Prince of Persia: The Sands of Time (2010) :คงจะทราบกันดีว่าหนังที่สร้างจากเกมส่วนใหญ่(หรืออาจจะเกือบทั้งหมด)มักจะออกมาไม่ได้ดั่งใจบรรดาแฟนเกมหรือแม้แต่สำหรับคอหนังทั่วไปเองก็ตาม (โดยเฉพาะบรรดาหนังจากเกมฝีมือของอิตา Uwe Boll ที่เรื่องไหนเรื่องนั้นเลย เสียของหม๊ด) แต่ถึงกระนั้นฮอลลีวู้ดก็ไม่เคยท้อใจในการนำเกมฮิตๆ มาขึ้นจอเลย เพราะนอกจากจะไม่ต้องเปลืองสมองคิดเรื่องเองแล้ว ยังรู้ว่าถ้าสร้างออกมาเมื่อไหร่ ก็ต้องเป็นที่สนใจในวงกว้างอยู่แล้ว อย่างน้อยๆ ก็ต้องมีบรรดาแฟนๆ เกมนั่นแหล่ะที่ไม่พลาดจะตามมาอุดหนุนหนังแน่นอน(แต่ดูแล้วจะด่าหรือไม่นั่นก็อีกเรื่อง) แถมถ้ามีหน้าหนังโดนๆ ก็อาจจะดึงผู้ชมขาจรให้มาอุดหนุนได้อีกคำรบ เรียกได้ว่างานนี้มีแต่ได้ ไม่มีเสีย ว่างั้นเหอะ(แต่เจ้าของเกมและแฟนเกมสิเสียเซลฟ์)อิงเรื่องจากเกมภาคแรกแต่ดันแต่งตัวเหมือนในเกมภาคสองซะงั้น
เมื่อฟ้าบันดาลให้คนเป็นพระเอกอย่าง Dastan (Gyllenhaal)ต้องเจอแจ็คพอตสองเด้ง ซึ่งเด้งแรกนั้นก็คือการวาดลวดลายเล่นไล่จับครั้งยังเด็กของเขานั้นได้เข้าตาพระราชาแห่งเปอร์เซียอย่างจัง จนทำให้ได้รับการอุปการะชุบเลี้ยงเป็นเจ้าชาย ส่วนอีกเด้งคือตอนโตเป็นหนุ่มสุดล่ำก็เผอิญได้กริช'ทรายแห่งกาลเวลา' ที่มีอิทธิฤทธิ์ทำให้ผู้ที่ครองครองสามารถย้อนอดีตไปได้แป๊บนึง(ลองนึกถึงรีโมตที่กด rewind ได้อย่างเดียวสิ)มาครอบครอง ซึ่งแน่นอนที่ของเด็ดๆ แบบนี้ใครเขาก็อยากได้ โดยเฉพาะเหล่าร้ายทั้งหลาย และนั่นก็ก่อให้เกิดเรื่องราวการผจญภัยเด้งที่สามสำหรับเจ้าชายแห่งเปอร์เซียของเราให้มีอันต้องโลดโผนโจนทะยาน ฟันดาบโช๊งเช๊ง ควบม้าฝุ่นตลบ กันเป็นที่สนุกสนานเพลิดเพลินบันเทิงใจล่ะทีนี้พระเอกเราล่ำได้ใจ(สาวแท้สาวเทียม)จริงๆ
สำหรับคนที่เคยเล่นเกมมาก่อนก็จะพบว่าถึงหนังจะอิงเกมภาคแรกมาแต่ไม่ได้ตามเกมแบบเป๊ะๆ เพราะดัดแปลงเรื่องราวไปมากทีเดียว ซึ่งดูๆ ก็เหมาะสมสำหรับหนังดี ไม่ได้น่าเกลียดอะไร ในขณะเดียวกันก็ยังมีฉากแอ็คชั่น ท่าปีนป่าย โดดไปโดดมา อันเป็นเอกลักษณ์ของพระเอกในเกมมากำนัลแฟนๆ อยู่พอสมควร และแน่นอน มุกการใช้กริชแห่งกาลเวลา หนังก็นำมาใช้ได้อย่างเข้าท่าดีแท้ ส่วนทางด้านเสื้อผ้าหน้าผม ฉาก ดนตรีประกอบ เอฟเฟกต์ทั้งหลายก็อยู่ในระดับสมราคา 200 ล้านของหนังอยู่แล้ว ไม่มีอะไรให้ติกัน โดยเฉพาะโลเกชั่นทะเลทราย ของ โมร็อคโค ที่ดูสวยงามแปลกตาส่งเสริมความแฟนตาซีสุดอลังการให้กับตัวหนังไม่ใช่น้อย