นักเขียนนามปากกา "จันทร์ทอแสง" เขียนนิยายแนว 20+ ทั้งโลกสวยและโลกไม่สวย

 
มกราคม 2559
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
22 มกราคม 2559
 

[ขอรักเธอให้สุดใจ] 3 : ทิ้ง



ตอนที่ 3

ทิ้ง



มทิราค่อยๆ บิดตัวด้วยความเกียจคร้านบนเตียงนุ่ม เธอยกมือขึ้นกุมขมับ ดวงตาหวานแทบลืมไม่ขึ้น เธอมองไปรอบห้องด้วยความไม่คุ้นชิน เมื่อคืนเธอจำได้ว่าอยู่ในห้องคาราโอเกะกับศุภรุจ แล้วทำไมตอนนี้ถึงมาอยู่ที่นี่ได้

ห้องพักนี้ไม่ใช่ห้องนอนของเธอ! หญิงสาวคิดก่อนสะดุ้งตกใจรีบผุดลุกขึ้นโดยเร็ว สองมือสำรวจเสื้อผ้าตัวเองและพบว่ายังอยู่ครบทุกชิ้น เธอถอนใจเฮือกแล้วเริ่มมองรอบห้อง ศุภรุจนั่งสัปหงกอยู่บนเก้าอี้เดี่ยวข้างประตู

“รุจ รุจตื่น” เธอเข้าไปเขย่าปลุก เด็กหนุ่มสะดุ้งตื่น สีหน้าของเขาดูงงๆ ก่อนจับต้นชนปลายได้

“พี่มิ้นท์ตื่นแล้วหรือครับ” เขาถามแล้วยืนขึ้นบิดตัว การนั่งหลับทำให้เขาเมื่อยและหลังยอกไม่น้อย

“อะไรกัน ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่” มทิราถามแล้วเดินไปนั่งขอบเตียง เธอยกมือขึ้นกุมศีรษะ มีอาการปวดตุบๆ และหนักอึ้งเป็นระยะ

“เมื่อคืนพี่มิ้นท์เมาครับ ผมปลุกเท่าไหร่ก็ไม่ตื่น ตอนแรกผมไปส่งที่คอนโดแล้วแต่ไม่รู้ว่าพี่มิ้นท์พักอยู่ชั้นไหน และไม่รู้ว่าจะพาไปนอนที่ไหนดี ก็เลยพามาที่นี่ครับ ผมขอโทษที่พาพี่มิ้นท์เข้าโรงแรมแต่จะให้นอนในรถก็คงอึดอัด” เขาบอกด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิด

“ไม่เป็นไร ขอบใจรุจมากเลยนะ พี่ทำให้รุจลำบากเลย” เธอบอกเก้อๆ แล้วเดินไปเปิดกระเป๋าสะพายที่วางอยู่บนเตียง เธอหยิบโทรศัพท์ออกมาเพื่อดูเวลาและพบว่าตอนนี้ใกล้เจ็ดโมงเช้าแล้ว

“สายขนาดนี้แล้วเหรอนี่ เราแยกกันตรงนี้ก็ได้นะรุจ เดี๋ยวพี่กลับคอนโดเอง รุจจะได้กลับบ้านไปอาบน้ำ...วันนี้จะไปทำงานหรือเปล่า” เธอถามท้ายประโยค

“ไปครับ ต้องไปคืนรถและเอาเอกสารให้พี่เปิ้ลครับ”

“จริงสิ พี่ทำให้รุจลำบากเลย” เธอบอกแล้วกุมศีรษะ ศุภรุจเข้ามานั่งใกล้ๆ

“ไม่เป็นไรครับ เรื่องแค่นี้ผมไม่ลำบากเลย เดี๋ยวผมไปส่งพี่ที่คอนโดแล้วค่อยแวะกลับบ้านไปอาบน้ำก็ได้ครับ เข้าสายหน่อย เดี๋ยวผมอธิบายพี่เปิ้ลเอง”

“อย่าบอกพี่เปิ้ลนะว่าเกิดอะไรขึ้น พี่ไม่อยากให้ใครรู้”

“ได้ครับ เดี๋ยวผมจะบอกเองว่าขับรถเพลียเลยนอนเพลินไปหน่อย แล้วนี่พี่จะไปทำงานไหวหรือครับ”

