Life in USA-19 กว่าจะได้กรีนการ์ด-ตอน 1
Life in USA-19 กว่าจะได้กรีนการ์ด-ตอน 1
กลับมาแล้วค๊า!!! หายหน้าหายตาไปกว่าสามเดือนเพราะมัวมุ่ง+ยุ่งกับงาน ในสถานที่ ๆ ไม่มีคนไทยเลย....ครั้นพอหลายอย่างเข้าที่เข้าทาง และพอจะมีเวลาบ้างมาดามก็คิดว่าจะเขียนไรต่อดี....พลันก็นึกขึ้นมาได้ว่ามีเรื่องที่ค้างคายังไม่ได้เขียนเล่า คือ ช็อตเด็ด ที่ทำให้มาดามได้ใช้ชีวิตอยู่ในอเมริกาด้วยวีซ่าท่องเที่ยวได้เกินกว่า 6 เดือน เกินจากที่ ตม. ประทับหราไว้บนพาสพอร์ต .....สาเหตุที่ลืมเขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้...เพราะว่าเรื่องมันดำเนินมายืดยาวกว่าจะได้กรีนการ์ดใบแรกชนิดสองปี เหงื่องี้หยดติ๋งๆ..แล้วก็ อีกติ๋ง!!แถมมีเรื่องชวนหัวใจหยุดเต้นอีกกระทอกนะพี่น้อง .....ที่จริง ก่อนแต่งงานมาดามเคยค้นหาข้อมูลที่มีการแชร์ในเน็ทเห็นมีสาว ๆ แชร์เรื่องราวการขอวีซ่า CR1 หรือวีซ่าคู่หมั้นเยอะมาก และทุกเคสที่มาดามอ่านเจอก็เป็นการดำเนินการยื่นเอกสารคำขอของฝ่ายสามีที่อยู่ในอเมริกาส่วนภรรยาก็คอย ค้อย คอย อยู่ที่เมืองไทย เพื่อเตรียมตัวตรวจสุขภาพ สัมภาษณ์และยื่นหลักฐานส่วนที่เป็นของตัวเอง แต่ละเคสก็จะใช้ระยะเวลามากน้อยต่างกันขึ้นอยู่กับความพร้อมของเอกสารประกอบการพิจารณา บางเคส บอกใช้เวลา 4 เดือน บางเคสบอกใช้เวลา 6 เดือน ยาวนานสุด ๆ ก็มี 8 เดือน...เมื่อได้รับการอนุมัติแล้วค่อยโผผินบินไปหาคุณสามี หรือไม่คุณสามีก็บินมารับบินไปด้วยกันสวีวี่วี!!!...ยัง ๆ ไม่จบแค่นั้น...อันดับถัดไปต้องไปดำเนินการยื่นคำขอมีถิ่นพำนักถาวร หรือปรับสถานะ ที่เรียกว่า Application to Register Permanent Residence or Adjust Status ถึงจะได้กรีนการ์ดมาครอบครองสองปี แล้วต้องยื่นขอต่ออายุอีกที .....ถ้าท่านได้อ่านเรื่องราวของมาดามมาตั้งแต่ต้นก็จะรู้ว่า หลังจากแต่งงานได้สองสัปดาห์ จากนั้นในวันที่ 7 ธันวาคม 2557 มาดามก็เดินทางสู่ประเทศสหรัฐอเมริกาด้วย วีซ่าท่องเที่ยว ตม.ท่านใจดี เห็นอกเห็นใจใน รักข้ามขอบฟ้า เลยประทับอนุญาตให้ใช้ชีวิตอยู่ได้แบบเต็มพิกัด คือ 6 เดือนแปลว่ามาดามจะต้องเดินทางกลับประเทศไทยช่วงต้นเดือนมิถุนายน ปี 2558 ว่างั้นเถอะ!!! .....