่องนั้นก็จะมีบทบาทในเรื่องนี้ด้วย แต่เนื้อหาสามารถแยกอ่านจากกันได้ ไม่จำเป็นว่าต้องอ่านเรื่องนั้นก่อนก็สามารถอ่านเรื่องนี้เข้าใจได้ค่ะ


++------++


ตอนที่ 14: กันและกัน


“ห้องของคุณจะอยู่ด้านในสุดฝั่งซ้ายนะคะ ขับรถเข้าไปจอดได้เลย ส่วนพรุ่งนี้เช็คเอาต์ได้ตอนเที่ยง ว่าแต่นี่มาเที่ยวหรือคะ?”

“ก็...ทำนองนั้นแหละครับ”

ผมยืนรอพนักงานต้อนรับคีย์ข้อมูลเข้าคอมพิวเตอร์ไปพลางก็เอานิ้วเคาะเคาน์เตอร์ไปด้วย พอเหลือบไปมองรถของตัวเองที่จอดอยู่ด้านหน้าก็ค่อยวางใจว่าคนในรถยังนั่งนิ่งอยู่

“ขอโทษนะครับ ถ้าหากไม่อยู่ทั้งคืนนี่มีลดราคาไหมครับ?”

พี่พนักงานต้อนรับละสายตาจากคอมพิวเตอร์แล้วมองผมแปลกๆ แต่จะว่าไปผมก็โดนมองแบบนี้ตั้งแต่เดินเข้ามาในล็อบบี้เพราะแผลบนหน้าผากตั้งแต่แรกแล้ว ยังดีว่าก่อนลงจากรถผมเอาแจ๊คเกตที่แม่เอาติดรถไว้ประจำมาใส่ทับปิดรอยเลือดบนเสื้อไว้ก่อน ไม่งั้นมีหวังโดนโทรแจ้งตำรวจว่าเป็นผู้ต้องสงสัยหลบหนีคดีอะไรมาแน่ๆ

“เราไม่มี policy แบบนั้นน่ะค่ะ จะว่าไปมันก็มีที่ที่เค้าเปิดสำหรับแบบนี้โดยเฉพาะนะคะน้อง ถ้าไงเดี๋ยวพี่แนะนำให้มั้ย”

คนถามมองผมแล้วก็อมยิ้มแบบรู้ทันจนผมต้องรีบตัดบท “พอดีแฟนผมไม่ค่อยชอบที่แบบนั้นน่ะครับ งั้นก็ช่างมันเถอะ ขอบคุณครับ”

ผมรับกุญแจห้องแล้วก็เดินกลับไปที่รถซึ่งจอดเยื้องกับโถงล็อบบี้ขนาดไม่ใหญ่โตนัก ห้องพักแต่ละหลังของรีสอร์ทนี้จะเป็นบังกะโลหลังเล็กตั้งเรียงหันหน้าเข้าหากันสองแถวโดยมีสระว่ายน้ำสีฟ้าใสคั่นกลางอยู่ แม้แต่ละหลังจะตั้งไม่ห่างกันเท่าไหร่แต่ก็ไม่ถึงกับติดกันจนไม่มีความเป็นส่วนตัว นี่ถ้าไม่ใช่เพราะแม่บอกให้ผมขับเข้ามาดูเพราะสนใจเมื่อตอนที่ไปรับกลับจากบ้านป้าเพ็ญเมื่อวันก่อนผมคงไม่ทันนึกถึงที่นี่เหมือนกัน และโชคดีว่าช่วงนี้ห้องไม่เต็มผมเลยขอเช็คอินเข้าบ้านหลังที่อยู่ด้านในสุดได้

คนที่นั่งรออยู่สะดุ้งนิดหน่อยตอนผมกลับมาที่รถแต่ก็ไม่ยอมพูดอะไร เนื่องจากรีสอร์ทไม่ได้กว้างขวางมาก ผมออกรถแป๊บเดียวก็ถึงหน้าบ้านหลังที่จองไว้ แต่พอเดินลงจากรถไปเปิดประตูอีกฝั่งออกคนตัวเล็กก็ยังเอาแต่นั่งนิ่งไม่ยอมลุกท่าเดียว

“ลงมาคุยกันข้างในก่อน เดี๋ยวพี่ค่อยพากลับบ้าน”

“ไม่ลง”

คนตัวเล็กพูดเสียงแข็งก่อนจะกอดอกแล้วหันหนีไปอีกทาง ความจริงผมก็คิดไว้อยู่แล้วว่าต้องเจอปฏิกิริยาแบบนี้ จะว่าไปวันนี้ผมโดนงอนนานที่สุดตั้งแต่คบกันมาเลยมั้งเนี่ย

“ไม่ลงเองใช่มั้ย ได้ครับ พี่อ๊อฟไม่มีปัญหาอยู่แล้ว”

นัยน์ตากลมโตเหลือบขึ้นมองอย่างระแวง ผมเลยหย่อนกุญแจห้องพักลงกระเป๋าเสื้อก่อนจะก้มลงปลดเข็มขัดนิรภัยแล้วช้อนตัวคนที่ยังนั่งดื้ออยู่ออกมาจากรถแล้วเตะประตูให้ปิด

“พี่อ๊อฟ!!”