“ยังไงก็ต้องไหว ถ้าพี่ไม่ไป คงถูกมองไม่ดีแน่ เดี๋ยวพี่รีบไปดีกว่า ว่าแต่ โรงแรมนี้ตั้งอยู่แถวไหน พี่จะได้กลับถูก”

“ไม่ไกลจากคอนโดพี่ครับ ไปครับ เดี๋ยวผมออกไปส่ง” ศุภรุจบอกแล้วเดินออกจากห้อง มทิราลูบหน้าลูบผมตัวเองเพื่อความเรียบร้อยก่อนรีบออกจากห้อง




วันนี้มทิราถึงบริษัทสายไปเกือบสิบห้านาที เป็นที่แปลกใจของเพื่อนร่วมงานมากแถมใบหน้าของเธอก็อิดโรยและดูเพลียๆ อีกด้วย เธอเตรียมใจมาแล้วว่าต้องเจอคำถามแน่นอน ยิ่งไปต่างจังหวัดกับรุ่นน้องต่างเพศแบบนี้ ไม่รู้ว่าจะมีใครมองเธอในแง่ร้ายบ้าง ซึ่งเธอก็อ้างคำตอบยอดฮิตว่ารถติดและเมื่อคืนเธอก็กลับดึกเลยเพลียนิดหน่อย
กับเพื่อนต่างแผนกยังพอตอบแบบอ้อมๆ ผ่านๆ ไปได้บ้าง แต่กับเพื่อนร่วมแผนก ทำให้มทิราต้องซักซ้อมคำตอบของตัวเองพอสมควร เธอสูดลมหายใจเข้าปอดหลายครั้งกว่าจะผลักประตูเข้าไปในห้องได้

เสียงหัวเราะอย่างครื้นเครงดังมาระหว่างที่มทิราก้าวเข้าไป ศุภรุจเดินทางมาถึงแล้ว เขากำลังนั่งคุยกับเปิ้ล ส้มโอและแม็ค

“นั่นไงครับพี่มิ้นท์มาแล้ว” ศุภรุจบอก

“ดูสิ หน้ามิ้นท์ซีดมากเลย เป็นไงล่ะเจอฤทธิ์ตีนผีของเด็กใหม่เข้าไป จริงๆ จะลาหยุดก็ได้นะ พี่ไม่ว่า เรื่องเมารถเนี่ย พี่เกลียดที่สุดเลย ทั้งปวดหัวทั้งมวนท้อง มันไม่สบายตัวเลย” เปิ้ลบอก ทำให้มทิรางง นี่ศุภรุจไปบอกอะไรกับเพื่อนร่วมแผนกของเธอ
ตีนผี...เมารถ เขากุเรื่องเพื่อให้เธอรอดจากความคิดไม่ดีของคนอื่น

“แล้วนี่เป็นยังไงบ้าง ดีขึ้นหรือยัง” แม็คถาม

“ดีขึ้นมากแล้ว ขอบคุณทุกคนมากค่ะ”

“เด็กวัยรุ่นก็อย่างนี้ คราวหลังให้แม็คไปคนเดียวดีกว่า”

“ผมก็ว่าตัวเองขับไม่เร็วนะครับ แค่ร้อยสามร้อยสี่เอง แต่พี่ มิ้นท์บอกว่าเบาหน่อยๆ ตลอด ไม่รู้จะกลัวอะไรนักหนา เมื่อวานกว่าจะถึงบ้านก็เกือบเที่ยงคืนแน่ะครับ”

“กลัวสิ เร็วขนาดนั้น พี่หัวใจวายพอดี” มทิรารับสมอ้าง

“มิ้นท์ขี้กลัวแบบนี้แหละ ขับเก้าสิบเขายังบอกว่าเร็วเลย”

“แหมพี่เปิ้ล มิ้นท์ก็ต้องห่วงชีวิตเป็นธรรมดาสิคะ และมิ้นท์ก็ชินกับการขับรถในกรุงเทพมากกว่า หกสิบเจ็ดสิบก็ถือว่าเร็วแล้วนะคะ”

“มันก็จริง ขับรถในเมืองมันขับเร็วไม่ได้เพราะรถติด รถเยอะ ขับเจ็ดสิบก็ถือว่าเร็วแล้ว โอเคพี่ไม่โทษมิ้นท์แล้ว ต้องโทษรุจที่ขับเร็วเกินจนพี่มิ้นท์เมาแบบนี้” เปิ้ลหันไปหลิ่วตากับเด็กฝึกงาน ศุภรุจหัวเราะแล้วก้มศีรษะรับ