เมื่อคีธรู้ว่ามาดามนำเอกสารทะเบียนสมรสติดมาด้วย (อ้าว ทำไมต้องทิ้งไว้ที่เมืองไทยล่ะเนอะ!) เค้าก็เลยดำเนินการยื่นคำขอหลายอย่าง (ตั้งแต่กลางเดือน มกราคม 2558) ด้วยหวังว่าจะได้รับการอนุมัติกรีนการ์ดภายใน 4 เดือน และถ้าเป็นไปเช่นหวัง มาดามก็จะสามารถอยู่อเมริกาไปจนถึงเดือนพฤศจิกายน 2558 เพราะเรามีกำหนดบินกลับเมืองไทยด้วยกันช่วงเวลานั้น และจะอยู่ที่เมืองไทย 4 เดือนตามที่เราตกลงกันก่อนแต่งงาน...ที่จริงตอนที่เค้ายื่นเอกสารมาดามไม่รู้เรื่องด้วยเลย มารู้เอาตอนที่มีหนังสือแจ้งจาก USCIS (Notice of Action ลงวันที่ 21 มกราคม 2558) ว่าคีธไม่ได้เซ็นชื่อในฟอร์ม I-130 Petition for Alien Relative ...ขอให้เซ็นให้สมบูรณ์แล้วโปรดส่งกลับโดยพลัน!!!....แบบฟอร์มที่ยื่นไปทั้งหมดสิริรวมล๋งโจ้ง 5 แบบด้วยกันได้แก่ I-129F Petition for Fiancés I-130 Petition for Alien Relative (Fee $420) I-485 Application to Register Permanent Residence or Adjust Status (Fee $985+Biometrics Fee $85 =$1,070) I-864 Affidavit of Support underSection 213A of the Act G-325 Biographic Information และแม้ว่าเอกสารจะถูกส่งไปที่ USCIS Chicago Lockbox ที่เดียวกันแต่ว่ามันจะถูกแยกเพื่อการพิจารณาเคส) หลักฐานที่แนบไป ส่วนของมาดาม -สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน -สำเนาพาสพอร์ตรวมหน้าประทับวีซ่า -สำเนาทะเบียนสมรสฉบับแปลเป็นอังกฤษ (คีธใช้บริการสำนักงานแปลที่ประเทศไทย ราคา 29 เหรียญ แปลเสร็จเขาก็ส่งอีเมล์กลับมา เราก็สั่งปริ้นท์สี แล้วก็ยัดใส่ซองเลย...มาดามมาเจอเอาตอนหลังว่า ที่กงสุลใหญ่นครชิคาโกมีบริการแปล ราคาแค่ 15 เหรียญเอง!!!) ส่วนหลักฐานที่แนบไป ของคีธในฐานะสปอนเซอร์ เป็นหลักฐานทางการเงินอันเป็นที่มาของรายได้ซึ่งต้องแนบไปกับฟอร์ม I-864 Affidavit of Support under Section 213A of the Act ช่วงเดือนสองเดือนแรก ๆ คือ ก.พ.-มี.ค. ดูเหมือนกระบวนการตอบกลับจะรวดเร็วใช้ได้ ทำให้มาดามแอบคิดว่า 4 เดือนน่าจะรู้ว่าหมู่หรือจ่า.... มาดูกันว่าหลังจากยื่นเอกสารทั้งแบบออนไลน์และเมล์แล้วเรื่องราวดำเนินไปยังไง... 17 ก.พ. 2558 จ่ายเงินออนไลน์ สำหรับฟอร์ม I-864 Affidavit of Support under Section 213A of the Act 20 ก.