Group Blog
 
All Blogs
 

อย่าลืมว่ากำลังใจดี ๆ มาจากตัวเราเอง

ความรัก

หัวใจก้าวเดิน…Keep Walking (อักขระบันเทิง)

เขียนโดย ต้นกล้า นัยนา

ก่อนที่จะเดินไปข้างหน้าอย่างเข้มแข็งและมีพลังได้ อย่างแรกที่ทุกคนต้องมี และมีได้จาก "ข้างใน"
ของตัวเราเอง คือการเป็นตัวของตัวเอง การมีความเชื่อมั่นศรัทธาในตัวเอง
เชื่อและยอมรับในตัวเอง เมื่อคนเรามีความเชื่อมั่นในตัวเองแล้ว จะคิดจะฝัน
จะทำอะไรก็ง่ายขึ้น อาจจะไม่ง่ายดั่งปอกกล้วยเข้าปาก


         
เส้นทางเดินก่อนจะไปถึงความฝันนั้น อาจจะไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ
แต่เมื่อมีความเชื่อมั่น มีความศรัทธาในตัวเองเป็นฐานแล้ว
รับประกันว่าไม่ยากเกินไป

รู้จักความฝันของตัวเอง
รู้จักพรสวรรค์ของตัวเอง
รู้จักเคารพตัวเอง
รู้จักสิทธิของตัวเอง
รักษาศักดิ์ศรีของตัวเอง
พัฒนาความสามารถของตัวเอง
ดูแลอารมณ์ของตัวเองให้ได้
ไม่เข้าข้างตัวเอง
ไม่ยึดติดกับยี่ห้อหรือแฟชั่นรอบตัว
กล้าทดสอบในสิ่งใหม่ ๆ แต่ไม่ใช่หลงใหลศรัทธาในสิ่งจอมปลอม
คุยกับตัวเองวันละห้านาที อย่าเพลินกับกิจกรรมรายวันจนหลงทาง
ท้ายที่สุด รู้จักมองคนรอบข้างบ้าง ไม่ใช่รู้จักเฉพาะตัวเองเท่านั้น บางทีตัวเราก็ไม่ได้ทำถูกต้องไปเสียทุกเรื่อง

ไม่ว่าจะง่ายหรือยาก ไม่ว่าจะทำได้หรือไม่ได้ สิ่งแรกที่ต้องมีคือ "กำลังใจ" และรู้จักสร้างกำลังใจให้ตัวเองอยู่เสมอ

กำลัง
ใจคืออะไร และกำลังใจมาจากไหนนั้นไม่สำคัญ
คนบางคนอาจจะบอกว่าชีวิตของตัวเองเคลื่อนไปได้ เพราะมีกำลังใจที่ดี
หากเอาชีวิตเราไปพิงพึ่งคนอื่นเป็นหลัก
หากวันใดหลักล้มและไม่ยั่งยืนเมื่อไร เคยสงสัยตั้ง
คำถามไหมว่าเราจะยืนอยู่ได้อย่างไร เพราะฉะนั้น…กำลังใจที่ดีที่สุดนั้น
ย่อมมาจากตัวเราเอง
อย่าได้ถามว่าตัวเองมีความเข็มแข็งพอหรือยังที่จะเดินไปข้างหน้า


         
อย่าได้มีข้อสงสัยว่า "ฉันยังไม่รู้จักตัวเองดีเลย" หรือ
"ฉันยังไม่รู้ว่าฉันต้องการอะไรในชีวิต" หากยังสงสัยและไม่มีคำตอบ
เริ่มต้นถามตัวเองได้ตัง้ แต่วินาทีนี้เลย
พยายามติดต่อกับตัวตนข้างในของตัวเองให้พบ
พยายามทำความรู้จักกับจิตนาการของตัวเอง
พยายามคุยกับตัวเองให้มากกว่าคุยกับคนอื่น
พยายามให้โอกาสตัวเองได้เริ่มต้นใหม่ แก้ไขสิ่งผิดพลาดที่ผ่านมา
เพิ่มคุณค่าให้ตัวเองด้วยการเริ่มต้นศรัทธาตัวเอง


ความรัก

          เมื่อพบตัวเองและรู้จักตัวเองแล้ว ค่อย ๆ
ทำความรู้จักกับความฝันของตัวเอง ชีวิตจะเริ่มมีจุดยืนมากยิ่งขึ้น
ชีวิตจะเริ่มมีวิวัฒนาการไปในทางที่ดีและจับต้องได้

เชื่อมั่นตัวเอง
ไม่เอาตัวเองไปอิงกับชื่อเสียงซึ่งเป็นสิ่งไม่ถาวรจีรัง
ทำอย่างที่คิด และคิดอย่างที่ทำ
ทำในสิ่งที่รัก และรักในสิ่งที่ทำ
ตรวจสอบได้และไม่หลงทาง
ซื่อสัตย์ต่อตัวเอง
จงเป็นคนธรรมดาสามัญ

หลาย
คนอาจจะหลงทางกับการเป็นตัวของตัวเอง ติดแอกกับการเลียนแบบและหลอกลวงตัวเอง
อยู่ในกรอบค่านิยมและยี่ห้อที่ทันสมัยตามยุคตามเวลาที่เปลี่ยนไปทุกวัน
พยายามเปลี่ยนแปลงตัวเองไปตามแนวโน้มของสังคมที่เปลี่ยนไป
เข้าใจผิดและหลงทางกับคำว่า "ทันสมัย" ที่จริงแล้วคำว่า "ทันสมัย" กับ
"ตามสมัย" หรือ "หลงสมัย" มันต่างกันมากมาย เราต้องระวังและอย่าหลงกล


         
ที่สุดแล้วการเป็นตัวของตัวเองนั้น ไม่สามารถสรุปได้ว่าเป็นเรื่อง "ง่าย"
หรือเป็นเรื่อง "ยาก"
คนบางคนมีความเป็นตัวของตัวเองอยู่เต็มจนล้นแล้วด้วยซ้ำ แต่บางคนก็ยังไม่มี
คนที่มีอยู่ก็ดีแล้วแต่อย่าให้ความเป็นตัวของตัวเองมันเกินเลยถึงขนาด

ไม่ยอมรับความคิดเห็นของคนอื่น
ไม่เชื่อใครเลย
ไม่ฟังความคิดเห็นของใครเลย
เดินไปข้างหน้าโดยไม่ค่อยหันมามองข้างหลัง
ขวางโลก ขวางความคิดเห็นของคนอื่น ๆ

กว่า
จะเป็นตัวของตัวเองได้ต้องเรียนรู้มากทีเดียว
ต้องเรียนที่จะไม่สุดโต่งข้างใดข้างหนึ่งในตัวตนของเรา
และเป็นตัวของตัวเองภายใต้เหตุผลและเงื่อนไขที่ชัดเจน สมดุล
ค้นพบตัวเองแล้วหรือยัง เป็นตัวของตัวเองแล้วหรือยัง
ไม่มีใครสามารถเลือกแทนได้ นี่เป็นเรื่องเฉพาะบุคคลห้ามเลียนแบบ
เพราะถึงพยายามจะเลียนแบบให้เหมือนคนอื่นเท่าไร เราก็ไม่มีทางทำได้เหมือน




 

Create Date : 11 ธันวาคม 2554    
Last Update : 11 ธันวาคม 2554 1:03:43 น.
Counter : 708 Pageviews.  

Motor Expo 2011 ยอดจองลด - กระบะเยอะสุด

........

motor expo 2011


Motor Expo 2011 ผู้ชมล้นกว่า 7 แสนคน (ไอเอ็นเอ็น)



           ผู้จัดงาน Motor Expo 2011 เผย 6 วัน มีผู้เข้าชมงานแล้วกว่า 7 แสนคน จองรถแล้วกว่า 1.2 หมื่นคัน จองกระบะเยอะสุด

 
นายขวัญชัย ปภัสร์พงษ์ ประธานจัดงาน มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 28 เปิดเผยว่า
งานมหกรรมยานยนต์ครั้งที่ 28 ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 1- 12 ธันวาคม
ได้รับการตอบรับจากประชาชนเป็นอย่างดี โดย 6 วัน
ของการจัดงานมีประชาชนเข้าชมงานแล้วกว่า 700,000 คน ทำให้คาดว่า

ปีนี้จะมีผู้เข้าชมงาน 1,400,000 - 1,500,000 คน ขณะที่ยอดการสั่งรถในช่วง
6 วัน ของการจัดงานมหกรรมยานยนต์มียอดการจองรถแล้วจำนวน 12,054 คัน
โดยรถยนต์ที่มียอดการจองมากที่สุดคือ รถกระบะ
ขณะที่ยอดการจองรถเก๋งในปีนี้ลดลงถึง 10 % แต่มั่นใจว่า
ยอดจองรถยนต์ภายในงานจะเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้คือ 25,000 คัน






[1 ธันวาคม] เปิดฉาก! มอเตอร์เอ็กซ์โป 2011 รถสวย-พริตตี้แจ่ม



motor expo 2011

motor expo 2011

motor expo 2011

motor expo 2011

motor expo 2011






motor expo 2011

motor expo 2011

motor expo 2011

motor expo 2011



เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

เริ่มแล้ว มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 28 MOTOR EXPO 2011 ที่อิมแพค เมืองทองธานี 40 ค่ายรถขนโปรโมชั่นลดกระหน่ำส่งท้ายปี เข้าชมฟรี!

  
ได้เวลาของการนัดพบยานยนต์ส่งท้ายปีกันแล้ว กับงาน มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่
28 หรือ THE 28th THAILAND INTERNATIONAL MOTOR EXPO 2011
ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 1 - 12 ธันวาคม 2554 ณ อิมแพค เมืองทองธานี
โดยในปีนี้มีบริษัทรถยนต์และรถจักรยานยนต์จำนวน 40
ยี่ห้อดังจากทั่วทุกมุมโลกมาร่วมแสดง


         
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าในปีนี้
ค่ายรถยนต์บางค่ายจะไม่พร้อมให้ลูกค้าเปิดจองรถยนต์
เนื่องจากสถานการณ์น้ำท่วมในช่วงที่ผ่านมา
แต่ก็ยังได้รับความสนใจไม่ต่างจากปีก่อน ๆ เพราะนอกจากจะมีรถใหม่ ๆ
มาอวดโฉม โดยการพรีเซ็นต์ของพริตตี้สาวสวยแล้ว ก็ยังมีนวัตกรรมใหม่ ๆ
และรถต้นแบบ รวมถึงรถคู่ใจคนดังมาสร้างสีสันในงานกันด้วย



motor expo 2011

motor expo 2011

motor expo 2011

motor expo 2011



motor expo 2011


  
สำหรับรายชื่อรถยนต์ 36 ยี่ห้อที่เข้าร่วมงาน มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 28
ได้แก่ 9ff/ บีเอมดับเบิลยู/ บราบัส/ คาร์ลส์สัน/ เชอรี/ เชฟโรเลต์/
ซีตรอง/ ดีเอฟเอม/ ฟอร์ด/ โฟตอน/ กแรนด์ แคร์รีบอย/ ฮอนดา/ ฮันเด/ อีซูซุ/
เกีย/ เลกซัส/ มาซดา/ เมร์เซเดส-เบนซ์/ มีนี/ มิตซูบิชิ/ มิตซูโอกะ/
เอมทีเอม/ นิสสัน/ เปอโฌต์/ปโรตอน/ รูฟ/ สโกดา/ ซังยง/ ซูบารุ/ ซูซูกิ/
ทาทา/ โตโยตา/ ลัมเบร์กินี/ โฟล์คสวาเกน/ โวลโว และวิสมันน์
รวมถึงรถจักรยานยนต์ 4 ยี่ห้อ ได้แก่ ดูคาติ/ ฮอนดา/ไทรอัมพ์ และยูดา


         
เอ้า...ระหว่าง 1 - 12 ธันวาคมนี้ ใครที่พอมีเวลาว่าง ก็ขอเชิญไปยลรถสวย ๆ
พริตตี้แจ่ม ๆ กันในงาน MOTOR EXPO 2011 ที่อิมแพค เมืองทองธานี นะจ๊ะ
แต่ตอนนี้กระปุกดอทคอมขอนำภาพบางส่วนมาให้ดูกันเป็นน้ำจิ้มก่อนจ้า^^


motor expo 2011

motor expo 2011





motor expo 2011







Motor Expo 2011









Motor Expo 2011




 

Create Date : 10 ธันวาคม 2554    
Last Update : 10 ธันวาคม 2554 1:41:14 น.
Counter : 1181 Pageviews.  

