มาดามฟราย...ชีวิตที่เลือกเอง กับ ฝันที่เป็นจริง
 
 

Life in USA-20 กว่าจะได้งานทำในอเมริกา








Life in USA-20 กว่าจะได้งานทำในอเมริกา

เมื่อได้กรีนการ์ดมาครอบครองเป็นที่เรียบร้อยแล้วคีธก็พาไปที่สำนักงานประกันสังคมพื้นที่เพื่อยื่นขอมีหมายเลขประกันสังคม...วันนั้นเตรียมหลักฐานเพียงแค่กรีนการ์ด กับ พาสปอร์ต คิดว่าน่าจะพอ แต่ว่าเจ้าหน้าที่บอกขอดู Marriage registered ด้วย ก็เลยต้องถอยหลังกลับทันควัน แล้วมายื่นใหม่ในวันถัดไป...เจ้าหน้าที่ดูเอกสารทั้งหมดใช้เวลาเพียงแค่ห้านาทีก็ออกเอกสารแจ้งว่าได้รับคำขอฯ ไว้แล้วและบัตรประกันสังคมจะส่งตรงไปหัวบันไดบ้านภายใน 10 วัน...ท่านผู้ชมการขึ้นทะเบียนประกันสังคมของอเมริกัน แตกต่างจากบ้านเราโดยสิ้นเชิงเลยนะนี่...ไว้มาดามจะเขียนเล่าเรื่องนี้ทีหลังนะจ๊ะ

อันดับถัดไป จำเป็นต้องมีใบขับขี่...แต่ว่ามาดามไม่เคยขับรถเลยตั้งแต่มาอยู่ที่เคปเจอราโด ถนนหนทางก็ไม่รู้จัก แม้จะนั่งรถไปกับคีธบ่อย ๆแต่ก็จำทางไม่ได้สักครั้ง กฎจราจรก็ไม่รู้เป็นไงเหมือนเมืองไทยหรือเปล่า...ไม่รู้จริง ๆ แล้วทางการจะออกใบขับขี่ให้มั๊ยเนี่ย??? มาดามขอให้คีธช่วยพาออกไปฝึกขับรถแต่ก็แค่ฝึกครั้งเดียวพอให้รู้ว่ารถของเค้าขับยังไง...คีธพามาดามไปที่ Cape Girardeau License & Vehicle Registration Office.....แจ้งความประสงค์ว่าจะขอมีใบขับขี่ชนิด Non-Driver Identification แปลว่าทุกคนสามารถมีใบขับขี่เป็นของตัวเองแม้ว่าจะขับรถไม่เป็นเลยแต่ถึงแม้ว่าจะขับรถเป็น ใบขับขี่ชนิดนี้ไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้เพื่อการขับขี่แต่มีไว้เพื่อ ใช้เป็นบัตรประจำตัว เพื่อแสดงตัวตนเช่น ในการออกเสียงเลือกตั้ง....แต่ทว่าในการนี้เจ้าหน้าที่ต้องการหลักฐานที่ระบุที่อยู่ของมาดาม เช่น บิลค่าน้ำ ค่าไฟ ค่า โทรศัพท์/อินเตอร์เน็ท ซึ่งจริง ๆ ยังไม่มีชื่อมาดามเลยสักอย่างที่ว่ามาทั้งหมด..คีธก็เลยยอมแพ้ไม่คิดจะทำไรต่อ เพราะเค้าบอกว่าการเพิ่มชื่อมาดามในบิลนั้นไม่สามารถทำได้...มาดามจะเชื่อเหรอ??? เฮอะ!ไม่หร้อก…จนกว่าจะพิสูจน์ด้วยตัวเอง!!!

ในช่วงเดียวกันนี้มีบางอย่างแปลก ๆ เกิดขึ้นกับคีธ จู่ ๆ เค้าก็หลง และ ลืม เช่น หลงวัน คือ พยายามจะเทรดหุ้นในวันอาทิตย์ แล้วบอกว่ามันเป็นวันอังคาร...ทุกวันพฤหัสฯ เป็นวันที่สำคัญที่สุดสำหรับเค้า แต่เค้ากลับ ลืม!...ยังมีอีก...เริ่มตื่นกลางดึกออกมาเดินแกรกๆ จนมาดามนอนไม่หลับ ทำให้มาดามเป็นกังวล คิดไปไกลถึงว่าถ้าเผื่อเช้าวันหนึ่งตื่นขึ้นมาแล้วสามีจำมาดามไม่ได้ หรืออาจจำ Username/Password สำหรับบัญชีธนาคาร บัญชีหุ้น และบัตรเครดิตไม่ได้ แล้วจะเกิดอะไรขึ้น??? มาดามไม่รอช้า คิดแล้วต้องทำเลยก่อนจะสาย โดยขอให้เค้าเขียน Username, Password ทุกอย่างให้มาดาม...และดูเหมือนว่าคีธจะรู้ตัวอยู่เหมือนกันก็หมั่นปลอบมาดามไม่ให้กังวล...เค้าพามาดามไปที่สำนักงาน Scott Trade เพื่อเพิ่มชื่อมาดามในบัญชีหุ้นทั้ง 10 บริษัทที่เค้าถืออยู่และรับเงินปันผลทุก ๆ ไตรมาส แล้วก็พาไปเปิดบัญชีที่ US Bank แบบ Join Account แต่ก็แห้ว เพราะแบงค์ต้องการเอกสารอย่างเดียวกับที่จะใช้ทำใบขับขี่...อาทิตย์ต่อมาก็พาไปร้านจูเวลรี่เพื่อแก้แหวนหมั้นกับแหวนแต่งงานให้พอดีนิ้ว ทางร้านมองแหวนอย่างหนักใจ แต่ก็รับไว้ว่าจะพยายามหาทางทำให้ดีที่สุดนัดว่าจะรับคืนได้ก่อน คริสมาสต์ แปลว่าใช้เวลาเดือนกว่า ๆ เลยเชียวละ!!!

เมื่อคีธนอนไม่หลับ จากสองชั่วโมง กลายเป็นในบางคืนไม่นอนเลยทั้งคืนได้แต่ดื่มกาแฟดำ สูบบุหรี่ แล้วก็ซดเบียร์ จากปกติ 6 ขวด กลายเป็น 8-9 ขวด หนักขึ้น ๆ ตอนกลางวันก็ไม่หลับไม่นอนจนเบ้าตาดำเป็นแพนด้า แล้วพูดว่า“ที่รักไม่ต้องเป็นห่วงผมจะไม่เป็นไร” มาดามไม่เชื่อ นี่ คนนะไม่ใช่ โรบอท...ในที่สุดมาดามต้องใช้มาตรการซ่อน บุหรี่ กาแฟ เบียร์ ในตอนกลางคืน แต่ว่าคีธก็ยังมีทางเลือกอื่นคือขับรถออกไปหลังเที่ยงคืนเพื่อซื้อบุหรี่มาสูบ...มาดามไม่ยอมแพ้ ซ่อนกุญแจรถอีกแต่ก็ได้แค่ครั้งเดียว เพราะวันถัดไปคีธซุกมันไว้ใต้หมอน ยากที่ฉกเอามาเก็บไว้เอง

มาดามตัดสินใจบอกเรื่องนี้กับพ่อแม่ของเค้า มัมถามว่า “ยูแน่ใจว่าคีธกินยาประจำหรือเปล่า” ยาที่ว่าหมายถึงยาที่ทำให้นอนหลับซึ่งเค้ากินมาสองสามปีมัมว่าถ้าเขาขาดยาเมื่อไหร่จะเป็นเรื่องทันที...มาดามเลยต้องมาตรวจสอบขวดยาสามอย่างก็เลยพบว่าเค้าไม่ได้กินยามาหนึ่งสัปดาห์ (นับจำนวนยาที่เหลือกับวันที่ยาต้องถูกกินหมด) นั่นแหละ มาดามก็เลยต้องมากำกับการกินยาด้วยตัวเอง...พอยาหมดก็ไปหาหมอให้เค้าออกใบสั่งให้ใหม่และเล่าอาการให้หมอฟังเพื่อขอให้เพิ่ม Dose จาก 10 mg เป็น 25 mg กะว่าเอาให้อยู่หมัด แต่กินมาเป็นอาทิตย์คีธก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหลับได้เหมือนแต่ก่อน อาการใหม่ ๆ เริ่มปรากฏ...จากคนไม่พูด ชอบแต่ฟังมาดามจ้อแล้วก็ยิ้มกับหัวเราะ เค้ากลับกลายเป็นคนช่างพูด...มือนึงถือถ้วยกาแฟอีกมือคีบบุหรี่ในนิ้ว เดินไปเดินมา พูด ๆ ๆ มาดามเข้าห้องน้ำ เข้าครัวก็ตามไปพูดแบบไม่ให้ขาดตอน พูดตั้งแต่เช้า ยันมืด จนกว่ามาดามจะเข้านอนนั่นเลย...ที่สุดเค้ากลายเป็นคนไม่ฟังเสียง และเกรี้ยวกราด ในบางขณะ

พอยาหมด คีธก็ไม่ยอมกลับไปรับยาอีก เค้าบอกว่ายาพวกนั้นจะฆ่าเค้า...คีธเริ่มกินอาหารน้อยลง ที่เคยกินเกลี้ยงจานทุกครั้งก็กลายเป็นเหลือ เริ่มจากเหลือนิดหน่อย กลายเป็นเหลือครึ่งจาน...แม่เค้าบอกว่าการอดนอน หรือ Sleepless นาน ๆ อาจทำให้ถึงตาย!นี่ยิ่งน่ากลัว...มาดามกลัวว่าเช้าวันหนึ่งคีธอาจจะไม่ตื่นขึ้นมาอีกก็เป็นได้มาดามจึงชวนเค้าไปโรงพยาบาลเพื่อเช็คอัพทุกอย่าง แต่เค้าปฏิเสธ ยังคงบอกว่า “ไม่เป็นไรมันต้องใช้เวลา” แต่ด้วยความร่วมมือของมัม (แม่คีธ) และด็อกเตอร์แม็คคูลในที่สุด 1 ธันวาคม 2015 คีธก็ไปอยู่โรงพยาบาล…ไม่มีใครบอกได้ว่า นานแค่ไหนที่ต้องอยู่ที่นั่น...มัมพูดมาคำนึงว่า “อาจเป็นปี”

ในระหว่างที่คีธอยู่โรงพยาบาล มาดามก็ตกที่นั่งลำบาก...มากเพราะไปไหนไม่ได้ ไม่มีใบขับขี่ ไม่เคยขับรถเข้าเมือง ไม่รู้ว่าจ่ายค่าน้ำ ค่าไฟค่าโทรศัพท์ อินเตอร์เน็ท ตอนไหน ยังไง...ที่ทำได้ คือพยายามล็อคอินเข้าดูบัญชีของคีธก็พบว่ามีการจ่าย ค่าไฟ กับ บัตรเครดิต ตัดจากบัญชี แต่ไม่รู้ว่าทำไงอีก!!

เพื่อให้ชีวิตรอด อย่างแรก ต้องมีใบขับขี่ก่อน แต่ทำไม่ได้ถ้าไม่มีชื่อตัวเองในบิลพวกนั้น...มาดามดิ้นรนเพื่อที่จะให้มีชื่อตัวเองในบิลค่าน้ำจึงหาเบอร์แล้วโทรไปสอบถามเจ้าหน้าที่บอกต้องไปติดต่อด้วยตัวเองพร้อมบิลน้ำ...นี่ก็เป็นปัญหาอีกแหละเพราะไปไหนไม่ได้น่ะซิ...เดือดร้อนไปถึงพ่อแม่สามีต้องมาดูแลลูกสะใภ้...ขับรถมารับพาไปซื้ออาหารการกินอาทิตย์ละครั้ง

...ในระหว่างที่รอหลานสาวของคีธจะพามาดามไปที่ประปานั้นมาดามก็พยายามติดต่อ Ameren ผู้ให้บริการไฟฟ้า ซึ่งคีธจ่ายค่าไฟผ่านแบงค์แต่มาดามล็อกอินเข้าบัญชีผู้ใช้ไฟไม่ได้ เลยต้องเสี่ยง ๆส่งอีเมล์ไปเล่าขานเรื่องราวความเดือดร้อนให้ Customer service ฟังเพื่อขอความช่วยเหลือ เริ่มแรกเขาก็ช่วยให้มาดาม Join Account ก่อน คือใช้ Account เดียวกับคีธแต่ต่างคนต่างล็อกอินด้วยพาสเวิร์ดของตัวเอง...จากนั้น มาดามก็คิดได้ว่าควรจะขอให้มีชื่อตัวเองในบิลค่าไฟฟ้าด้วยม้วนเดียวจบไม่ต้องวิ่งไปขอที่ประปาก็เลยโทรไปคุย Customer service อีกเขาก็ช่วยจนเพิ่มชื่อมาดามเข้าไปในระบบแต่ว่ายังออกบิลใหม่ที่มีชื่อมาดามไม่ได้จนกว่าจะถึงรอบบิลใหม่นะท่านผู้ชมเขาแค่ Print screen หน้าจอคอมฯ ที่ใส่ชื่อมาดาม แล้วส่งอีเมล์มา...แต่เจ้ากรรมการบอกชื่อทางโทรศัพท์บางครั้งมันก็ฟังกันไม่ชัดเขาก็พิมพ์ชื่อมาดามผิดไปตั้งแต่ตัวแรกเลยจึงต้องส่งอีเมล์ไปขอเปลี่ยนเป็นอันที่ถูกอีก และขอว่าให้ทำเป็นเอกสารที่ดูน่าเชื่อถือกว่าแบบแรกทีเถอะ...ทุลักทุเลพอสมควร...สุดท้ายเขาก็เลยทำ Letter Of Credit ส่งทางอีเมล์มาให้หนึ่งฉบับ...เรื่องจริงรันทดกว่าที่เล่านะ..ตั้งแต่มาอยู่เมกาครบปีก็เพิ่งจะได้ติดต่อพูดคุยกับผู้คนแบบเอาจริงเอาจังก็ตอนที่คีธไปนอนโรงพยาบาลนี่แหละเพราะมันมีสารพัดบิลที่จะต้องจ่ายช่วงปลายเดือน-ต้นเดือนไงมาดามไม่เคยรู้เรื่องพวกนี้มาก่อน...