พ. 2558 ได้รับหนังสือแจ้งกลับว่าได้รับชำระเรียบร้อย....ไวมั๊ยล่ะพี่น้อง เรื่อง เงิน ๆ ทอง ๆ 27 ก.พ. 2558 ได้รับหนังสือนัดหมายล่วงหน้าให้ไปทำ Biometric Processing ที่สำนักงาน USCIS ที่ St. Louis, Missouri ในวันที่ 19 มี.ค. 2558 3 มี.ค. 2558 ได้รับแจ้งว่า ได้รับ I-129F Petition for Fiancés แล้ว 9 มี.ค. 2558 ไปตรวจสุขภาพไว้รอท่า...หลังจากคีธเสิร์ชหาคลินิกที่ขึ้นทะเบียนให้บริการตรวจสุขภาพตามโปรแกรม/หลักเกณฑ์ที่ USCIS กำหนด ขั้นตอนนี้ทุลักทุเลเอาการเพราะว่าเราต้องขับรถร้อยกว่าไมล์ไปที่ St.Louis วันเดียวไม่พอต้องมี 2 วัน เพราะมีการฉีดสารกระตุ้นทีบีและต้องดูผลที่ตอบสนองในอีกสองวันถัดไปคือวันที่ 11 มีนาคม 2558 ปรากฏว่าต้องรับการ X-Ray ทรวงอกเพิ่มอีกเพื่อความแน่ใจและก็ยังไม่สามารถรับผลการตรวจทั้งหมดได้ในวันนั้นเพราะแพทย์ที่ขึ้นทะเบียนเฉพาะกิจกับ USCIS ซึ่งมีอำนาจลงนามในหนังสือรับรองผลการตรวจ ดันทะลึ่งไม่มาทำงานในวันนั้น...ประมาณว่าไปเดินสายหากินที่คลินิกอื่นว่างั้นเถอะ!!!ตกลงใช้เวลา 3 วันรวมวันที่ไปรับผลตรวจด้วย...เจ้าหน้าที่ก็เบอะ ๆ บ๊ะ ๆ คิดเงินขาด ๆ เกิน ๆ อยู่สองสามรอบ น่าปวดเศียร!! ผลตรวจที่ได้จะถูกผนึกซองไม่ให้เราเปิดดูนะ แล้วเราต้องส่งผลตรวจนั้นไปให้ USCIS ทางไปรษณีย์ 11 มี.ค. 2558 ได้รับแจ้งว่ามีการโอนเคส I-485 Application to Register Permanent Residence or Adjust Status จาก Lees Summit, MO ไปให้สำนักงาน Nebraska Service Center พิจารณา 19 มี.ค. 2558 ไปทำ Biometric Processing กระบวนการนี้เรายื่นใบนัดพร้อมแสดง Passport เจ้าหน้าที่จะถ่ายรูปเราและพิมพ์ลายนิ้วมือทั้งสิบ ทั้งหมดใช้เวลาไม่ถึงสิบนาทีก็ปล่อยกลับบ้าน....เราสองคนก็ถือโอกาสไปเที่ยวที่ Butterfly House กันเพราะพลาดครั้งก่อนหน้านั้นไปไม่ทันเวลาเค้าปิดซะก่อน....ออกจากที่นั่นก็หิ๊วหิว หาไรอร่อย ๆ กินกันที่ Dennys แล้วก็ขับรถกลับ Cape Girardeau ร้อยกว่าไมล์....หนึ่งไมล์ เท่ากับ 1.6 กิโลเมตรนะจ๊ะ...ดูคนขับไม่มีทีท่าว่าจะเหนื่อยเท่าคนนั่งข้าง ๆ เลย ...พอถึงบ้านมาดามแบตหมด...สลบไป แล้วค่อยตื่นมาเข้าครัวทำอาหารมื้อค่ำ...
