Group Blog
 
All blogs
 
เมื่อหัวใจเราใกล้กัน 21 (ครึ่งแรก)



แนะนำ

สำหรับคนที่เพิ่งได้อ่านนิยายเรื่องนี้เป็นครั้งแรก ขออธิบายล่วงหน้าว่าเรื่องนี้จะเน้นที่ความสัมพันธ์ระหว่างตัวเอกสองคนซึ่งเป็นชายทั้งคู่ และอาจมีเนื้อหาบางส่วนไม่เหมาะสมสำหรับเยาวชน หรือคนที่ไม่นิยมเรื่องแนว Boy's Love ดังนั้นหากไม่ชอบอ่านนิยายแนวที่ไม่มีนางเอก ขอแนะนำว่าให้คลิกไปอ่านหน้า About me , เท้าพาไป หรือ พร่ำ(เพ้อ)รายสะดวก ซึ่งเนื้อหาจะเกี่ยวกับเรื่องทั่วไปค่ะ เราเตือนคุณแล้วนะคะ

ปล. เราเขียนเรื่องนี้หลังจากเขียนตอนปฐมบทของเรื่อง ลำนำรักสีรุ้ง และตัวละครจากเรื่องนั้นก็จะมีบทบาทในเรื่องนี้ด้วย แต่เนื้อหาสามารถแยกอ่านจากกันได้ ไม่จำเป็นว่าต้องอ่านเรื่องนั้นก่อนก็สามารถอ่านเรื่องนี้เข้าใจได้ค่ะ


++------++


ตอนที่ 21: Our Celebration (ครึ่งแรก)


หลังจากลงมาจากอาคารฝั่งที่เป้กับวิวพักอยู่ นะก็เดินอ้อมสระน้ำไปทางชายหาดแล้วก็เอาแต่ก้มหน้าเดินๆๆไม่พูดไม่จา ร้อนถึงผมต้องรีบเดินตามไปด้วยเพราะไม่รู้ว่าเจ้าตัวจะไปไหน แต่พอออกมาพ้นบริเวณรีสอร์ตปุ๊บคนตัวเล็กก็หยุดเดินปั๊บจนผมต้องรีบเบรกตามแทบไม่ทัน

“พี่อ๊อฟ! รู้อยู่แล้วใช่มั้ยว่าจะเป็นแบบเนี้ย ทำไมไม่ห้ามนะไม่ให้ไปกวนล่ะ!?”

อีกฝ่ายต่อว่าเสียงเขียวทั้งที่ไม่หันมาหา แต่ใบหูแดงๆที่เห็นชัดจากด้านหลังก็บอกให้รู้ว่านะคงยังไม่หายเขิน ว่าแต่ไปเอาที่ไหนมาพูดล่ะน่ะว่าผมไม่ได้ห้ามเอาไว้ก่อน เตือนไปก็แล้วแต่เจ้าตัวยอมฟังที่ไหนกัน

“เฮ้ๆ พี่ไม่ได้รู้เห็นอะไรมาก่อนเลยนะ อีกอย่างก็นั่งรถด้วยกันมาเกือบทั้งวันแล้ว เป้มันก็คงอยากอยู่กับแฟนสองคนมั่งสิ นะน่ะแหละจะเอาแต่เดินหนีพี่ไปถึงไหน”

ผมรีบแก้ตัว แม้ความจริงผมจะสงสัยตะหงิดๆตั้งแต่ก่อนที่เป้จะแยกไปที่ห้องเหมือนกันว่าทำไมเพื่อนผมมันใจดีชอบกล แต่ถ้ารู้มาก่อนว่าเพื่อนผมตั้งใจจะกันท่านะเพื่อไม่ให้ไปกวนวิวด้วยวิธีนี้ล่ะก็ ให้โดนงอนหนักกว่านี้ผมก็ไม่ปล่อยให้ไปหาตั้งแต่แรกหรอก

พ่อหนูน้อยหันขวับมามองผมแล้วก็ทำเสียงฮึดฮัดทั้งที่แก้มทั้งยังไม่หายแดง ตอนแรกริมฝีปากอิ่มเผยอขึ้นเหมือนจะพูดอะไรสักอย่าง แต่แล้วนะก็หันหลังเดินหนีไปอีกโดยไม่หลุดอะไรออกมาสักคำ คราวนี้ผมเลยใช้วิธีเดินขึ้นไปดักหน้าแล้วจับไหล่ของอีกฝ่ายเอาไว้เลย เพราะขืนเอาแต่เดินตามกันทั้งวันแบบนี้ก็ไม่ต้องทำอย่างอื่นกันพอดี

