Group Blog
 
All blogs
 
The Book of Eli (2010): ไซไฟเพื่อพระเจ้า


The Book of Eli (2010) :
สองพี่น้องตระกูล Hughes (Albert และ Allen Hughes) นับเป็น ผกก.ผิวสีแพ็คคู่ที่เลือกทำหนังได้เก๋จริงๆ เพราะผลงานเรื่องก่อนของพวกเขาอย่าง From Hell (2001) นั้น ก็จับเอาป๋า Johnny Depp มาพี้ยาไปไล่จับ Jack the Ripper ในกรุงลอนดอนเมื่อร้อยกว่าปีก่อนไปได้อย่างสุดเหวอ และหลังจากที่หายไปกว่า 9 ปี พวกเขาก็กลับมาอีกครั้งพร้อมผลงานเรื่องใหม่ ซึ่งคราวนี้จะพาไปยังอนาคตในช่วงหลังวันสิ้นโลก(Post-Apocalyptic) กันบ้างล่ะ


หลอกจับมือสาวล่ะเซ่คุณน้า
หนังเสนอเรื่องราวของชายชื่อ Eli (Denzel Washington จาก American Gangster [2007]) ที่ตั้งหน้าตั้งตาเดินดุ่มๆ ไปยังทิศตะวันตกของอเมริกาในยุคหลังจากเกิดหายนะล้างโลกเมื่อสามสิบปีก่อน โดยเขามีภาระหน้าที่อันสำคัญในการนำหนังสือเล่มหนึ่งไปส่งยังที่หมาย และแน่นอนที่ระหว่างทางเขาก็ต้องเจออุปสรรคขวางกั้นต่างๆ นาๆ ให้คนดูได้ลุ้นกันว่างานนี้เขาจะเดินทางไปถึงที่หมายโดยสวัสดิภาพหรือไม่กันต่อไป


มาดน้าเขานี่เท่จริงๆ
เมื่อปลายปีที่แล้วเพิ่งจะมีหนังแนวๆ นี้ อย่าง The Road ออกมาหยกๆ พอมีเรื่องนี้ตามหลังออกมาจึงเป็นอะไรที่มันบังเอิญไปหรือเปล่า? กระนั้นเมื่อดูหนังทั้งสองเรื่องก็พบว่ามาคนละแนวกัน โดยเรื่องนี้จะไม่หดหู่เท่าเรื่องนั้น แต่ออกจะเน้นฉากแอ็คชั่นมากกว่า ซึ่งแม้จะไม่ถึงกับบู๊กันระเบิดระเบ้อกันทั้งเรื่อง แต่เท่าที่มีก็ออกมาเด็ดขาดอยู่มิใช่น้อย ในส่วนของงานสร้างด้านต่างๆ ก็ออกมาดูดีสมฐานะของหนังระดับกลางๆ เช่นนี้ ในขณะที่บรรดานักแสดงคงไม่มีใครเด่นเกินน้า Washington ที่พาหนังไปได้ตลอดรอดฝั่ง แม้จะมีอะไรๆ ในหนังที่ดูจงใจและไม่ค่อยสมเหตุสมผลอยู่หลายประการก็ตามที


Gary Oldman มาในบทตัวโกง(อีกตามเคย)
จริงๆ แล้วหนังหนังไซไฟ-แอ็คชั่นของสองพี่น้อง Hughes เรื่องนี้ถือว่าเป็นหนัง'โปรคริสเตียน' เรื่องหนึ่ง เพราะหนังแสดงให้เห็นว่ามนุษย์เราขาดพระเจ้าไม่ได้เลย แม้ว่าครั้งหนึ่งเราอาจจะละทิ้งพระเจ้าไป แต่ในที่สุดแล้วมนุษย์เราก็ยังต้องการพระเจ้าอยู่ดี และเราจะรู้จักพระเจ้าได้โดยผ่านพระคัมภีร์ไบเบิ้ล แต่ก็ไม่ใช่ว่าตัวหนังสือจะสำคัญที่สุด ถ้อยคำที่บรรจุอยู่ในนั้นต่างหากที่สำคัญกว่า แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือการที่เรามีถ้อยคำคำสอนเหล่านั้นอยู่ในชีวิตของเรา อ่า...นี่ก็เป็นกุศโลบายที่เข้าท่าอย่างหนึ่งของฮอลลีวู้ดเขาเลยนะเนี่ย

*หมายเหตุ*
มีหลายฉากที่จะมีการขอดูมือของคนแปลกหน้า ซึ่งก็เป็นวิธีพิสูจน์ว่าใครที่เป็นพวกกินเนื้อคน โดยคนเหล่านั้นจะมือสั่นอยู่ตลอดเวลา เหมือนเช่นตายายที่พวกพระเอกไปเจอในช่วงท้ายไงล่ะ