ระยะต่อมามันเริ่มเยิ่นเย้อ...เพราะมีการโอนย้ายเคสไปมาอีก จนเกิดอาการวิงเวียน!!! อย่ากระนั้นเลยกันเหนียวไว้ก่อน....คีธจึงตัดสินใจยื่นออนไลน์ Form I-539 Application to Extend/Change Non immigration Status เพื่อขยายระยะเวลาการพำนักพร้อมกับจ่ายเงินล่วงหน้าพร้อมคำขอ 290 เหรียญ โดยไม่ปรึกษาหารือกับมาดามเลยซ้ากคำ มาดามมารู้เอาตอนที่ได้รับหนังสือตอบกลับมาลงวันที่ 17 เม.ย. 2558 ว่าได้รับเงินค่าขอขยายเวลาฯ เรียบร้อยแล้วซึ่งเงินค่าธรรมเนียมนี้ ขอบอก...ไม่มีทางได้รับคืนแม้แต่เพนนี หากคำขอถูกปฏิเสธ...ทางการ กินฟรี 27 เม.ย. 2558 โอนย้ายเคสทั้งหมด จาก Lincoln, NE ไปให้สำนักงาน Lees Summit, MO โดยให้เหตุผลว่าเพื่อจะได้รวดเร็วขึ้น...???(เร็วกะผีไร!!!) 20 พ.ค. 2558 ได้รับหนังสือแจ้งจาก Director ว่าได้รับทราบการตอบโต้เกี่ยวกับ I-129F Petition for Fiancés แล้ว ....คงเกรงว่าเราจะลืม!! ระยะเวลาได้ล่วงเลยมาจวนเจียนจะหมดสิ้นสุดระยะเวลาการพำนัก 6 เดือนลงใน วันที่ 9 มิถุนายน 2558 แต่ทว่าทางการก็ยังไม่มีการตอบรับ หรือปฏิเสธการขอขยายระยะเวลา...คีธ เข้าใจเอาเองว่าระหว่างการยื่นเรื่อง มาดามได้สิทธิที่จะอยู่ต่อ โดยไม่ยอมสอบถามทางเมล์หรือโทรศัพท์...ขอบ่นหน่อยนะมาดามไม่ค่อยเข้าใจสามีตัวเองว่าทำไมเป็น "มนุษย์ท่าเยอะ ฟอร์มแยะ" เค้าไม่ชอบสอบถามข้อมูล แม้แต่กับเรื่องสำคัญเช่นนี้...ความที่ไม่ไว้วางใจสถานการณ์คืนวันที่ 31 พ.ค. 2558 มาดามตัดสินใจจองไฟลท์บินกลับไทยในวันที่ 6 มิ.ย.ไว้ 2 ที่นั่ง ในกรณีที่จะยกเลิกโดยไม่เสียค่าธรรมเนียม 200 เหรียญต้องทำภายใน 24 ชั่วโมง...มาดามภาวนา ขอให้ได้รับข่าวอะไรสักอย่างจาก USCIS ก่อนครบ 24 ชั่วโมงที่เถิ้ดดดด...เจ้าประคุ้ณณณณ...จะได้ไม่ต้องเสียทรัพย์!!! 1 มิ.ย. 2558 คำภาวนาเหมือนจะได้รับการตอบสนอง....บ่ายสามโมงได้รับหนังสือแจ้งมานัดล่วงหน้าให้ไปรับการสัมภาษณ์ ในวันที่ 13 สิงหาคม 2558
.ไชโย้โห่หิ๊วววว...มาดามรีบคลิกยกเลิกการจองตั๋วเครื่องบินโดยไม่ชักช้าแม้แต่นาที....และจะถือเอาว่าใบนัดนี้มีผลต่อการพำนักเกินเวลาละกัน!!! 555 13 ส.ค. 2558 ไปรับการสัมภาษณ์...เราสองคนนั่งรอในห้องโถงใหญ่หลังจากแจ้งเรื่องต่อเจ้าหน้าที่แล้ว...ไม่นานนักก็มีสาวใหญ่ ร่างสูงใหญ่ผิวดำแต่ไม่สนิท เป็นคนออกมารับเราเข้าไปในห้องส่วนตัวของเธอ ก่อนเข้าห้องพวกเราถูกปลดแอก เอ๊ย! ปลดมือถือใส่ล็อคเกอร์ลั่นกุญแจไว้ด้านนอก...