“นะจะไปไหน แดดแรงขนาดนี้เดี๋ยวก็ไม่สบายหรอก”

ผมถามไปก็เพิ่มแรงจับที่มือไปด้วยเพราะอีกฝ่ายทำท่าจะเบี่ยงตัวหนี สุดท้ายพ่อหนูน้อยเลยหยุดดิ้นแล้วช้อนสายตามองผมเคืองๆเพราะรู้ว่าสู้แรงไม่ได้

“นะจะไปเดินเล่น กลับไปที่ห้องก็ไม่มีอะไรให้ทำอยู่ดี ถ้าพี่อ๊อฟอยากกลับก็กลับไปคนเดียวสิ”

อืม...เป็นประโยคที่ยาวที่สุดที่ได้ยินจากอีกฝ่ายนับตั้งแต่เมื่อคืนเป็นต้นมาเลยมั้งนี่ แต่เนื้อหาฟังแล้วไม่น่าปลื้มเท่าไหร่ ก็ต่อให้ตีลังกาฟังยังไงผมก็กำลังโดนไล่อยู่เห็นๆเลยนี่นา แล้วถ้าบ้าจี้ยอมทำตามล่ะก็ ไม่แคล้วคืนนี้นะคงไปขอเปิดห้องนอนแยกอีกห้องแหงๆ ดังนั้นอย่าเปิดโอกาสให้ทำแบบนั้นได้เลยเป็นดีที่สุด

“ถ้าจะไปเดินเล่นพี่จะไปเป็นเพื่อน แล้วนะก็ต้องเอาหมวกพี่ไปใส่ด้วย ถ้าไม่ยอมใส่ล่ะก็พี่จะพาเรากลับห้องเดี๋ยวนี้เลย ถ้าคิดว่าไม่กล้าก็ลองดู”

ผมแปะมือทับลงไปบนมือเล็กที่ทำท่าจะดึงหมวกแก๊ปออกแล้วก็กุมไว้ นะเหลือบตาขึ้นมองผมแล้วก็หลบตาหนี แต่ว่าหลังจากออกเดินกันได้ไม่กี่ก้าวผมก็ถูกกระตุกมือจนต้องหันกลับไปมอง จึงได้เห็นว่าคนถูกจูงกำลังทำหน้ามุ่ยพลางพยักหน้ามายังมือที่โดนจูงอยู่

“ตกลงไปเดินเล่นด้วยกันก็ได้ แต่พี่อ๊อฟอย่าจับมือแน่นแบบนี้สิ นะไม่หนีไปไหนหรอกน่ะ”

ผมเลิกคิ้ว แล้วก็เพิ่งรู้ตัวว่าเผลอจับข้อมืออีกฝ่ายแน่นไปจริงๆเลยรีบผ่อนแรงให้ ก็เมื่อกี้ผมกลัวนะสะบัดมือออกนี่นา

“พี่จะไปรู้ได้ไงว่านะจะไม่หนี เอ้า งั้นไม่จับแน่นแล้วก็ได้ งั้นเอาแบบนี้แทนแล้วกัน”

“เฮ้ย พี่อ๊อฟ! ทำอะไรเนี่ย!!”

นะเผลอร้องเสียงดังเมื่อโดนผมดึงแขนให้มาคล้องกับแขนผม จากนั้นผมก็หนีบแขนข้างนั้นไว้ด้วยการยัดมือตัวเองลงกระเป๋ากางเกงซะ อีกฝ่ายจะได้ชักแขนออกไม่ได้ง่ายๆ

หมายเหตุ ผมไม่ได้เจ้าเล่ห์นะ ก็ไม่จับแน่นแล้วนี่

พ่อหนูน้อยเซนิดหน่อยเมื่อผมพาออกเดินต่อ “แบบนี้โอเคมั้ย ทีนี้ห้ามดึงแขนหนีแล้วก็ห้ามบ่นแล้วนะ ถ้าไม่ดื้อเดี๋ยวพี่จะปล่อยให้ แต่ถ้านะยังบ่นอีกพี่จะเล่นหนังสดโชว์บนหาดนี่แหละ”