นะตวาดผมแต่เหมือนพยายามข่มเสียงไว้เพราะกลัวคนอื่นได้ยิน ท่าทางแบบนั้นทำให้ผมอดอมยิ้มไม่ได้ ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะวันนี้เสียเลือดไปเยอะหรือนึกครึ้มอะไรขึ้นมา แต่หลังจากที่หมดแรงกับการตามหาคนตัวเล็กไปทั้งวัน พอโดนอีกฝ่ายงอนใส่เมื่อเย็นผมเลยนึกอยากแกล้งพ่อหนูเจ้าอารมณ์ขึ้นมาจนแทบทนไม่ไหว

“ทำไมครับ ก็พี่ขอแล้วนะไม่ยอมลงมาดีๆเองนี่ ว่าแต่ไม่รีบเข้าห้องเดี๋ยวใครผ่านไปผ่านมาก็เห็นพี่อุ้มเรายืนอยู่ตรงนี้หรอก ถ้าอยากอยู่อย่างนี้ทั้งคืนก็ตามใจนะ หรือจะเอาแบบนั้นดี?”

คนโดนขู่มองผมตาเขียวทั้งที่หน้าแดงเรื่อ พอเห็นหน้าตาน่ารักแบบนั้นก็ให้นึกอยากจูบขึ้นมา แต่พอผมก้มลงไปหาก็โดนเจ้าตัวยกมือขึ้นปิดปากเสียก่อนจนต้องขมวดคิ้ว นะมองไปรอบๆแล้วก็กระซิบเสียงเข้มใส่ผม

“อย่าทำรุ่มร่ามตรงนี้นะพี่อ๊อฟ! จะเข้าห้องก็รีบเข้าสิ แล้วก็ปล่อยนะลงได้แล้ว จะอุ้มไว้ทำไม!”

ผมยิ้มให้คนพูดทั้งที่ยังโดนมือปิดปากอยู่ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าอีกฝ่ายทั้งเขินทั้งโมโห แต่แทนที่จะปล่อยคนตัวเล็กลงผมกลับกระชับวงแขนมากขึ้นกว่าเดิม

“กุญแจอยู่ในกระเป๋าเสื้อพี่เนี่ย นะเปิดประตูสิ เข้าไปในห้องได้ก่อนพี่ถึงจะปล่อย”

นะมองผมด้วยหน้าตาบูดบึ้ง แต่แล้วก็ยอมหยิบกุญแจออกมาไขเปิดประตูให้เพราะรู้ว่าผมทำตามที่พูดแน่ๆ พอผมเบี่ยงตัวพาคนตัวเล็กเข้าในห้องได้แล้วก็ยอมปล่อยให้อีกฝ่ายลงยืนแต่โดยดีก่อนเจ้าตัวจะโวยวายอีก

ผมกดเปิดสวิทช์ไฟข้างประตูจนทั้งห้องถูกย้อมไปด้วยแสงไฟสีส้มอ่อนๆ คนตัวเล็กกวาดสายตาไปรอบห้องทำให้ผมมองตามบ้าง ขนาดของห้องเล็กกว่าห้องของผมที่หอแต่ก็ดูใหม่กว่าและตกแต่งด้วยโทนสีอ่อนสบายตา โทรทัศน์ก็เป็นแบบจอแบนขนาดใหญ่แถมมีมินิบาร์ให้ด้วย แต่สิ่งที่หยุดสายตาของนะและผมไว้พร้อมกันเห็นจะเป็นเตียงดับเบิ้ลขนาดใหญ่ปูด้วยผ้าคลุมสีขาวสะอาดที่ตั้งเด่นอยู่กลางห้อง

“พี่อ๊อฟ กะจะอยู่นี่ถึงเมื่อไหร่?”

นะถามขึ้นเสียงเบาจนผมเกือบหลุดหัวเราะเลยต้องแกล้งทำเป็นกระแอมแทน นานๆจะได้แกล้งแฟนตัวเองซักที วันนี้ขอหน่อยละกัน

“ก็ขึ้นอยู่กับว่านะเป็นเด็กดีแค่ไหน ไม่งั้นคืนนี้ก็นอนกันที่นี่แหละจนกว่าจะหายงอนพี่กับอาจารย์”

“นะไม่ได้งอนแล้ว งั้นกลับกันเดี๋ยวนี้เลย เดี๋ยวแม่เป็นห่วง”