หล่อนพูดค่อนข้างชัดถ้อยชัดคำยิงคำถามเป็นชุด ๆ เริ่มจากเรื่องส่วนตัวของเราสองคน เช่น เจอกันยังไง คบหากันนานแค่ไหนแต่งงานที่ไหน เมื่อไหร่ ทำไมแต่งงานที่เมืองไทย ทำไมไม่ขอวีซ่าคู่สมรส ฯลฯ คีธกับมาดามก็ผลัดกันตอบ...เธอเล่าให้ฟังว่า มีคู่สมรสที่พบรักกันในเว็บหาคู่จำนวนเยอะมากที่ต้องเลิกรากันไปเพราะเมื่ออยู่กันไประยะหนึ่งก็พบว่าไม่สามารถปรับตัวเข้าหากันได้ เช่น ธรรมเนียม ความเชื่อ อุปนิสัยส่วนตัว ภาษาที่สื่อสารกันไม่เข้าใจแจ่มแจ้ง...ดูสีหน้าของเธอเคร่งเครียดนัก .....มีคำถามนึงที่เธอปักอกปักใจนักหนา และทำสีหน้าไม่ค่อยสเบยหนักเข้าไปอีก ทำเอามาดามใจเต้นตึ๊กตั๊ก วิตกกังวลว่า เธออาจไม่เห็นดีเห็นงามให้เราใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน...เธอถามว่า ในวันที่มาดามไปขอวีซ่าท่องเที่ยวนั้นเจ้าหน้าที่รู้หรือเปล่าว่ามาดามแต่งงานกับอเมริกันชน...มาดามก็ตอบ แน่นอน เขาถามฉันเกี่ยวกับเรื่องนั้น และฉันก็ตอบว่าฉันเพิ่งจะแต่งงานเมื่อวานนี้ และเขาก็ยิ้ม แถมยังอนุมัติวีซ่า 10 ปี หล่อนถามต่ออีกว่า ทำไมไม่ขอวีซ่าคู่หมั้นที่เมืองไทยมาดามก็เลยต้องเล่าความให้ฟังว่า... ครั้งแรกสามีของฉันวางแผนก่อนแต่งงานว่าจะขอ K-3 Visa โดยพอแต่งเสร็จเขาจะบินกลับคนเดียวเพื่อมาทำเรื่องขอวีซ่าที่ว่าซึ่งน่าจะใช้เวลาสามสี่เดือน แต่ในวันเกิดของเค้าลูกสาวฉันสงสัยว่าทำไมเราไม่บินไปพร้อมกันด้วยวีซ่าท่องเทียวเพื่ออยู่ด้วยกันใช้ชีวิตร่วมกันสักพัก แล้วค่อยขอ K-3 Visa ทีหลัง...สามีของฉันก็บอกว่าเขาไม่รู้เรื่องวีซ่าท่องเที่ยวมาก่อนถ้างั้นก็เปลี่ยนแผนเอาเป็นแบบนี้ละกัน... จากนั้นเธอก็ถามเกี่ยวกับคีธในฐานะสปอนเซอร์เรื่องรายได้ว่ามากเพียงพอจะอุดหนุนจุนเจือมาดามไปตลอดรอดฝั่งหรือเปล่า...ฟังเสียงเหมือนเธอจะไม่เชื่อว่ารายได้ที่คีธยื่นไปจะเพียงพอสำหรับเราสองคนเธอจึงร้องขอให้คีธส่งเอกสารรายได้อื่นเพิ่มเติม (มาดามก็ข้องใจอีกว่าทำไมคีธส่งไปแค่อย่างเดียว เพราะเค้ามีรายได้ 2 ทาง...ถ้าเป็นมาดามจะส่งมันทั้งหมดที่มีเลยหละพี่น้อง...กั๊กไว้ทำไม???) เธอหันมาตั้งคำถามกับมาดามบ้างเป็นคำถามมาตรฐานที่มาดามได้ตอบไปในแบบฟอร์มตอนที่รับการตรวจสุขภาพที่ถามทวนสอบอีกครั้ง คงเผื่อว่าอาจพบมีอะไรที่แตกต่างจากเดิมบางคำถามมาดามก็ไม่เข้าใจ หันหน้าไปหาคีธเพื่อขอให้แปล แต่ว่าสาวใหญ่ในร่างดำไม่ยอมให้คีธช่วยเสียแล้ว มาดามต้องเข้าใจภาษาด้วยตัวเอง และตอบด้วยตัวเอง...