15 สุดยอดคนแห่งปี ผู้ทำดีเป็นต้นแบบสังคม

........

15 สุดยอดคนแห่งปี ผู้ทำดีเป็นต้นแบบสังคม

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก นิตยสาร ค ฅน , youtube โพสต์โดย TheGuardianAngle1 , ทีวีบูรพา , รายการคนค้นฅน , Youtube. โพสต์โดย uthestreet , gog.com , chn.chinamil.com.cn

          สังคมของเราจะน่าอยู่ได้ ถ้าหากคนบนโลกใบนี้ รู้จัก "ให้" มากกว่า "รับ" ซึ่งก็ยังมีคนอีกจำนวนมากที่พร้อมจะเป็น "ผู้ให้" และ
รังสรรค์สิ่งดี ๆ เพื่อสร้างรอยยิ้มและความสุขให้กับสังคมของเรา
ลองไปดูกันว่า ในรอบปี พ.ศ. 2554 เรื่องราวของใครที่ทำให้เรารู้สึกประทับใจ
และซาบซึ้งไปกับสิ่งดี ๆ ที่พวกเขาสร้างขึ้น
เพื่อทำให้ผู้อื่นรู้สึกอิ่มเอมใจกันบ้าง
รับรองว่าทุกคนที่ได้อ่านเรื่องที่กระปุกดอทคอมนำมาเสนอในวันนี้ ต้องรู้สึกภาคภูมิใจที่มีพวกเขาอยู่ร่วมในสังคม และคงเป็นแรงบันดาลใจให้ทุกคนได้ทำดี เพื่อผู้อื่นกันค่ะ


ย่ายิ้ม...หญิงชรา กับชีวิตลำพังกลางป่าเขา

ชีวิตที่มีความหมายของคนสร้างฝาย ... คุณย่ายิ้ม

         
ใครที่ได้รับรู้เรื่องราวของ "ย่ายิ้ม" หรือ "ย่ายิ้ม เย้ยยาก"
คงจะอดอมยิ้มตามไปกับแกไม่ได้แน่นอน เมื่อหญิงชราวัย 80 กว่า
ที่ใช้ชีวิตอยู่ในป่าทึบเพียงลำพัง กลับไม่เคยอยู่ห่างจากคำว่า "ความสุข"
เลย

          นั่นเพราะทุก ๆ วัน "ย่ายิ้ม"
จะไม่ปล่อยให้เวลาเดินผ่านไปอย่างไร้ค่า และสิ่งมีค่าที่ "ย่ายิ้ม" ทำก็คือ
การเดินถือจอบเก่า ๆ 1 อัน ขึ้นเขาไปตัดไม้ไผ่หลายสิบท่อนเพื่อมาสร้างฝาย
โดยหวังจะให้ผืนป่าประเทศไทยเป็นผืนป่าที่ชุ่มชื้นอุดมสมบูรณ์
ตามพระราชดำรัสของพ่อหลวงที่คุณย่ายิ้มเคยได้ยินได้ฟังมานานนับสิบปีแล้ว
และตั้งแต่นั้นมา คุณย่ายิ้มก็จำคำสอนของพ่อหลวงใส่เกล้า
และปณิธานกับตัวเองว่า จะต้องสร้างฝาย เพื่อสร้างประโยชน์ต่อแผ่นดินไทย

         
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าสังขารของหญิงชราจะร่วงโรยลงไปตามวัย
แต่นั่นไม่ใช่อุปสรรคที่ทำให้ "ย่ายิ้ม" หยุด เพราะแกถือคติว่า
วันนี้มีแรงแค่ไหนก็ทำเท่านั้น พอตื่นเช้าขึ้นมาในวันรุ่งขึ้น
ก็ลุกขึ้นมาทำใหม่ แต่จะมีเพียงวันโกนและวันพระเท่านั้น ที่ "ย่ายิ้ม"
จะหยุดพักจากการสร้างฝาย และการหยุดของแกไม่ใช่การหยุดพักผ่อนกาย
เพราะในวันดังกล่าวนั้น ย่ายิ้มจะเดินทางลงจากเขากว่า 8 กิโลเมตร
เพื่อไปเข้าวัดเข้าวาทำจิตใจให้สงบผ่อนคลายจิตใจ

         
หลายคนสงสัยว่า "ย่ายิ้ม" จะมาลำบากทำไม ทั้งที่ลูก ๆ หลาน ๆ
ของแกก็มีฐานะและอ้อนวอนให้ "ย่ายิ้ม" กลับไปอยู่บ้านด้วยกัน แต่ "ย่ายิ้ม"
กลับเลือกที่จะอยู่ที่นี่ นั่นเพราะแกคิดเสมอว่า "ทางสวรรค์จะเป็นทางที่รก ทางนรกจะเป็นทางที่เรียบ..."

         
ตลอดหลายปีกับชีวิตกลางป่าเขาเพียงลำพัง ย่ายิ้ม สารภาพว่า
เมื่อไหร่ที่ลูกขึ้นมาหาและมานอนด้วย แกก็ดีใจทุกครั้ง แต่พอกลับกันไป
แค่เห็นเดินคล้อยหลังก็นั่งใจละห้อยแล้ว...แต่ถึงอย่างไร
แกก็ยังยืนหยัดว่าจะขออยู่ในป่าในเขาอย่างนี้ไปจนตาย
และคำขอสุดท้ายที่ฝากไว้กับลูกคือ...ถ้าแม่ตาย
ก็ให้เผาให้ฝังไว้ที่ไร่บนเขานี้

"ย่าไม่อยากตายหรอกหนา แต่ไม่เคยกลัว ถึงเวลาจะต้องละแล้ว ก็ต้องไป..." ถ้อยคำนี้บอกได้เป็นอย่างดีว่า หญิงชราวัย 80 เข้าใจถึงแก่นแท้ของชีวิตแล้วจริง ๆ






ชุดปฏิบัติการเหยี่ยวดง 60 ผู้ยอมเสี่ยงชีวิตปกป้องด้ามขวานไทย

         
ไม่มีใครอยากทิ้งชีวิตไว้ยังพื้นที่สีแดงของปลายด้ามขวานไทย
แต่สำหรับพวกเขา "ชุดปฏิบัติการเหยี่ยวดง 60" ทั้งหมด 15 ชีวิต
นี่คือหน้าที่ในฐานะชายชาติทหารผู้ต้องเก็บกู้และทำลายวัตถุระเบิด
ก่อนที่มันจะไปคร่าชีวิตของใคร นำทีมโดย ร้อยตำรวจตรีแชน วรงคไพสิฐ
ซึ่งทุกคนในทีมล้วนผ่านเหตุการณ์ระเบิดมาหลายต่อหลายครั้ง
ผ่านเหตุการณ์เสี่ยงตายมาก็มากมาย บาดเจ็บมาจนนับครั้งไม่ถ้วน
แต่ทว่าก็ไม่มีใครยอมแพ้ และขอลาออกจากทีมชุดนี้ เพราะหัวใจยัง "สู้" อยู่

         
ไม่มีใครรู้ว่า สถานการณ์ความรุนแรงในภาคใต้จะสิ้นสุดลงเมื่อใด
เช่นเดียวกับเหล่าสมาชิกหน่วยเก็บกู้ระเบิดที่ไม่มีใครรู้ว่า
วันใดที่พวกเขาจะออกไปปฏิบัติหน้าที่เป็นวันสุดท้าย
แต่พวกเขาตระหนักไว้เสมอว่า หากต้องตายก็ขอตายอย่างมีเกียรติ มีศักดิ์ศรี
ในฐานะของข้าราชการที่ปวารณาตัวเป็นข้าของแผ่นดิน

"พวก
ผมเกิดเป็นคนไทย เกิดในสามจังหวัดภาคใต้ พวกผมต้องตอบแทนพระคุณแผ่นดิน
พวกผมทั้งหมดที่ยืนตรงนี้เป็นลูกชาวสวน ชาวนา ชาวไร่ อุปกรณ์ที่ชาวสวน
ชาวนาใช้ทำงานก็คือ "ขวาน" หาก "ขวาน" ไม่มีด้าม ก็ใช้ทำอะไรไม่ได้
พวกผมขอสัญญาต่อหน้าพระคุณเจ้าและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตรงนี้ว่า
พวกผมจะดูแลรักษาด้ามขวานตรงนี้ตลอดไป"


         
นี่คือคำปฏิญาณของนายทหารกล้าที่ประกาศก้องต่อหน้าทุกคน
และถ้อยวาจานี้คงเป็นคำตอบว่า ทำไมทั้ง 15 ชีวิต
ยังยืนหยัดที่จะอยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัย เพื่อปกป้องคนไทยให้นอนหลับฝันดี





น้ำใจเล็ก ๆ ที่ยิ่งใหญ่ของป้าหาบ...แม่ค้า 5 บาท

         
ในยุคข้าวยากหมากแพง การจะหาอะไรรับประทานให้อิ่มท้องในราคาเพียงแค่ 5 บาท
ดูจะเป็นเรื่องยากเสียยิ่งกว่ายาก แต่ทว่า...ในมุมเล็ก ๆ มุมหนึ่งของสังคม
ยังมีแม่ค้าวัยย่างหกสิบปีคนหนึ่งประกอบอาชีพหาบเร่ขายกับข้าวมานานกว่า 30
ปีแล้ว และยังคงตรึงราคาเดิมที่ 5 บาท แม้ว่าข้าวจะยาก หมากจะแพง
น้ำมันจะปรับขึ้นราคา แต่ "ป้าแดง บุญยัง พิมพ์รัตน์”
หรือที่ทุกคนเรียกแกว่า "ป้าหาบ" แม่ค้าในซอยจรัญสนิทวงศ์ 33 แยก 3
ก็ไม่เคยแม้แต่จะคิดปรับขึ้นราคา


"นึกถึงตัวเองเวลาไม่มี ท้องหิวมันทรมานมากนะ คนเงินเดือนน้อย ๆ
ก็อยากให้เขากินอิ่ม บางคนมีเงินมา 10 บาท มาซื้อกับป้า ป้าก็ให้เขาเยอะ ๆ
เป็นข้าวเหนียวเป็นอะไรอย่างนี้ บางคนมาไกล ๆ ไม่มีเงินมา ป้าก็ให้ไปบ้าง
หรือไม่ก็คิดเขาแค่ครึ่งเดียว 20 บาท เอา 10 บาทพอ"
ป้าหาบ บอก

         
เพราะความที่้ป้าหาบเคยอัตคัดขัดสนมาก่อน แต่ ณ วันนี้
แกสามารถสร้างเนื้อสร้างตัวจนพอมีพอใช้อย่างพอเพียงแล้ว
ก็ได้เวลาที่จะแบ่งปันความอิ่มท้องให้กับผู้อื่นบ้าง โดยป้าหาบบอกว่า
ชีวิตของแกสุขสบายดี ไม่เป็นหนี้ ไม่ลำบาก
ก็ไม่เป็นจำเป็นที่จะต้องเอากำรี้กำไรอะไรให้คนอื่นเดือดร้อน สู้
"ให้ผู้อื่น" จะดีกว่า

          เห็นไหมว่า เพียงแค่ความคิดเล็ก ๆ
ของป้าหาบที่เจือจานน้ำใจอันยิ่งใหญ่สู่เพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
กลับทำให้มุมหนึ่งของสังคมไทยในยุคข้าวยากหมากแพงดูแล้วมีความสุขขึ้นมาถนัด
ตา