คนตัวเล็กว่าแล้วก็ก้มหน้างุดพลางทำท่าจะเดินไปที่ประตู ผมเลยรีบถอยไปยืนขวางไว้จนคนที่จะเดินออกชะงัก นะเงยหน้ามองผมแล้วก็เม้มปากแน่น หน้าตาเหมือนเด็กกำลังโดนขัดใจกลับดูแล้วยั่วยวนจนผมอยากจะจับอุ้มขึ้นเตียงซะเดี๋ยวนั้น

“ไม่เชื่อ ถ้าหายงอนจริงทำไมไม่ยอมมองหน้าพี่เวลาพูดล่ะ”

นัยน์ตากลมโตตวัดขึ้นมองผมแว่บหนึ่งแล้วก็รีบหันหนีไปทางอื่น “พี่อ๊อฟ อย่าแกล้งกันแบบนี้สิ”

ท่าทางเหมือนคนที่โดนต้อนจนมุมทำให้ผมเผลอยิ้มก่อนจะดันตัวเองออกจากกรอบประตู

“อะไร กล่าวหากันนี่นา พี่แกล้งนะตรงไหน”

ร่างเล็กถอยหลังหนีผมที่ย่างสามขุมเข้าหาทั้งที่ยังไม่ยอมเงยหน้าขึ้นสบตาด้วย แต่ในห้องแคบๆแบบนี้มันจะมีที่ไหนให้ถอยไปเจอได้ นอกเสียจาก....

“อ๊ะ!”

พ่อหนูน้อยอุทานอย่างตกใจเมื่อเสียหลักล้มหงายหลังลงบนเตียง ผมเลยถือโอกาสก้าวตามขึ้นคร่อมแล้วก็ยึดแขนผอมเรียวทั้งสองข้างไว้ก่อนคนโดนรุกจะตั้งตัวทัน นัยน์ตากลมโตเบิกกว้างขึ้นมองผมอย่างตกใจ

“พี่อ๊อฟ! จะทำอะไร ไม่เอานะ...อื๊อออ!”

นะละล่ำละลักพูดไปก็พยายามหดคอหนีการซุกไซ้ของผมไปด้วย ทั้งที่ความจริงก็ไม่ใช่ว่าเราไม่เคยมีอะไรกันมาก่อน แต่วันนี้ดูคนตัวเล็กประหม่าจนรู้สึกได้ แต่ยิ่งร่างเล็กดิ้นหนีมากเท่าไหร่ผมกลับยิ่งอยากแกล้งมากเข้าไปอีก เลยจัดการรวบแขนทั้งสองข้างที่พยายามดันผมออกไว้ด้วยมือข้างเดียวแล้วใช้มือข้างที่ว่างเลิกเสื้อยืดเนื้อนิ่มขึ้นจนร่นอยู่เหนือแผ่นอกขาว ใบหน้าหวานหลับตาปี๋เมื่อผมก้มลงเลียใบหูเบาๆ

“พี่อ๊อฟ! หยุดก่อน ไม่เอาแบบนี้! หยุด!...อ๊ะ!!”

ผมเขี่ยติ่งเนื้อกลมข้างหนึ่งบนแผ่นอกเรียบจนร่างเล็กผวาเฮือกก่อนจะก้มลงเลียที่จุดที่นิ้วตัวเองเพิ่งสะกิดไปหมาดๆ แขนสองข้างที่โดนผมรวบไว้เหมือนจะอ่อนแรงขึ้นมาทันที ผมเลยปล่อยมือเพื่อลูบไล้ไปตามช่วงลำตัวผอมบางแทนจนอีกฝ่ายต้องยกมือขึ้นปิดปากกลั้นเสียงไว้

ร่างกายของนะสั่นสะท้านและสะดุ้งทุกครั้งไม่ว่าผมจะใช้ริมฝีปาก ปลายลิ้นหรือปลายนิ้วมือกระตุ้นที่ส่วนไหน ทั้งที่ผมยังไม่ได้ถอดเสื้อผ้าของคนตัวเล็กออกเลยด้วยซ้ำ

“พี่...อ๊อฟ....เดี๋ยวก่อน...อย่า...เพิ่ง...”

ร่างเล็กบิดไปมาขณะพยายามใช้มือสองข้างที่อ่อนปวกเปียกดันศีรษะผมที่ยังคลอเคลียกับแผ่นอกของตัวเองอยู่โดยระวังไม่ให้โดนแผล ผมเลยก้มจูบบนหน้าท้องขาวเบาๆก่อนจะเลียริมฝีปากแล้วถอยออกโดยที่ยังนั่งคร่อมอีกฝ่ายอยู่