“ผมผิดเองครับ ต่อไปผมจะขับให้ช้ากว่านี้ครับ แต่ก็ไม่รู้ว่าพี่เปิ้ลจะให้ผมไปอีกหรือเปล่า”

“ไปสิ ถ้ามีคนยอมนั่งไปกับรุจนะะ เห็นคนที่โน่นบอกว่ารุจเก่งมาก ขนกล่องนับสิบแบบไม่มีบ่นเลย ไม่เหมือนแม็ด ขนไปบ่นไป”

“อ้าว พี่เปิ้ล” แม็คโวย ขณะที่เปิ้ลลอยหน้าทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้และหันไปทำงานของตน มทิราหันไปมองศุภรุจ เด็กหนุ่มยิ้มให้ เธอยิ้มตอบแล้วเดินไปนั่งที่โต๊ะ




มทิราไม่มีสมาธิทำงานนักเพราะยังเมาค้างกับเหล้าที่ดื่มไปเมื่อคืน แต่เธอก็พยายามฝืนตัวเอง หลังทุกคนรู้ว่าเธอเมารถก็ไม่มีใครถามอะไรอีก คงต้องขอบคุณประวัติดีๆ ของเธอที่มีมาตลอด ทำให้ไม่มีใครมองในแง่ร้าย

กระทั่งเลิกงาน เธอก็ขอตัวกลับตรงเวลาเพราะมึนหัวไปหมด เปิ้ลอาสาไปส่งเธอที่คอนโดเพราะมทิราไม่ได้ขับรถมา หญิงสาวเอ่ยขอบใจยกใหญ่ เพราะหากให้เธอนั่งแท็กซี่กลับไม่รู้ว่าจะเลยหรือเปล่า เพราะเธอง่วงนอนมากแล้ว

เมื่อถึงห้องพัก หญิงสาวก็ทิ้งตัวลงนอนด้วยความหมดแรง การต้องฝืนทำตัวให้เป็นปกติทั้งที่ร่างกายและหัวใจอ่อนล้าจนแทบทรงตัวไม่อยู่มันทำให้เธอหมดแรงยิ่งกว่าทำงานหนักเสียอีก เธอสะอื้นด้วยความเหนื่อยและผิดหวัง เธออยากกรีดร้อง อยากโทรไปด่าปรเมศให้สมกับความโง่ที่โดนหลอก แต่ก็รู้ว่าทำแบบนั้นก็ไม่ได้ทำให้ทุกอย่างดีขึ้น มันไม่ได้ทำให้ปรเมศเลิกนอกใจ ไม่ได้ทำให้ภาพที่เขาอิงแอบกับผู้หญิงอื่นหายไปจากความทรงจำ

มทิราหลับไปพร้อมน้ำตาและตื่นอีกครั้งในช่วงเกือบสามทุ่ม เธอลูบหน้าที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตาแล้วเดินเข้าห้องน้ำก่อนตกใจกับสภาพมัวหมองของตัวเองที่สะท้อนผ่านกระจก

อะไรทำให้คนที่เคยมั่นใจกลายเป็นแบบนี้ไปได้ คนในกระจกทั้งโทรมและหมดราศีเหมือนคนถูกรุมโทรมมาอย่างไรอย่างนั้น หญิงสาวรีบตรงไปล้างหน้าล้างตาเพื่อลบคราบน้ำตา เธอปัดน้ำใส่หน้าแรงๆ เพื่อให้ตัวเองตื่นจากความทุกข์เสียที

ดวงตาหวานปนเศร้ามองใบหน้าตัวเองที่มีหยดน้ำเกาะพราวก่อนสายตาของเธอเหลือบไปเห็นแปรงสีฟันของปรเมศที่เสียบอยู่ข้างกระจก น้ำยาบ้วนปากกลิ่นโปรดของเขายังมีอยู่ครึ่งขวด ที่โกนหนวดไฟฟ้าของเขาวางอยู่ในช่องด้านข้าง มีโฟมล้างหน้าของเขาวางอยู่ด้วย