เพ็ญลักขณา ขำเลิศ

เพ็ญลักขณา ขำเลิศ กับบทบาทหน้าที่พยาบาลไร้หมวก

         
ณ โรงพยาบาลภาชี จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ไม่บ่อยนักที่เราจะได้เห็นภาพของ
"เพ็ญลักขณา ขำเลิศ"
พยาบาลวิชาชีพที่ประจำอยู่ในโรงพยาบาลแห่งนี้อยู่ในยูนิฟอร์มสีขาวของสาว
พยาบาล แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า เธอละทิ้งหน้าที่ เพราะเธอบอกว่า
หน้าที่ของเธอไม่ใช่แค่การดูแลผู้ป่วยตามเตียงในโรงพยาบาลเท่านั้น
แต่เธอยังอุทิศตัวเองให้กับเตียงผู้ป่วยนับร้อยนับพันหลังคาเรือนในอำเภอ
ภาชี ในฐานะ "พยาบาลไร้หมวก"

          เพ็ญลักขณา บอกว่า
การเป็นพยาบาลไม่จำเป็นต้องมีเครื่องแบบ หากแต่ "หัวใจ" ต่างหาก
คือสิ่งที่บ่งบอกถึงความเป็นพยาบาลที่แท้จริง นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่า ทำไม
เพ็ญลักขณา หรือ พี่ติ๋ง จึงมักจะเลือกลงพื้นที่ไปดูแลผู้ป่วยใน 60
หมู่บ้านในอำเภอภาชี มากกว่าการทำงานอยู่ในโรงพยาบาลภาชี
เพราะจะได้เห็นกับตาตัวเองว่า คนไข้กินอยู่อย่างไร
และทำไมหลายคนจึงไม่หายจากโรคเสียที
แม้ว่าตัวเธอเองก็กำลังทนทุกข์ทรมานจากการเป็นโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง
ซึ่งต้องได้รับการเยียวยาไม่ต่างจากคนไข้รายอื่น ๆ ที่เธอรับผิดชอบอยู่
แต่พี่ติ๋งกลับมองว่า
นี่ไม่ใช่เงื่อนไขที่จะมาทำให้เธอย่อหย่อนต่อหน้าที่การงานได้


"ที่พี่ทำทุกวันนี้ทำเพื่อคนไข้
ไม่ได้ทำเพื่อตอบสนองนโยบายเอาเงินมาแลกกับงาน
งานที่พี่ทำคืองานที่ทำเพื่อแลกกับคน แลกกับชีวิตมนุษย์ เราต้องเป็นผู้ให้
อย่าเป็นผู้รับ เวลาที่เราเป็นข้าราชการ เราต้องนึกเสมอว่า
จะทำอย่างไรที่จะมีโอกาส "ให้" ให้ประชาชนมีความสุข
ให้คนที่เจ็บไข้ได้ป่วยเขาพ้นทุกข์ได้ มันไม่มีอะไรมากนอกจากการให้"


          ...สิ่งที่พี่เพ็ญลักขณากำลังทำอยู่ใช่ไหม? ที่เขาเรียกว่า ทุ่มเททั้งกายและใจให้กับเพื่อนมนุษย์




วิชิต คำไกร

วิชิต คำไกร หมออนามัย...ผู้ทุ่มเทกายใจให้คนชายแดน

         
หลังจากจบการศึกษาจากวิทยาลัยสุขภาพ ชลบุรี
เด็กต่างจังหวัดลูกชาวนาจากปราจีนบุรี อย่าง "วิชิต คำไกร"
ก็ตัดสินใจเลือกบรรจุตัวเองให้มาทำงานในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลทับพริก
อำเภออรัญประเทศ พื้นที่ชายขอบซึ่งคงจะมีน้อยคนนักที่อยากจะมาอาศัยอยู่
แต่ "หมออนามัย" คนนี้ เลือกเส้นทางนี้
เพราะได้เห็นความทุกข์ยากของคนไข้ในเขตชายแดนที่ห่างไกล
และคิดไปถึงตัวเองที่เป็นลูกชาวนาในพื้นที่ทุรกันดารเช่นกัน
จึงตัดสินใจลงมาทำงานยังที่ตำบลทับพริก

         
นอกจากการรักษาคนไข้ในโรงพยาบาลแล้ว ภารกิจหลักของ "วิชิต" คือ
การลงพื้นที่ไปเคาะประตูดูแลสารทุกข์สุกดิบด้านสุขภาพให้กับชาวบ้าน
ด้วยความรู้สึกที่ว่า ชาวบ้านคือคนในครอบครัวเดียวกัน และหากมีเวลาว่าง
หมออนามัยคนนี้จะลงพื้นที่ตระเวนตรวจความเรียบร้อยของหมู่บ้าน
ร่วมกับผู้นำชุมชน เพื่อป้องปรามปัญหายาเสพติดในหมู่เยาวชนภายในตำบลทับพริก
โดยหวังขจัดปัญหาต่าง ๆ และยกระดับชุมชนให้เข้มแข็งขึ้น
ซึ่งเป็นงานที่คุณหมอลงมาทำด้วยตัวเองด้วยจิตใจที่หวังให้ประโยชน์เกิดแก่
ชาวชุมชนด้วยกัน


"เราเป็นข้าราชการของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ พระองค์ทรงบอกว่า
เมื่อจะทำงานอย่ายกเอาความขาดแคลนมาเป็นข้ออ้าง
แต่ให้ทำงานท่ามกลางความขาดแคลนนั้นให้บรรลุผล
เพราะฉะนั้นความขาดแคลนในพื้นที่ตำบลทับพริกอาจจะมีบ้าง
แต่เราต้องแปรเปลี่ยนความขาดแคลนนั้นให้เป็นพลังในการที่จะสามารถแก้ไขปัญหา
ได้ ก็จะทำให้เรามีพลังใจในการทำงานช่วยเหลือผู้อื่น"


         
...หากทุกคนคิดได้เหมือนกับพี่วิชิต ชาวบ้านในพื้นที่ห่างไกล
คงจะได้มีคุณภาพชีวิต และได้รับโอกาสทางสังคมมากกว่าที่เป็นอยู่อย่างแน่นอน




หน่อคำ สมสวัสดิ์ ผู้ทอแสงแห่งความหวังให้ผู้พิการ

หน่อคำ สมสวัสดิ์ ผู้ทอแสงแห่งความหวังให้ผู้พิการ

         
หนุ่มลูกจ้างชั่วคราวของโรงพยาบาลแม่ลาว อำเภอแม่ลาว จังหวัดเชียงราย
ที่คอยช่วยเหลืองานในโรงพยาบาลอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง อย่าง "หน่อคำ
สมสวัสดิ์" คนนี้ แต่เดิมเขาเป็นเพียง "จิตอาสา" ของชมรมพัฒนาผู้พิการ
ที่มีหน้าที่ลงไปช่วยเหลือและเติมเต็มกำลังใจให้ผู้พิการในพื้นที่มีกำลังใจ
ต่อสู้ชีวิตต่อไปได้ในสังคม แต่เมื่อทางโรงพยาบาลแม่ลาวให้โอกาส "หน่อคำ"
จึงได้เข้ามาทำหน้าที่เป็นเลขานุการของชมรมพัฒนาผู้พิการ โรงพยาบาลแม่ลาว

         
แม้ว่าร่างกายของหน่อคำจะไม่ปกติเหมือนใครหลาย ๆ คน
แต่ทำสามารถทำกิจวัตรประจำวันของตัวเองได้อย่างไม่ต้องเป็นภาระให้ใคร
ทั้งการขี่มอเตอร์ไซค์ ใช้คอมพิวเตอร์ และจัดรายการวิทยุชุมชน นอกจากนี้
"หน่อคำ" ยังเป็นคนมองโลกในแง่ดี
เพราะไม่เคยรู้สึกเป็นทุกข์กับความพิการของเขาเลย ตรงกันข้าม เขายังมองว่า
ตัวเองโชคดีกว่าคนอื่นที่พิการไม่มาก
เพราะยังมีอีกหลายชีวิตที่น่าเศร้ากว่าเขา นั่นจึงเป็นแรงบันดาลใจให้
"หน่อคำ" ใช้ความจริงใจลงไปพบปะพูดคุยกับผู้พิการคนอื่น ๆ
เพื่อสร้างกำลังใจให้พวกเขา

"คน
เราเกิดมาสามารถทำดีได้ทุกคน ไม่จำเป็นว่าคุณจะต้องมีการศึกษาสูง
มีฐานะร่ำรวย หรือมีสภาพร่างกายปกติ แข็งแรง เราสามารถทำดีได้ทุกเวลา
ไม่จำกัดเวลา ถ้าเรามีความตั้งใจที่จะทำเพื่อผู้อื่น
ชีวิตของเราจะมีค่าหรือด้อยค่า ขึ้นอยู่กับตัวเราเอง หากมองตัวเองให้มีค่า
มีประโยชน์ต่อคนอื่น
ก็เหมือนกับเป็นภารกิจหนึ่งที่เราเกิดมาทำหน้าที่นี้โดยตรง
เกิดมาเพื่อให้คนอื่นได้รับการปลดปล่อยความทุกข์"
หน่อคำ ว่าไว้

         
คำว่า "ขอบคุณ" คงไม่ใช่เป็นเพียงคำพูดของผู้พิการที่อยู่ในความดูแลของ
"หน่อคำ" เอื้อนเอ่ยออกมาจากใจให้กับชายหนุ่มคนนี้เพียงเท่านั้น
แต่สำหรับคนทั่วไปที่ได้รับรู้เรื่องราวชีวิตของ "หน่อคำ"
ก็คงต้องกล่าวคำว่า "ขอบคุณ" ให้กับชายหนุ่มคนนี้เช่นเดียวกัน
เพราะชีวิตของเขาได้กลายเป็นแรงบันดาลใจให้คนธรรมดา ๆ
ที่กำลังหมดแรงจากการล้มลุกคลุกคลานมาหลายต่อหลายครั้ง มีรอยยิ้ม
และมีกำลังใจสู้ชีวิตต่อไปได้อีกครั้ง





นภินทร์ จอกลอย ผู้ใช้ธรรมะ...สร้างแดนธรรมให้แดนคุก

         
เมื่อ "เรือนจำ" คือสถานที่คุมขังผู้เคยกระทำผิด นั่นอาจจะทำให้ "นักโทษ"
หลาย ๆ คน
เกิดความอัดอั้นตันใจและก่อเรื่องทะเลาะวิวาทดังที่เรือนจำหลายแห่งเคยเป็น
ข่าว แต่ ณ เรือนจำกลางจังหวัดอุดรธานีแห่งนี้ "นักโทษ" เปรียบเสมือน "ลูก
ๆ" ของ "พ่อ" ซึ่งมีตำแหน่งผู้บัญชาการเรือนจำกลางจังหวัดอุดรธานี

         
นภินทร์ จอกลอย ผู้บัญชาการเรือนจำกลางจังหวัดอุดรธานี
ผู้คอยควบคุมดูแลรักษาความเรียบร้อยของเรือนจำแห่งนี้
ไม่ได้ทำหน้าที่เพียงแค่เซ็นเอกสารให้หมดไปวัน ๆ หนึ่งเท่านั้น แต่ทุกเช้า
ผบ.นภินทร์ จะปั่นจักรยานมาทำงานตรวจดูความสะอาดเรียบร้อยรอบเรือนจำ
ก่อนจะเดินสั่งงานทุกซอกทุกมุม ไม่เว้นแม้แต่ห้องน้ำ
เพื่อให้มั่นใจว่าเรียบร้อยทุกกระเบียดนิ้ว

  "ผมพยายามจะลบคำสบประมาทที่ประชาชนมีต่อข้าราชการ คือ ใต้โต๊ะ เรือเกลือ เช้าชามเย็นชาม ผมเกลียดที่สุดคือเรื่องผักชีโรยหน้า" ผบ.นภินทร์ ประกาศเจตนารมณ์