นัยน์ตากลมโตปรือขึ้นมองผมขณะที่ทรวงอกสะท้อนขึ้นลงถี่ๆตามลมหายใจที่รัวเร็ว ใบหน้าหวานเป็นสีแดงก่ำ ลำตัวท่อนบนส่วนที่โผล่พ้นเสื้อยืดออกมาก็มีรอยที่โดนผมจูบไซ้ขึ้นแดงเป็นปื้นๆ ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะโดนไรหนวดที่ยังไม่ได้โกนของผมเข้าไปด้วย แต่ภาพที่ได้เห็นก็ทำเอาผมแทบหยุดหายใจ อาจเพราะเราไม่ได้มีอะไรลึกซึ้งกันมาหลายอาทิตย์ แล้วยังความกังวลใจที่สะสมมาตั้งแต่เมื่อวานรวมกัน เวลานี้ผมเลยรู้สึกโหยหาคนตรงหน้าจนเริ่มจะควบคุมตัวเองไม่ไหว

ความต้องการในใจเริ่มขัดแย้งกับความรู้สึกรับผิดชอบที่ว่าต้องรีบพานะกลับบ้าน ตอนแรกที่ตัดสินใจเลี้ยวรถเข้ามาในรีสอร์ทก็แค่ตั้งใจว่าจะแกล้งคนขี้งอนเสียหน่อย แต่ตอนนี้ดูเหมือนความตั้งใจของตัวเองจะโดนเรือนร่างขาวๆที่นอนหมดแรงอยู่บนเตียงทำให้กระเจิดกระเจิงไปหมด

“อื๊อ!”

นะหลุดเสียงร้องในคอออกมาเมื่อผมก้มลงประกบริมฝีปากกับกลีบปากนุ่มแล้วฉวยโอกาสที่อีกฝ่ายไม่ทันตั้งตัวส่งปลายลิ้นเข้าหาความหวานภายใน ริมฝีปากอิ่มเผยอหอบเบาๆเมื่อผมถอยตัวออกเพื่อถอดเสื้อของคนตัวเล็กกับของตัวเองเหวี่ยงลงข้างเตียงก่อนจะก้มลงดูดเม้มที่ซอกคอขาวเนียนอีกครั้ง ปลายเล็บสั้นจิกลงบนไหล่ผมจนเจ็บแต่ตอนนี้อารมณ์ผมเตลิดเกินกว่าจะสนใจแล้ว

“พี่อ๊อฟ อย่า...เดี๋ยวมันเป็นรอย”

เสียงแตกพร่าของคนที่ร่างกายเริ่มอ่อนไปตามสัมผัสทำให้ผมผละออกก่อนจะยันตัวท่อนบนไว้ด้วยข้อศอก นะแลบลิ้นสีชมพูออกเลียริมฝีปากของตัวเอง ถึงจะเป็นกริยาที่เจ้าตัวทำไปโดยไม่ตั้งใจแต่ก็ดูยั่วจนผมต้องก้มลงจูบคนตัวเล็กอีกครั้งด้วยความมันเขี้ยว

“พูดอย่างนี้ ถ้าพี่ไม่ทำให้เห็นรอยนะจะยอมใช่มั้ย”

“แล้วถ้านะห้ามพี่อ๊อฟจะหยุดให้หรือเปล่าล่ะ”

คนตัวเล็กพูดเสียงหอบแล้วก็จ้องผมทั้งที่นัยน์ตาเชื่อมจนผมต้องเลิกคิ้ว เดี๋ยวนี้พ่อหนูน้อยของผมเริ่มย้อนเป็นแล้ว แต่ที่แย่กว่าคือทั้งย้อนทั้งยั่วแบบนี้แล้วผมจะห้ามใจตัวเองไหวได้ยังไง

“ไม่มีทาง”

ผมตอบก่อนจะเลื่อนตัวลงพรมจูบไปตามลำตัวขาวเนียนที่ไม่ว่าจะแตะต้องตรงไหนก็ลื่นมือไปหมด ร่างกายเพรียวบางผวาเฮือกเมื่อริมฝีปากผมสัมผัสกับผิวตรงท้องน้อย มือเล็กรีบยื่นมาปิดส่วนสำคัญของตัวเองไว้หลังผมใช้นิ้วเกี่ยวดึงกางเกงยีนส์และชั้นในออกจนตอนนี้ผิวกายขาวโพลนของคนเบื้องล่างปรากฏให้เห็นทั้งตัว ท่าทางเขินอายของคนตรงหน้าดูน่ารักจนผมอดแหย่ไม่ได้

“นะจะปิดทำไมล่ะ พี่เห็นตั้งหลายทีแล้ว”

ผมเย้าคนที่นอนเขินอยู่ยิ้มๆ เลยโดนอีกฝ่ายหรี่ตามองอย่างเคืองๆ “ไม่ต้องมาแซวเลย อ๊ะ! พี่อ๊อฟ!!”