ข้าวของเครื่องใช้ของเขาแบ่งชั้นหน้ากระจกไปเกือบครึ่ง หญิงสาวผละออกมาแล้วตรงไปนั่งที่โซฟากลางห้อง แต่เครื่องใช้ของปรเมศก็ยังตามมาหลอกหลอน ไม่ว่าจะเป็นรองเท้าใส่ในห้องของเขา หมอนอิงที่เขาชอบนอนเล่น หนังสือรถที่เขาชอบอ่าน แผ่นหนังฝรั่งที่เขาชอบดู หรือแม้แต่โปสเตอร์รถที่ติดอยู่หน้าประตูที่เขาบอกว่าอยากได้

“กรี๊ดดดด พอ พอกันที ฉันจะไม่ทนอีกแล้ว ออกไป ออกไปเดี๋ยวนี้ ฉันไม่ต้องการเห็นอีกแล้ว” เธอร้องเสียงดังแล้วผุดลุกขึ้นตรงไปยังเคาน์เตอร์ข้างซิงค์ในครัวก่อนหยิบถุงดำใส่ขยะออกมา เธอกวาดแก้วน้ำและจานที่ปรเมศใช้ประจำลงถุง จากนั้นก็ตรงไปที่อ่างล้างหน้า หยิบแปรงสีฟัน น้ำยาบ้วนปาก โฟมล้างหน้าและข้าวของจิปาถะของเขาใส่ถุงดำ เมื่อเรียบร้อยก็เข้าไปในห้องน้ำแล้วทิ้งของทุกอย่างที่เป็นของปรเมศ
นอกจากนี้ยังมีรูปถ่ายคู่สมัยทั้งยังเป็นนักศึกษา ภาพถ่ายตอนไปออกค่าย ภาพตอนไปเที่ยวด้วยกันครั้งแรก หรือช่อดอกกุหลาบปลอมในกล่องพลาสติกทรงกลมที่เขาให้เป็นของขวัญวันวาเลนไทน์ปีแรกที่คบกัน เธอก็โยนทิ้งลงถุงอย่างไม่ใยดีเช่นกัน

ถุงแรกเต็มไปแล้ว หญิงสาวไปหยิบอีกถุงมาใหม่แล้วกวาดเสื้อผ้าของเขาที่อยู่ในตู้ลงไป ทุกอย่างที่เป็นของเขา เธอจะทิ้งให้หมด ไม่ให้เหลือสักชิ้นเดียว

ห้าทุ่มกว่า มทิราก็เดินไปนั่งบนโซฟาด้วยใบหน้าเปียกเหงื่อ เธอหายใจหอบแล้วมองถุงขยะสามถุงที่แววตาสะใจ ห้องเธอโล่งและดูสบายตาขึ้นเยอะเมื่อไม่มีขยะของคนไร้หัวใจปะปน เธอแยกส่วนที่เขาเคยให้ทิ้งไป และมีน้ำใจเก็บถุงเสื้อผ้าของเขาไว้ อย่างน้อยมันก็ยังเอาไปบริจาคได้บ้าง และเธอตั้งใจไว้แล้วว่าถ้าปรเมศไม่กลับมาภายในสองวัน เธอจะเอาไปบริจาคให้หมด




วันรุ่งขึ้น มทิราก็ไปทำงานด้วยท่าทางปกติ เธอบอกเพื่อนร่วมงานว่าตอนนี้หายดีแล้ว หลายคนพยักหน้าและชมว่าเธอเก่ง หญิงสาวนิ่งไปนิดก่อนยิ้มรับ ศุภรุจลอบสังเกตและจับอาการเธอตลอด มทิราหันไปสบตาเข้าพอดี เธอเดาออกจากสายตาของเขา จึงยิ้มให้และยกไหล่แบบไม่ใช่ปัญหาก่อนหันไปทำงานของตัวเอง

กระทั่งช่วงเที่ยง ทั้งสองก็มีเวลาอยู่ด้วยกัน เพราะกลับเข้าห้องทำงานเร็ว ขณะที่คนอื่นๆ จะกลับมาตรงเวลา

“พี่มิ้นท์ดีขึ้นแล้วจริงๆ นะครับ”

“ใช่ พี่ดีขึ้นแล้ว ขอบใจรุจมากนะที่เป็นห่วง”

“แต่ผมยังเห็นพี่ดูเพลียๆ อยู่เลยนะครับ เมื่อคืนคงไม่ได้นอน”

“ใช่ กว่าพี่จะนอนก็เกือบเที่ยงคืนแน่ะ มัวแต่เก็บของอยู่น่ะ”