         
ผบ.นภินทร์ รู้ดีว่า การที่นักโทษอยู่ในสภาพมีกุญแจมือ
ติดอยู่ภายใต้ประตูรั้วที่กั้นดำทึบย่อมส่งผลต่อสภาพอารมณ์ นั่นจึงทำให้
ผบ.นภินทร์ พยายามหาโอกาสให้ผู้ต้องขังได้เข้าวัดเข้าวา ร่วมทำบุญตักบาตร
ฟังธรรม และใกล้ชิดพระสงฆ์ เพราะจะช่วยระบายความเครียดได้เป็นอย่างดี
และเป็นการลดช่องว่างระหว่างผู้ต้องขังกับเจ้าหน้าที่ที่ได้ผลดีด้วย
นอกจากนั้นแล้ว "พ่อ" คนนี้ ยังนำเอาหลักธรรมมาใช้ขัดเกลาจิตใจผู้ต้องโทษ
เพื่อทำให้พวกเขามีจิตใจอ่อนโยน รู้จักเสียสละ และพบกับความสุขที่แท้จริง
เมื่อกลับออกจากดินแดนแห่งนี้ไปแล้ว
จะได้สามารถใช้ชีวิตใหม่ในสังคมได้อย่างมีคุณค่า และไม่หวนกลับมา ณ
ที่แห่งนี้อีก

         
...ไม่มีการให้อะไรจะยิ่งใหญ่เท่ากับการให้ชีวิตใหม่
และให้โอกาสกับผู้ที่เคยพลาดพลั้ง นี่กระมังที่ทำให้ ผบ.นภินทร์
ดำเนินตามเจตนารมณ์ของตัวเองอย่างไม่หยุดยั้ง





พีระพงษ์ วงศ์ศรีจันทร์ สายเลือดครู...ผู้แต่งแต้มผ้าขาว

         
ณ โรงเรียนซับมงคลวิทยา พื้นที่ไกลปืนเที่ยงของอำเภอเทพสถิตย์
จังหวัดชัยภูมิ เป็นสถานที่ที่ครูเอ หรือ ครูพีระพงษ์ วงศ์ศรีจันทร์
เลือกมาประจำการ โดยเห็นว่า
เด็กอีสานเป็นเด็กที่ขาดโอกาสมากกว่าพื้นที่อื่น ๆ และเขาก็ขอเป็นส่วนเล็ก ๆ
ที่จะมาเติมเต็มโอกาสให้กับผ้าขาวผืนบริสุทธิ์เหล่านี้

         
ในฐานะครูสอนศิลปะ ครูเอ ได้พร่ำสอนเด็ก ๆ ให้ใช้ศิลปะสร้างความสุนทรีย์
และเพลิดเพลิน หลังจากเหน็ดเหนื่อยจากการเรียน
และการทำงานหนักช่วยพ่อแม่ที่บ้าน แต่เหนือสิ่งอื่นใดแล้ว
ศิลปะของครูเอไม่ได้เป็นไปเพื่อความบันเทิงเท่านั้น แต่ ครูเอ
ยังหวังให้ศิลปะเป็นใบเบิกทางให้เด็ก ๆ ได้รับการศึกษาที่สูงขึ้น
ดังที่เด็ก ๆ หลายคน
นำความรู้วิชาศิลปะไปต่อยอดจนได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยดี ๆ
และได้รับรางวัลอีกมากมาย

"ผม
เป็นศิลปินประเภทที่ไม่ได้จะสร้างผลงานทางศิลปะบนเฟรมผ้าใบ
แต่เฟรมของผมคือชีวิตของเด็ก ผมต้องรับผิดชอบสิ่งที่ผมเขียน
ซึ่งก็คือชีวิตคน"
ครูเอ บอก

         
เมื่อถามถึงความคาดหวังของครูเอ เขาบอกว่า ไม่ได้คาดหวังอะไรมาก
เพราะนี่คือความสุขของเรา แค่ทำวันนี้ให้ดีที่สุด
เพื่อที่จะได้ไม่ต้องมาแก้ไขอะไรอีก
แม้ว่าเขาอาจจะเสียโอกาสกับอาชีพที่ก้าวหน้า เงินทองก้อนโต
แต่การที่ลงมาทำอย่างนี้ ทำให้เขามีความสุขทุกวัน และยิ่งเห็นเด็กมีอาชีพ
มีความสุข มันคือสิ่งที่เงินซื้อไม่ได้
และเป็นความสุขที่สุดของคนที่ได้ชื่อว่าเป็น "ครู" แล้ว

         
การ "สร้าง" และ "เปลี่ยน"
ชีวิตของผู้อื่นให้ดำเนินอยู่ในเส้นทางแห่งความถูกต้อง
และได้รับโอกาสทางสังคมมากขึ้น
นี่คือหน้าที่ของครูอย่างแท้จริง...และครูพีระพงษ์
ก็กำลังทำหน้าที่นั้นได้อย่างสมบูรณ์แบบ





ธีรพันธุ์ บุญบาง ผู้ใหญ่บ้านใฝ่ธรรมะ

         
ด้วยสไตล์การแต่งตัวนุ่งขาว ห่มขาว ไว้ผมเผ้าหนวดเครา
อาจทำให้คนที่ไม่รู้จัก ไม่เชื่อว่าเขาผู้นี้คือ "ผู้ใหญ่บ้าน"
แห่งบ้านเนินน้ำเย็น ตำบลหนองบัว อำเภอหนองบัว จังหวัดนครสวรรค์
และเมื่อมองข้ามเรื่องการแต่งตัวไป "ธีรพันธุ์ บุญบาง" คนนี้
คือผู้ปกครองหมู่บ้านที่ชาวบ้านรักและเคารพ
ในฐานะผู้นำชุมชนที่ยึดวิถีเศรษฐกิจพอเพียง

         
หากเดินเข้าไปในที่ทำการผู้ใหญ่บ้านของผู้ใหญ่ธีรพันธุ์
หลายคนอาจจะแปลกใจที่ได้เห็นทุ่งนา แปลงผัก บ่อปลา บ่อกบ เล้าหมู เล้าไก่
และองค์ความรู้อีกมากมายภายใต้ชื่อ "โครงการเศรษฐกิจพอเพียง 1 ไร่แก้จน
สวรรค์บ้านนา"
ซึ่งผู้ใหญ่จัดสร้างขึ้นเพื่อทำการเกษตรแบบผสมผสานเป็นตัวอย่างให้ชาวบ้าน
เห็น และนำไปปฏิบัติตาม โดยหวังจะให้ชาวบ้านเลิกจน พึ่งพาตัวเองได้
และด้วยการจัดแปลงเกษตรแบบผสมผสานของผู้ใหญ่เป็นที่เลื่องลือไปทั่วจังหวัด
ทำให้มีชาวบ้านในหลาย ๆ ชุมชนเดินทางมาศึกษาดูงานที่หมู่บ้านนี้
เพื่อนำไปประยุกต์ใช้บ้าง

         
"ผู้นำต้องมีเอกลักษณ์ของตัวเอง
เราต้องเป็นต้นแบบของการทำความดีให้ลูกบ้านได้เห็น
ชุมชนจะเข้มแข็งได้ต้องเริ่มจากจิตใต้สำนึกก่อน
ถ้าจิตใต้สำนึกเข้มแข็งก็เท่ากับมีความคิด มีปัญญา
ถ้ามีปัญญาแล้วก็จะไม่ไปคิดทำเรื่องไม่ดี
ดังนั้นเราต้องปลูกฝังคุณธรรมจริยธรรมกับเยาวชนให้มากที่สุด
และใช้การศึกษาสร้างคน"
ผู้ใหญ่ธีรพันธุ์ บอกแนวคิด

         
ผู้ใหญ่เดินหน้าสร้างคนด้วยการใช้ธรรมะที่เขาเลื่อมใสศรัทธา
ชักจูงให้คนเข้ามาใกล้ชิดกับพระพุทธศาสนามากขึ้น
โดยทำตัวอย่างให้ลูกบ้านเห็น ทำให้ ณ วันนี้
หมู่บ้านแห่งนี้เป็นหมู่บ้านสีขาวที่น่าอยู่ และทำให้ผู้ใหญ่กล้าประกาศว่า
ชุมชนแห่งนี้ปลอดอาชญากรรม และปลอดยาเสพติดแน่นอน

          เพราะธรรมะที่ผู้ใหญ่ธีรพันธุ์เลื่อมใส ได้บันดาลให้ชาวบ้านในชุมชนเนินน้ำเย็น เลื่อมใสผู้ใหญ่ใฝ่ธรรมะคนนี้เช่นเดียวกัน





จ่าสิบตำรวจวิชิต กัลยาณวัตร นักพัฒนาขวัญใจชุมชนหลังสวน

         
ด้วยบุคลิกส่วนตัวที่สนุกสนานและเป็นกันเอง ทำให้พี่เล็ก จ่าสิบตำรวจวิชิต
กัลยาณวัตร อดีตนายตำรวจชุดปฏิบัติการชุมชนสัมพันธ์
ผู้ผันตัวเองมาเป็นพัฒนากรชุมชน เข้ากับคนได้ไม่ยากนัก
และส่งผลให้การทำงานพัฒนาชุมชนของเขาเป็นไปได้อย่างราบรื่น

         
ทุก ๆ วัน พี่เล็ก จะต้องลงพื้นที่พบปะชาวบ้าน
หรือไปประสานงานติดต่อช่วยเหลือชาวบ้าน โดยไม่เกี่ยงว่าจะเป็นช่วงกลางวัน
หรือกลางคืน จนใคร ๆ ต่างก็รู้จักแก
และยิ้มต้อนรับโอภาปราศรัยด้วยดีในทุกครั้งที่พี่เล็กมาเยือน
และทุกครั้งที่พี่เล็กลงพื้นที่ก็จะไม่ได้แต่งชุดราชการ
หากแต่ใส่เพียงชุดลำลองเหมือนชาวบ้านทั่วไป
เพื่อให้เข้าถึงและดูเหมือนเป็นญาติสนิทมิตรสหายกับชาวบ้านมากที่สุด
โดยพี่เล็กจะเข้าไปสอนให้ชาวบ้านนำเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงมาปรับใช้กับวิถี
ชีวิตของชาวบ้านในแต่ละพื้นที่
ซึ่งแนวคิดนี้ก็ช่วยให้ชาวบ้านลดค่าใช้จ่ายลงไปได้มาก

"การ
ได้ลงพื้นที่เป็นสิ่งที่มีความสุขมาก 11 ปีที่ผ่านมา
เราก็ทำหน้าที่เต็มกำลัง ช่วยเขาเต็มความสามารถ ไม่ว่าจะเป็นเวลานอกราชการ
หรือในราชการ เวลาลงพื้นที่เห็นพี่น้องประชาชนมีความสุข เราก็ภูมิใจ จริง ๆ
ก็เคยมีท้อบางเหมือนกัน แต่ก็ไม่ถอย เพราะคิดไว้แล้วว่า
เกิดมาเป็นคนไทยก็จะต้องทดแทนบุญคุณแผ่นดิน เลยคิดอยู่เสมอว่า
เกิดมาชาตินี้จะสร้างความดีไม่เคยหวั่น จะเร่งสร้างทั้งคืนและทั้งวัน
เพื่อชีวิตอันสั้นนั้นมีราคา คิดอยู่เท่านี้"
พี่เล็ก บอก

         
เป็นเรื่องดีจริง ๆ ที่แนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง
นอกจากหนทางที่จะเป็นการช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของชาวบ้านแล้ว
ยังเป็นสะพานเชื่อมความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างกันอีกด้วย




//hilight.kapook.com/img_cms2/news_4/854242.jpg

แจ๊ค ธนบดี...จิตวิญญาณคือกันตรึม ตราบจนสิ้นลมหายใจ

         
"กันตรึม" อาจเป็นคำที่ไม่คุ้นหูคนรุ่นใหม่
แต่หากใครได้เดินทางไปยังชุมชนจรเข้มาก อำเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์
เด็ก ๆ ที่นี่รู้จัก "กันตรึม" กันแทบจะทั้งหมู่บ้าน
และยังรู้จักหนุ่มเลือดอีสานใต้วัย 29 ปี "แจ๊ค ธนบดี ถนอมเมือง"
ในฐานะครูสอนกันตรึมอีกด้วย