ผมพูดจบก็หันไปแกล้งยิ้มใส่ คนตัวเล็กเลยรีบหลุบปีกหมวกหนีเพราะแก้มที่เพิ่งจะหายแดงไปเริ่มแดงขึ้นมาอีกแล้ว “...จะบ้าเหรอ อยากเล่นก็เล่นไปคนเดียวเหอะ นะไม่เล่นกับพี่อ๊อฟด้วยหรอก”

ปากว่าผมไปแต่ผมก็เห็นแหละว่าคนพูดแอบหันไปยิ้มคนเดียวน่ะ เขินก็ไม่ยอมรับว่าเขินแฮะคนเรา

“อ้าว พี่แค่คนเดียวจะเล่นได้ไงอะ หรือว่านะอยากดู ถ้างั้นเดี๋ยวพี่กลับไปเล่นให้ดูที่ห้องเดี๋ยวนี้เลยก็ได้ โอ๊ยๆ ไม่พูดแล้วครับ แหม แหย่เล่นหน่อยเดียวเอง”

ผมลูบแขนตัวเองที่โดนหยิกป้อยๆ แต่ไม่มีทางซะล่ะที่จะยอมเสียเปรียบอยู่ฝ่ายเดียว คราวนี้ผมเลยชิงก้มลงหอมแก้มที่ชื้นเหงื่อนิดๆของคนตัวเล็กเพื่อเอาคืน แล้วก็ได้ผลสมใจเพราะนะรีบยกมือขึ้นกุมแก้มทั้งที่หน้าแดงแจ๋ ก่อนจะถอดหมวกออกปาใส่ผมแล้วก็วิ่งหนีไปเลย

เสียงหัวเราะแถมท่าทางที่วิ่งไปแล้วหยุดหันมายิ้มให้เป็นระยะทำให้ผมรู้ว่าคนตัวเล็กเริ่มอารมณ์ดีแล้ว ผมเลยหยิบหมวกที่ตกพื้นขึ้นมาแล้วแกล้งทำท่าชี้คาดโทษ

“ทำร้ายร่างกายกันเหรอ เดี๋ยวถ้าพี่จับเราได้เมื่อไหร่ล่ะน่าดู”

ผมว่าแล้วก็ออกวิ่งตามร่างเล็กไปบนหาดทราย พื้นทรายละเอียดทำให้วิ่งลำบากอยู่บ้างแต่ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคถ้าหากผมตั้งใจจะไล่กวดให้ทันจริงๆ แต่ผมเลือกจะแกล้งทำเป็นตามไม่ทันแล้วปัดมือเฉี่ยวไหล่บ้าง แกล้งหยุดทำท่าหอบให้บ้างเพื่อที่นะจะได้คิดว่าตัวเองหนีพ้น เสียงหัวเราะที่ฟังแล้วก้องไปทั้งหาดฟังแล้วสดใสกว่าเวลาอีกฝ่ายทำเสียงแข็งใส่ผมเป็นไหนๆ

“โอ๊ย!”

จู่ๆร่างเล็กที่วิ่งอยู่ก็สะดุดอะไรบางอย่างบนพื้นจนผมต้องรีบถลาเข้าไปรับ ผลที่ได้เลยกลายเป็นว่าเราล้มกลิ้งไปบนพื้นทรายกันทั้งคู่ แต่ผมพลิกตัวให้นะอยู่ข้างบนจะได้ไม่กระแทกพื้นเลยโดนน้ำหนักของคนตัวเล็กกระแทกแทน ถึงปกตินะจะตัวเบาแต่โมเมนตัมตอนโดนทับก็ทำให้จุกเล็กๆไปเหมือนกัน

“อูย...พี่อ๊อฟ! เป็นอะไรรึเปล่า!?”

พอหยุดกลิ้งกันแล้วนะก็รีบยันตัวขึ้นถามอย่างเป็นห่วง พอเห็นสีหน้ากังวลแบบนั้นผมเลยดึงแขนร่างเล็กให้ล้มลงหาแล้วก็ชิงจูบหน้าผากก่อนอีกฝ่ายจะทันขืนตัว โชคดีว่าแถวๆนั้นไม่มีคนอื่นเดินผ่านไปมาเลยไม่งั้นผมคงเขินจนไม่กล้าเหมือนกัน

“ตอนแรกก็เป็นแหละ แต่พอได้จุ๊บนะเมื่อกี้เลยหายแล้ว”

“บ้า พี่อ๊อฟนี่ชอบฉวยโอกาสชะมัด”

คนตัวเล็กบ่นอุบอิบทั้งที่หน้าแดงแล้วก็ลุกหนี ผมเลยรีบลุกตามแล้วก็ปัดทรายจากหมวกที่หล่นบนพื้นแล้วเดินตามไปเอาสวมกลับให้อย่างเดิม นะมองผมแล้วก็ยื่นแขนขึ้นปัดทรายที่ติดบนไหล่กับหลังออกให้ ผมเลยจับมือข้างหนึ่งเอาไว้แล้วมองอีกฝ่ายตรงๆ

“ตกลงนะหายงอนพี่หรือยัง?”