เมื่อได้สิ่งที่ต้องการแล้ว...มัมก็พาไปสอบทำใบขับขี่ซึ่งมาดามได้เล่าให้ฟังไปแล้ว (ถ้าใครยังไม่ได้อ่าน ก็คลิกไปอ่าน Lifein USA-16 สอบขอขับใบขี่ในอเมริกาหมูในอวย หรือ หมูหิน ได้เลย เล่าไว้สองตอนนะจ๊ะ 16 กับ 17) ในระหว่างที่มาดามกำลังหัดขับขี่กับ Instructor อยู่นั้นมาดามก็มองหางานในอินเตอร์เน็ทว่ามีไรพอจะทำได้บ้างมัมก็มีแนะนำมาว่าให้ไปสมัครที่ Drury Hotel ค่าจ้างดีกว่าที่อื่นมาดามค้นในเน็ทไม่มีตำแหน่งว่างในโรงแรมนั้น...มาดามคิดว่า งานแคชเชียร์ตัวเองน่าจะพอทำได้ ไม่ต้องใช้ภาษาเยอะ (คิดเอาเอง เพราะตอนเราไปซื้อของ จ่ายเงินเรากับแคชเชียร์ไม่เคยพูดจากันเลย)...มาดามก็สมัครออนไลน์ไปที่ Walmart ร้านอาหาร 2 แห่ง และ Nursing Home…

การสมัครงานที่อเมริกา ที่สังเกตได้ทุกบริษัทต้องการให้เรากรอกข้อมูลส่วนตัว ได้แก่ ชื่อ-นามสกุล ที่อยู่ เบอร์โทรฯหมายเลขคู่ดูโอ้ คือ เลขประกันสังคมหรือ เลขประจำตัวผู้เสียภาษี แล้วก็เลขกรีนการ์ด ถ้าไม่กรอกสองหมายเลขนี้ก็อย่าได้หวังว่าจะได้สมัครออนไลน์นะท่านผู้ชมนี่แหละที่มาดามพูดว่า กรีนการ์ดทำอะไรให้เราได้บ้าง) พอกรอกหมายเลขพวกนั้นเสร็จ ก็จะพาเราไปที่หน้าถัดไปเพื่อให้เรากรอกต่อ เช่น งานที่เคยทำ 3-5 แห่ง ว่าไปตั้งแต่ ชื่อบริษัท ที่อยู่ เบอร์โทรฯวันเดือนปีที่เริ่มจนถึงวันที่ออก ค่าจ้าง/เงินเดือน ตำแหน่ง ความรับผิดชอบชื่อหัวหน้างาน พร้อมหมายเลขโทรศัพท์ติดต่อ... และให้แนบ Resume แต่บางแห่งไม่ต้องการ...นี่อย่างน้อยนะจากนั้นเขาก็จะให้เราทำบททดสอบเยอะแยะมากมายก่ายกอง เพื่อประเมินว่า มนุษย์พันธุ์ไหนที่เราเป็น ถ้าไม่ใช่พันธุ์ที่เขาต้องการเขาก็จะอีเมล์มาบอกว่า ขอบคุณที่สนใจสมัครงานไปแต่ว่าเรามีคนอื่นที่มีคุณสมบัติใกล้เคียงกว่า...อันนี้มาดามว่าดีนะ จะได้ไม่ต้องรอคอยด้วยความสงสัย...แต่บางแห่งเช่น วอลมาร์ท มันตีลูกเงียบอย่างเดียว ดูท่า Human Resources ไม่เวิร์กเท่าไหร่...องค์กรใหญ่ก็งี้แหละ เทอะทะ อุ้ยอ้าย อืดอาด ยืดยาด...เฮอะ ไม่อยากจะนินทา!!!

เวลาผ่านไป 1 เดือน คีธก็เหมือนจะดีขึ้นและอาจจากโรงพยาบาลกลับมาอยู่บ้านช่วงที่มาดามกำลังหัดขับรถนั่นแหละพอสอบทำใบขับขี่ผ่าน มาดามก็มองหางานอีก เจองานโรงแรมในเครือ Midamerica Hotels Corp. ก็สมัครไปในวันที่ 2 มกราคม 2016 พอวันที่ 6 ก็ได้รับโทรศัพท์จากโรงแรม Hampton Inn & Suites นิมนต์ให้ไปรับการสัมภาษณ์ในวันที่ 7 คีธก็ขับรถพามาดามไป...วันนั้น Trina ตำแหน่ง Supervisor ออกมารับมาดามและเอาใบสมัครมาให้กรอก เสร็จแล้วเธอก็ไปเชิญ Jess ซึ่งเป็น Supervisor อีกคนมาร่วมสัมภาษณ์...Jess นั้นพูดสำเนียงชัดเจน ฟังง่ายกว่า...ทุกครั้งที่ Trina ตั้งคำถาม มาดามจะฟังไม่ค่อยเข้าใจ Jess จะคอยทำหน้าที่ถามซ้ำอีกทีมาดามถึงจะรู้เรื่อง ก็เลยกลายเป็นเรื่องสนุกขำ ๆ กันไป...Jess ถามว่าขับรถได้หรือเปล่า มาดามก็ตอบว่า“เพิ่งได้รับใบขับขี่เมื่อวานนี้เอง...สอบผ่านได้คะแนน 98 เชียวนะ” แน่ะถือโอกาสคุยฟุ้งเลย...Jess ร้อง “ว๊าว!! สุดยอด หลานของฉันสอบตั้งสามครั้งแน่ะ” มาดามงี้หน้าบานแฉ่งไม่อยากจะหุบ...พวกเราพูดคุยถูกคอกันดี แต่ว่าพวกเธอคงยังไม่มั่นใจว่าจะรับต่างด้าวอย่างมาดามดีหรือเปล่าเธอก็เลยไปนิมนต์ Matt ผู้จัดการโรงแรมมาดูตัวมาดามและพูดคุยทักทาย ถามคำถามกันนิดหน่อย เขาถามว่า มาดามเคยทำงานโรงแรมหรือเปล่ามาดามตอบ “ไม่เค้ย ไม่เคย ฉันแค่จบเมเจอร์โฮเทลนะจะบอกให้”


…ชีวิตมาดามฟรายเริ่มก้าวย่างเข้าสู่วงจรลูกจ้างอีกครั้งในวันที่ 12 มกราคม 2016 แต่ต่างดินแดน ต่างภาษา ต่างศาสนา ต่างวัฒนธรรม ต่างกฎกติกามารยาท ที่สำคัญเป็นงานที่ต่างจากสิ่งที่มาดามเคยทำมาตลอดชีวิตอย่างสิ้นเชิง...

จริง ๆ มาดามไม่อยากจะเชื่อตัวเองนะว่าจะมีบริษัทไหนจ้างคนต่างด้าว เหลาเหย่ (แปลว่า แก่ Smileyให้ทำงาน...แค่คิดว่าไม่อยากนั่งอยู่คนเดียวในบ้านทั้งวี่ทั้งวัน และถ้ามีใครจ้าง ไม่ว่ามันจะเป็นงานอะไรก็จะทำ ถ้าไม่ได้ก็ถือว่าเป็นประสบการณ์ในการสมัครงาน...คิดแค่นั้น...แล้วเพียงแค่สองสัปดาห์ก็ได้งานทำ

มาดามเห็นความดีของประเทศนี้ก็ตรงที่ มี กฎหมายสิทธิมนุษยชน และ The Employment Non-Discrimination Act (ENDA) รวม ๆ ความแล้วประมาณว่า ห้ามการเลือกปฏิบัติในการจ้างงาน ไม่ว่าจะเป็นเพศ (Sex) อัตลักษณ์ทางเพศ (Gender Identity) วัย (Age) ชาติกำเนิด(National Origin) เชื้อชาติ (Race) ศาสนา (Religion) สีผิว (Color) สถานะสมรส (Marital Status) ความไร้สามารถ(disability) ฯลฯ


...ดังนั้นในใบสมัครจะไม่มีช่องให้เรากรอกอายุ แต่จะมีแค่คำถามว่า คุณมีอายุอย่างน้อย 18 ปี หรือไม่ เราก็ติ๊กว่าใช่หรือไม่ใช่แค่นั้น...และถ้าเรากรอกหมายเลขกรีนการ์ด แปลว่าเราไม่ใช่อเมริกันดังนั้นก็จะมีคำถามว่า อันไหนที่คุณเป็น Caucasian, Asian เป็นต้น...ในเมืองไทยเรานั้นพออายุครบ 60 ขวบปี ก็จะถูกนิมนต์ให้อยู่บ้านเลี้ยงหลาน หรือไม่ก็ให้หลานเลี้ยง...แต่ที่เมกา เกษียณกันตอน 67 ขวบแปลว่ามีเวลาหาเงินได้มากกว่าคนไทยเรา 7 ปี ...พูดแบบให้ฟังดูดีก็ต้องพูดว่า มีโอกาสใช้/แสดงความสามารถได้นานกว่าชาวไทยตั้ง 7 ปี

ความดีของกรีนการ์ด ไม่ได้มีเพียง แค่ใช้ในการทำงานในประเทศสหรัฐอเมริกา เท่านั้นมันยังสามารถใช้ในการผ่านเข้า-ออกประเทศนี้โดยไม่ต้องใช้พาสพอร์ต และมันยังใช้ทำธุรกรรมต่าง ๆ เหมือนเราใช้บัตรประชาชนในเมืองไทยของเราน่ะแหละ...เมื่อมันสำคัญเช่นนี้พวกมิจฉาชีพมันจึงชอบลักหมายเลขกรีนการ์ด และประกันสังคมเอาไปปลอมเป็นตัวเราที่เรียกว่า Identity Theft แล้วก็ขโมยเงินจากบัญชีออนไลน์ หรือบัตรเครดิตของเรา และ/หรือไปหลอกคนอื่นเอาทรัพย์สินเงินทอง...บรรดาแบงค์จึงจำเป็นต้องมีระบบรักษาความปลอดภัยในการเข้าถึงบัญชีส่วนตัวของเราแบบหลายหลืบหลายชั้นมาก...

ชีวิตการทำงานของมาดามฟรายจะดำเนินไปยัง จะเข้ากับเพื่อนร่วมงานได้หรือไม่ การสื่อสารจะราบรื่นแค่ไหน หรือจะพบอุปสรรคขวาก และ หนาม อะไรอีก...มาดามจะเขียนตอนต่อไปนะจ๊ะ...ขอบคุณที่แวะมาเยือน...

Smiley





 

Create Date : 18 มิถุนายน 2559   
Last Update : 31 ธันวาคม 2559 5:42:44 น.   
Counter : 2925 Pageviews.  


Life in USA-19 กว่าจะได้กรีนการ์ด-ตอน 2









Life in USA-19 กว่าจะได้กรีนการ์ด-ตอน 2



.......พอถึงบ้านมาดามก็ลุยถั่วสืบค้นขอมูลอีกครั้ง...และแล้วก็เจอเข้ากับ เอกสารของทางการซึ่งเป็นหนังสือ สรุปขั้นตอนการปฏิบัติงานเกี่ยวกับการขอและออกหนังสือรับรองการเกิด...พระเจ้าช่วยมาดามแล้ว!!! ในนั้นระบุไว้ค่อนข้างชัดเจนทั้งขั้นตอน เอกสาร หลักฐานที่ต้องใช้และระยะเวลาสำหรับการพิจารณาออกหนังสือฯ...เพื่อให้แน่ใจว่าการปฏิบัติของแต่ละอำเภอเป็นหนึ่งเดียวมาดามได้โทรผ่าน Skype ไปที่อำเภอเมืองสมุทรปราการ สอบถามว่า กรณีที่มอบอำนาจให้คนอื่นมายื่นคำขอแทนนั้นที่นี่ต้องการหลักฐานอะไรบ้าง...สาวน้อยนางหนึ่งรับสาย และตอบอย่างไม่ลังเลไรเลย (เหมือนรู้จริง และก็ชีก็ไม่ได้ตั้งคำถามอะไรเลยสักคำ) มาดามก็จด ๆ กันลืม มีสิ่งเดียวที่แตกต่างกันคือ ที่นี่ไม่ต้องการรูปถ่าย!!!???

มาดามเริ่มพิมพ์หนังสือมอบอำนาจแบบราชการทั่วไปให้ลูกสาวเป็นผู้รับมอบฯ และให้พี่สาวอีกสองคนเป็นพยาน...ส่งอีเมล์ไปให้เจ้าคริสลูกสาวหัวดื้อของมาดาม พร้อมกับสำเนาทะเบียนบ้าน สำเนาบัตรประชาชน แค่นี้จริง ๆ ที่อำเภอเมืองสมุทรปราการบอกทางโทรศัพท์....และเพื่อจะอำนวยความสะดวกให้ทั้งสามสาวไม่ต้องเดินทางไกล มาดามก็แนะเจ้าคริสไปว่า ให้ลองโทรสอบถามที่เขตลาดกระบังซึ่งใกล้พวกเค้าที่สุดว่าถ้าจะไปยื่นขอที่นั่น ได้หรือเปล่า และต้องการเอกสารไรบ้าง ต่างหรือเหมือนกันยังไง...เจ้าคริสก็โทรไป ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่ตอบโดยไม่ถามไรเหมือนกัน แต่คำตอบ คือ ต้องมีหนังสือมอบอำนาจที่เซ็นรับรองโดยกงศุล/สถานทูตในต่างประเทศมายื่นพร้อมหลักฐานอื่น และที่สำคัญ เกิดที่ไหนก็ให้ไปยื่นที่นั่น....ตายห่าละครานี้...ไรกันนี่ แต่ละที่ก็มีแบบแผนเป็นของตัวเอง ทั้งที่อยู่ในกรมการปกครองเดียวกันแท้ ๆ....

มาดามเลยต้องมาค้นหาข้อมูลและโทรไปสอบถามที่สถานทูตไทยในเมกา ก็ได้ข้อมูลมา แล้วดาวน์โหลดแบบฟอร์ม “หนังสือมอบอำนาจ(ทั่วไป)” และ “คำร้องนิติกรณ์” เมื่อกรอกข้อมูลลงในฟอร์มเสร็จก็ปริ้นท์ออกมา ขั้นตอนต่อไป ต้องไปลงนามตัวเองในหนังสือมอบอำนาจ ต่อหน้า Notary Public ซึ่งเธอทำงานที่ US Bank ที่คีธมีบัญชีอยู่เธอเซ็นรับรองให้โดยไม่คิดค่าธรรมเนียม เพราะถือว่าเป็นลูกค้าธนาคาร...ดีไป!!