เธอช่วยเปลี่ยนคำศัพท์และอธิบายความหมายเพิ่ม นั่นแหละ มาดามถึงค่อยมีคำตอบให้เธอ!!! เฮ้อ... หมดคำถามก็หันมาตรวจสอบเอกสาร เธอต้องการเพิ่มอีก...เยอะ!!! คือหนังสือรับรองการเกิด รูปถ่ายยืนยันการแต่งงาน และรูปถ่ายร่วมกับเครือญาติของคีธ (อันนี้ถ้ามาดามเป็นคนเตรียมเอกสารเอง ขอบอกมาดามจะส่งให้ครบตั้งแต่รอบแรกเลยละพี่น้อง...มาดามอ่านเกี่ยวกับเรื่องนี้มาเยอะแต่ว่าคีธไม่ค่อยยอมฟังเสียงมาดามเค้าก็เชื่อมั่นในส่วนของเค้าน่ะแหละ...หลังจากที่ทะเลาะกันเพราะเรื่องหลักฐานแนบในระหว่างที่รอผลการพิจารณาหลาย ๆ อย่างได้พิสูจน์ทราบกันในวันนี้จริง ๆ) และแล้วก็มาถึงบทสรุปเธอกล่าวว่า ไม่สามารถอนุมัติกรีนการ์ดให้ได้ในวันนี้เพราะยังขาดเอกสารสนับสนุนอีกหลายอย่างที่ว่ามาแต่เดี๋ยวจะทำลิสต์และส่งไปรษณีย์ไปให้ที่บ้าน...และเมื่อเธอได้รับเอกสารเหล่านั้นครบถ้วนแล้วและถ้าไม่มีปัญหาอะไรกับเอกสารเหล่านั้น คาดว่าจะอนุมัติให้ได้...โดยขอให้เราส่งเอกสารไปภายใน 90 วัน คือไม่เกิน 11 พฤศจิกายน 2558 ถ้าเกินจากนั้นเคสจะถูกยกเลิก...มาดามบอกเธอไปว่า การขอหนังสือรับรองการเกิดมาดามต้องกลับไปยื่นเรื่องเองที่เมืองไทย (จากการอ่านข้อมูลของบางคนในเน็ทช่วงที่เดทกับคีธ) เธอรีบบอกทันทีว่า ระหว่างการพิจารณาคำขอนี้ถ้ามาดามเดินทางกลับประเทศไทยคำขอถือเป็นอันยุติ คือถูกยกเลิกไปโดยปริยาย...ตายคาที่เลยครานี้!! วันนั้นมาดามห่อเหี่ยวหนักอึ้ง...เหมือนมีอะไรมาทับร่าง...เรายังมีนัดจะไปเยี่ยมแมรี่ที่บ้านตามคำเชิญที่ให้เราไปพักค้างคืนด้วยเพื่อชิมมะเขือเทศที่เธอปลูกไว้ในสวน แต่มาดามไม่อยากไปแล้ว อยากกลับบ้านอย่างเดียว...คีธจึงโทรหาแมรี่ฝากข้อความไว้ว่าเราขอยกเลิกการเยี่ยมเยือนครั้งนี้....โดยไม่ได้บอกเหตุผลใด ๆ มาดามครุ่นคิดตลอดทางขากลับว่า จะมีความเป็นไปได้มั๊ยน้อ ที่ทางการไทยจะอนุญาต ให้ญาติพี่น้องร่วมอุทร เป็นคนยื่นคำขอหนังสือรับรองการเกิดแทนคนที่อยู่ในต่างประเทศ....ได้แต่หวังว่าจะมีทาง.... ตามอ่านต่อตอน 2 นะจ๊ะท่านผู้ชม ดูว่ามันจะจบลงยังไง??? จะมีอะไร มาเป็นอุปสรรค ขวาก และหนาม ทิ่มตำ หัวใจน้อย ๆ ของมาดามฟราย อีก??? ....ขอบคุณทุกท่านที่แวะมาอ่านกันนะคะ....
Create Date : 03 พฤษภาคม 2559 |
| |
|
Last Update : 3 พฤษภาคม 2559 9:34:30 น. |
| |
Counter : 1200 Pageviews. |
| |
|
|