พอหลุดคำถามไปแล้วก็ให้อยากตบปากตัวเองขึ้นมาทันที เพราะรอยยิ้มบนใบหน้าหวานเมื่อครู่ค่อยๆจางลงเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ นะเม้มปากก่อนจะหันมองไปทางอื่น อีกอึดใจถัดมาผมถึงได้คำตอบจากคนที่พูดอ่อยๆไม่เต็มเสียง

“นะไม่ได้งอน แค่...มีเรื่องไม่ชอบใจนิดหน่อย...” คนตัวเล็กตอบแล้วก็ลงท้ายด้วยการถอนหายใจ

เอาล่ะสิ แล้วไอ้ที่นะไม่ชอบใจนิดหน่อยนี่มันเรื่องไหนกันล่ะเนี่ย ผมอยากจะถามต่อให้รู้เรื่องแต่ก็พอจะรู้ว่าถ้าเจ้าตัวไม่ขยายความเองแปลว่ายังไม่อยากพูดถึง ดังนั้นถ้าคาดคั้นไปตอนนี้อาจจะทำให้อารมณ์เสียอีกก็ได้ เลยตัดสินใจว่างั้นจะยอมปล่อยไปก่อนแล้วค่อยหาจังหวะถามทีหลังก็แล้วกัน

“ถ้ายังไม่อยากบอกก็ไม่เป็นไร แต่ตอนนี้ขอพักยกก่อนได้มั้ย กลับไปที่ห้องกันก่อนเถอะนะครับ”

ผมบีบมือที่กุมอยู่เบาๆแล้วก็จูงนะกลับไปรีสอร์ตโดยไม่รอคำตอบ แต่ครั้งนี้พ่อหนูน้อยไม่ได้โต้แย้งอะไร แดดที่เริ่มร่มลงทำให้พวกเราตัดสินใจว่าจะขึ้นไปเปลี่ยนชุดบนห้องแล้วลงไปเล่นน้ำกัน แต่ปรากฏว่าพอกลับลงไปข้างล่างอีกครั้งก็เจอเป้กับวิวนั่งอยู่ที่เก้าอี้ชายหาดโดยใส่กางเกงเซิร์ฟและมีผ้าขนหนูคลุมไหล่กันคนละผืน หยาดน้ำที่เกาะตามตัวกับผมที่เปียกลู่บอกให้รู้ว่าคงไปลงน้ำกันมาแล้ว

“อ้าวอ๊อฟ น้องนะ ไปเดินเล่นกันมาเหรอ?”

วิวทักขึ้นเมื่อผมพานะเดินเข้าไปหา แต่ท่าทางคนตัวเล็กจะนึกถึงเรื่องที่ได้ยินตอนแวะไปหาเจ้าตัวที่ห้องขึ้นมาได้เลยยืนแอบผมอยู่ข้างหลัง เป้ที่กำลังเช็ดผมอยู่หันมาเห็นเข้าพอดีเลยหัวเราะ

“อ๊อฟ มึงพาน้องนะไปตากแดดมากไปป่าววะ ทั้งหน้าทั้งตัวแดงไปหมดแล้ว” ผมหันกลับไปหาคนข้างหลังเมื่อได้ยินคำเอ่ยทักของเพื่อน แล้วก็เห็นว่านะหน้าแดงจริงๆ แต่นอกจากที่ไปตากแดดมาแล้วก็น่าจะเพราะเพื่อนผมด้วยน่ะแหละ

“มึงไม่ต้องมาแหย่แฟนกู เล่นอะไรไม่เกรงใจกันมั่ง”