ผมขบเนื้อนิ่มตรงต้นขาด้านในแล้วดูดเบาๆ ก่อนจะใช้ปลายลิ้นเลียจนผิวอ่อนๆขึ้นรอยจ้ำแดง ขาเรียวขาวสองข้างสั่นระริก ถึงจะมีอะไรกันหลายครั้งแล้ว แต่ทุกครั้งที่ได้เห็นว่าแฟนของตัวเองรู้สึกดีเพราะสัมผัสที่ตัวเองมอบให้ก็อดพอใจอยู่ลึกๆไม่ได้

ทั้งผิวเนื้อที่เปลี่ยนเป็นสีชมพูยามหอบเหนื่อย เสียงครางยามโดนสัมผัส หรือชื่อของผมที่นะเปล่งออกมายามที่เรามีสัมพันธ์ลึกซึ้งกัน ทุกอย่างทำให้รู้ว่านะเป็นของผมคนเดียว ไม่เคยมีใครได้ใกล้ชิดหรือเห็นคนตัวเล็กยามที่อารมณ์เพริศเพราะความปรารถนาแบบนี้นอกจากผม

ผมลุกจากเตียงแล้วก็ปลดชิ้นส่วนเสื้อผ้าที่เหลือของตัวเองก่อนจะหยิบหลอดเจลที่ซื้อมาจากเซเว่นที่ยัดไว้ในกระเป๋ากางเกงขึ้นมา นะเบิกตามองสิ่งที่อยู่ในมือผมแล้วก็ขมวดคิ้ว หน้าหวานที่แดงอยู่แล้วยิ่งแดงก่ำมากขึ้นอีก

“พี่อ๊อฟ นี่ตั้งใจอยู่แล้วใช่มั้ย”

ผมยิ้มก่อนจะขึ้นนั่งคร่อมคนตัวเล็กบนเตียงเหมือนเดิมแล้วก็ก้มลงจูบที่มุมปากของนะเบาๆ รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ที่กำลังจะขย้ำลูกกวางน้อยเป็นอาหารยังไงไม่รู้

“ก็แฟนพี่น่ารัก ตั้งใจจะมีอะไรกับแฟนนี่ผิดด้วยเหรอ”

ไม่มีเสียงตอบรับจากคนที่ก้มหน้าซุกอกผม ยกเว้นก็แต่อ้อมแขนที่เอื้อมขึ้นโอบคอไว้แน่นแทนคำตอบ

.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.


“อึ๊ก”

“นะครับ อย่าเกร็งสิ พี่จะทำช้าๆนะ”

ร่างเล็กที่กำลังรองรับความต้องการของผมหลับตาแน่นขณะที่มือสองข้างเกร็งจิกผ้าปูเตียงจนข้อนิ้วขึ้นเป็นสีขาว แผ่นอกเนียนแอ่นขึ้นจนลอยจากเตียงเมื่อผมพยายามดันตัวเองให้ผ่านช่องทางที่ร้อนและคับแน่นเข้าไป เสียงหอบกระเส่ากับความรู้สึกบีบรัดทำให้ต้องกัดฟันข่มใจที่จะไม่เผลอเร่งตัวเองเพราะเราร้างเรื่องนี้กันไปนานพอสมควร
ในที่สุดนะก็รับผมเข้าไปทั้งหมดได้สำเร็จ ผมก้มลงจูบหน้าผากที่ชื้นไปด้วยเหงื่อก่อนจะค่อยๆขยับเอวช้าๆเมื่อรู้สึกว่าแรงต่อต้านจากร่างกายของอีกฝ่ายน้อยลงแล้ว

“อื้อ....ฮ้า....พี่อ๊อฟ....พี่อ๊อฟ....พี่อ๊อฟ”

เสียงใสหอบครางเรียกชื่อผมไม่หยุดเมื่อผมเริ่มขยับตัวเร็วขึ้น ขาเรียวสองข้างกระหวัดรอบเอวผมขณะที่เจ้าตัวขยับตัวตามเหมือนทำไปโดยสัญชาตญาณ ความรู้สึกหอมหวานจากเรือนร่างของคนตรงหน้าทำให้ผมเผลอตัวออกแรงเต็มที่จนนะร้องออกมาอย่างตกใจ หยาดน้ำใสที่ซึมอยู่บนแพขนตางอนยาวทำให้ผมชะงัก

“นะ!...เจ็บเหรอ ขอโทษ พี่หยุดแล้วนะ อย่าร้องนะครับ”

ผมจูบซับน้ำตาที่หางตากลมโตก่อนจะช้อนร่างเล็กขึ้นนั่งตักนิ่งๆโดยพยายามไม่ขยับเขยื้อนอีก นะซบหน้ากับบ่าผมให้ลูบแผ่นหลังปลอบประโลมแต่โดยดี ร่างกายที่สั่นน้อยๆอยู่บนหน้าขากับความร้อนผ่าวของส่วนที่รัดรึงตัวเองไว้ทำให้ต้องสูดลมหายใจเข้าลึก แม้จะทรมานที่ต้องข่มความต้องการที่กำลังพลุ่งพล่าน แต่ถ้าหากอีกฝ่ายไม่มีความสุขไปด้วยผมก็ฝืนทำต่อไม่ลงอยู่ดี