  • น่าดูเพราะ: เป็นหนังแอ็คชั่นไซไฟ ที่เด่นในด้านบรรยากาศ ฉากแอ็คชั่นเด็ดขาด ดูได้ดูดี
  • ไม่น่าดูเพราะ: จริงๆ แล้วเป็นหนังโปรศาสนาคริสต์ คนที่จะอินจะปลื้มก็คงจะมีแต่คริสเตียนเท่านั้น หนังเลยอาจจะดูไม่สนุก จงใจ และเว่อร์ๆ ไป สำหรับผู้ที่ไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายของหนัง



*ช่วงเพลงในหนัง*


ในช่วงแรกๆ ในหนังจะมีฉากที่พระเอกเราควักไอพอดรุ่นพระเจ้าเหาออกมาฟังเพลงคลายเครียด ซึ่งเพลงๆนั้นก็คือเพลง How Can You Mend a Broken Heart ของศิลปินกอสเปล/โซล ในตำนานอย่าง Al Green นั่นเอง และสำหรับใครที่ติดใจเพลงนั้นอยู่ เราก็มีมาฝากกันตามฟอร์มจ้า




*ช่วงรู้มั้ยเอ่ย? (แล้วจะรู้ไปทำไมเนี่ย)*

ผลงานเรื่องต่อไปของสองพี่น้อง Hughes เป็นการนำอนิเมะในตำนานอย่าง Akira (1988) มาทำเป็นเวอร์ชั่นคนแสดง ซึ่งจะมีกำหนดออกฉายปี 2013 (หลังจากที่ฮอลลีวู้ดร่ำๆ อยากจะเอามาทำเป็นหนังตั้งแต่ต้นยุค 90 แล้ว)
ซึ่งสำหรับคอการ์ตูนแล้วก็คงจะรู้จักผลงานของ คัตสึฮิโร่ โอโตโมะ เรื่องนี้กันเป็นอย่างดี ในตอนนี้ยังไม่มีข้อมูลอะไรเกี่ยวกับหนังออกมามากนัก ดังนั้นกว่าจะถึงตอนนั้น อะไรๆ ก็อาจเปลี่ยนแปลงได้อีกตลอด ใครที่เป็นแฟนอนิเมะเรื่องนี้ก็โปรดจับตาดูกันต่อไปให้ดีจ้า






Create Date : 30 พฤษภาคม 2553
Last Update : 30 พฤษภาคม 2553 21:37:08 น. 5 comments
Counter : 4147 Pageviews.

 
ดูเพลินๆ นะเรื่องนี้


โดย: แคปซูลสีฟ้า วันที่: 31 พฤษภาคม 2553 เวลา:22:04:51 น.  

 
อย่างที่คุณ Nanatakara ว่าแหละครับ ถ้าเป็นคริสเตียน (อย่างผมเป็นต้น) ดูแล้วจะอินมากกว่า
แต่ระดับของความหนัง ทำออกมาได้กลาง ๆ ไม่ดีเลิศ แต่ก็ไม่ห่วยแตกน่ะครับ

ผมหายไปเพราะเน็ตไม่มีใช้ อย่างที่เขียนไว้แหละครับ


โดย: born 1993 วันที่: 1 มิถุนายน 2553 เวลา:19:55:30 น.  

 
ยังไม่ได้ดูค่ะ แต่มาสะดุดช่วงรู้ไหมเอ่ย?

อากิระนี่ขึ้นหิ้งชั้นเทพ โดนฮอลิวู้ดมารีเมคซะแล้ว กลัวอ่ะ จากที่ผ่านๆมา ไม่เคยมีรีเมคตัวไหนที่ดีพอเลย ซีจีดีเลิศไม่เถียงแต่สคริปทำออกมาได้สยองเหลือใจ

อากิร้า...


โดย: หมีภูเขา วันที่: 2 มิถุนายน 2553 เวลา:21:41:19 น.  

 
ดูแล้วไม่ชอบแฮะ 5555 ยิ่งฉากบู๊แอคชั่นเหมือนดูหนังจีน อะไรมันจะเว่อร์ซะขนาดนั้น และการเดินเรื่องก็จืดชืดไร้สีสรรเหมือนโทนของหนังเลย (อคติไปไหมนี่)
แต่สำหรับเรื่อง From hell ดูหลายรอบเลย ชอบมากทั้งพล๊อตเรื่องที่ลึกลับซับซ้อนและการแสดงของป้าเด๊ปป์ ตีบทแตกกระจุย


โดย: psw2548 วันที่: 24 มิถุนายน 2553 เวลา:11:27:59 น.  

 
ไม่อินเท่าไร (สงสัยไม่ใช่คริสเตียน)


โดย: ศล วันที่: 4 กรกฎาคม 2553 เวลา:22:45:02 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Nanatakara
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 43 คน [?]




  • Friends' blogs
    [Add Nanatakara's blog to your web]
    Links
     

     Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.