25 ส.ค. 2558 เมล์เอกสารทั้งหมดไปที่ กงสุลใหญ่นครชิคาโกพร้อมเช็คสั่งจ่าย $15 เป็นค่าธรรมเนียมการรับรอง...มาดามได้รับเอกสารที่ประทับรับรองแล้วกลับคืนรวมระยะเวลาไป-กลับสัปดาห์กว่า ๆ....เสร็จสรรพ ช่วงต้น ๆ เดือน ก.ย. ก็เมล์ไปให้เจ้าคริส (คีธจ่ายค่าส่งไปแบบธรรมดาสามัญมาก $1.25 ถึงมือเจ้าคริสในอีก 17 วันหลังจากนั้นจริง ๆ มาดามบอกคีธไว้ล่วงหน้าแล้วว่าให้ส่งแบบลงทะเบียนเพราะเกรงว่าเอกสารอาจสูญหายระหว่างทางแต่ไม่รู้ทำไม๊... คีธถึงส่งแบบนั้น??)

เจ้าคริสและพี่สาวสองคนของมาดามก็พากันนั่งแท็กซี่ไปที่อำเภอเมือง (มีรถ...แต่ไม่มีคนขับ...เหอๆ) ตามที่มาดามต้องการ โดยไม่สนว่าเขตลาดกระบังจะพูดว่าให้ไปขอยังบ้านเกิด...เมื่อไปถึงอำเภอเมืองสมุทรปราการเจ้าหน้าที่รับเรื่องเสร็จ ตรวจสอบข้อมูลในระบบ แล้วก็หันมาแจ้ง “ข่าวร้าย”ว่า ให้ไปยื่นคำขอที่อำเภอบ้านเกิดเถอะนะโยม!!!!

มาดามมารู้เรื่องราวข่าวร้าย เอาตอนกำลังหลับไหล...ได้รับข้อความทางไลน์จากพี่สาว ว่าขณะนั้นพวกสามสาวกำลังนั่งหน้าทำหน้าแป้นแว๊นอยู่ที่อำเภอบ้านหมี่ จังหวัดลพบุรี บ้านเกิดของมาดามเป็นที่เรียบร้อยแล้วแต่...แต่ ปลัดอำเภอปฏิเสธคำขอ และบอกว่าให้ไปยื่นที่อำเภอเมืองสมุทรปราการ ตามทะเบียนบ้านปัจจุบันเถอะนะโยม!!!...ดูเอาเองละกันพี่น้องระบบราชการไทยแลนด์...

แต่หลังจากที่คุณนายสมจิตรพี่สาวคนโตที่แสนฉลาดปราดเปรื่องของมาดามได้ไฟท์กับปลัดอำเภอไปสองยก... “ก่อนจะเหมาแท็กซี่วิ่งมาที่นี่อิชั้นได้เช็คข้อมูลและได้รับการยืนยันจากผู้อำนวยการเขตดุสิต แล้วว่า อำเภอบ้านเกิดสามารถออกให้ได้นี่ไงหมายเลขโทรศัพท์ปลัดอยากคุยตอนนี้เลยมั๊ย จะต่อให้???”.....นั่นแหละปลัดฯ ก็เลยยอมจำนนแต่โดยดีว่าจะรับเรื่องคำขอ และออกหนังสือรับรองให้ แต่ว่าจะต้องไปนำตัวผู้ใหญ่บ้านและข้าราชการในหมู่บ้านอีกสองคนมาเป็นพยาน...พี่สาวก็รีบโทรไปหาพี่ชายให้ดำเนินอย่างที่ว่า และพาคนเหล่านั้นมาที่อำเภอโดยด่วน....

ระหว่างที่รอ ปลัดก็ถามหา รูปถ่าย...อ้าว ไม่มีรูปทำไง??? พี่สาวแสนดี และฉลาดเป็นกรด ก็รีบส่งข้อความทางไลน์มาบอกมาดามว่าให้ส่งรูปถ่ายไปให้โดยด่วนนะบัดเดี๋ยวนั้นเพราะปลัดจะต้องติดรูปถ่ายลงในหนังสือรับรองการเกิดนั่นด้วย...โชคดีจริงท่านผู้ชมที่ในคืนนั้น มาดามไม่ได้ปิด WiFi มือถือก่อนเข้านอน เลยได้ยินเสียงข้อความจากไลน์เข้ามา ตื่นมาดูเห็นข้อความที่ว่าต้องกระโดดโหยงลงจากเตียง ไปเปิดคอมพิวเตอร์ และนั่งทำเบลอ ๆ สักเดี๋ยว...คิดว่าตูจะเอารูปไหนจาก Folderไหนในเครื่องปัจจุบันหรือว่า ใน Hard disk ตัวเก่า? ที่มาดามหิ้วมันมาด้วย...สักพักก็ต่อ External Hard disk ขุดเอารูปที่เคยถ่ายเอาไว้จากเว็บแคมเอาที่มันดูเป็นทางการก็เจอไอ้รูปที่ใช้ทำการ์ดเชิญแต่งงานน่ะแหละ...ปรับแสงซะหน่อย จะได้ไม่มืด (ขนาดรีบ ๆ ยังอุตส่าห์ห่วงสวยอีก) เสร็จแล้วก็ส่งไลน์ไป....กลับไปนอนต่อกว่าจะหลับ ก็นึกเคืองเจ้าหน้าที่อำเภอเมืองสมุทรปราการ ที่ให้ข้อมูลแบบขอไปที ไม่ถามไถ่ให้รอบคอบก็ตอบส่งเดช...มาดามเข้าใจเอาเองว่า ที่เขตลาดกระบัง คงมีประสบการณ์ที่ต้องปฏิเสธคำขอมาแล้วเพราะคนขอไม่ได้เกิดที่เขตนั้น....

รุ่งขึ้นคุณนายสมจิตรก็ส่งแอร์เมล์เอกสารนั้นมาให้พร้อมกับแจ้งค่าเสียหายทั้งหมด 3,860 บาท ไล่เรียงไปตั้งแต่ ค่าแท็กซี่ ค่าอาหาร ค่าปริ้นท์รูปถ่าย ค่าส่งเมล์กลับ (ยังดีที่ไม่ต้องจ่ายค่าน้ำร้อนน้ำชาให้ผู้ใหญ่บ้านและข้าราชการครูสองท่าน...ถือโอกาสขอบพระคุณทุก ๆ ท่าน มา ณ ที่นี้นะค๊า)....

เจ้าคริสใช้มือถือถ่ายหนังสือรับรองการเกิดส่งไลน์มาให้มาดามคีธก็ส่งอีเมล์ไปให้สำนักงานแปลที่เมืองไทย แปลเป็นภาษาอังกฤษหลายวันต่อมาก็ส่งอีเมล์ฉบับแปลมาให้...จ่ายค่าเสียหายไป $29 เพราะคีธหัวดื้อไม่ยอมฟังเสียงมาดาม ว่าที่กงสุลใหญ่นครชิคาโก้คิดราคาค่าแปล เพียง $15 (ช่างหัวคีธ!!)

ในระหว่างที่รอหนังสือรับรองการเกิดตัวจริงอยู่นั้น บ่ายสามโมง ของวันที่ ต.ค. 2558 ไปรษณีย์สาวขับรถเก๋งมาสอดเมล์ให้ตู้ คีธก็ออกไปควักเอามาจากตู้....โอ้ว...มีซองนึงที่จั่วหัวถึงตัวมาดาม คีธใจร้อนเปิดดูที่โรงจอดรถ อ่านจบเค้าก็รีบเข้ามาในบ้าน พูดว่า....”ยูต้องบินกลับเมืองไทยคนเดียวทันทีไอไม่สามารถไปกับยูได้” หัวใจมาดามหล่นตุ้บลงไปกองที่เท้า..ทำไมคีธพูดอย่างงั้น??? คว้าเอกสารมาอ่านอย่างงง ๆ งวย ๆ... มันเป็นเอกสารที่เรียกว่า Denial Notice จาก USCIS-Vermont Service Center อ่านแล้วไม่รู้เรื่องจับความไม่ได้ มึน!....คีธก็พูดอะไรฟังไม่รู้เรื่อง...หูอื้อ...ตาลาย...มึนไปหมด...ทำไงดี??? มาดามวางมันลงไว้ที่โต๊ะและนั่งสงบสติอารมณ์พักใหญ่ ๆ รอจนคีธหุบปากเงียบไปแล้วมาดามก็หยิบมันขึ้นมาอ่านใหม่ อย่างถี่ถ้วน...

เอกสารฉบับนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่อง การยื่นขอกรีนการ์ดแต่ประการใด ทว่ามันเป็นคำตอบสำหรับ การยื่นคำขอขยายระยะเวลาการพำนัก (I-539 Application to Extend/Change Non immigration Status) ที่ส่งมาจากสำนักกฎหมายของ USCIS แจ้งว่า “ทางการไม่สามารถขยายระยะเวลาฯ ให้ได้เพราะเหตุผลของการขอฯ ไม่อยู่ในลิสต์ที่ทางการกำหนดไว้ดังนั้น ท่านต้องรีบเดินทางออกนอกประเทศทันที หากยังรีรอจนวีซ่าหมดอายุท่านจะอยู่อย่างผิดกฎหมาย...แต่หากท่านไม่เห็นด้วยกับการพิจารณานี้ และหากวีซ่ายังไม่หมดอายุท่านต้องยื่นขออุธรณ์ภายใน 33 วัน”

มาดามอ่านถึงตรงนี้ก็รู้สึกว่าน่าจะยังมีทางรอดการยื่นอุทธรณ์น่าจะแปลว่ามาดามไม่ต้องบินกลับทันที เพราะต้องอยู่ดำเนินการอุทธรณ์ (คิดเอาเองอีกแหละ) มาดามคิดว่า จะดียิ่งกว่านั้นถ้าวันนี้...พรุ่งนี้ได้รับหนังสือรับรองการเกิด ก็แค่รีบเอาไปยื่นเพิ่ม ทางการก็พร้อมจะอนุมัติกรีนการ์ดให้แล้วดังนั้น เอกสารจากสำนักกฎหมายก็จะเป็นอันตกไป....ภาวนา ๆ ๆ ขอให้ได้รับหนังสือรับรองการเกิดภายในพรุ่งนี้ทีเถิ้ด!!!

ต.ค. 2558 คำภาวนาของมาดามดูเหมือนจะมีพลังเอาเรื่อง... เสียงกริ่งดังที่หน้าบ้าน....คีธเปิดประตูพบมิสเตอร์โพสต์แมน ยื่นซองพร้อมกับบัตรเซ็นชื่อผู้รับ....มาดามถลามาคว้าซองจากมือคีธ...ใช่แล้วมันคือสิ่งที่กำลังรอคอย...เราต้องรอดต้องไม่ถูกจับก่อนรับการอนุมัติกรีนการ์ดและไม่ต้องบินกลับทันที!...เราจะไป USCIS-St. Louis เพื่อยื่น Additional Documents ซึ่งมาดามได้เตรียมไว้ทั้งหมด พร้อมทำ List ปะหน้าเพื่อให้ตรวจสอบได้ง่ายและรวดเร็วขึ้นสำหรับสาวใหญ่ในร่างมืดคนนั้น...

มาดามรีบชวนคีธไปยื่นเอกสารในทันทีแต่เขาบอกว่า ไว้เป็นวันถัดไปละกัน...(ดูเอาเถอะ..คนไร ช่างไม่รู้ร้อนรู้หนาวกำลังหน้าซิ่วหน้าขวาน ยังจะผลัดวันประกันพรุ่งSmiley) มาดามบอก เราต้องฉวยโอกาสนี้มันเป็นโอกาสสุดท้าย ช้าแค่วันเดียวเราอาจสูญเสียทุกอย่าง และอาจถูกจับและนั่นหมายถึง มาดามจะไม่มีสิทธิ์กลับเข้าประเทศนี้ได้อีกเลย...ในที่สุดคีธก็ยอมตาม...ขับรถไปสองชั่วโมง ก็ถึง USCIS-St.Louis มาดามนั่งรอที่เก้าอี้ ใจระทึก ส่วนคีธเข้าไปแจ้งความประสงค์ต่อเจ้าหน้าที่ซึ่งขณะนั้นมีเพียงหนึ่งน้องนางเดียวให้บริการคนกว่าสิบ...นางบอกว่ายูต้องไปทำขั้นตอน INFO PASS ก่อน คือนัดหมายออนไลน์ล่วงหน้าสำหรับการนี้นางชี้ไปที่ทางเข้าซึ่งมีเครื่อง Kiosk ตั้งอยู่ แต่มาดามไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไม และเมื่อใช้เครื่องนั้นแล้วจะต้องดำเนินการไงต่อ...วันนี้ รึว่า วันไหน??

มีสองหนุ่มสาวนั่งรอที่เก้าอี้แถวเดียวกับเรา เมื่อเธอได้ยินความเช่นนั่น เธอพูดกับคีธว่า นัดออนไลน์ผ่านมือถือก็ได้...คีธควักมือถือตัวเองออกมา พยายามไปที่เว็บนั้นแต่ทว่าดูเหมือนอินเทอร์เน็ทมือถือเค้าใช้การไม่ได้ในตึกนี้...สาวน้อยผู้อารีจึงยื่นมือถือของเธอให้คีธยืม เค้าก็พยายามอยู่สักครู่แต่แล้วเจ้าหน้าที่ก็พลันเรียกให้เธอไปรับบริการที่เค้าน์เตอร์ คีธจึงต้องคืนมือถือให้เธอไป

เราสองคนก็ได้แต่เดินออกมาและคีธก็พยายามใช้เครื่อง Kiosk ตรงทางเข้านั่น แต่มันก็ไม่เวิร์ค ล็อคอินไม่ได้ท่านผู้ชม เค้าเลยหัวเสียและชวนมาดามกลับบ้าน....มาดามอยากจะร้องไห้ ชักกระแด่ว ๆ ที่ตรงนั้นซะจริงๆ...ดูเหมือนความหวังเดียวของมาดามจะลางเลือนลงทุกขณะภาพที่ตัวเองกำลังบอกลาสามีเพื่อไปขึ้นเครื่องค่อย ๆ ปรากฏเด่นชัดขึ้นที่ละนิดๆ...ขณะเดินตามเค้าลงไปที่ชั้นล่าง เราเริ่มทะเลาะเสียงดัง เพราะมาดามขอร้องเค้าให้พยายามต่อ...กลับตอนนี้ไม่ได้...เราอยู่ที่นี้แล้ว...ทำไมต้องกลับโดยที่เอกสารยังอยู่ในมือ...มันต้องมีทางอื่นอีกซิ!!! (ทำไมสามีของฉันเป็นคนขี้แพ้ไม่เคยใช้ความพยายาม ไม่ยอมถามผู้คน คิดเอาเองแบบไร้ข้อมูลถ้าฉันต้องบินกลับเมืองไทย ก็จะไม่กลับมาที่อเมริกานี่อีกเด็ดขาดเลิกกันไปเลย...นี่คิดแบบนี้ในเวลานั้น โกรธมว๊าก!)