เสียงจังหวะหายใจของคนที่ผมกอดอยู่เริ่มเป็นปกติมากขึ้น ร่างเล็กถอยออกหลังจากนั่งนิ่งได้สักพักแล้วก็กระพริบตามองผม ขอบตากับปลายจมูกยังแดงช้ำอยู่นิดหน่อย

“พี่อ๊อฟ ไม่ทำแล้วเหรอ”

นะถามเสียงค่อย ผมเลยจูบเบาๆลงบนปลายจมูกที่แดงเรื่อแล้วยิ้มให้ คนตัวเล็กคงรู้ว่าผมอยู่ในอารมณ์ไหนถึงได้ถามแบบนั้น

“ถ้าทำต่อแล้วนะเจ็บพี่ก็ไม่อยากให้เราฝืนแล้วล่ะ ยังไงเดี๋ยวพี่ค่อยจัดการตัวเองเอาทีหลังก็ได้”

ผมเลื่อนมือลงที่สะโพกเพรียวเพื่อจะยกร่างที่นั่งตักตัวเองอยู่ออก แต่นะกลับกอดคอผมแน่นแล้วก็กระซิบที่ข้างหูเบาๆ

“ไม่เป็นไร พี่อ๊อฟทำต่อเถอะ แต่เบาๆแล้วกัน มันเจ็บ”

พอได้ยินคนตัวเล็กให้สัญญาณไฟเขียวอะไรที่เหมือนจะอ่อนไปแล้วเลยตื่นตัวขึ้นใหม่ ผิวกายอุ่นกับกลิ่นหอมๆที่ติดตัวนะอยู่ตลอดทำให้ผมเริ่มมีอารมณ์ขึ้นมาอีกครั้ง ผมเลยก้มลงสูดความหอมจากซอกคอขาวเข้าเต็มปอดแล้วก็รัดเอวบางแน่นเข้า

“ขอบคุณครับ งั้นพี่สัญญาว่าคราวนี้ไม่ทำแรง นะไม่ต้องร้องไห้แล้วนะ”

ผมกดจมูกลงกับผิวแก้มนิ่มก่อนจะผ่อนร่างเล็กลงกับเตียงเหมือนเดิม พอสายตาเราประสานกันนะก็ยิ้มเขิน ผมเลื่อนมือไปตามต้นขาเนียนลื่นแล้วก้มลงดูดดุนที่แผงอกขาวเพื่อปลุกอารมณ์อีกฝ่ายก่อนจะเริ่มบทรักของเราสองคนใหม่อีกครั้ง แต่คราวนี้ผมไม่ได้ใช้กำลังจนลืมตัวอีก และเสียงร้องที่สะท้อนแต่ความสุขสมก็ทำให้ผมยินดีที่ไม่ดึงดันเอาแต่อารมณ์อยู่ฝ่ายเดียวเหมือนในตอนแรก


++------++


“โอ๊ย! นะครับ เบาๆ พี่เจ็บ”

“ก็ใครใช้ให้พี่อ๊อฟออกแรงทั้งที่เพิ่งไปเย็บแผลมาล่ะ ดูซิเหงื่อออกเต็มไปหมดเลย ดีนะว่าแผลไม่ปริ”

คนตัวเล็กว่าพลางเอาสำลีชุบเบตาดีนทาแผลบนหน้าผากผมก่อนจะปิดตามด้วยผ้าก๊อซกับเทปปิดแผล โชคดีว่าผมคาดการณ์ไว้ก่อนแล้วว่าอาจมีสถานการณ์แบบนี้เลยซื้อติดมาด้วย และเพราะเมื่อครู่ได้ออกกำลังจนเหงื่อซึมไปทั้งตัว ผ้าก๊อซที่ปิดแผลไว้เลยชุ่มเหงื่อจนต้องแกะเปลี่ยน จะว่าไปถ้าเกิดแผลดันอักเสบขึ้นมาก่อนวันนัดเจอหมอผมคงขำไม่ออกแน่

“เสร็จแล้วพี่อ๊อฟ”

ปลายนิ้วเรียวเล็กแตะลงบนรอยแผลเบาๆก่อนจะถอยออกมองผลงานตัวเองอย่างชื่นชม ผมเลยรวบตัวคนที่นั่งคุกเข่าอยู่ข้างๆมานั่งตักซะก่อนจะก้มลงฟัดซอกคอขาวด้วยความมันเขี้ยว

“พี่อ๊อฟ อื้อ จั๊กกะจี้”

นะพูดไปก็หัวเราะไปทั้งที่พยายามดันอกผมไปด้วย ผมเลยก้มลงหอมแก้มของเด็กดื้อที่ตอนนี้ไม่ดื้อแล้ว ก่อนจะยอมผ่อนแรงเป็นโอบอีกฝ่ายไว้หลวมๆแทน