          หลังจากเรียนจบ ม.6
ครูแจ๊คได้มีโอกาสเดินทางไปเรียนต่อที่จังหวัดสุรินทร์
และได้เริ่มหัดเล่นกันตรึม
ดนตรีพื้นบ้านของชาวอีสานใต้ด้วยความรู้สึกหลงรักในจังหวะของมัน
ก่อนจะคิดต่อไปว่า ในฐานะคนพื้นถิ่นควรจะสืบสานศิลปะพื้นบ้านชิ้นนี้ไว้
เมื่อคิดได้ดังนั้น ครูแจ๊คก็เดินตามความฝันของตัวเองทันที ด้วยการพาเด็ก ๆ
ในชุมชนมาฝึกกันตรึม และพาออกแสดงตามงานต่าง ๆ
เพื่อหาทุนไปสร้างศูนย์ดนตรีนาฏศิลป์พื้นบ้านไว้ใช้จัดแสดงกันตรึม

         
แรกเริ่มเดิมที ลูกศิษย์ลูกหาของครูแจ๊คมีเพียงไม่กี่คน
แต่เมื่อนานวันเข้า เด็ก ๆ เริ่มสนใจและเข้ามาฝึกหัดกันตรึมกับครูมากขึ้น
นอกจากจะช่วยสืบสานศิลปะพื้นบ้านอันเป็นรากเหง้าของพวกเขาไม่ให้สูญหายไป
แล้ว ผลพลอยได้จากที่เด็ก ๆ เข้ามาฝึกกันตรึม ก็คือการได้เห็นรอยยิ้ม
และภาพความรักของครอบครัวที่มาช่วยชมช่วยเชียร์ทุกครั้งที่ลูก ๆ หลาน ๆ
เปิดการแสดงอีกด้วย


"มันเหมือนเป็นปริญญาชีวิต เราจะขอตายเพื่อกันตรึมเลย
เราเลือกแล้วและจะสืบสานต่อไปเรื่อย ๆ แล้วแต่ว่าใครจะคิดยังไง
มันเลิกไม่ได้ เหมือนกับเราปลูกผัก วันหนึ่งผักโตก็เก็บมากิน
ปลูกพืชมันก็ต้องหวังผล ตอนนี้ผลเยอะแยะเลย ผลจากที่เราสอน ภูมิใจมาก ๆ
ที่มีคนที่ชอบเหมือนกันมาช่วยสืบสาน เป็นอีกหนึ่งแรงช่วยเรา
เพราะเราไม่ได้ทำคนเดียว แต่มีลูกศิษย์และคนจำนวนมากช่วยเราอยู่
ทำให้เรามีกำลังใจที่จะทำต่อไป..."
ครูแจ๊ค ยืนยันด้วยความมุ่งมั่นอย่างเต็มที่

         
ความสำเร็จของการแสดงคือ การที่ผู้แสดงและผู้ชมมีความสุข
แต่ความสุขของครูแจ๊คก็คือ การได้เห็นกันตรึม
ศิลปะพื้นฐานแขนงนี้ยังดำรงอยู่ โดยเขาได้เป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อน
"กันตรึม" ให้อยู่ในวิถีชีวิตของคนในสังคมต่อไป




กุ้ยย้ง

กุ้ยย้ง แซ่ล้อ...เมื่องานจิตอาสาคือยารักษาโรคร้าย

         
ภาพของหญิงวัยกลางคนเชื้อสายจีนคอยบริการผู้ป่วยอยู่ในโรงพยาบาลเบตง
จังหวัดยะลา ในฐานะผู้ปฏิบัติงานจิตอาสา
คงเป็นภาพที่ชาวเบตงคุ้นตาเป็นอย่างดี แต่จะมีใครรู้ไหมว่า
หญิงคนนี้...ในอดีตเคยเป็นผู้ป่วยจิตเวทขั้นรุนแรงที่ไม่มีใครอยากยุ่ง
เกี่ยวด้วย

          "กุ้ยย้ง แซ่ล้อ"
เธอคือขวัญใจของคนในโรงพยาบาลเบตง ก่อนหน้านี้เธอเคยมีอาการทางจิต
หวาดระแวง เป็นภาพหลอน ทำให้ต้องแยกจากครอบครัว แต่เมื่ออาการดีขึ้น
"กุ้ยย้ง" ก็ได้ผันตัวเป็นมาอาสาคอยดูแลผู้ป่วยคนอื่น
รวมทั้งคอยให้คำแนะนำผู้ป่วยที่เดินทางมาติดต่อโรงพยาบาล
และจัดเตรียมอุปกรณ์สำนักงานต่าง ๆ ให้กับเจ้าหน้าที่ได้ใช้ตั้งแต่เช้าตรู่
และไม่น่าเชื่อว่า งานที่ได้พบปะผู้คนและมอบน้ำใจ กำลังใจให้ผู้อื่นนี้
กลับส่งผลให้อาการป่วยของเธอดีวันดีคืน
จนสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างคนปกติ
และมีเพื่อนเติมความอบอุ่นให้กับชีวิต

"งานบริสุทธิ์อย่างนี้ชอบทำ ไม่มีอะไรต้องเขิน ต้องอาย เพราะทำแล้วสบายใจ มีความสุข ดีใจที่ได้ช่วยเหลือคนอื่น" กุ้ยย้ง กล่าวถึงงานจิตอาสาที่เธอรัก

         
สุดท้ายแล้ว การช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยจิตใจจิตอาสา กลับกลายเป็น
"ยาขนานเอก" ที่่ช่วยบำบัดรักษาอาการป่วยทางจิตของ "กุ้ยย้ง"
ให้ดีขึ้นราวกับปาฏิหาริย์ และด้วยจิตใจที่ดีงามนี้เอง ได้ช่วยให้
"กุ้ยย้ง" ฝ่าฟันอุปสรรคครั้งสำคัญของชีวิตมาได้
จนปัจจุบันเธอได้รับการยอมรับจากคนอื่น
และกลับมาใช้ชีวิตอย่างมีความสุขดังเดิม






ครอบครัววิลเลี่ยม...คนจากแดนไกล แต่หัวใจไทยแท้

         
เพราะความหลงใหลในเสน่ห์ของเมืองไทย ทำให้ ณ วันนี้ ครอบครัววิลเลี่ยม
ครอบครัวใหญ่ชาวอเมริกัน ตัดสินใจมาตั้งรกรากที่เมืองไทยพร้อมกับสมาชิกอีก
15 ชีวิต แต่ที่นี่...พวกเขาไม่ได้เป็นแค่ผู้พักพิงเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
เพราะทุกวันนี้ "ครอบครัววิลเลี่ยม" ยังเรียนรู้วัฒนธรรมไทย และประเพณีไทย
เพื่อปรับตัวให้เป็นคนไทยอย่างแท้จริง


"วันแรกที่มาถึงประหลาดใจมากที่เมืองนี้เป็นเมืองที่มีแต่รอยยิ้ม
มีแต่ความสุภาพ อ่อนโยน การไหว้ที่อ่อนหวาน
อีกทั้งยังมีความใจดีที่มอบให้เธออย่างที่ไม่พบเคยเจอที่ไหนมาก่อน
เลยพาครอบครัวมาซื้อบ้านที่นี่ แล้วให้ลูก ๆ ของทั้ง 13 คน
ได้เรียนรู้วัฒนธรรม และประเพณีไทย
เพราะอยากให้ลูกมีนิสัยที่น่ารักแบบคนไทย และได้เรียนรู้วัฒนธรรมแห่งการให้
อยากให้ความเป็นไทยหล่อหลอมความคิดอ่านของลูก ๆ ให้เป็นคนดี ...
และสุภาพอ่อนน้อม เพียงแค่ครึ่งนึงของคนไทยก็พอ"
คุณแม่ไข่มุก วิลเลี่ยม ผู้เห็นคุณค่าของวัฒนธรรมไทย บอกถึงความรู้สึกรักแรกพบประเทศไทย

         
หลังจากการศึกษาร่ำเรียนวัฒนธรรมไทยจนเข้าใจดีแล้ว
ก็ได้เวลาที่ครอบครัววิลเลี่ยมจะขอนำวัฒนธรรมไทยเหล่านี้
รวมทั้งการฝึกร้องเพลงไทย เพลงหมอลำ ซึ่งได้ คริสตี้
นักร้องลูกทุ่งชื่อดังมาช่วยฝึกซ้อม
จัดแสดงให้คนไทยประจักษ์ในความสามารถกันเสียที
บ่อยครั้งที่ครอบครัววิลเลี่ยมจะนำวัฒนธรรมไทยที่พวกเขาพร่ำเรียนรู้ไปสร้าง
ความสุขและเสียงหัวเราะให้กับผู้ป่วยที่โรงพยาบาลตำรวจเป็นประจำ
ในฐานะอาสาสมัครที่มาให้กำลังใจผู้ป่วย จนคนไทยชื่นชอบและปรบมือให้ยกใหญ่
ด้วยความประทับใจในหัวใจรักความเป็นไทยของครอบครัวต่างชาติน่ารัก ๆ
ครอบครัวนี้

         
แม้แต่คนต่างชาติยังข้ามน้ำข้ามทะเลมาเรียนรู้วัฒนธรรมไทย
เราคนไทยก็อย่าปล่อยให้มรดกที่มีค่าเหล่านี้สูญสลายไปต่อหน้าต่อตานะคะ




น้ำใจงาม! สาวจีนกางร่มบังสายฝนให้ชายชราขาพิการ

น้ำใจงาม! สาวจีนนิรนาม ลุยฝนกางร่มให้ชายชราขาพิการ

         
ภาพของสาวจีนน้ำใจงามที่วิ่งถือร่มออกไปกางให้ชายชราขาพิการคนหนึ่ง
ที่กำลังเคลื่อนล้อรถเลื่อนไปหาที่หลบฝนซึ่งตกหนัก
กลายเป็นหนึ่งในภาพที่ชาวไซเบอร์เมืองจีนพูดถึงกันมากที่สุดประจำปี 
ด้วยความประทับใจที่เห็นหญิงสาวคนนี้มีจิตใจงดงามอย่างหาที่เปรียบมิได้
แม้ว่าสายฝนที่ตกหนักจะทำให้ร่มของเธอไม่สามารถต้านทานแรงฝนได้อยู่
จนเปียกปอนไปทั้งหญิงสาวและชายชรา
แต่หญิงสาวก็มิได้หวั่นเกรงสายฝนยังคงพยายามช่วยเหลือบังสายฝนให้ชายชราผู้
น่าเวทนาให้เปียกปอนน้อยที่สุด
ท่ามกลางสายตาของใครหลายคู่ที่มองเห็นเหตุการณ์ตรงหน้า

         
เธอเป็นใคร? ไม่มีใครรู้
แต่เรื่องราวของเธอกลับสร้างความประทับใจไปทั่วโลกไซเบอร์ จนใคร ๆ
ต่างก็ขนานนามเธอว่า "นางฟ้าที่สวยที่สุด"
เพราะทุกคนได้เห็นความดีที่งดงามซึ่งอยู่ในจิตใจของหญิงสาวนิรนามผู้นี้นั่น
เอง





ฮีโร่! หนุ่มกว่างโจวไม่คิดชีวิต โดดช่วยคนจมน้ำจนตัวตาย

         

ความมีน้ำใจที่อยากช่วยเหลือผู้อื่นลงท้ายกลับกลายเป็นเรื่องน่าเศร้าที่คน
ทราบข่าวต้องหลั่งน้ำตาให้ จากเหตุการณ์เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม
ที่ชายชาวจีนนามว่า "หนิว จั้วเถา" อดีตนายทหารวัย 31 ปี
ตัดสินใจกระโดดแม่น้ำจูเจียง ในเมืองกว่างโจว
ลงไปช่วยหญิงสาวรายหนึ่งที่กำลังจะจมน้ำ แต่ในที่สุดแล้ว
กระแสน้ำที่ไหลเชี่ยวกลับพรากชีวิตของพลเมืองดี
และหญิงผู้เคราะห์ร้ายให้จากไปอย่างไม่มีวันกลับ
สร้างความเศร้าสะเทือนใจให้กับบรรดาเพื่อน ๆ
ของนายหนิวที่เห็นเพื่อนจมหายไปต่อหน้าต่อตา ขณะที่ภรรยา และลูกสาววัย 5
ขวบ ของนายหนิว เมื่อได้ทราบข่าวร้ายนี้
ก็ตกใจและร่ำไห้ที่ต้องสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักไปก่อนวัยอันควร