วิวชะโงกหน้ามองคนที่ยืนหลบอยู่หลังผมแล้วก็ยิ้มให้ก่อนจะส่ายหน้าเบาๆ “โอ้ย น้องนะ มานี่มา ไปเล่นน้ำกับพี่ดีกว่า ไม่ต้องไปสนใจที่เป้พูดนะ ไอ้บ้านี่บางทีก็ชอบเล่นอะไรเป็นเด็กๆงี้แหละ”

วิวหยิบผ้าขนหนูจากไหล่ตัวเองโยนโปะลงบนหัวแฟนก่อนจะคว้าข้อมือของคนตัวเล็กแล้วพาเดินลงไปที่ทะเล ผมเลยหันมากอดอกมองคนที่ดึงผ้าลงจากหัวแล้วก็หัวเราะหึๆทั้งที่สายตามองตามคนที่เดินลงน้ำไปแล้วบ้าง

“เอ้า ไอ้โรคจิต หัวเราะเข้าไป ตกลงตอนที่กูกับนะขึ้นไปหาที่ห้องเมื่อกี้มึงจงใจแกล้งใช่มั้ย?”

เป้เหลือบตาขึ้นมองผมแล้วก็หันหลังไปหยิบบุหรี่ออกมาเคาะจุด ท่าทางยิ้มเหมือนคนอมพะนำอะไรอยู่ทำให้ผมขี้เกียจเซ้าซี้เลยเดินหนีไปลงทะเลแทน แต่ก็ต้องยอมรับว่าบางครั้งผมก็นึกคันมืออยากเบิ๊ดกะโหลกเพื่อนตัวเองอยู่เหมือนกัน

“เมื่อกี้เราขอโทษแทนเป้ด้วยนะอ๊อฟ เดี๋ยวกลับขึ้นไปแล้วจะทำโทษให้อีกทีแล้วกัน”

วิวหันมาบอกเมื่อผมลงน้ำไปใกล้ๆทั้งคู่ พ่อหนูน้อยเลยผละจากวิวเข้ามาหาผมแทนแล้วก็ดีดตัวขึ้นกอดคอจากข้างหลังไว้ ความจริงตรงที่พวกเรายืนอยู่นี่ระดับน้ำยังไม่ท่วมอกผมด้วยซ้ำแต่ก็ปริ่มไหล่นะแล้ว อีกอย่างผมก็เพิ่งจะรู้เมื่อไม่นานมานี้ว่าที่จริงคนตัวเล็กชอบเล่นน้ำแต่ว่ายน้ำไม่เป็น ผมเลยใช้แขนเกี่ยวขาทั้งสองข้างของนะขึ้นมาให้ทำท่าขี่หลังผมแทน

“ไม่เป็นไรหรอกวิว ยังไงเมื่อกี้เราก็ต้องขอโทษเหมือนกัน ที่ไป...เอ่อ...ขัดจังหวะ”

ผมเอ่ยตะกุกตะกักก่อนจะกระแอมตบท้ายเพราะไม่รู้จะพูดยังไงไม่ให้คนฟังเขิน วิวเลยทำตาโตแล้วรีบโบกมือปฏิเสธยกใหญ่ แต่ถ้ามองไม่ผิดผมว่าแก้มอีกฝ่ายเหมือนจะมีสีเรื่อขึ้นหน่อยๆ

“เฮ้ย! เมื่อกี้ไม่มีอะไร ไม่ได้ทำอะไรอย่างที่ทั้งสองคนคิดกันอยู่นะ เฮ้อ...จะพูดไงดีเนี่ย เราว่าที่เป้ทำแบบนั้นเพราะอยากให้อ๊อฟกับน้องนะได้อยู่กันตามลำพังบ้างน่ะ ว่าแต่นี่ตกลงว่าดีกันแล้วใช่มั้ย?”

พอได้ยินคำถามผมเลยหันไปเลิกคิ้วมองคนที่กอดคอตัวเองอยู่ นะหลบตาผมแล้วก็ตอบเสียงอ้อมแอ้ม “ก็...ดีกันแล้วมั้งฮะ”

“อ้าว ถ้ามีคำว่ามั้งมันจะแปลว่าดีกันแล้วได้ไงล่ะครับ”