เค้าพามาดามเดินผ่านด่านตรวจออกมา มาดามเดินตามช้า ๆ อย่างเสียไม่ได้และครุ่นคิดอย่างหนัก...ตรงหน้าทางออกจากสำนักงานเห็นมีม้าหินตั้งอยู่ มาดามบอกว่าขอนั่งตรงนี้ก่อน...แค่ยื้อเวลาไว้ก่อนเผื่อมีไอเดียอื่นแว่บมา...เขาทำท่าหงุดหงิดเดินออกประตูไปมาดามไม่เดินตามได้แต่ตะโกนยื่นคำขาดว่าถ้าวันนี้ไม่หาทางยื่นเอกสารให้ได้มาดามจะกลับเมืองไทยทันที ไม่ต้องให้ใครมาไล่จับแล้วจะไม่กลับมาเหยียบเมกาอีกเลย...ขาดกัน!!!!!!!นั่นแหละ เขาจึงเดินกลับมายืนรอข้าง ๆ....

มาดามมองไปด้านในดูคนเดินผ่านด่านตรวจเข้า-ออก คิด ๆ ๆ ทำไง ๆ...ฉันต้องรู้ให้ได้ว่าฉันควรทำไงและต้องทำวันนี้ เดี๋ยวนี้ ก่อนที่คีธจะลากมาดามกลับออกไป....สายตามาดามจับจ้องที่เจ้าหน้าที่ชายตรงด่านตรวจ อืม...น่าจะลองถามเขา มาดามรวบรวมความกล้า เอาวะเขาจะฟังรู้เรื่อง หรือไม่ก็ต้องพูดดูสักตั้ง...สาวเท้าเข้าไปหาเขาเล่าเรื่องราวให้ฟัง ขอให้ช่วยชี้แนะ....เขาก็บอกว่า จริง ๆ เขาไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้เลยได้แต่ตรวจคนผ่านเข้า-ออก....แต่แนะว่าให้เข้าไปในห้องที่ชั้นหนึ่ง ตรงนั้น และถามเจ้าหน้าที่ข้างในมาดามกลับมาลากแขนคีธกลับเข้าไปชั้นที่หนึ่ง ห้องนั้น...มันเป็นห้องที่มาดามเคยมาทำ Biometric นี่นา....เอาเหอะมันจะเกี่ยวหรือไม่เกี่ยวก็ขอถามหน่อยละกัน...เมื่อเจ้าหน้าที่ได้ฟังความเธอก็บอกไม่รู้เรื่องนี้ด้วยเหมือนกัน ต้องเป็นชั้นสอง...ก็ชั้นที่มาดามเพิ่งจะลงมาน่ะแหละ...คีธไม่อยากลับขึ้นไปเขาไม่เชื่อว่าจะมีทางเป็นไปได้เพราะเธอคนนั้นบอกชัดแล้วว่าจะต้องทำการนัดวันเวลาที่เครื่องคีออสค์นั่นเสียก่อนเขาเพียงแค่คิดว่าจะขับรถกลับบ้านสองชั่วโมง แล้วทำการนัดออนไลน์แล้วค่อยขับรถอีกสองชั่วโมงเอาเอกสารมาส่งแล้วก็ขับกลับอีกสองชั่วโมง...เฮ้อ ซึ่งมาดามไม่รู้ว่าถ้าทำอย่างนั้น แล้วมันจะได้รับวันนัดนานแค่ไหน...เวลาของการพำนักอย่างถูกต้องตามกฎหมายมันหมดไปตั้งสี่เดือนแล้ว...

ลากคีธกลับไปที่ชั้นสองจนได้และครั้งนี้มาดามออกโรงเอง...ตรงรี่กลับไปหาเจ้าหน้าที่หญิงคนเดิมที่คีธคุยด้วยแล้วบอกเธอไปว่า “เมื่อตะกี้เราได้ไปใช้เครื่อง Kiosk นั่นแล้ว แต่ว่ามันไม่ทำงานเราทำอะไรไม่ได้เลย เราขับรถมาสองชั่วโมง เราจำเป็นต้องยื่นเอกสารนี้ให้ได้ในวันนี้เพราะเวลาของเรากำลังจะหมด”....นั่นแหละเธอจึงขอดูเอกสาร และถามสองสามประโยค....แล้วเธอก็ตรวจสอบข้อมูลในคอมพิวเตอร์...แล้วเธอก็ทำนู่นนี่ นั่น กับมันสักครูนึง ระหว่างนั้นมาดามจ้องดูเธอตาไม่กระพริบ...แล้วเธอก็เงยหน้ามองเราสองคน...มาดามใจระทึกกับสิ่งที่กำลังจะได้ยิน....แล้วเธอก็พูดว่า“ทั้งหมดเรียบร้อยแล้วเอกสารชุดนี้กำลังจะถูกส่งให้เจ้าของเคส” มาดามตัวเบาหวิวเหมือนยกเทือกเขาหิมาลัยออกจากอก...กล่าวขอบคุณเธออย่างลิงโลด....Have A Nice Day! นั่นเป็นคำพูดสุดท้ายของเธอพร้อมส่งยิ้มให้เราสองคน...

7 ต.ค. 2558 ทางการออกหนังสือแจ้งอนุมัติ I-130 Petitionfor Alien Relative, I-485 Application to Register Permanent Residence or Adjust Status ....ความว่า “ยินดีต้อนรับสู่ประเทศสหรัฐอเมริกา...นี่เป็นการแจ้งว่าคำขอฯของท่านได้รับการอนุมัติแล้ว ด้วยความยินดียิ่ง เราขอต้อนรับท่านสู่ถิ่นพำนักถาวรในประเทศสหรัฐอเมริกาฯลฯ”...ข้อความหลังจากนั้นก็จะเป็นการบอกเกี่ยวกับหมายเลขสำคัญที่เราต้องจดจำเพื่อการอ้างอิงในกรณีที่ติดต่อเรื่องในภายภาคหน้าที่เรียกว่า USCIS A# (A-Number) ประกอบด้วย PermanentAccount, File Number…และ Permanent Resident Card จะถูกส่งมาถึงในอีกไม่ช้า (ไม่เกิน 3 สัปดาห์) กรีนการ์ดถูกส่งมาถึงบ้านหลังจากนั้นเพียงแค่สัปดาห์เดียวเอง

แม้จะได้รับหนังสือแจ้งการอนุมัติฯแต่ในระหว่างที่ยังไม่ได้รับ Permanent Resident Card มาดามอยู่อย่างผิดกฎหมายนะท่านผู้ชม หากความซวยมาเยือน แบบว่าเจอตำรวจขอดูพาสพอร์ตมีหวังโดนข้อหาเข้าเมืองผิดกฎหมายแน่...เลยต้องอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือนรอกรีนการ์ดมาเกย!!!....สิริรวมระยะเวลาการยื่นขอกรีนการ์ดในแบบนี้ล่อไป 10 เดือน (ม.ค.-ต.ค.) อันที่จริงถ้าเคสไม่ถูกโอนไป-มาสองสามรอบและถ้าเอกสารหลักฐานครบตั้งแต่ครั้งแรกมันก็แค่ 6 เดือนแหละ ไม่มาก ไม่น้อย...

Permanent Resident Card หรือที่มักเรียกกันว่ากรีนการ์ด (สองปี) มีประโยชน์ยังไง? มาดามใช้มันทำอะไรได้บ้าง...มาดามจะเขียนต่อตอนถัดไปนะจ๊ะ...Smiley

ขอบคุณที่แวะมาค่ะ




 

Create Date : 08 พฤษภาคม 2559   
Last Update : 24 พฤษภาคม 2559 7:41:52 น.   
Counter : 1273 Pageviews.  


Life in USA-19 กว่าจะได้กรีนการ์ด-ตอน 1







Life in USA-19 กว่าจะได้กรีนการ์ด-ตอน 1


กลับมาแล้วค๊า!!! หายหน้าหายตาไปกว่าสามเดือนเพราะมัวมุ่ง+ยุ่งกับงาน ในสถานที่ ๆ ไม่มีคนไทยเลย....ครั้นพอหลายอย่างเข้าที่เข้าทาง และพอจะมีเวลาบ้างมาดามก็คิดว่าจะเขียนไรต่อดี....พลันก็นึกขึ้นมาได้ว่ามีเรื่องที่ค้างคายังไม่ได้เขียนเล่า คือ ช็อตเด็ด ที่ทำให้มาดามได้ใช้ชีวิตอยู่ในอเมริกาด้วยวีซ่าท่องเที่ยวได้เกินกว่า 6 เดือน เกินจากที่ ตม. ประทับหราไว้บนพาสพอร์ต

.....สาเหตุที่ลืมเขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้...เพราะว่าเรื่องมันดำเนินมายืดยาวกว่าจะได้กรีนการ์ดใบแรกชนิดสองปี เหงื่องี้หยดติ๋งๆ..แล้วก็ อีกติ๋ง!!แถมมีเรื่องชวนหัวใจหยุดเต้นอีกกระทอกนะพี่น้อง

.....ที่จริง ก่อนแต่งงานมาดามเคยค้นหาข้อมูลที่มีการแชร์ในเน็ทเห็นมีสาว ๆ แชร์เรื่องราวการขอวีซ่า CR1 หรือวีซ่าคู่หมั้นเยอะมาก และทุกเคสที่มาดามอ่านเจอก็เป็นการดำเนินการยื่นเอกสารคำขอของฝ่ายสามีที่อยู่ในอเมริกาส่วนภรรยาก็คอย ค้อย คอย อยู่ที่เมืองไทย เพื่อเตรียมตัวตรวจสุขภาพ สัมภาษณ์และยื่นหลักฐานส่วนที่เป็นของตัวเอง แต่ละเคสก็จะใช้ระยะเวลามากน้อยต่างกันขึ้นอยู่กับความพร้อมของเอกสารประกอบการพิจารณา บางเคส บอกใช้เวลา 4 เดือน บางเคสบอกใช้เวลา 6 เดือน ยาวนานสุด ๆ ก็มี 8 เดือน...เมื่อได้รับการอนุมัติแล้วค่อยโผผินบินไปหาคุณสามี หรือไม่คุณสามีก็บินมารับบินไปด้วยกันสวีวี่วี!!!...ยัง ๆ ไม่จบแค่นั้น...อันดับถัดไปต้องไปดำเนินการยื่นคำขอมีถิ่นพำนักถาวร หรือปรับสถานะ ที่เรียกว่า Application to Register Permanent Residence or Adjust Status ถึงจะได้กรีนการ์ดมาครอบครองสองปี แล้วต้องยื่นขอต่ออายุอีกที

.....ถ้าท่านได้อ่านเรื่องราวของมาดามมาตั้งแต่ต้นก็จะรู้ว่า หลังจากแต่งงานได้สองสัปดาห์ จากนั้นในวันที่ 7 ธันวาคม 2557 มาดามก็เดินทางสู่ประเทศสหรัฐอเมริกาด้วย “วีซ่าท่องเที่ยว” ตม.ท่านใจดี เห็นอกเห็นใจใน “รักข้ามขอบฟ้า” เลยประทับอนุญาตให้ใช้ชีวิตอยู่ได้แบบเต็มพิกัด คือ 6 เดือนแปลว่ามาดามจะต้องเดินทางกลับประเทศไทยช่วงต้นเดือนมิถุนายน ปี 2558 ว่างั้นเถอะ!!!

.....เมื่อคีธรู้ว่ามาดามนำเอกสารทะเบียนสมรสติดมาด้วย (อ้าว ทำไมต้องทิ้งไว้ที่เมืองไทยล่ะเนอะ!) เค้าก็เลยดำเนินการยื่นคำขอหลายอย่าง (ตั้งแต่กลางเดือน มกราคม 2558) ด้วยหวังว่าจะได้รับการอนุมัติกรีนการ์ดภายใน เดือน และถ้าเป็นไปเช่นหวัง มาดามก็จะสามารถอยู่อเมริกาไปจนถึงเดือนพฤศจิกายน 2558 เพราะเรามีกำหนดบินกลับเมืองไทยด้วยกันช่วงเวลานั้น และจะอยู่ที่เมืองไทย เดือนตามที่เราตกลงกันก่อนแต่งงาน...ที่จริงตอนที่เค้ายื่นเอกสารมาดามไม่รู้เรื่องด้วยเลย มารู้เอาตอนที่มีหนังสือแจ้งจาก USCIS (Notice of Action ลงวันที่ 21 มกราคม 2558) ว่าคีธไม่ได้เซ็นชื่อในฟอร์ม I-130 Petition for Alien Relative ...ขอให้เซ็นให้สมบูรณ์แล้วโปรดส่งกลับโดยพลัน!!!....แบบฟอร์มที่ยื่นไปทั้งหมดสิริรวมล๋งโจ้ง 5 แบบด้วยกันได้แก่

I-129F Petition for Fiancés

I-130 Petition for Alien Relative (Fee $420)

I-485 Application to Register Permanent Residence or Adjust Status (Fee $985+Biometrics Fee $85 =$1,070)

I-864 Affidavit of Support underSection 213A of the Act

G-325 Biographic Information

และแม้ว่าเอกสารจะถูกส่งไปที่ USCIS Chicago Lockbox ที่เดียวกันแต่ว่ามันจะถูกแยกเพื่อการพิจารณาเคส)

หลักฐานที่แนบไป ส่วนของมาดาม

-สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน

-สำเนาพาสพอร์ตรวมหน้าประทับวีซ่า

-สำเนาทะเบียนสมรสฉบับแปลเป็นอังกฤษ (คีธใช้บริการสำนักงานแปลที่ประเทศไทย ราคา 29 เหรียญ แปลเสร็จเขาก็ส่งอีเมล์กลับมา เราก็สั่งปริ้นท์สี แล้วก็ยัดใส่ซองเลย...มาดามมาเจอเอาตอนหลังว่า ที่กงสุลใหญ่นครชิคาโกมีบริการแปล ราคาแค่ 15 เหรียญเอง!!!)