         
อย่างไรก็ตาม การเสียชีวิตของนายหนิว พลเมืองดีผู้กล้าหาญครั้งนี้
ได้ทำให้ทางการเมืองกว่างโจวประกาศยกย่องให้นายหนิวเป็น "วีรบุรุษ"
และขอให้ชาวจีนทั้งประเทศเอาเยี่ยงอย่างความกล้าหาญของนายหนิว นอกจากนี้
เรื่องราวของนายหนิว ยังเป็นการสะกิดสังคมของจีนที่กำลังเสื่อมโทรมอย่างแรง
เพราะในขณะที่ชาวจีนหลายคนกำลังแข่งขันกันอย่างเอาเป็นเอาตาย และลืมคำว่า
"มนุษยธรรม" ไปเสียหมดสิ้น กลับยังมีชายอีกคนหนึ่งอยู่ร่วมในสังคมเดียวกัน
พยายามยื่นมือเข้าช่วยเหลือคนอื่นโดยไม่คิดชีวิต
แม้กระทั่งตัวตายก็ยังได้รับการสรรเสริญ และยกย่องให้เป็น "วีรบุรุษ"

         
และนี่ก็คือ 15 คนแห่งปีที่มีแนวคิดดี ๆ และทำความดีเพื่อผู้อื่น
ซึ่งกระปุกดอทคอมขอยกย่องให้พวกเขาเป็นบุคคลต้นแบบสังคมประจำปี 2554
เชื่อว่าใครที่ได้อ่านเรื่องราวเหล่านี้ คงรู้สึกประทับใจในความดีของพวกเขา
และเรื่องราวเหล่านี้อาจจะช่วยเปลี่ยนมุมมองของใครหลาย ๆ คน ให้มองเห็นว่า
โลกของเราใบนี้น่าอยู่ขึ้นอีกมากเลย จริงไหมคะ?




 

Create Date : 09 ธันวาคม 2554    
Last Update : 9 ธันวาคม 2554 1:00:26 น.
Counter : 1469 Pageviews.  

ไหว้พระขอพร 9 พระอารามหลวง

........

ไหว้พระ 9 วัด กรุงเทพ

ไหว้พระ 9 วัด กรุงเทพ

ไหว้พระ 9 วัด กรุงเทพ

ไหว้พระ 9 วัด กรุงเทพ

ไหว้พระ 9 วัด กรุงเทพ

ไหว้พระ 9 วัด กรุงเทพ


ไหว้พระขอพร 9 พระอารามหลวง (ททท.)

"การเริ่มต้นที่ดี คือส่วนหนึ่งของความสำเร็จ" จากคติดังกล่าว การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) จึงได้จัดทำกิจกรรม "ไหว้พระขอพร 9 พระอารามหลวง"
ขึ้น
เพื่อให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวที่สนใจได้เดินทางท่องเที่ยวสักการะสถานที่
อันเป็นมงคล เพื่อการเริ่มต้นอย่างมีความสุขสงบทางใจ ตามคติความเชื่อของไทย
อีกทั้งยังเป็นการเรียนรู้ถึงคุณค่าของโบราณสถานที่สำคัญของเกาะ
รัตนโกสินทร์และบริเวณโดยรอบอีกด้วย


สำหรับ 9 พระอารามหลวง ได้แก่...



ไหว้พระ 9 วัด กรุงเทพ

ไหว้พระ 9 วัด กรุงเทพ

1. วัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหาร

คติ : เดินทางปลอดภัยดี มีมิตรไมตรีที่ดี
          เครื่องสักการะ : ธูป 3 ดอก เทียนแดงคู่ ดอกไม้พวงมาลัย

ประวัติ/ความเป็นมา

         
วัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหาร เป็นพระอารามหลวงชั้นโท เจ้าพระยานิกรบดินทร์ (โต
กัลยาณมิตร) ได้อุทิศที่ดิน ซึ่งบริเวณดังกล่าวเดิมเรียกว่า
"หมู่บ้านกุฎีจีน" วัดนี้สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ.2368 ในสมัยรัชกาลที่ 3
และได้ถวายเป็นพระอารามหลวง ได้รับพระราชทานนามว่า "วัดกัลยาณมิตร"
พร้อมกับทรงสร้างพระวิหารหลวงเพื่อเป็นที่ประดิษฐาน "พระพุทธไตรรัตนนายก"
(หลวงพ่อโต) ซึ่งเป็นชื่อที่ได้รับพระราชทานจากรัชกาลที่ 4
หรือเรียกตามแบบจีนว่า (ชำปอฮุดกง หรือ ชำปอกง)

         
วัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหาร
เป็นวัดเดียวในประเทศไทยที่มีองค์พระประธานเป็นพระพุทธรูปปางปาลิไลยก์
โดยประดิษฐานอยู่ในพระอุโบสถ ภายในมีภาพจิตรกรรมฝาผนังเรื่องพุทธประวัติ
นอกจากนี้ ยังมีหอพระธรรมมณเฑียรเถลิงพระเกียรติ
เป็นที่เก็บพระไตรปิฎกและพระคัมภีร์ต่าง ๆ ซึ่งรัชกาลที่ 4 โปรดเกล้าฯ
ให้สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2408

การเดินทาง

วัด
กัลยาณมิตรวรมหาวิหาร ตั้งอยู่แขวงวัดกัลยาณ์ เขตธนบุรี มีโดยรถประจำทาง
สาย 40, 57, 149 รถปรับอากาศ สาย ปอ. 177
หรือจะไปทางเรือก็ต้องข้ามเรือข้ามฟากที่ท่าเรือปากคลองตลาดมาท่าเรือวัด
กัลยาฯ



ไหว้พระ 9 วัด กรุงเทพ

ไหว้พระ 9 วัด กรุงเทพ

2. วัดชนะสงครามราชวรมหาวิหาร

คติ : มีชัยชนะต่ออุปสรรคทั้งปวง
          เครื่องสักการะสำหรับพระประธานในโบสถ์ : ธูป 3 ดอก เทียน 1 เล่ม ดอกบัว 1 ดอก
          เครื่องสักการะสำหรับรูปเคารพสมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท : ธูป 5 ดอก เทียน 1 เล่ม ดอกบัว 1 ดอก

ประวัติ/ความเป็นมา

         
วัดชนะสงครามราชวรมหาวิหาร เป็นพระอารามหลวงชั้นโท
สร้างสมัยก่อนกรุงรัตรโกสินทร์
สมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาททรงสถาปนาวัดขึ้นมาใหม่ และรัชกาลที่ 1
โปรดเกล้าฯ ให้เป็นวัดพระสงฆ์ฝ่ายราชสามัญ
เพื่อเป็นการให้เกียรติแก่ทหารรามัญในกองทัพของสมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุ
รสิงหนาท ต่อมาเมื่อมีชัยชนะต่อกองทหารข้าศึกถึง 3 ครั้ง
จึงพระราชทานนามใหม่ว่า "วัดชนะสงคราม"

         
วัดชนะสงครามราชวรมหาวิหาร มีพระพุทธรูปปูนปั้นลงรักปิดทอง ปางมารวิชัย
เป็นพระประธาน มีพระนามว่า "พระพุทธนรสีห์ตรีโลกเชฏฐ์
มเหทธิศักดิ์ปูชนียะชยันตะโคดมบรมศาสดา อนาวรญาณ" ประดิษฐาน ณ พระอุโบสถ

การเดินทาง

         
วัดชนะสงครามราชวรมหาวิหาร ตั้งอยู่บนถนนจักรพงษ์ แขวงบางลำพู เขตพระนคร
สามารถเดินทางโดยรถประจำทาง สาย 33, 64, 65 หรือรถปรับอากาศ สาย ปอ. 3, 32,
33, 64, 65



ไหว้พระ 9 วัด กรุงเทพ

ไหว้พระ 9 วัด กรุงเทพ

3. วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร

    คติ : ร่มเย็นเป็นสุข
          เครื่องสักการะ : ธูป 9 ดอก เทียนคู่ ทองคำเปลว 11 แผ่น

ประวัติ/ความเป็นมา

         
วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร หรือที่รู้จักกันในนาม "วัดโพธิ์"
เป็นพระอารามหลวงชั้นเอก เดิมชื่อ "วัดโพธาราม"
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงบูรณะและโปรดเกล้าฯ
ให้สร้างประเจดีย์เพื่อบรรจุพระพุทธรูปพระศรีสรรเพชญ์
ซึ่งอัญเชิญมาจากกรุงศรีอยุธยา ต่อมาใน พ.ศ. 2377 รัชกาลที่ 3
ทรงโปรดเกล้าฯ ให้บูรณะพระเจดีย์ แล้วพระราชทานนามว่า
"พระมหาเจดีย์ศรีสรรเพชญดาญาณ" และทรงสร้าง "พระมหาเจดีย์ดิลกธรรมกนิธาน"
เพื่ออุทิศถวายพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยรัชกาลที่ 2
และทรงมีพระราชประสงค์ให้วัดโพธิ์เป็น "มหาวิทยาลัยสำหรับประชาชน"
จึงโปรดเกล้าฯ
ให้รวบรวมสรรพวิชาความรู้มาจารึกบนแผ่นศิลาติดไว้บริเวณพระอุโบสถ
เพื่อให้ประชาชนมาศึกษาหาความรู้

          ที่วัดโพธิ์มี
"พระพุทธเทวปฏิมากร" ประดิษฐานอยู่ภายในพระอุโบสถ ใต้ฐานชุกชี
บรรจุพระบรมอัฐิของรัชกาลที่ 1
มีพระวิหารเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปไสยาสน์ที่สวยงามที่สุด
และองค์ใหญ่เป็นอันดับ 4 ในประเทศไทย
เป็นพระพุทธรูปก่ออิฐถือปูนพื้นพระบาทประดับมุก เป็นภาพมงคล 108 ประการ
นอกจากนั้น วัดโพธิ์ยังมีเจดีย์ทั้งสิ้น 99 องค์
ถือว่าเป็นวัดที่มีเจดีย์มากที่สุดในประเทศไทย และมีพระมหาเจดีย์ 4 รัชกาล
คือ รัชการที่ 1- 4 แห่งกรุงรัตรโกสินทร์

          ในปัจจุบันวัดโพธิ์เปิดอบรมเผยแพร่วิชาการแพทย์แผนโบราณ โดยผู้ผ่านการอบรมจะได้รับใบประกอบโรคศิลป์จากกระทรวงสาธารณสุข

การเดินทาง

         
วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ราชวรมหาวิหาร ตั้งอยู่ด้านหลังพระบรมมหาราชวัง
ถนนสนามไชย แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร สามารถโดยรถประจำทาง สาย 12,
44, 82, 91 รถปรับอากาศ สาย ปอ. 12, 32, 44, 91, 51



ไหว้พระ 9 วัด กรุงเทพ

ไหว้พระ 9 วัด กรุงเทพ

4. วัดพระศรีรัตนศาสดาราม

          คติ : เพื่อจิตใจสะอาด ดุจรัตนตรัย
          เครื่องสักการะ : ธูป 3 ดอก เทียน 1 เล่ม ดอกไม้