ผมย้อนถาม เลยโดนคนตัวเล็กทุบไหล่ดังบึ้ก ถึงจะเห็นตัวเล็กๆอย่างงี้แต่ที่จริงนะก็มือหนักไม่ใช่เล่นเหมือนกัน ตอนแรกวิวมองผมสองคนแล้วก็หัวเราะ แต่แล้วพอเจ้าตัวหันไปทางชายหาดก็เงียบเสียงไปจนผมกับนะมองตาม จึงได้เห็นว่าที่เก้าอี้ข้างๆเป้มีผู้หญิงสาวในชุดบิกินีกำลังนั่งคุยกับเพื่อนผมอยู่ แต่พอผมเบนสายตากลับมาหาวิวอีกครั้งก็ไม่มีวี่แววว่าอีกฝ่ายจะขยับตัวออกจากจุดที่ยืนอยู่เลย

“พี่วิว...ไม่ขึ้นไปหาพี่เป้จะดีเหรอฮะ”

ผมกำลังจะอ้าปากถามคำถามเดียวกันเป๊ะเมื่อนะเอ่ยขึ้นก่อน วิวเลยหันกลับมามองพวกผมสองคนแล้วก็ส่ายหน้ายิ้มๆ

“ไม่เอาล่ะ ขืนไปหาก็ไปขัดจังหวะเขาน่ะสิ เรามาเล่นน้ำกันต่อดีกว่า”

วิวตอบอย่างไม่ใส่ใจ พวกเราเลยเลิกสนใจภาพบนชายหาดแล้วก็ช่วยกันสอนว่ายน้ำให้นะแทน แต่เพราะพ่อหนูน้อยเคยมีประสบการณ์จมน้ำตอนเด็กๆเลยดูจะไม่ค่อยกล้าปล่อยมือจากผมเท่าไหร่ สุดท้ายผมเลยตัดสินใจว่าให้นะกอดคอผมแล้วพาว่ายตามเดิม ส่วนวิวว่ายน้ำเก่งอยู่แล้วก็เลยออกไปเล่นตรงที่น้ำลึกด้วยกันได้โดยไม่มีปัญหา

พวกเราว่ายน้ำเล่นกันอยู่ราวๆหนึ่งชั่วโมงคนตัวเล็กก็เริ่มบ่นว่าหิวข้าว เราสามคนเลยตัดสินใจว่าจะขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัวเพื่อเตรียมทานมื้อเย็นกัน ผมไม่รู้ว่าผู้หญิงที่มาคุยกับเป้ลุกไปตั้งแต่ตอนไหนเพราะว่ามองไปอีกทีก็เห็นเพื่อนผมนั่งอยู่คนเดียว และพอวิวขึ้นจากน้ำปุ๊บคนที่นั่งรออยู่ก็ลุกขึ้นแล้วหยิบผ้าขนหนูมาห่มไหล่ให้ทันที

“เมื่อกี้เห็นนะว่าหันมามอง ทำไมไม่ขึ้นมาช่วยกันมั่งล่ะ"

ไอ้เพื่อนตัวดีของผมทำเสียงอ้อนแฟนจนน่าหมั่นไส้ แต่วิวแค่ยักไหล่แล้วก็เดินไปนั่งที่เก้าอี้เหมือนไม่เห็นว่าเป็นเรื่องสำคัญอะไร “ก็เห็นช่วยตัวเองได้อยู่นี่ อีกอย่างเมื่อกี้ช่วยอ๊อฟสอนน้องนะว่ายน้ำอยู่ เลยไม่อยากขึ้นมาเป็น ก.ข.ค.”

เป้ทำหน้ามุ่ย แต่พอหันมาเห็นคนตัวเล็กที่ยังขี่หลังผมอยู่ก็ยื่นมือมาขยี้หัวเบาๆแล้วก็ยิ้ม

“ไงเรา ตกลงว่ายน้ำเป็นหรือยัง แต่พี่ว่าที่จริงเกาะไอ้อ๊อฟแล้วให้มันพาว่ายไปไหนมาไหนแหละสะดวกกว่านะ”

นะพยักหน้างงๆขณะที่ผมแยกเขี้ยวใส่เพื่อนไปเรียบร้อยแล้ว ไอ้บ้านี่เห็นผมเป็นนางเงือกหรือไงก็ไม่รู้ เป้หันไปหยิบของของตัวเองกับวิวขึ้นมาก่อนจะหันมานัดพวกผมให้ไปเจอกันที่ล็อบบี้ในอีกครึ่งชั่วโมง ผมเลยปล่อยคนตัวเล็กลงแล้วหยิบผ้าขนหนูและคีย์การ์ดขึ้นมาเพื่อกลับห้องของพวกเราบ้าง