“จะย้ายไปไหนหรือครับ” เขาถามเสียงตกใจ หญิงสาวยิ้มบางๆ ให้

“พี่เก็บขยะออกจากห้อง”

“จะให้ผมไปช่วยอะไรมั้ยครับ” เขาอาสา

“ไม่ต้องหรอก พี่เก็บหมดแล้ว วันนี้เขาคงกลับมาแล้วล่ะ และเรื่องทุกอย่างก็คงจบ ขอบใจรุจอีกครั้งนะ ทั้งเรื่องที่อยู่เป็นเพื่อนพี่ตอนที่เมาและเรื่องที่เป็นห่วงพี่”

“ผมอยากให้พี่มิ้นท์เข้มแข็งครับ”

“พี่จะพยายาม แต่พี่ไม่เก่งถึงขนาดหายได้ภายในสองวันสามวันหรอก” เธอยอมรับ

“ผมอยากช่วยให้พี่มิ้นท์หายเร็วขึ้น” ทั้งน้ำเสียงและดวงตาคมเข้มแฝงความจริงจังทำให้มทิราพอจะเดาได้ว่าเขาหมายถึงอะไร เธอส่งยิ้มให้เป็นคำตอบและเลี่ยงไปดูงานของตัวเอง

เธอไม่ได้ตัดสัมพันธ์กับเด็กหนุ่มรุ่นน้อง ขณะเดียวกันก็ไม่ได้ตอบรับไมตรีที่อีกฝ่ายยื่นให้

มันยังเร็วเกินไปสำหรับการตอบรับหรือปฏิเสธ และเธอก็ไม่ได้รังเกียจความหวังดีของเขาเลย ติดก็เพียงอย่างเดียว

เรื่องของอายุ...

หญิงสาวสะบัดหน้าไล่ความคิดเลยเถิดนั้นออกจากสมองแล้วกลับมาตั้งใจทำงานของตน




และแล้วเย็นที่มทิรารอคอยก็มาถึง เมื่อปรเมศโทรมาบอกว่าจะกลับมาแล้ว หญิงสาวเพียงรับคำสั้นๆ และไม่พูดอะไร ไม่มีการถามว่าจะกินอะไร ไม่มีการบอกว่าจะซื้ออะไรไปฝาก มีเพียงคำพูดสั้นๆ ว่า “เดี๋ยวเจอกัน” เท่านั้น สร้างความงุนงงให้ปรเมศเป็นอย่างมาก แต่เขาก็ไม่ติดใจเพราะคิดว่าเธอคงกำลังงานยุ่ง

และเมื่อกลับมาถึงที่พัก ปรเมศก็ต้องแปลกใจมากกว่าเดิม เพราะมทิราไม่ได้ซื้ออะไรมาเลย แถมห้องก็ดูโล่งๆ ผิดปกติอีกด้วย เขามองสำรวจและพบว่าเครื่องใช้ของตนหายไปทั้งหมด เขาเกือบจะโวยวายแล้ว แต่เมื่อเห็นสีหน้าเงียบขรึมของเธอ ทำให้ต้องสงบอารมณ์ไว้

“งานยุ่งหรือครับ สีหน้ามิ้นท์ไม่ค่อยดีเลย” เขาถามเสียงอ่อนเอาใจ เพราะปกติมทิราไม่เคยขาดตกเรื่องการเอาใจ ยิ่งเขาเพิ่งกลับมาแบบนี้ด้วยแล้ว เธอยิ่งต้องเอาใจเป็นพิเศษ

“เปล่าค่ะ” เธอตอบเสียงเรียบ สีหน้ามึนตึง ก่อนเดินไปยังถุงขยะสีดำ “นี่เสื้อผ้าของคุณ กรุณาเอาออกจากห้องฉันด้วย ไม่งั้นฉันจะเอาไปบริจาคให้หมด”
สรรพนามที่ใช้เรียกทำเอาปรเมศแปลกใจ “มิ้นท์ เป็นอะไรไป”

“แล้วคุณล่ะคะเป็นอะไร” เธอถามกลับ น้ำเสียงเย็นชาและเหยียดยิ้มเล็กน้อย ยิ่งทำให้ปรเมศงงหนัก

“มันเกิดอะไรขึ้นมิ้นท์ พูดให้ผมเข้าใจหน่อย ทำไมถึงเอาเสื้อผ้าผมไปทิ้งแบบนั้น แล้วข้าวของของผมไปไหนหมด”