ส่วนหลักฐานที่แนบไป ของคีธในฐานะสปอนเซอร์

เป็นหลักฐานทางการเงินอันเป็นที่มาของรายได้ซึ่งต้องแนบไปกับฟอร์ม I-864 Affidavit of Support under Section 213A of the Act

ช่วงเดือนสองเดือนแรก ๆ คือ ก.พ.-มี.ค. ดูเหมือนกระบวนการตอบกลับจะรวดเร็วใช้ได้ ทำให้มาดามแอบคิดว่า เดือนน่าจะรู้ว่าหมู่หรือจ่า.... มาดูกันว่าหลังจากยื่นเอกสารทั้งแบบออนไลน์และเมล์แล้วเรื่องราวดำเนินไปยังไง...

17 ก.พ. 2558 จ่ายเงินออนไลน์ สำหรับฟอร์ม I-864 Affidavit of Support under Section 213A of the Act

20 ก.พ. 2558 ได้รับหนังสือแจ้งกลับว่าได้รับชำระเรียบร้อย....ไวมั๊ยล่ะพี่น้อง เรื่อง เงิน ๆ ทอง ๆ

27 ก.พ. 2558 ได้รับหนังสือนัดหมายล่วงหน้าให้ไปทำ Biometric Processing ที่สำนักงาน USCIS ที่ St. Louis, Missouri ในวันที่ 19 มี.ค. 2558

3 มี.ค. 2558 ได้รับแจ้งว่า ได้รับ I-129F Petition for Fiancés แล้ว

มี.ค. 2558 ไปตรวจสุขภาพไว้รอท่า...หลังจากคีธเสิร์ชหาคลินิกที่ขึ้นทะเบียนให้บริการตรวจสุขภาพตามโปรแกรม/หลักเกณฑ์ที่ USCIS กำหนด ขั้นตอนนี้ทุลักทุเลเอาการเพราะว่าเราต้องขับรถร้อยกว่าไมล์ไปที่ St.Louis วันเดียวไม่พอต้องมี วัน เพราะมีการฉีดสารกระตุ้นทีบีและต้องดูผลที่ตอบสนองในอีกสองวันถัดไปคือวันที่ 11 มีนาคม 2558 ปรากฏว่าต้องรับการ X-Ray ทรวงอกเพิ่มอีกเพื่อความแน่ใจและก็ยังไม่สามารถรับผลการตรวจทั้งหมดได้ในวันนั้นเพราะแพทย์ที่ขึ้นทะเบียนเฉพาะกิจกับ USCIS ซึ่งมีอำนาจลงนามในหนังสือรับรองผลการตรวจ ดันทะลึ่งไม่มาทำงานในวันนั้น...ประมาณว่าไปเดินสายหากินที่คลินิกอื่นว่างั้นเถอะ!!!ตกลงใช้เวลา วันรวมวันที่ไปรับผลตรวจด้วย...เจ้าหน้าที่ก็เบอะ ๆ บ๊ะ ๆ คิดเงินขาด ๆ เกิน ๆ อยู่สองสามรอบ น่าปวดเศียร!!  ผลตรวจที่ได้จะถูกผนึกซองไม่ให้เราเปิดดูนะ แล้วเราต้องส่งผลตรวจนั้นไปให้ USCIS ทางไปรษณีย์

11 มี.ค. 2558 ได้รับแจ้งว่ามีการโอนเคส I-485 Application to Register Permanent Residence or Adjust Status จาก Lee’s Summit, MO ไปให้สำนักงาน Nebraska Service Center พิจารณา

19 มี.ค. 2558 ไปทำ Biometric Processing กระบวนการนี้เรายื่นใบนัดพร้อมแสดง Passport เจ้าหน้าที่จะถ่ายรูปเราและพิมพ์ลายนิ้วมือทั้งสิบ ทั้งหมดใช้เวลาไม่ถึงสิบนาทีก็ปล่อยกลับบ้าน....เราสองคนก็ถือโอกาสไปเที่ยวที่ Butterfly House กันเพราะพลาดครั้งก่อนหน้านั้นไปไม่ทันเวลาเค้าปิดซะก่อน....ออกจากที่นั่นก็หิ๊วหิว หาไรอร่อย ๆ กินกันที่ Denny’s แล้วก็ขับรถกลับ Cape Girardeau ร้อยกว่าไมล์....หนึ่งไมล์ เท่ากับ 1.6 กิโลเมตรนะจ๊ะ...ดูคนขับไม่มีทีท่าว่าจะเหนื่อยเท่าคนนั่งข้าง ๆ เลย ...พอถึงบ้านมาดามแบตหมด...สลบไป แล้วค่อยตื่นมาเข้าครัวทำอาหารมื้อค่ำ...


ระยะต่อมามันเริ่มเยิ่นเย้อ...เพราะมีการโอนย้ายเคสไปมาอีก จนเกิดอาการวิงเวียน!!! อย่ากระนั้นเลยกันเหนียวไว้ก่อน....คีธจึงตัดสินใจยื่นออนไลน์ Form I-539 Application to Extend/Change Non immigration Status เพื่อขยายระยะเวลาการพำนักพร้อมกับจ่ายเงินล่วงหน้าพร้อมคำขอ 290 เหรียญ โดยไม่ปรึกษาหารือกับมาดามเลยซ้ากคำ มาดามมารู้เอาตอนที่ได้รับหนังสือตอบกลับมาลงวันที่ 17 เม.ย. 2558 ว่าได้รับเงินค่าขอขยายเวลาฯ เรียบร้อยแล้วซึ่งเงินค่าธรรมเนียมนี้ ขอบอก...ไม่มีทางได้รับคืนแม้แต่เพนนี หากคำขอถูกปฏิเสธ...ทางการ “กินฟรี”

27 เม.ย. 2558 โอนย้ายเคสทั้งหมด จาก Lincoln, NE ไปให้สำนักงาน Lee’s Summit, MO โดยให้เหตุผลว่าเพื่อจะได้รวดเร็วขึ้น...???(เร็วกะผีไร!!!)

20 พ.ค. 2558 ได้รับหนังสือแจ้งจาก Director ว่าได้รับทราบการตอบโต้เกี่ยวกับ I-129F Petition for Fiancés แล้ว ....คงเกรงว่าเราจะลืม!!

ระยะเวลาได้ล่วงเลยมาจวนเจียนจะหมดสิ้นสุดระยะเวลาการพำนัก 6 เดือนลงใน วันที่ 9 มิถุนายน 2558 แต่ทว่าทางการก็ยังไม่มีการตอบรับ หรือปฏิเสธการขอขยายระยะเวลา...คีธ เข้าใจเอาเองว่าระหว่างการยื่นเรื่อง มาดามได้สิทธิที่จะอยู่ต่อ โดยไม่ยอมสอบถามทางเมล์หรือโทรศัพท์...ขอบ่นหน่อยนะมาดามไม่ค่อยเข้าใจสามีตัวเองว่าทำไมเป็น "มนุษย์ท่าเยอะ ฟอร์มแยะ" เค้าไม่ชอบสอบถามข้อมูล แม้แต่กับเรื่องสำคัญเช่นนี้...ความที่ไม่ไว้วางใจสถานการณ์คืนวันที่ 31 พ.ค. 2558 มาดามตัดสินใจจองไฟลท์บินกลับไทยในวันที่ 6 มิ.ย.ไว้ ที่นั่ง ในกรณีที่จะยกเลิกโดยไม่เสียค่าธรรมเนียม 200 เหรียญต้องทำภายใน 24 ชั่วโมง...มาดามภาวนา ขอให้ได้รับข่าวอะไรสักอย่างจาก USCIS ก่อนครบ 24 ชั่วโมงที่เถิ้ดดดด...เจ้าประคุ้ณณณณ...จะได้ไม่ต้องเสียทรัพย์!!!

มิ.ย. 2558 คำภาวนาเหมือนจะได้รับการตอบสนอง....บ่ายสามโมงได้รับหนังสือแจ้งมานัดล่วงหน้าให้ไปรับการสัมภาษณ์ ในวันที่ 13 สิงหาคม 2558 ….ไชโย้โห่หิ๊วววว...มาดามรีบคลิกยกเลิกการจองตั๋วเครื่องบินโดยไม่ชักช้าแม้แต่นาที....และจะถือเอาว่าใบนัดนี้มีผลต่อการพำนักเกินเวลาละกัน!!! 555

13 ส.ค. 2558 ไปรับการสัมภาษณ์...เราสองคนนั่งรอในห้องโถงใหญ่หลังจากแจ้งเรื่องต่อเจ้าหน้าที่แล้ว...ไม่นานนักก็มีสาวใหญ่ ร่างสูงใหญ่ผิวดำแต่ไม่สนิท เป็นคนออกมารับเราเข้าไปในห้องส่วนตัวของเธอ ก่อนเข้าห้องพวกเราถูกปลดแอก เอ๊ย! ปลดมือถือใส่ล็อคเกอร์ลั่นกุญแจไว้ด้านนอก...หล่อนพูดค่อนข้างชัดถ้อยชัดคำยิงคำถามเป็นชุด ๆ เริ่มจากเรื่องส่วนตัวของเราสองคน เช่น เจอกันยังไง คบหากันนานแค่ไหนแต่งงานที่ไหน เมื่อไหร่ ทำไมแต่งงานที่เมืองไทย ทำไมไม่ขอวีซ่าคู่สมรส ฯลฯ คีธกับมาดามก็ผลัดกันตอบ...เธอเล่าให้ฟังว่า มีคู่สมรสที่พบรักกันในเว็บหาคู่จำนวนเยอะมากที่ต้องเลิกรากันไปเพราะเมื่ออยู่กันไประยะหนึ่งก็พบว่าไม่สามารถปรับตัวเข้าหากันได้ เช่น ธรรมเนียม ความเชื่อ อุปนิสัยส่วนตัว ภาษาที่สื่อสารกันไม่เข้าใจแจ่มแจ้ง...ดูสีหน้าของเธอเคร่งเครียดนัก 

.....มีคำถามนึงที่เธอปักอกปักใจนักหนา และทำสีหน้าไม่ค่อยสเบยหนักเข้าไปอีก ทำเอามาดามใจเต้นตึ๊กตั๊ก วิตกกังวลว่า เธออาจไม่เห็นดีเห็นงามให้เราใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน...เธอถามว่า ในวันที่มาดามไปขอวีซ่าท่องเที่ยวนั้นเจ้าหน้าที่รู้หรือเปล่าว่ามาดามแต่งงานกับอเมริกันชน...มาดามก็ตอบ “แน่นอน เขาถามฉันเกี่ยวกับเรื่องนั้น และฉันก็ตอบว่าฉันเพิ่งจะแต่งงานเมื่อวานนี้ และเขาก็ยิ้ม แถมยังอนุมัติวีซ่า 10 ปี” หล่อนถามต่ออีกว่า “ทำไมไม่ขอวีซ่าคู่หมั้นที่เมืองไทย”มาดามก็เลยต้องเล่าความให้ฟังว่า... “ครั้งแรกสามีของฉันวางแผนก่อนแต่งงานว่าจะขอ K-3 Visa โดยพอแต่งเสร็จเขาจะบินกลับคนเดียวเพื่อมาทำเรื่องขอวีซ่าที่ว่าซึ่งน่าจะใช้เวลาสามสี่เดือน แต่ในวันเกิดของเค้าลูกสาวฉันสงสัยว่าทำไมเราไม่บินไปพร้อมกันด้วยวีซ่าท่องเทียวเพื่ออยู่ด้วยกันใช้ชีวิตร่วมกันสักพัก แล้วค่อยขอ K-3 Visa ทีหลัง...สามีของฉันก็บอกว่าเขาไม่รู้เรื่องวีซ่าท่องเที่ยวมาก่อนถ้างั้นก็เปลี่ยนแผนเอาเป็นแบบนี้ละกัน...”

จากนั้นเธอก็ถามเกี่ยวกับคีธในฐานะสปอนเซอร์เรื่องรายได้ว่ามากเพียงพอจะอุดหนุนจุนเจือมาดามไปตลอดรอดฝั่งหรือเปล่า...ฟังเสียงเหมือนเธอจะไม่เชื่อว่ารายได้ที่คีธยื่นไปจะเพียงพอสำหรับเราสองคนเธอจึงร้องขอให้คีธส่งเอกสารรายได้อื่นเพิ่มเติม (มาดามก็ข้องใจอีกว่าทำไมคีธส่งไปแค่อย่างเดียว เพราะเค้ามีรายได้ 2 ทาง...ถ้าเป็นมาดามจะส่งมันทั้งหมดที่มีเลยหละพี่น้อง...กั๊กไว้ทำไม???)

เธอหันมาตั้งคำถามกับมาดามบ้างเป็นคำถามมาตรฐานที่มาดามได้ตอบไปในแบบฟอร์มตอนที่รับการตรวจสุขภาพที่ถามทวนสอบอีกครั้ง คงเผื่อว่าอาจพบมีอะไรที่แตกต่างจากเดิมบางคำถามมาดามก็ไม่เข้าใจ หันหน้าไปหาคีธเพื่อขอให้แปล แต่ว่าสาวใหญ่ในร่างดำไม่ยอมให้คีธช่วยเสียแล้ว มาดามต้องเข้าใจภาษาด้วยตัวเอง และตอบด้วยตัวเอง...เธอช่วยเปลี่ยนคำศัพท์และอธิบายความหมายเพิ่ม นั่นแหละ มาดามถึงค่อยมีคำตอบให้เธอ!!! เฮ้อ...