เราแวะล้างตัวที่ฝักบัวข้างสระว่ายน้ำก่อนจะขึ้นไปอาบน้ำบนห้อง ด้วยความที่เป้ไม่ได้บอกว่าจะกินข้าวที่ห้องอาหารของรีสอร์ตหรือจะพาไปกินที่อื่น ผมกับนะเลยแต่งตัวแบบที่พร้อมสำหรับออกไปข้างนอกได้เอาไว้ก่อน กว่าจะลงมาชั้นล่างกันอีกครั้งพระอาทิตย์ก็ลับขอบฟ้าจนเห็นเป็นเส้นสีแดงอยู่ลิบๆ และก็เป็นไปอย่างที่คาดคือเป้เสนอว่าจะไปหาอะไรกินในตลาดที่หัวหินเผื่อจะได้เดินเล่นด้วย คราวนี้ผมเลยอาสาขับรถให้บ้างเพราะไหนๆเพื่อนผมก็ขับรถมาตลอดทั้งวันแล้ว

ครั้งสุดท้ายที่ผมมาหัวหินก็ตั้งแต่ตอนมาเข้าค่ายรับน้องเมื่อตอนขึ้นปีสามใหม่ๆ แต่ตลาดกลางคืนที่นี่ก็ยังคงคึกคักไม่ต่างจากครั้งนั้น แถมเพราะสุดสัปดาห์นี้เป็นช่วงวันหยุดยาวเลยยิ่งทำให้คนเยอะเข้าไปอีก พวกเราเลยตัดสินใจว่าจะหาร้านนั่งทานข้าวกันก่อนแล้วค่อยแยกกันเดินดูตลาด พอถึงเวลาที่นัดไว้ค่อยเจอกันอีกที

พ่อหนูน้อยดูจะสนุกกับการได้มาเที่ยวเพราะชวนผมแวะแทบจะทุกร้าน (ยกเว้นร้านที่ขายเสื้อผ้าผู้หญิง ก็แหงล่ะ) สุดท้ายก็ได้เสื้อที่ระลึกมาสองตัว โปสการ์ด หมวกสานทรงคาวบอย แล้วก็สร้อยข้อมือที่เป็นเชือกถัก หลังช้อปกันเสร็จแล้วผมก็เอาถุงใส่ของทั้งหมดมาถือให้ แต่พอเหลือบมองของในถุงแล้วก็ต้องแอบขำ เพราะที่จริงผมว่าของพวกนี้ไม่ว่าจะไปเที่ยวที่ไหนก็หาซื้อได้เหมือนๆกัน แต่ก็ไม่อยากพูดอะไรให้ขัดใจคนที่มาด้วยไม่งั้นเดี๋ยวโดนงอนอีก

หลังเดินเล่นกันจนใกล้เวลานัดเจอกับเป้ผมก็ชวนนะเดินกลับ ระหว่างทางเราต้องผ่านรถเข็นขายนมปั่นที่ผมเห็นคนรุมเยอะตลอดตั้งแต่ขามา แล้วก็เป็นไปตามทีคิดว่าพ่อหนูน้อยต้องขอแวะแน่ๆเพราะเห็นจ้องอยู่ตั้งแต่ตอนเดินเข้าตลาดทีแรกแล้ว คิวที่ยาวเหยียดทำให้กว่านะจะได้นมปั่นใส่เยลลีที่สั่งไปก็เสียเวลาพอสมควร ดังนั้นกว่าเราสองคนจะไปถึงจุดนัดพบก็ทำให้เกินเวลานัดไปเกือบสิบนาที แต่พอไปถึงผมก็ต้องประหลาดใจที่เห็นเป้กับวิวยืนทำหน้าเครียดกันอยู่จนชักสังหรณ์ใจไม่ดีขึ้นมา


+---tbc---+



Create Date : 12 สิงหาคม 2552
Last Update : 28 มกราคม 2553 20:11:07 น. 0 comments
Counter : 710 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Applebee
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 29 คน [?]






ลายปากกา



~ สงวนลิขสิทธิ์ตามพรบ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ~
ห้ามมิให้ผู้ใดละเมิดโดยนำข้อความทั้งหมดหรือส่วนใดไปเผยแพร่โดยมิได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร หากฝ่าฝืนจะถูกดำเนินคดี
ตามที่กฎหมายบัญญัติไว้สูงสุด!!

Friends' blogs
[Add Applebee's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.