“ฉันทิ้งไปหมดแล้ว และต้องการให้คุณเก็บเสื้อผ้าพวกนั้นออกไป และฉันขอบอกคุณว่าอย่ามาเหยียบที่นี่อีก ห้องนี้ไม่ต้อนรับคุณ และนับจากนี้เราเลิกกัน” เธอพูดเสียงดังเต็มไปด้วยแรงอารมณ์

“มิ้นท์” ปรเมศตกใจ เขาตรงเข้ารวบมือเธอ แต่มทิราสะบัดทิ้ง และถอยหลังอย่างเว้นระยะห่าง

“เกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงพูดแบบนี้”

“อธิบายให้ฉันเข้าใจหน่อยสิคะว่านี่คืออะไร” เธอถามแล้วยื่นมือถือที่เปิดภาพไว้ให้เขาดู ทำเอาปรเมศนิ่งอึ้ง

ภาพที่ปรากฏบนหน้ามือถือคือภาพของสาวคนหนึ่งกำลังเอนศีรษะอิงแอบไหล่เขา ขณะที่มือของเขาก็โอบไหล่เธออยู่

“มัน...มัน”

“มันอะไรคะ คุณจะแก้ตัววว่าอะไร และจำได้มั้ยว่าตอนนั้นฉันโทรหาคุณ และคุณบอกว่าอะไร คุณบอกว่าอยู่เชียงใหม่ กำลังขับรถอยู่ แต่ในความเป็นจริงคือคุณอยู่อยุธยากำลังนั่งกินข้าวกับผู้หญิงคนหนึ่งอยู่”

“มิ้นท์” เขาจนคำพูด

“ตอบไม่ได้หรือไม่กล้าบอกคะ อายมากหรือคะที่โดนจับได้”

“ผม...ผมไม่ได้คิดจริงจังด้วย แค่ก็เล่นๆ” เขาตอบ แต่ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น มทิรากำมือแน่นแล้วฟาดฝ่ามือใส่หน้าเขาเต็มแรง

“ทุเรศ! ทุเรศที่สุด คุณพูดแบบนี้ออกมาได้ยังไง ฉันเคยบอกแล้วใช่ไหมว่าฉันรับคุณได้ทุกอย่าง ฉันอดทนมาตลอดเกือบห้าปี เป็นห้าปีที่ไม่มีอะไรดีขึ้นเลย คุณทำงานมาหลายปีแต่ก็ยังย่ำอยู่กับที่ ฉันก็ไม่ว่าอะไรเพราะอยากให้เกียรติคุณ คุณไม่อยากแต่งงาน ฉันก็ไม่ว่าอะไร แต่สิ่งที่ฉันทนไม่ได้คือการโดนสวมเขา คุณไม่ให้เกียรติฉันเลยสักนิด แถมยังมาพูดว่าแค่เล่นๆ กับผู้หญิงคนนั้นอีกเหรอ ไป! ออกไป ฉันไม่อยากเห็นหน้าคุณแล้ว” เธอโวยวายเสียงดังแล้วตรงเข้าทุบตีเพื่อให้หายแค้น ปรเมศยกมือขึ้นป้องหน้าและร้องห้าม แต่มทิราก็ยังไม่หยุด จนชายหนุ่มเริ่มเจ็บ

“โอ๊ย มิ้นท์ ผมเจ็บ หยุด!” เขาโมโหจึงผลักมทิราออกแต่หญิงสาวก็ยังพุ่งตัวเข้าหาอีก ปรเมศยกมือขึ้นแล้วตบไปบนใบหน้าจนเธอล้มลง

“ปอ!” เธออุทานตกใจ น้ำใสๆ เอ่อล้นดวงตา ก่อนลุกขึ้นแล้วพุ่งตัวเข้าหาอีกมือเล็กตบตีเขาเป็นพัลวัน “ไอ้คนเลว ไอ้คนสารเลว ออกไป ออกไปจากห้องฉันเดี๋ยวนี้”

“มิ้นท์ หยุด โธ่เอ๊ย” คราวนี้ปรเมศไม่ทนอีกแล้ว เขาฟาดมือใส่เธออีกครั้ง ซึ่งหนักกว่าคราวแรก หญิงสาวล้มคว่ำ ความโมโหทำให้ปรเมศตรงเข้าประชิดเพื่อเอาคืนที่เธอทำร้ายเขา