หมดคำถามก็หันมาตรวจสอบเอกสาร เธอต้องการเพิ่มอีก...เยอะ!!! คือหนังสือรับรองการเกิด รูปถ่ายยืนยันการแต่งงาน และรูปถ่ายร่วมกับเครือญาติของคีธ (อันนี้ถ้ามาดามเป็นคนเตรียมเอกสารเอง ขอบอกมาดามจะส่งให้ครบตั้งแต่รอบแรกเลยละพี่น้อง...มาดามอ่านเกี่ยวกับเรื่องนี้มาเยอะแต่ว่าคีธไม่ค่อยยอมฟังเสียงมาดามเค้าก็เชื่อมั่นในส่วนของเค้าน่ะแหละ...หลังจากที่ทะเลาะกันเพราะเรื่องหลักฐานแนบในระหว่างที่รอผลการพิจารณาหลาย ๆ อย่างได้พิสูจน์ทราบกันในวันนี้จริง ๆ)

และแล้วก็มาถึงบทสรุปเธอกล่าวว่า ไม่สามารถอนุมัติกรีนการ์ดให้ได้ในวันนี้เพราะยังขาดเอกสารสนับสนุนอีกหลายอย่างที่ว่ามาแต่เดี๋ยวจะทำลิสต์และส่งไปรษณีย์ไปให้ที่บ้าน...และเมื่อเธอได้รับเอกสารเหล่านั้นครบถ้วนแล้วและถ้าไม่มีปัญหาอะไรกับเอกสารเหล่านั้น คาดว่าจะอนุมัติให้ได้...โดยขอให้เราส่งเอกสารไปภายใน 90 วัน คือไม่เกิน 11 พฤศจิกายน 2558 ถ้าเกินจากนั้นเคสจะถูกยกเลิก...มาดามบอกเธอไปว่า การขอหนังสือรับรองการเกิดมาดามต้องกลับไปยื่นเรื่องเองที่เมืองไทย (จากการอ่านข้อมูลของบางคนในเน็ทช่วงที่เดทกับคีธ) เธอรีบบอกทันทีว่า ระหว่างการพิจารณาคำขอนี้ถ้ามาดามเดินทางกลับประเทศไทยคำขอถือเป็นอันยุติ คือถูกยกเลิกไปโดยปริยาย...ตายคาที่เลยครานี้!!

วันนั้นมาดามห่อเหี่ยวหนักอึ้ง...เหมือนมีอะไรมาทับร่าง...เรายังมีนัดจะไปเยี่ยมแมรี่ที่บ้านตามคำเชิญที่ให้เราไปพักค้างคืนด้วยเพื่อชิมมะเขือเทศที่เธอปลูกไว้ในสวน แต่มาดามไม่อยากไปแล้ว อยากกลับบ้านอย่างเดียว...คีธจึงโทรหาแมรี่ฝากข้อความไว้ว่าเราขอยกเลิกการเยี่ยมเยือนครั้งนี้....โดยไม่ได้บอกเหตุผลใด ๆ

มาดามครุ่นคิดตลอดทางขากลับว่า จะมีความเป็นไปได้มั๊ยน้อ ที่ทางการไทยจะอนุญาต ให้ญาติพี่น้องร่วมอุทร เป็นคนยื่นคำขอหนังสือรับรองการเกิดแทนคนที่อยู่ในต่างประเทศ....ได้แต่หวังว่าจะมีทาง....

ตามอ่านต่อตอน 2 นะจ๊ะท่านผู้ชม ดูว่ามันจะจบลงยังไง??? 

จะมีอะไร มาเป็นอุปสรรค ขวาก และหนาม ทิ่มตำ หัวใจน้อย ๆ ของมาดามฟราย อีก???

....ขอบคุณทุกท่านที่แวะมาอ่านกันนะคะ....





 

Create Date : 03 พฤษภาคม 2559   
Last Update : 3 พฤษภาคม 2559 9:34:30 น.   
Counter : 1200 Pageviews.  


Life in USA-18 ว่าด้วยการสอนขับรถในรัฐมิสซูรี่ อเมริกา...

Life in USA-18 การสอนขับรถ ของโรงเรียนสอนขับรถในมิสซูรี่ อเมริกา...

.....เพราะว่าสอบขับขี่ตกตั้งแต่ครั้งแรก แม่สามีของมาดาม จึงได้ซื้อคอร์สเรียนขับรถที่ Road Rules Driving School คอร์สมาตรฐาน คือ 10 ชั่วโมง แต่เนื่องจากมาดามเคยขับรถมาก่อนเลยเอาแค่ 3 ชั่วโมง มาดามได้ยินแม่สามีพูดว่า 35 เหรียญก็คิดว่าไม่แพง แต่ครั้นได้เห็นใบเสร็จ แล้วอยากจะเป็นลมล้มเอาหัวฟาดพื้นสลบไปสักสองสามวัน....250 เหรียญ โคตระแพง ๆ ๆ !!! ราคารวมการพาไปสอบขับขี่และขอใบอนุญาตด้วย...Instructor มารับนักเรียนถึงที่บ้าน เธอชื่อ แครีน ไมเคิล อายุร่วม 70 ปีตัวใหญ่เบ้อเร่อเท่อ...หลังกรอกเอกสารเสร็จมาดามก็เข้าประจำที่นั่งพลขับ...ว้าว!! รถคันนี้ใหม่เอี่ยมอ่อง มันเป็นเชฟโรเล็ทรุ่นล่าสุด (สงสัยค่าสอนแพงเพราะไอ้รถคันนี้แน่) แครีนอธิบายฟังก์ชั่นการใช้งานต่าง ๆ จนเข้าใจดีแล้ว ก็ออกตัวไป มันขับดีจริง ๆ พี่น้องทุกอย่างลงตัวกับมาดามเด๊ะ

.....วันแรกของการเรียน เธอให้มาดามขับไปที่ Jackson County ซึ่งมีอาณาเขตติดกับ Cape Girardeau ขับวนรอบใหญ่ที่นั่นสองสามรอบกินเวลาไป 1.5 ชั่วโมง ที่นี่เหมาะสำหรับสอนและหัดขับรถเพราะมีถนนที่เป็นแบบ วันเวย์ ทูเวย์ สองเลน ไปจนถึงฝั่งละ เลน และเป็นถนนที่มีความลาดชันสูงอยู่หลายเส้น...มีรูปแบบของสี่แยกจราจรและวงเวียน ครบทุกแบบ มีตรอก (lane) ซอย (alley) สำหรับการฝึกปฏิบัติเมื่อเห็น Stop Sign...ที่สำคัญมากๆ เลย คือ รถราไม่พลุกพล่าน เหมือนในตัวเมือง Cape….ในวันที่สองของการฝึกหัดเรามาฝึกขับที่ Cape Girardeau County ที่ซึ่งมาดามจะต้องสอบขับจริงที่นี่ฝึกกันอีก 1.5 ชั่วโมง เพื่อให้คุ้นเคยกับเส้นทางและสัญญาณไฟ/สัญลักษณ์จราจรทั้งปวง...มาดามจำได้ทั้งหมดก็ครั้งนี้แหละ

...แครีนออกปากชมตลอดเวลาว่าขับได้ดีทั้งการออกตัว การเบรก การเปลี่ยนเลน การทิ้งระยะห่างจากคันหน้า การเลี้ยวและการใช้ความเร็วตามขีดจำกัดของแต่ละถนน/พื้นที่...ก็แหม...นะ มาดามขับรถมาตั้ง 19 ขวบปี...นี่คงเพราะปกติแครีนสอนแต่พวกเด็กนักเรียน นักศึกษาที่ไม่เคยขับรถมาก่อน ซึ่งทำให้เธอต้องตื่นตัวตลอดเวลา และมาดามว่ามันเครียดนะการสอนคนหัดขับรถเนี่ยต้องคอยเหยียบเบรก และช่วยหักหรือหมุนพวงมาลัยรถให้ไปในทางที่ถูกที่ควรนะแล้วยังต้องพร่ำสอนตลอดทางโน่นนี่นั่น...ไม่สามารถรีแล็กซ์เหมือนนั่งไปกับมาดามอย่างงี้หร้อก...


Right-of-Way ใครที่จะได้สิทธิ์ในทางก่อน เมื่อสองฝั่ง (ไม่ว่าจะเป็นคนข้ามถนนหรือรถยนต์) มาเจอกันในทางที่ไม่มีไฟสัญญาณจราจรกำกับ...กฎมีอยู่ว่า ใครมาถึงก่อนได้สิทธิ์ในทางก่อน แต่ทั้งนี้ไม่ใช่หลับหูหลับตาตะบี้ตะบันขับไปเพราะคิดว่าตัวเองได้สิทธ์นะจ๊ะ ต้องถ่างตาดูอีกฝั่งก่อนว่ามันจะมาไม้ไหน? เราจะได้ทางอย่างปลอดภัยเปล่า? ตัวอย่าง เช่น เมื่อมาดามขับมาถึงสี่แยกเล็ก ๆ ที่ไม่มีไฟจราจรเลย ก็พอดี๊พอดีมีรถอีกคันวิ่งมาจากอีกเส้นทาง...หัวรถของมาดามเสียบเข้าแยกก่อนคันนั้นหนึ่งอึดใจ เช่นนี้ มาดามจะเป็นผู้ที่ได้สิทธิ์ในทางก่อน คือขับต่อไปไม่ต้องหยุด ส่วนคันนั้นถึงแยกทีหลัง ต้องหยุด!...มาดามตอนแรกไม่รู้เรื่อง ห่วงแต่ความปลอดภัย ก็เลยหยุดรอให้คันนั้นข้ามแยกไปให้พ้น ๆ ก่อน...แครีนบอก “แพท ยูได้สิทธิ์ไปก่อน จำไว้ คันที่มาทีหลังต้องหยุด นี่คือกฎ”

.....มาถึงการขับรถเมื่อมีรถที่ติดไซเรน หรือ ไฟวับสีน้ำเงิน สีแดง เช่น ดับเพลิง รถพยาบาล ไม่ว่ารถพวกนี้มันจะขับมาจากฝั่งตรงข้ามกับเรา หรือฝั่งเดียวกับเรา เราต้องเอารถเข้าชิดขวาและหยุดรถ รอจนกว่าพวกนั้นจะผ่านไป หรือคอยฟังว่าเขาจะประกาศว่าให้เราทำอย่างไร เช่น ให้เรารีบขับออกไปจากบริเวณนี้ ถนนนี้ ทันที (สมมุตว่าเกิดเหตุเพลิงไหม้ เป็นต้น) แม้ว่าขณะนั้นจะเป็นสัญญาณไฟแดง เราก็ต้องขับฝ่าออกไป เพราะกฎจราจรบอกว่า Traffic Officer เช่น ตำรวจ พนักงานดับเพลิง มีอำนาจ เหนือกว่าสัญญาณไฟจราจรนะท่าน....วันนี้มาดามแค่แอบรถเข้าชิดขวารอพวกเขาผ่านไป

สิ่งที่ต้องจำ จำ จำ เพราะต่างจากเมืองไทย คือ ทุก ๆ ที่ ๆ ถนนตัดกันและมีป้าย Stop Sign ตั้งตระหง่านอยู่...คนขับรถต้องหยุดรถอย่างสนิท ฝรั่งเรียกว่า Completely Stop ไม่ว่าจะมีรถจากฝั่งอื่น ๆ วิ่งมาหรือไม่ กฎคือ หยุดสนิท และดู ซ้าย-ขวา-ซ้าย นับ 1-2-3 ถ้าไม่มีรถวิ่งมาก็ออกตัวไป  (มองซ้าย มองขวา มองซ้ายอีกทีเผื่อมีรถวิ่งมาตอนเราหันไปมองขวา)



การให้ทางเมื่อจะเลี้ยวขวา ทุกที่จะมีป้าย Yield Sign กำกับอยู่ อันนี้กฎคือต้องชะลอ หรือหยุดแล้วแต่สถานการณ์ เพื่อดูรถที่กำลังวิ่งมาทางซ้ายของเรา เพราะเรากำลังจะเลี้ยวขวาเข้าไปอยู่ในเลนที่พวกเขากำลังวิ่งมา....ถ้าเป็นบ้านเรา เรียกว่า ซ้ายผ่านตลอด ใช่ป่ะ...แต่บางถนนมันผ่านไม่ได้นะท่านผู้ชม เพราะคนขับรถบางคนมันเห็นแก่ตัว จริง ๆ มันจะวิ่งตรงไป แต่ดันติดไฟแดง มันก็จอดคารูซะงั้น ไม่แคร์สายตาคันหลังที่จ่อคิวจะเลี้ยวซ้าย...เชื่อป่าวว่ามาดามไม่เคยบล็อกคนเลี้ยวซ้ายเลยในชีวิต ทุกครั้งที่มาดามเข้าเลนผิดเผลออยู่ซ้าย แต่จริง ๆ ต้องการวิ่งตรงแต่ติดไฟแดง มาดามจะยอมวิ่งเลี้ยวซ้ายเตลิดเปิดเปิงไปหาที่กลับรถเอาข้างหน้าเลยนะ...เพราะไม่อยากจินตนาการว่าคนข้างหลังมันจะด่าเอาเสียหายถึงขนาดอาจจะจำทางกลับบ้านไม่ได้!!....แต่ที่รัฐมิสซูรี่อเมริกา ขวาผ่านตลอด...รับรองว่าไม่มีใครหน้าไหนมาบล็อกเลนของท่านหรอกพี่น้อง...เหตุผลเพราะค่าปรับแสนแพง ยัง ๆ ไม่หนำใจ เจอใบสั่ง หรือ Ticket ตัดแต้มสะสมไปเรื่อย ๆ อีก ในหนึ่งปีครึ่งถ้าสะสมแต้ม 8 points รับรองถูกพักราชการ เอ๊ยพักใบอนุญาตขับขี่ไป 30 วันเลยทีเดียว ถ้ายังไม่เลิกนิสัยเสีย ก็จะเจอ พักใบอนุญาตขับขี่ไป 60 วัน และ 90 วันตามลำดับ...แต่ถ้าใน 1 ปี สะสมแต้มฝ่าฝืนกฎจราจรได้ 12 points อันนี้โทษทัณฑ์สาหัสถึงขั้นเพิกถอนใบอนุญาต 1 ปี นี่แบบขั้นประถมนะโยม...ขั้นมัธยม เจอไป ปี และถ้าไม่เข็ดเจอขั้นมหาลัย 3 ปีนะจ๊ะ...แล้วการใช้ชีวิตอยู่เมกาถ้าไม่มีใบขับขี่มันก็จะไปไหน ๆ ไม่ได้เลย...มีแต่ตายกับตายสถานเดียว!!!