“แฟนพี่เก่งนะเนี่ย ตั้งแต่ตอนพี่เป็นหวัดแล้ว เปลี่ยนสายไปเรียนพยาบาลเลยดีมั้ย”

“ไม่เอาหรอก ดูพี่อ๊อฟคนเดียวก็เหนื่อยแล้ว นะไม่ชอบเห็นเลือดด้วย”

คนตัวเล็กพูดยิ้มๆแล้วก็เอนลงพิงอกผม ผมเลยกอดคนที่นั่งตักตัวเองอยู่แน่นขึ้น เวลาพ่อหนูน้อยอ้อนแบบนี้นี่แหละที่ผมชอบที่สุด นะเงยหน้าขึ้นแล้วก็ใช้ปลายนิ้วลูบบนคางกับเหนือริมฝีปากผมเบาๆ

“พี่อ๊อฟอย่าเพิ่งโกนหนวดนะ รอกลับไปที่หอก่อนเดี๋ยวนะโกนให้”

พอโดนทักแบบนั้นผมเลยเผลอยกมือขึ้นลูบคางอย่างไม่ตั้งใจ “เอางั้นเหรอ แต่อีกสี่วันหมอนัดไปตัดไหมนะ ถ้างั้นปีใหม่นี้คงได้อยู่ที่บ้านกันแทนที่จะกลับไปเคลียร์ห้องแล้วล่ะ นะทนดูพี่เคราเฟิ้มได้เหรอ”

คนตัวเล็กขมวดคิ้วแล้วก็ทำท่าคิด “แต่นะอยากเห็นหน้าพี่อ๊อฟเวลามีหนวดเหมือนกันนี่ งั้นรอดูก่อนก็ได้ ถ้าเกิดรำคาญจริงๆเดี๋ยวไปซื้อมีดโกนอันละสิบบาทมาโกนให้”

“คราวนี้พี่ได้ดูเหมือนผู้ร้ายลักพาตัวเด็กเข้าไปใหญ่น่ะสิ”

ผมพูดเปรยๆ แต่พอจบประโยคปุ๊บก็โดนรัวกำปั้นลงบนไหล่ทันที “จะไปเหมือนได้ยังไงล่ะ อีกอย่างนะไม่ใช่เด็กแล้วนะ ถ้ายังไม่เลิกเรียกว่าเด็กอีกคราวนี้ไม่หนีไปแค่ที่โรงเรียนแล้วด้วย”

“เฮ้ย ได้ไง แค่นี้กว่าจะตามเจอก็เหนื่อยแล้ว อาจารย์อุตส่าห์ฝากให้พี่มาตามนะกลับบ้าน เจอตัวแล้วทั้งทีเรื่องอะไรจะให้หนีไปอีกล่ะ”

ผมกระชับอ้อมแขนแน่นขึ้น แต่กลับไม่ได้ยินเสียงตอบรับจนต้องถอยออกมองหน้าคนตัวเล็กที่ก้มหน้าอยู่

“นะเป็นอะไรครับ อยู่ๆก็เงียบไป”

“...แม่เค้า โกรธนะมากหรือเปล่าที่จู่ๆก็หนีออกมาแบบนี้?”

นะเงยหน้าขึ้นสบตาผม นัยน์ตากลมโตฉายแววกังวลจนผมต้องก้มลงจูบที่ขมับเนียนเพื่อให้กำลังใจ

“ใครบอกว่าแม่เค้าโกรธ เค้าเป็นห่วงนะมากเลยต่างหาก มุ้ยบอกว่าอาจารย์ร้องไห้จนเป็นลมไปตั้งหลายรอบ นี่ก็คงรอพวกเรากลับบ้านกันอยู่”

นะเงียบไปอีก มือข้างหนึ่งกำเสื้อผมแน่น

“แล้วเรื่องของนะกับพี่อ๊อฟล่ะ แม่เค้าจะเข้าใจหรือยัง?”

พอโดนถามแบบนี้ผมเองก็ไม่รู้จะตอบยังไงเหมือนกัน จริงอยู่ว่าอาจารย์อ่อนลงมากแล้วตอนที่ขอร้องให้ผมออกมาตามหานะให้ แต่ก็ไม่ได้เป็นหลักประกันว่าพอผมพาลูกชายอาจารย์ไปส่งแล้วอีกฝ่ายจะไม่เย็นชาใส่อีก แถมผมเจ็บตัวกับทำรถพังแบบนี้ก็คงต้องอธิบายกับแม่ว่าไปทำอะไรมา แล้วยังพ่อของนะที่ยังไม่กลับบ้านอีกล่ะ ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าปัญหาร้อยแปดช่างพันกันจนยุ่งเหยิงไปหมด