แต่ยังไม่ทันลงมือ ร่างของปรเมศก็ถูกกระชากและผลักอย่างแรงจนกระเด็นออกไปนอกห้อง

“แกเป็นใคร” เขาถามเสียงโมโห

“รุจ” น้ำเสียงของมทิรามีแววงุนงง ขณะที่เด็กหนุ่มตรงเข้าพยุงเธอ

“พี่มิ้นท์เป็นยังไงบ้างครับ” เขาถามเสียงอ่อน

“มันเป็นใครมิ้นท์ ชู้ของคุณใช่ไหม เห็นผมมีคนอื่นได้ คุณก็คิดจะเอาบ้างงั้นเหรอ”

“ไอ้บ้าเอ๊ย!” ศุภรุจกำมือแน่นก่อนตรงเข้าประเคนหมัดใส่

“โอ๊ะ โอยยย ปล่อยกูจะโว้ย โอย ช่วยด้วย” ปรเมศร้องแล้วปกป้องหน้าตัวเอง ระหว่างนั้นก็มีพลเมืองดีเข้ามาดึงตัวศุภรุจออกไป

“อย่าพูดแบบนี้ อย่าดูถูกพี่มิ้นท์อีก คุณทำให้เธอเจ็บแล้วยังจะมาพูดแบบนี้ ไอ้ทุเรศ หน้าตัวเมีย”

“คุณทำแบบนี้ได้ยังไงมิ้นท์ ให้ชายชู้มาทำร้ายผัวตัวเองได้ยังไง” ปรเมศถามแล้วเช็ดเลือดที่มุมปาก

“อย่าพูดแบบนี้กับพี่มิ้นท์อีก” ศุภรุจชี้หน้า ขณะที่มทิราอายแสนอายที่เกิดเหตุแบบนี้ขึ้น

“รุจเป็นรุ่นน้องที่ทำงานของฉัน เราสองคนไม่ได้เป็นอย่างที่คุณคิด”

“หึ!” ปรเมศทำเสียงผ่านลำคอแบบไม่เชื่อ

“ออกไปจากที่นี่ได้แล้วและอย่ามาให้ฉันเห็นหน้าอีก นี่เสื้อผ้าของคุณ เอาออกไปด้วย” มทิราบอกแล้วโยนถุงดำใส่หน้าคนรักเก่า เธอจะปิดประตู แต่ปรเมศรีบมาดันไว้

“เดี๋ยวก่อนมิ้นท์ เราต้องคุยกันให้รู้เรื่องก่อน ไอ้เด็กนี่มันเป็นใคร มันเป็นชู้ของคุณใช่ไหม”

“ไม่ใช่ ผมเป็นแค่รุนน้องของพี่มิ้นท์ และขออย่าให้คุณคิดหรือพูดแบบนี้กับพี่มิ้นท์อีก ไม่งั้นผมจะแจ้งความ ยาม...ลากผู้ชายคนนี้ออกไปหน่อยและห้ามเขาเข้าตึกนี้ด้วย” ศุภรุจพูดเสียงจริงจังก่อนดันมทิราเข้าห้องและปิดประตู ปล่อยให้ปรเมศยืนอยู่หน้าห้องด้วยแววตาโกรธแค้น

ยามเดินมาผายมือให้เขาและทำท่าจะแตะข้อศอก ชายหนุ่มรีบชักแขนออกเพื่อไม่ให้เขาแตะตัวก่อนคว้าถุงดำเดินจากไป เสียงซุบซิบของเพื่อนข้างห้องลอยมาเบาๆ




.......................................






โหลดฉบับเต็มในรูปแบบอีบุ๊กได้แล้วนะคะ ราคาเบาๆ เพียง 89.- ค่ะ





โหลดจากอีบุ๊ก : ขอรักเธอให้สุดใจ

โหลดจากอุ๊คบี : ขอรักเธอให้สุดใจ 



Create Date : 22 มกราคม 2559
Last Update : 22 มกราคม 2559 12:26:24 น. 0 comments
Counter : 583 Pageviews.  
 
Name
Opinion
*ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก

นักเขียนสีเทา
 
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 10 คน [?]








ผลงานที่เว็บอีบุ๊กส์ :






. . . . . . . . . . . .


ผลงานทั้งหมดที่เว็บเมพ :



[Add นักเขียนสีเทา's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com