ประวัติ/ความเป็นมา

         
วัดพระศรีรัตนศาสดาราม หรือวัดพระแก้ว
เป็นพระอารามที่อยู่ในบริเวณพระบรมมหาราชวัง รัชกาลที่ 1 โปรดเกล้าฯ
ให้สร้างขึ้นใน พ.ศ. 2326
เพื่อความสะดวกเวลาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงบำเพ็ญพระราชกุศลตามราช
ประเพณี และเพื่อเป็นที่บรรจุพระอัฐิอายุของพระเจ้าแผ่นดินเจ้านายในราชสกุล
ภายในวัดพระแก้วมีสิ่งที่น่าสนใจมากมาย อาทิ พระอุโบสถอันเป็นที่ประดิษฐาน
"พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร" (พระแก้วมรกต)
ที่พระระเบียงมีจิตรกรรมฝาผนังเรื่องรามเกียรติ์ที่วิจิตรสวยงามและยาวที่
สุดในโลก มีปราสาทพระเทพบิดร ซึ่งเป็นปราสาทยอดปรางค์
เป็นที่ประดิษฐานพระบรมรูปรัชกาลที่ 1- 8

         
มีพระศรีรัตนเจดีย์ประดับกระเบื้องสีทองทั้งองค์เป็นที่ประดิษฐานพระบรม
สารีริกธาตุมีหอพระราชพงศานุสรณ์เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปประจำรัชกาลของ
พระมหากษัตริย์แห่งกรุงรัตนโกสินทร์
มีหอระฆังที่มีระฆังซึ่งตีมีเสียงดังกังวานดี
มีพระบรมราชานุสาวรีย์ประจำรัชกาลของพระมหากษัตริย์กรุงรัตนโกสินทร์และยัง
มีรูปยักษ์ 6 คู่ เป็นรูปยักษ์ตัวสำคัญจากเรื่องรามเกียรติ์
เป็นปูนปั้นทาสี ประดับกระเบื้องเคลือบสีต่าง ๆ สูงประมาณ 6 เมตร
ตั้งประจำที่ช่องประตูพระระเบียง

การเดินทาง

         
วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ตั้งอยู่บริเวณสนามหลวง ถนนหน้าพระลาน
แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร สามารถโดยรถประจำทาง สาย 1, 3, 25, 32, 33,
59, 60, 70, 82, 91, 201, 203 รถปรับอากาศ สาย ปอ. 2, 3, 6, 25, 32, 59,
60, 70, 82, 91, 201, 203, 512



ไหว้พระ 9 วัด กรุงเทพ

ไหว้พระ 9 วัด กรุงเทพ

5. วัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหาร

คติ : ชื่อเสียงโด่งดัง คนนิยมชมชอบ
          เครื่องสักการะ : ธูป 3 ดอก เทียนคู่ ทองคำเปลว

ประวัติ/ความเป็นมา

         
วัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหาร หรือเป็นที่รู้จักกันในนาม วัดระฆัง
เป็นพระอารามหลวงชั้นโท เดิมชื่อว่า “วัดบางว้าใหญ่”
เป็นวัดโบราณมีมาตั้งแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา
พระอุโบสถเป็นสถาปัตยกรรมในสมัยรัชกาลที่ 1
มีลายหน้าบันเป็นรูปนารายณ์ทรงครุฑ ภายในมีภาพจิตรกรรมฝาผนังพระอุโบสถนี้
เป็นที่ประดิษฐานของพระประธานซึ่งรัชกาลที่ 5 ทรงเรียกว่า
"พระประธานยิ้มรับฟ้า" นอกจากนี้ ยังมีหอไตรเป็นรูปเรือนสามหลังแฝด
ภายในมีภาพจิตรกรรมที่สำคัญหลายแห่งทั้งบานประตู
และฝาผนังรวมทั้งตู้พระไตรปิฏกสมัยกรุงศรีอยุธยา

         
วัดระฆังเคยเป็นที่ประทับของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี)
สมเด็จพระราชาคณะในสมัยรัชกาลที่ 4 ซึ่งเป็นพระเถระผู้ทรงเกียรติคุณ
วิทยาคุณโด่งดังมากแต่อดีตจวบจนปัจจุบัน การไปสักการะสมเด็จพุฒาจารย์
เพื่อขอพรโดยการสวดคาถาชินบัญชรเมื่อสวดจบแล้ว
ปักธูปที่กระถางและปิดทองที่รูปปั้น
แล้วอย่าลืมพรมน้ำมนต์เพื่อความเป็นสิริมงคล

การเดินทาง

         
วัดระฆังโฆสิตารามมรมหาวิหาร ตั้งอยู่บนถนนอรุณอัมรินทร์ แขวงศิริราช
เขตบางกอกน้อย สามารถโดยรถประจำทาง สาย 19, 57 ส่วนทางเรือ
โดยเรือด่วนเจ้าพระยาแล้วลงที่ท่ารถไฟ หรือท่าวังหลัง
หรือข้ามฝากที่ท่าช้างแล้วขึ้นที่ท่าเรือวัดระฆัง



ไหว้พระ 9 วัด กรุงเทพ

ไหว้พระ 9 วัด กรุงเทพ

6. วัดสุทัศเทพวรารามราชวรมหาวิหาร

คติ : วิสัยทัศน์กว้างไกล มีเสน่ห์แก่คนทั่วไป
          เครื่องสักการะ : ธูป 3 ดอก เทียน 1 เล่ม

ประวัติ/ความเป็นมา

         
วัดสุทัศเทพวรารามวรมหาวิหาร เป็นพระอามามหลวงชั้นเอก
และเป็นวัดประจำรัชกาลที่ 8 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เดิมชื่อ
"วัดมหาสุทธาวาส" วันนี้เริ่มสร้างเมื่อปี พ.ศ. 2350 เสร็จสมบูรณ์ พ.ศ.
2390 ในสมัยรัชกาลที่ 3 และได้รับพระราชทานนามใหม่ว่า "วัดสุทัศเทพวราราม"

         
ที่พระวิหารมี "พระศรีศากยมุนี"
เป็นพระประธานซึ่งอัญเชิญมาจากสุโขทัยเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยหล่อด้วย
สำริดถอดแบบมาจากพระวิหารพระมงคลบพิตร กรุงศรีอยุธยา
บานประตูใหญ่ของพระวิหารสลักไม้สวยงามรอบพระวิหารมีถะ
หรือเจดีย์ศิลาแบบจีนตั้งอยู่บนฐานทักษิณ เป็นถะ 6 ชั้น จำนวน 28 องค์
มีพระอุโบสถเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธตรีโลกเชฏฐ์ เป็นพระประธานปางมารวิชัย
ใหญ่กว่าพระที่หล่อในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ องค์อื่น ๆ
มีภาพจิตรกรรมฝาผนังอันเป็นฝีมือช่างชั้นครูในสมัยรัชกาลที่ 3 ที่งดงามมาก
พระอุโบสถนี้นับว่ายาวที่สุดในประเทศไทย นอกจากนี้
ยังมีศาลาการเปรียญที่มีพระพุทธเสรฏฐมุนี
เป็นพระประธานที่หล่อด้วยกลักฝิ่นเมื่อ พ.ศ. 2382 ในสมัยรัชกาลที่ 3
เช่นกัน

การเดินทาง

         
วัดสุทัศเทพวรารามราชวรมหาวิหาร ตั้งอยู่บริเวณเสาชิงช้า
ตรงข้ามศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร แขวงเสาชิงช้า เขตพระนคร
สามารถโดยรถประจำทาง สาย 10, 12, 42 รถปรับอากาส สาย ปอ. 10, 12, 42



ไหว้พระ 9 วัด กรุงเทพ

ไหว้พระ 9 วัด กรุงเทพ

7. วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร

  คติ : ชีวิตรุ่งโรจน์ทุกคืนวัน
          เครื่องสักการะ : ธูป 3 ดอก เทียนคู่

ประวัติ/ความเป็นมา

         
วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร เป็นพระอารามหลวงชั้นเอก
สร้างสมัยกรุงศรีอยุธยา เดิมชื่อวัดมะกอก เมื่อ พ.ศ. 2310
สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช (พระเจ้ากรุงธนบุรี)
เสด็จทางชลมารคจากกรุงศรีอยุธยามารุ่งเช้าที่หน้าวัดมะกอก
จึงโปรดเกล้าฯให้ปฏิสังขรณ์ แล้วเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น "วัดแจ้ง"
ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 2 ได้ทรงปฏิสังขรณ์และพระราชทานนามใหม่ว่า
"วัดอรุณราชวราราม"

         
ในสมัยกรุงธนบุรีวัดอรุณราชวรารามเคยเป็นที่ประดิษฐานของพระแก้วมรกต
ก่อนที่จะอัญเชิญไปประดิษฐานที่วัดพระแก้ว
นอกจากนั้นยังมียักษ์ปูนปั้นขนาดใหญ่ 2 ตน
ตั้งอยู่หน้าประตูซุ้มยอดพระมงกุฏ ซึ่งเป็นที่รู้จักกันทั่วไปในนาม
"ยักษ์วัดแจ้ง"

         
ภายในวัดอรุณราชวรารามนี้มีสิ่งที่น่าสนใจมากมาย อาทิ
มีพระปรางค์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกสูง 33 วาเศษ
ประดับด้วยชิ้นกระเบื้องเคลือบสีต่าง ๆ ยอดพระปรางค์เป็นนภศูล
ในสมัยรัชกาลที่ 3 มีปรางค์ทิศทั้ง 4 ประดิษฐานพระพุทธรูปปางประสูติ
เทศน์พระธัมมจักร ตรัสรู้ นิพพาน การเดินเวียนทักษิณาวัดรอบพระปรางค์ 3 รอบ
โดยเดินเวียนขวา (ตามเข็มนาฬิกา) เพื่อความเป็นสิริมงคล
มีพระอุโบสถเป็นที่ประดิษฐาน "พระพุทธธรรมมิศรราชโลกธาตุดิลก"
ซึ่งรัชกาลที่ 2 ทรงปั้นหุ่นและพระพักตร์ด้วยฝีพระหัตถ์พระองค์เอง
และยังมีพระวิหารที่มีพระบรมสารีริกธาติที่เกศพระพุทธชมภูนุชฯ
มีพระอรุณหรือพระแจ้ง ที่รัชกาลที่ 4 ทรงอัญเชิญมาจากเวียงจันทน์

การเดินทาง

         
วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร ตั้งอยู่ข้างกองทัพเรือ ถนนอรุณอัมรินทร์
เขตบางกอกใหญ่ สามารถโดยรถประจำทาง สาย 19, 57
หรือนั่งเรือโดยสารข้ามฟากจากท่าเตียน มาขึ้นที่วัดอรุณ



ไหว้พระ 9 วัด กรุงเทพ

ไหว้พระ 9 วัด กรุงเทพ

8. วัดบวรนิเวศวิหาร

คติ : พบแต่สิ่งดีงามในชีวิต
          เครื่องสักการะ : ธูป 9 ดอก เทียน 1 เล่ม ดอกบัว 3 ดอก

ประวัติ/ความเป็นมา

         
วัดบวรนิเวศวิหาร เป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชชวรวิหาร
สมเด็จพระบวรราชเจ้ากรมพระราชวังบวรมหาศักดิพลเสพกรมพระราชวังบวรสถานมงคล
ในรัชกาลที่ 3 ทรงสร้างขึ้นใหม่ระหว่าง พ.ศ. 2367 - 2375
เดิมมีชื่อเรียกว่า วัดใหม่ ได้รับพระราชทานชื่อใหม่ เมื่อรัชกาลที่ 3
ทรงอาราธนาสมเด็จพระอนุชาธิราช เจ้าฟ้ามงกุฎเสด็จมาประทับเมื่อปี พ .ศ.
2375 นอกจากนี้ ยังเป็นวัดที่รัชกาลที่ 6 รัชกาลที่ 7
และรัชกาลปัจจุบันทรงผนวช เป็นวัดของคณะ สงฆ์ฝ่ายคามวาสีของธรรมยุติกนิกาย

         
สิ่งสำคัญภายในวัดบวรนิเวศวิหาร ได้แก่ พระอุโบสถ เป็นอาคารแบบตรีมุข
หน้าบันประดับกระเบื้องเคลือบ ตรงกลางมีตรามหามงกุฎ
พระประธานในพระอุโบสถและพระพุทธชินสีห์ วิหารพระศาสดา พระเจดีย์ใหญ่
และพระตำหนักปั้นหยา สถานที่ประทับของพระมหากษัตริย์และเจ้าฟ้าที่ทรงผนวช