การขับรถในวงเวียน หรือ Roundabout...ขอสารภาพตรงๆ ว่ามาดามไม่เคยรู้กฎของเมืองไทยเลยซักกะติ๊ด แค่ขับ ๆเข้าวงเวียนแล้วก็เลือกว่าจะออกถนนเส้นไหน...ที่ยากหน่อย คือที่อนุสาวรีย์ชัยยุคหลัง ๆ มาดามจำไม่ได้ว่าถนนเส้นไหน ออกรูไหนแค่ตอนจะออกก็ให้สัญญาณไฟเพื่อเปลี่ยนเลนแค่นั้น...แต่ที่รัฐมิสซูรี่นี่มีกฎการขับรถเข้าวงเวียนต้องเริ่มทำให้ถูกตั้งแต่ก่อนเข้าเลย คือต้องให้สัญญาณไปเลี้ยวขวาไม่ว่าจะอยู่เลนไหนก็ตามลดความเร็วลงและสังเกตว่ามีทางคนข้าม (Cross way) และ Yield Sign หรือเปล่า เพื่อเตรียมหยุดให้คนข้ามถนน...ถ้าวงเวียนไหนไม่มีสัญญาณไฟกำกับสำหรับคนข้ามถนนเราก็ต้องชะลอรถดูว่ามีคนจะข้ามถนนหรือเปล่า ถ้าเห็นคนรอข้ามต้องจอดนะโยมไม่ใช่ "ขอข้าไปก่อน" แบบเมืองไทยเรา...เมื่อผ่านเข้าไปวิ่งในวงเวียน ถ้ามีสามเลนก็ต้องขับอยู่ในเลนกลาง...ระหว่างที่ขับอยู่ในวงเวียนห้ามหยุดรถ ห้ามเปลี่ยนเลน แบบว่า เลนข้าใครอย่าแตะ!!! ห้ามเด็ดขาด ...ถ้าเป็นวงเวียนเล็ก ๆ ที่มีช่องจราจรเดียว เวลาจะเข้า และ ออกจากวงเวียนก็ต้องให้สัญญาณไฟขวา...แต่ถ้ายังไม่ออกและวิ่งผ่านช่องออกแรกก็ต้องให้สัญญาณไฟซ้ายเพื่อบอกคันหลังว่าฉันจะไปต่อนะจ๊ะยังไม่อยากออกตรงนี้จ้ะ...นี่แหละ

Shared Center Lanes บนถนนทูเวย์แบบสองเลนคู่ เราจะเลี้ยวซ้ายได้เมื่อเจอเลนกลางที่มีเส้นทึบสีเหลืองคู่กับเส้นประขนาบไว้ทั้งสองฝั่งและมีลูกศรเลี้ยวซ้ายเพ้นท์บนถนนเท่านั้น

คันนี้เป็นตัวอย่างที่ฝ่าฝืนกฎจราจรนะจ๊ะ..ดูมันทำ!!

Passing การแซง ในบางสถานการณ์ที่แซงขวาได้ เช่นเมื่อรถคันหน้าเรากำลังจะเลี้ยวซ้าย หรือ เป็นถนนไฮเวย์นอกเมืองที่มีไหล่ทางกว้างเพียงพอสำหรับถนนสี่เลนขึ้นไปและต้องไม่มีสิ่งกีดขวางบดบังการมองเห็น หรือ บนถนนวันเวย์ หรือบนถนนในเขตเมืองที่มีไหล่ทางที่กว้างเพียงพอสำหรับถนนสองเลนและไม่มีสิ่งกีดขวาง...ส่วนการแซงซ้ายก็มีกฎเหมือนกันกับบ้านเราคือ ถ้าเส้นกลางถนนเป็นเส้นทึบสีเหลือง ก็ห้ามแซง ฝรั่งเรียกเขตเส้นทึบนี้ว่า No Passing Zone ถัดมา ห้ามแซงซ้ายระยะ ระยะ 100 ฟุตก่อนถึงทางข้ามรางรถไฟหรือเมื่อเข้าใกล้สะพาน สะพานรถไฟ หรือ อุโมงค์ ที่มีสิ่งกีดขวางมุมมองหรือเมื่อเข้าโค้งบนทางไฮเวย์ หรือเนินเขา...การฝ่าฝืนกฎการแซงมีโทษปรับหนักมว๊าก ครั้งแรก 250 เหรียญ คูณด้วย 35 บาทไทยเลขกลม ๆ ละกัน = 8,750 บาท(มาดามเพิ่งเช็คอัตราแลกเปลี่ยนเมื่อเช้าเอง เหอ ๆ หลังใช้อัตรา 33 บาทอยู่เป็นปี ๆ) ครั้งที่สองถ้ายังไม่เข็ดเพิ่มค่าปรับเป็น 300 เหรียญ...ปรับหนักไม่พอ ยังโดนแจกแต้มอีกครั้งละ 4 Points…มาดามไม่ฝ่าฝืนแน่เสียดายตังค์!

Parking แม้แต่การจอดรถยังต้องฝึกเลยนะท่าน...จอดรถบ้านเราง่ายจะตายเนอะไม่เห็นจะมีกฎกติกามารยาทไรให้จดจำนำไปปฏิบัติ..แต่ทว่าที่เมกา รัฐมิสซูรี่นี่กติกามากพอควร...มาดามสอบตกรอบแรกเพราะไม่รู้อิโหน่อิเหน่ จอดแบบลูกทุ่งไทยแลนด์ดังนั้นวันนี้ แครีน ต้องสอนอย่างที่ถูกต้องตามกติกา...การจอดรถของบ้านเมืองนี้มีสามแบบคือ บนพื้นถนนระนาบทั่วไปเดี่ยว ๆ ที่เรียกว่า Flat Parking การจอดรถต่อกันเป็นแนวยาวที่เรียกว่า Parallel Parking และ การจอดบนเนินเขา ที่เรียกว่า Parking on Hills

เริ่มจากการจอดแบบ Parallel Parking กติกา เมื่อจะเข้าจอดริมถนน ต้องให้สัญญาณไฟขวาบอกชาวบ้านที่วิ่งตามมาว่าฉันจะเข้าจอดละนะ...เมื่อทำการเสียบรถของตัวเองเข้าที่ล้อรถห่างขอบถนนไม่เกิน18 นิ้วเรียบร้อยแล้ว ก็ปรับเกียร์มาที่ P ดับเครื่องมองกระจกข้างเช็ครถที่วิ่งมาข้างหลังเพื่อความปลอดภัยก่อนเปิดประตูรถออกมารีบปิดประตู ล็อคแล้วเดินจากไป...ง่ายใช่มั๊ยละท่าน...อันที่ยากของมาดามอยู่ตรงนี้ตรงที่ต้องจอดระหว่างรถคันหน้ากับคันหลังและมีที่เหลือไว้ให้เราแค่คันเดียวเสียบเข้าไป...ตอนอยู่เมืองไทยมาดามก็ทำบ่อยไปที่หมู่บ้านไทยสมุทร 2 บ้านพี่สาวมาดามเองมันไม่มีที่จอดก็ต้องจอดเรียงกันริมถนนแคบๆ...มาดามไม่รู้ว่าทำไมมาสอบจอดรถแบบนี้ที่เมกาแล้วเกิดอาการประหวั่นพรั่นพรึงขึ้นมา...วันนี้แครีนสอนเทคนิคที่ง่ายนิดเดียวเรามาฝึกตรงสนามที่ใช้สอบน่ะแหละ แครีนหยิบกรวยยางสีส้มออกจากท้ายรถมาตั้งไว้แล้วปักเสาลงไป แล้วก็เข้ามานั่งในรถ เมื่อเริ่มจะเข้าจอดต้องให้สัญญาณไฟก่อน แล้วให้มาดามขับเข้าเทียบเสาต้นแรกกะระยะห่างระหว่างเสากับตัวรถประมาณหนึ่งฟุต ให้หยุดเมื่อมือจับที่เปิดประตูหลังด้านขวาตรงกับต้นเสาแรก จากนั้นให้หักพวงมาลัยไปทางขวาจนสุดมองหลังแล้วถอยช้า ๆ จนต้นเสาแรกตรงกับกระจกข้างขวาก็หักพวงมาลัยคืนจนหมดแล้วถอยต่อรถของเราก็จะเข้าไปจอดอยู่ในช่องว่างนั้น...ปรับล้อให้ตรงจอดให้อยู่ตรงกลางระหว่างคันหน้า-คันหลัง ปรับเกียร์มาที่ ดับเครื่อง เช็ครถซ้ายก่อนออกจากรถ....เมื่อจะนำรถออกจากที่จอดก็ต้องให้สัญญาณไฟซ้ายหันมองข้ามไหล่ซ้าย และเช็คในกระจกซ้ายอีกครั้งก่อนออก....มาดามเขลามาหลายสิบปีเพราะเพิ่งจะเจอ วีดีโอยูทูบ มากมายที่แสดงเทคนิคเหล่านี้ก่อนที่แครีนจะสอนมาดามแค่วันเดียว...

…..ถ้าถนนที่จอดดันเป็นที่ลาดชัน เราต้องจอดแบบ Parking on Hills โดยเลือกเอาว่า อยากจะจอดแบบ Uphill Parking คือหันหน้าขึ้นเขา/เนินและถ้าตรงนั้นมีขอบถนนคอนกรีตยกสูง (Curb) เราก็ต้องหันหน้าล้อรถเข้าไปในถนนแต่ถ้าไม่มีขอบถนนสูง เราต้องหันล้อรถเข้าข้างถนนนะท่านผู้ชม...หรือถ้าอยากจอด แบบ Downhill Parking คือหันหน้าลงเขา/เนิน ก็ต้องหันล้อรถเข้า ขอบถนนทั้งหมดต้องใช้เบรกฉุกเฉินร่วมด้วย...การทำเช่นนี้เพื่อป้องกันกรณีเบรคไม่ทำงานในบางอารมณ์ถ้าเราตั้งล้อตรง ๆ รถมันก็จะไหลลงเนินไปกระแทกรถคันอื่นที่จอดอยู่หรือที่กำลังแล่นมา...ลองจินตนาการเอาเองละกัน!!! มาดามฝึกจอดแบบ หันหน้าขึ้นเนินแบบมีขอบถนนนะท่านแล้วก็จำมันท่าเดียวแหละ ขืนจำทุกอย่างมีหวังมั่วแน่ ตกอีกรอบ!!!

Backing ฝึกการขับถอยหลัง ต้องหันหน้าไปมองข้างหลังรถตลอดเวลาที่ถอยนะโยมไม่ใช่มองผ่านกระจกหลังและข้างหยั่งที่มาดามทำมาตลอดชีวิตที่เมืองไทยนะจ๊ะ...อีกประการอย่าทะลึ่งถอยด้วยความเร็วที่น่าหวาดเสียวระดับ 40 กม./ชม. เหมือนที่มาดามชอบระบายโทสะตอนถอยหลังออกจากซอยในหมู่บ้านไทยสมุทร 2 เหตุเพราะไอ้บ้านฝั่งตรงข้ามมันจอดรถบล็อกอีกฝั่งจนกลับรถไม่ได้ต้องถอยออกประมาณ 50 เมตร...เมกาไม่ยอมให้ทำนะจะบอกให้!!!

Speed Limit การขับขี่ต้องเป็นไปตามขีดจำกัดความเร็วในแต่ละพื้นที่ในตัวเมือง เริ่มตั้งแต่ 25, 35,40 ไมล์/ชม. พอออกนอกเมืองก็ขับได้ประมาณ 40-60 ไมล์/ชม. ถ้าขับบนไฮเวย์ หรือ อินเตอร์สเตทเร้าท์ ขับได้ 70 ไมล์/ชม. ต้องคอยสังเกตให้ดี ขืนเพลิดเพลินจำเริญใจ เหยียบมิดมีหวังเจอข้อหา Speedy ได้รับแจกแต้ม อีกครั้งละ 3 Points ที่เมืองไทยมาดามสังเกตเห็นมีการจำกัดความเร็วในการขับ 90 กม./ชม. เมื่ออยู่บนมอเตอร์เวย์และทางยกระดับ...ไม่เคยเห็นที่พื้นราบเลยนะ โดยเฉพาะเขตเมืองทั้งชั้นนอก ชั้นในอาจเป็นเพราะบ้านเรารถราติดวินาศสันตะโร ต่อให้ติดป้ายอนุญาตให้ขับได้เกินร้อยก็คงได้แต่อยากๆ ละนะ...มาดามขับบนมอเตอร์เวย์เส้น ชลบุรีตั้งแต่ปี 2545 ยัน 2555 ไม่เคยขับ 90 กม/ชม. เลยนะท่านขั้นต่ำต้องมี 120 ขึ้น แต่ก็ไม่เคยโดนดักจับซะทีเลยย่ามใจมาเป็นสิบปีน่ะแหละ

.....ในแต่ละวันที่จบการสอนการฝึกหัด แครีนก็จะบันทึกลงใน Check Sheet ว่ามาดามได้ผ่านการสอน/ฝึกอะไรไปบ้างสถานที่ทำการฝึกสอน ผลเป็นอย่างไร และอะไรที่จะฝึกสอนในวันต่อไป กำหนดการนัดหมายวัน เวลา ที่จะมารับมาดามที่บ้าน...ประมาณนี้แหละ...