“คิดไปตอนนี้ก็ปวดหัวเปล่าๆ อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด ถึงผู้ใหญ่เค้าจะไม่เข้าใจ แต่ถ้าเราไม่ทำอะไรเสียหายสักวันเค้าคงยอมรับเองแหละ ว่าแต่ตอนนี้กลับบ้านกันก่อนดีกว่า ถ้าพี่ไม่พานะกลับคืนนี้เดี๋ยวต่อไปอาจารย์ไม่ยอมให้พี่เข้าบ้านแหงๆ”

ผมลุกขึ้นแล้วก็ฉุดคนตัวเล็กให้ลุกตามโดยไม่ลืมเก็บของที่เอามาด้วยกลับใส่ถุงให้เรียบร้อย แต่พอจะเดินออกจากประตูก็โดนรั้งแขนเอาไว้ พอผมหันกลับไปหาก็โดนแขนเรียวสองข้างโน้มคอลงไปจูบแบบไม่ให้ตั้งตัวก่อนคนจูบจะถอยออกยิ้มหวานให้

“พี่อ๊อฟรู้มั้ย นะชอบคนไม่ผิดจริงๆด้วยแหละ”

นัยน์ตากลมโตดูสดใสจนผมอดยิ้มตอบแล้วขยี้ผมนิ่มเบาๆไม่ได้ “อ้อนเก่งนัก ห้ามไปอ้อนคนอื่นอีกนะ ตลอดชีวิตนี้ให้นะอ้อนพี่ได้คนเดียวเข้าใจมั้ย”

ใบหน้าหวานยิ้มกว้างก่อนจะเข้ามากอดเอวผมไว้ ผมเลยกอดร่างเล็กตอบก่อนที่เราจะยืนนิ่งกันไปพักใหญ่ ผมรู้ดีว่าเมื่อก้าวออกจากประตูนี้ไปแล้วเรายังมีปัญหาที่รอให้กลับไปเผชิญอยู่ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็มั่นใจว่าสุดท้ายแล้วเราก็จะผ่านมันไปด้วยกันจนได้

ผมแวะเช็คเอาต์ที่ล็อบบี้หลังจากใช้ห้องได้ไม่ถึงสองชั่วโมง แล้วระหว่างทางก็พาคนตัวเล็กแวะกินก๋วยเตี๋ยวที่แผงรถเข็นข้างทางเพราะเราต่างคนต่างหิว ตอนแรกนะก็ดูจะร่าเริงดี แต่ยิ่งใกล้ถึงบ้านมากเท่าไหร่พ่อหนูน้อยของผมก็ยิ่งเงียบมากขึ้น ร่างเล็กเอนมาพิงไหล่ผมโดยที่มือข้างหนึ่งก็กำแขนเสื้อผมไว้ตลอด

ผมเลี้ยวรถเข้าจอดที่หน้ารั้วสีน้ำเงินเข้มที่เมื่อกลางวันเพิ่งแวะมา เสียงถอนหายใจจากคนข้างตัวทำให้ผมก้มลงไปหอมแก้มนิ่มเบาๆ

“นะอย่าเพิ่งกังวลสิ ถ้ามีอะไรพี่จะพูดกับอาจารย์เอง ยังไงตอนนี้เราเข้าบ้านกันก่อนเถอะ”

นัยน์ตาหวานช้อนขึ้นมองผมเหมือนไม่มั่นใจ แต่แล้วก็พยักหน้าก่อนจะยอมลงจากรถแต่โดยดี ผมล็อครถเสร็จแล้วก็ยื่นมือไปหาคนตัวเล็กที่ส่งมือกลับมาจับมือผมไว้ก่อนจะเดินเข้าบ้านด้วยกัน แต่แล้วเราทั้งคู่ก็ต้องชะงักเมื่อเห็นเงาของคนที่ยืนอยู่หน้าบ้าน

“พ่อ!”

นะอุทานอย่างตกใจ ขณะที่ผมเองก็อึ้งไปเหมือนกัน เพราะคนที่เดินออกมาจากประตูบ้านหลังอาจารย์วรรณีกับมุ้ยแล้วส่งยิ้มให้คนนั้นดูยังไงก็แม่ผมชัดๆ

“กลับถึงบ้านกันสักทีนะ ทั้งสองคน”


++---tbc---++



Create Date : 26 กรกฎาคม 2552
Last Update : 28 มกราคม 2553 19:59:10 น. 0 comments
Counter : 1235 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Applebee
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 29 คน [?]






ลายปากกา



~ สงวนลิขสิทธิ์ตามพรบ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ~
ห้ามมิให้ผู้ใดละเมิดโดยนำข้อความทั้งหมดหรือส่วนใดไปเผยแพร่โดยมิได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร หากฝ่าฝืนจะถูกดำเนินคดี
ตามที่กฎหมายบัญญัติไว้สูงสุด!!

Friends' blogs
[Add Applebee's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.