การเดินทาง

          วัดบวรนิเวศวิหาร ตั้งอยู่ริมถนนบวรนิเวศและถนนพระสุเมรุ แขวงนิเวศ เขตพระนคร สามารถโดยรถประจำทาง สาย 10, 12, 56, 68



ไหว้พระ 9 วัด กรุงเทพ

ไหว้พระ 9 วัด กรุงเทพ

9. วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร

  คติ : เสริมสร้างความคิดอันเป็นสิริมงคล
          เครื่องสักการะ : ธูป 9 ดอก เทียน 1 เล่ม ดอกบัว 3 ดอก

ประวัติ/ความเป็นมา

         
วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร เป็นพระอารามหลวงชั้นโท
เป็นวัดสำคัญคู่มากับการสร้างกรุงเทพมหานคร
เป็นวัดโบราณสร้างมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา เดิมชื่อวัดสระแรัชกาลที่ 1
ทรงปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่โปรดให้ขุดคลองรอบพระอารามและพรราชทานนามว่า
วัดสระเกศ จนถึงสมัยรัชกาลที่ 3
โปรดให้บูรณปฏิสังขรณ์ทั่วทั้งพระอารามและสร้างสิ่งต่าง ๆ เพิ่มเติม เช่น
พระบรมบรรพต หรือ ภูเขาทอง

         
สิ่งสำคัญภายในวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร ได้แก่ พระบรมบรรพต หรือ ภูเขาทอง
ซึ่งสร้างเป็นพระปรางค์ในสมัยรัชกาลที่ 3 แต่เกิดทรุดทังลง รัชกาลที่ 4
โปรดให้ซ่อมแซม โดยแปลงเป็นภูเขาและก่อพระเจดีย์ไว้บนยอด
ภายในบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ สร้างแล้วเสร็จในสมับรัชกาลที่ 5 นอกจากนี้
ภายในพระอุโบสถที่ภายในมีภาพเขียนจิตรกรรมฝีมือช่าง สมัยรัชกาลที่ 3
และหอไตร ศิลปะสมัยอยุธยาบานหน้าต่างเป็นลายรดน้ำ

การเดินทาง

          วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร ตั้งอยู่บริเวณปากคลองมหานาค แขวงบ้านบาตร เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย




 

Create Date : 08 ธันวาคม 2554    
Last Update : 8 ธันวาคม 2554 1:22:06 น.
Counter : 699 Pageviews.  

25 คำคมชีวิตสะกิดใจจากทั่วโลก

........



เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก pinterest.com

         
ในชีวิตของคนเรา
ล้วนได้เจอกับเหตุการณ์และมีประสบการณ์ชีวิตที่แตกต่างกันออกไป
การเรียนรู้ความจริงของชีวิตทุก ๆ อย่างที่มีด้วยตัวเองทั้งหมด
จึงดูเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้และยากเย็นเกินกว่าหนึ่งชีวิตจะทำได้
การแลกเปลี่ยนความคิดด้วยการถ่ายทอดผ่านถ้อยคำที่สะกิดใจ
จึงเป็นการเรียนรู้ความจริงของชีวิตได้อีกทางหนึ่ง วันนี้
กระปุกดอทคอมก็เลยขอรวบรวมคำคมสะกิดใจจากคนดังหลาย ๆ คนมาฝากกันอีกครั้ง
เพื่อกระตุ้นความคิดและสร้างกำลังใจให้ใครหลาย ๆ คนค่ะ
ว่าแล้วก็ไปดูกันว่าถ้อยคำสวย ๆ ที่เลือกมาฝากกันวันนี้มีอะไรบ้าง







Life is too short to spend time with people who suck the happiness out of you.


  ชีวิตคนเราสั้นเกินกว่าที่จะเสียเวลาให้กับคนที่พรากความสุขไปจากเรา





Sometimes we need to forget some people from our past, because of one simple reason; they just don't belong in our future.


บางครั้งคนเราก็ต้องลบลืมคนบางคนในอดีต เพราะเหตุผลง่าย ๆ เหตุผลเดียว นั่นคือ.. ใครคนนั้นจะได้ไม่อยู่ในอนาคตของเรา







Being single doesn't mean you're weak; it means you're strong enough to wait for what you deserve.


   การเป็นโสดไม่ได้หมายความว่าคุณอ่อนแอ แต่มันหมายความว่าคุณเข้มแข็งพอที่จะรอในสิ่งที่คุณคู่ควรต่างหาก






  Consider how hard it is to change yourself and you'll understand what little chance you have in trying to change others.


ลองคิดดูว่ามันยากแค่ไหนที่จะเปลี่ยนตัวเราเอง แล้วคุณจะรู้ว่ามันมีโอกาสน้อยแค่ไหนที่จะเปลี่ยนคนอื่น






Difference between school and life?
          In school you are taught a lesson and then given a test.
          In life, you are given a test that teaches you a lesson.




ชีวิตวัยเรียนและชีวิตจริงแตกต่างกันตรงที่..
          ชีวิตวัยเรียน เราได้รับการสอนบทเรียนก่อนทำแบบทดสอบ
          แต่ในชีวิตจริงนั้น เราจะได้ทำแบบทดสอบที่จะสอนบทเรียนให้กับเรา










The world will not be destroyed by those who will do evil,But by those who watch them without doing anything.


โลกใบนี้จะไม่พินาศด้วยน้ำมือของคนชั่ว แต่มันจะพังพินาศด้วยน้ำมือของคนที่ได้แต่มอง แต่ไม่คิดจะทำอะไรเลยต่างหาก





The happiest people don't have the best of everything, they just make the best of everything.


คนที่มีความสุขที่สุด ไม่ใช่คนที่ "มี" ทุกอย่างในชีวิตดีที่สุด แต่คือคนที่สามารถ "ทำ" ทุกอย่างในชีวิตให้ดีที่สุด





If you don't like something, change it. If you can't change it, change the way you think about it.


ถ้าคุณไม่ชอบอะไร ขอให้เปลี่ยนมัน
          ถ้าคุณเปลี่ยนมันไม่ได้ ขอให้เปลี่ยนทัศนคติของคุณเอง





You have the choice to create the life your heart is yearning to live.


คุณเลือกได้ที่จะมีชีวิตอย่างที่หัวใจต้องการ





Never get tired of doing little things for others. Sometimes those little things occupy the biggest part of their hearts.


อย่าเบื่อหน่ายกับการทำสิ่งเล็ก ๆ เพื่อคนอื่น เพราะบางครั้งสิ่งเล็ก ๆ นั้น อาจกลายเป็นสิ่งยิ่งใหญ่ในหัวใจของคนเหล่านั้น






Be who you are and say what you feel because those who mind don't matter and those who matter don't mind.



เป็นในสิ่งที่คุณเป็น และพูดในสิ่งที่คุณรู้สึก
เพราะคนที่สำคัญกับชีวิตคุณจะไม่ใส่ใจมัน
ส่วนคนที่ใส่ใจมันคือคนที่ไม่สำคัญกับชีวิตคุณ







Tell me and I forget. Teach me and I remember. Involve me and I learn.


บอกฉัน ฉันจะลืม สอนฉัน ฉันจะจำ แต่ถ้าให้ฉันได้ทำ ฉันจะเรียนรู้





God often removes a person from your life for your protection. Think before running after them.


พระเจ้ามักจะพรากคนออกจากชีวิตเพื่อปกป้องคุณ จงคิดก่อนที่จะวิ่งตามพวกเขา




Rudeness is weak person's imitation of strength.


ความหยาบคาย คือ การพยายามทำเป็นเข้มแข็งที่คนอ่อนแอมักจะทำ






Nothing is permanent in this wicked world, not even our troubles.


ไม่มีอะไรที่คงทนถาวรเลยสักอย่างในโลกที่โหดร้าย แม้กระทั่งความทุกข์ของชีวิต







Some people come in your life as blessings, others come in your life as lessons.


มีแค่คนไม่กี่คนเท่านั้นที่เข้ามาในชีวิตคุณเหมือนเป็นพรจากสวรรค์ ส่วนคนอื่น ๆ นั้น เข้ามาเพื่อให้บทเรียน









Keep your thoughts positive because your thoughts become your words.
Keep your words positive because your words become your behavior.
Keep your behavior positive because your behavior becomes your habits.           Keep your habits positive because your habits become your values.
Keep your values positive because your values become your destiny.


จงระวังความคิด เพราะความคิดจะกลายเป็นคำพูด
จงระวังคำพูด เพราะคำพูดจะกลายเป็นการกระทำ
จงระวังการกระทำ เพราะการกระทำจะกลายเป็นนิสัย
จงระวังนิสัย เพราะนิสัยจะกลายเป็นบุคลิก
จงระวังบุคลิก เพราะบุคลิกจะกลายเป็นชะตากรรม








Have nothing in your house that you do not know to be useful, or believe to be beautiful.


อย่าได้ครองของใช้ที่ไม่มีประโยชน์ และไม่สวย






Feelings are much like waves, we can't stop them from coming but we can choose which one to surf.


ความรู้สึกคนเรามันเหมือนคลื่น เราไม่อาจหยุดมันไม่ให้ซัดมาได้
แต่เราสามารถเลือกวิธีที่จะโต้คลื่นได้









May the sun brings you new energy by day.
May the moon softly restore you by night.
May the rain wash away your worries.
May the breeze blow new strength into your being
May you walk gently through the world and know its beauty all the days of your life.


ขอให้ดวงอาทิตย์ ทำให้คุณมีพลังในตอนกลางวัน
ขอให้ดวงจันทร์ ทำให้คุณได้ฟื้นฟูร่างกายในตอนกลางคืน
ขอให้สายฝน ชะล้างความกังวลที่มีออกไปหมด
ขอให้สายลม ช่วยพัดพาความเข้มแข็งมาสู่ชีวิต
และขอให้คุณค่อย ๆ ย่างก้าวไปบนโลก
แล้วรับรู้ถึงความสวยงามของชีวิตในทุก ๆ วัน









It is easier to build strong children than to repair broken men.


การสร้างเด็กที่เข้มแข็งสักคน ง่ายกว่าการทำให้ผู้ชายสิ้นหวังกลับมาเข้มแข็งได้ดังเดิม







Don't marry a man unless you would be proud to have a son exactly like him


อย่าแต่งงานกับผู้ชายคนไหน จนกว่าจะแน่ใจว่าคุณจะรู้สึกภูมิใจถ้าวันหนึ่งมีลูกชายเป็นเหมือนเขา










Love me when I least deserve it, because that's when I really need it


ได้โปรดรักฉันเมื่อฉันควรค่ากับความรัก เพราะเวลานั้น คือเวลาที่ฉันต้องการมันอย่างแท้จริง





Wisdom is nothing more than healed pain.


ความฉลาดไม่ได้มีความหมายอะไรมากไปกว่าความเจ็บปวดที่ได้รับการเยียวยาแล้ว






For one minute please,

stand here in silence and look at the sky,
and contemplate how awesome life is.


ขอเวลา 1 นาที ยืนตรงนี้เงียบ ๆ แล้วมองไปบนฟ้า
ลองคิดดูสิว่า ชีวิตมันวิเศษแค่ไหน


และ
นี่ก็คือคำคมชีวิตดี ๆ ทั้งหมดที่เรานำมาฝากให้นำไปขบคิดกัน และเผลอ ๆ
มันอาจจะยึดเป็นคติประจำใจของใครหลาย ๆ คนได้ด้วย ว่าแต่คุณล่ะคะ
มีคำคมชีวิตโดนใจเด็ด ๆ อะไรที่ประทับอยู่ในใจแบบที่ไม่เคยลืมบ้างหรือเปล่า
ลองเอามาแชร์ มาเล่าสู่กันฟังกันบ้างก็ดีนะคะ




 

Create Date : 06 ธันวาคม 2554    
Last Update : 6 ธันวาคม 2554 18:37:30 น.
Counter : 7250 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  

Aoniiz
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add Aoniiz's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.