....ในวันที่ 7 มกราคม 2016 แครีนมารับมาดามแต่เช้าเพื่อไปสอบขับขี่แต่ก่อนไปที่สำนักงาน เธอก็ให้มาดามฝึกขับและปฏิบัติทุกสิ่งอย่าง 1 รอบก่อนเพื่อให้มั่นใจว่าไม่หลงลืมอะไร จากนั้นเราก็เข้าไปแจ้งความจำนงต่อเจ้าหน้าที่ว่าจะมารับการทดสอบ...มาดามภาวนาว่า ขอให้เจอ หนุ่มร่างใหญ่นิสัยดีคนเดิมทีเถิ้ด..แครีน บอกว่า หนุ่มคนนั้น ชื่อ ไมค์ ใช่ เขานิสัยดี น่ารักเธอก็ชอบเขาเหมือนกัน...สวรรค์ช่างไม่ปรานี!! ไม่ยอมให้ตามคำขอกลับส่ง สาวมาดเข้ม...เสือสาวลืมยิ้ม มาให้เป็น Examiner ซะนี่...เอาวะ วันนี้ฉันเป็นหญิงมั่น ไม่หวั่นเธอหรอกนะยะ...เธอยังคงรักษาคาแร็กเตอร์ไว้ได้อย่างคงเส้นคงวาซะจริงๆ แม้สักนิด ก็ไม่ยอมแสยะยิ้ม เชอะ!!!....รอบนี้มาดามเสียไปแต้มเดียวดันทะลึ่งตกม้า (แต่ไม่ตาย แค่ถลอกเล็กน้อย) ชีถามหาไฟหน้าไฮบีม มาดามเผลอไปดันคันโยกขึ้นสองทีมันกลายเป็นไปแว๊บ ๆ ที่เอาไว้ไล่คันหน้าไปซะฉิบ....หลังจากออกตัวไปแล้วฉลุยทุกกระเบียดนิ้ว...เมื่อกลับเข้ามาที่สำนักงาน ชีก็ปริ้นท์ผลการทดสอบ โว้วๆ...มาดามได้ 98 คะแนน จาก ร้อยฮ่ะฮ้า!!! แครีนหน้าบานเป็นจานดาวเทียม นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตการสอนขับรถของเธอที่นักเรียนสอบได้คะแนนสูงขนาดนี้...เธอบอกว่านักเรียนร้อยละ 90 สอบจะตกรอบแรก และต้องเรียนและสอนกันใหม่สอง-สามครั้งถึงจะสอบผ่านและก็ไม่มีเคยใครได้แต้มมากขนาดนี้!!!

.....พอได้ใบผลสอบเราสองคนก็ขับไปที่สำนักงานที่ออกใบอนุญาตขับรถ ไม่ไกลกันนัก...มาดามจ่ายค่าธรรมเนียมไป 20 เหรียญ ยื่นเอกสารที่เพิ่งได้มาสด ๆ ร้อน ๆ พร้อมบัตรประกันสังคม กรีนการ์ดและหลักฐานจากบริษัทไฟฟ้า ที่แสดงชื่อที่อยู่ของมาดามที่บ้านคีธ...เจ้าหน้าที่ตรวจสอบคีย์ ๆ เข้าระบบ แล้วให้ไปนั่งเพื่อถ่ายรูป แล้วก็ถามมาดามว่า อยากจะบริจาค อวัยวะในกรณีที่เสียชีวิตจากอุบัติเหตุรึเปล่า...มาดามสั่นหัว ไม่เอาหรอก!!...แต่ถ้ามาดามบอกว่า ต้องการบริจาคในใบขับขี่ที่จะได้รับ จะมีการระบุสัญลักษณ์ไว้ที่ด้านหลัง ในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุแล้วเสียชีวิตร่างของมาดามก็จะถูกส่งไปเป็น อาจารย์ใหญ่ อวัยวะสำคัญเช่น ตับ ไต หัวใจ ไขกระดูก ก็จะถูกควักออกไปให้ผู้ป่วยที่กำลังรอชิ้นส่วนเหล่านั้นอยู่...ประมาณนี้แหละพี่น้อง!!!

....วันนี้ได้ Temporary License มาใช้ก่อน ของแท้จะส่งไปรษณีย์ตามมา...มาดามขับรถกลับบ้านพร้อมแครีนก่อนลงรถเธอได้ยื่นซองสีน้ำตาลให้มาดาม บอกว่า นี่เป็นประกาศนียบัตรผ่านการฝึกหัดขับขี่ ของโรงเรียน...และเธอก็รู้ว่ามาดามกำลังหางานทำอยู่เธอจึงเสนอให้ใช้ชื่อของเธอสำหรับอ้างอิงในการสมัครงาน พร้อมเขียน ชื่อที่อยู่ และหมายเลขโทรศัพท์ให้ไว้...มาดามรับมาด้วยความขอบคุณ เธอช่างเป็นมิตร น่ารัก และอบอุ่น จริง ๆ...สิบวันต่อมา Driver License ก็ถูกส่งมาถึงบ้านอย่างปลอดภัย!!!


ตัวอย่าง Driver License ของรัฐมิสซูรี่

และแล้วมาดามก็ได้เขียนมาจนจบกระบวนการเกี่ยวกับการได้มาซึ่งใบอนุญาตขับรถในรัฐมิสซูรี่...มาดามยังไม่แน่ใจว่าอีกนานแค่ไหนจะได้เขียนบล็อกอีกเพราะเหตุว่า ตอนนี้มาดามได้กลายเป็น Working Woman ไปซะแล้ว...ยังแบ่งเวลาไม่ถูก เอาเป็นว่าจะพยายามเขียนต่อละกันค่ะ

ขอบคุณพี่น้องที่ยังติดตามกันมานะคะ




 

Create Date : 01 กุมภาพันธ์ 2559   
Last Update : 1 กุมภาพันธ์ 2559 6:17:21 น.   
Counter : 1958 Pageviews.  


Life in USA-17 สอบใบขับขี่ในอเมริกา...หมูในอวย หรือ หมูหิน? วันที่สอง



Life in USA-17 สอบใบขับขี่ในอเมริกา...หมูในอวย หรือ หมูหิน? วันที่สอง

.....รุ่งเช้าอีกวันมาดามออกจากบ้านประมาณ10 โมง พิมพ์แผนที่มาด้วย ขับไปตามถนน State Highway K พอผ่านหน้าวอลมาร์ท ก็จะเจอสี่แยกที่ 1 วิ่งตรงไปจะเชื่อมกับ William Street และต้องขับบนสะพานที่ข้าม Interstate Route 55 แล้วก็ถึงสี่แยกที่ 2 ต้องเลี้ยวขวาตรงนี้เข้าถนน S. Mt. Auburn Rd.


คลิกดู Google Map Street View

.....จากนั้นขับตรงไปถึงสี่แยกเล็ก ๆ มาดามวิ่งตรงไปและพยายามมองหาไอ้เจ้าอาคารหลังนั้นที่หมายตาเอาไว้เมื่อวานแต่ทว่ามันไม่เข้ามาอยู่ในสายตาเลยพี่น้อง...มาดามเห็นถนนเล็ก ๆ แยกไปซ้ายมือแต่ไม่ทันเห็นป้ายชื่อถนน แต่จริง ๆ มาดามรู้สึกว่ามันเป็นระยะทางเท่ากับที่แด๊ดขับเข้ามาเมื่อวาน แค่ไม่เห็นจุดสังเกต...เมื่อมองไม่เห็นก็ขับเลยไป...ตายโหง!!!ข้างหน้านั่นสี่แยกไฟแดงขนาดมหึมาตั้งตระหง่านรออยู่...ใจหายวาบ! ซวยแล้วตูวิ่งเลยมาแล้วจริง ๆ ...ปัญหานี้ใหญ่หลวงนัก เพราะไม่รู้ว่าจะควรจะไปทางไหนถึงจะกลับไปอยู่บนถนนเดิมที่เพิ่งวิ่งมาได้คิดเลยเถิดไปถึงว่าจะขับไปแล้ว ๆ จะหาที่จอดได้ป่าว? รึว่าจะไปโผล่ที่เมือง หรือรัฐไหน? และถ้าโทรกลับไปหามัมแล้วจะบอกเธอยังไงว่าตัวเองอยู่ตรงไหนตอนนี้?

.....มอง ๆ แล้วก็ไม่มีที่กลับรถตรงสี่แยกนี่....คันหลังก็ไล่จิ้มก้นมาติด ๆ เอาไงดี? เสี้ยววินาทีสุดท้ายปาดรถไปทางขวาละกัน...ต้องเลี้ยวขวาก่อน ทางอื่นไม่น่าไป...เลี้ยวขวามาได้ 50 เมตร มาดามก็เห็นสี่แยกอยู่ข้างหน้าอีก โอว....ฉันน่าจะเลี้ยวขวาตรงนี้อีกทีเพราะความรู้สึกมันบอกว่ามันน่าจะเป็นเส้นทางที่พาตัวเองกลับไปใกล้ William street ได้…พอเลี้ยวแล้วมาดามขับมาอีกหน่อยเจอรถตำรวจจอดดักอยู่ข้างทาง...อ้อ! ใช่แน่ ถนนเส้นที่มาดามขับอยู่นี่ คือ Interstate route 55 น่ะเองใช่แล้ว มันจะตัดกับ William street ตรงสะพานข้ามนั่นเอง มาดามก็จะสามารถกลับเข้าไปอยู่บนนั้นได้อีกครั้งแล้วตั้งต้นใหม่...โอย..เกือบไปแล้ว

.....ดีใจสุดขีดเมื่อกลับเข้าไปใน William street อีกครั้ง...กะว่าคราวนี้จะต้องไม่ขับเลยเถิดอีก...แต่สายตาก็พลันเหลือบแลไปทางขวาเห็นร้านอาหาร Red Lobster ที่เคยมากินครั้งนึงมาดามเลี้ยวขวาเข้าไปหาที่จอดก่อนดีกว่า เพื่อตั้งสติและวางแผนใหม่...มีสองทางเลือก คือ จะเรียกพ่อแม่สามีมารับดี หรือว่าลุยถั่วต่อไปคิดอยู่สักครู่ พลันก็นึกได้ว่า พกมือถือของคีธมาด้วย แต่ไม่แน่ใจว่ามันมีเน็ทใช้งานเมื่ออยู่นอกบ้านหรือเปล่า...ว๊าวมันใช้เน็ทได้แฮะ...มาดามเรียก Navigator มารับใช้ซึ่งปกติมันไม่เคยมีเสียงผู้หญิงบอกเส้นทางเลย (เคยดาวน์โหลดแล้วมันบอกล้มเหลว) แต่ทว่าวันนี้ผู้หญิงคนนั้นยอมพูดกับมาดามแต่โดยดี...เอาละไปตายเอาดาบหน้าละกันกับยายคนนี้แหละ...ฟังชีบอกทางโดยไม่ต้องชายตามองที่มือถือ...ปลอดภัยแน่

เลี้ยวขวาเข้าไปตั้งหลักที่ลานจอดรถด้านขวานี่ก่อน ฝั่งซ้ายนั่นก็ร้านอาหาร ข้างหลังนั่น โรงแรม

.....เมื่อเริ่มเคลื่อนจากออกจากลานจอดรถของร้านอาหาร เนวิเกเตอร์สาวก็บอกให้เลี้ยวซ้าย แล้วก็เลี้ยวขวาเข้า William St. ในระยะที่เหมาะเจาะและถูกต้องทั้งสองเลี้ยว...ต่อมาชีบอกให้เลี้ยวขวาในที่ ๆ ไม่ควรจะเลี้ยว..เอาแล้วมั๊ยล่ะ...อย่าไปเชื่อหล่อน!!!มาดามขับเลยไปแล้วค่อยเลี้ยวขวาเข้า S. Mt. Auburn Rd.อีกครั้ง แล้วก็จดจ่อว่าตรงไหนแน่ที่จะต้องเลี้ยวซ้ายเข้าถนน Blattner Drive...แล้วเนวิเกเตอร์สาวก็สั่งให้เลี้ยวซ้ายอีก คราวนี้มาดามตามใจหล่อนแต่เมื่อเลี้ยวเข้ามาแล้วรู้สึกว่าเส้นทางไม่คุ้นเอาซะเลย พอขับมาข้างในก็รู้ว่าผิดแน่แล้วชีก็บอกมาดามเลี้ยวขวาอีก...มาดามเลือกที่จะเลี้ยวซ้าย เพราะเห็นมีลานจอดรถขนาดใหญ่ต้องไปจอดที่นั่นก่อนแล้วหาทางกลับออกไปใหม่...มันอาจเป็นเลี้ยวซ้ายถัดไป? เราอาจเลี้ยวเร็วเกินไปเพราะซอยมันใกล้ ๆ กัน....เห็นผู้หญิงคนนึงเดินออกมาจากอาคาร...ไม่รอช้าปรี่เข้าไปถามเธอพร้อมชี้ในแผนที่ว่าต้องการไปตรงนั้น...เธอก็พูดแบบไม่มั่นใจนักว่ามันน่าจะเป็นถนนหรือซอยถัดไป คือให้กลับออกไปแล้วขับไปอีกนิดก็เลี้ยวซ้ายเข้าถนนถัดไป ซึ่งนั่นก็ตรงกับใจมาดามเลย...ขอบคุณเธอแล้วก็รีบจรลี....


คลิกดู Google Map Street View

.....เป็นไปดังคาดเดา ในที่สุดก็มาถึงดูเวลาแล้ว 11.55 ท่านผู้ชม ไม่แน่ใจว่าเขาจะทดสอบเลยหรือว่ารอพักเที่ยงก่อน...รีบเข้าไปในสำนักงานทดสอบแจ้งความประสงค์...รอบนี้มาดามได้ชายหนุ่มรูปร่างอ้วนพีเป็น Examiner เขาพูดจากสุภาพเรียบร้อยและชัดเจนแจ่มแจ๋ว ทำให้มาดามไม่เครียด...เขาไม่ยอมพักเที่ยง...เริ่มต้นด้วยการตรวจสอบความพร้อมของอุปกรณ์ใช้งานว่าพร้อมหรือเปล่า โดยขอให้มาดามเปิดไฟเลี้ยว ซ้าย-ขวา ไฟหน้า (High beam & Low beam), ไฟเบรกไฟฉุกเฉิน แล้วถาม ตำแหน่งเบรกฉุกเฉิน...ตายคาที่เลยท่านผู้ชม มาดามพลาด หามันไม่เจอ...จากนั้นถามหา ปุ่มละลายหิมะ...ตายคาที่อีกรอบ...จำไม่ได้ว่ามันสถิตย์อยู่ตรงไหน...เขาบอก“ไม่เป็นไร” อืม! ฟังแล้วสบายใจดี...แต่ว่านั่นโดนตัดไปแล้ว 4 แต้มพี่น้อง...เสร็จแล้วเขาก็เข้ามานั่งด้านขวาแล้วบอกให้มาดามออกรถระหว่างที่ขับออกจากลานจอด...เขาก็บอกว่า ถ้าเขาไม่พูดอะไรเลยแปลว่าให้ขับตรงไปเรื่อย ๆ ถ้าไม่เข้าใจก็ให้ถามได้ตลอดเวลาไม่ต้องเกรงใจ...โอเค!!! มาดามถามว่าเราจะสอบนานแค่ไหนเขาบอก 20-30 นาที ป่าด!!!

....ก่อนจะถึงแยกเข้าถนนเล็กๆ หรือสี่แยกเขาจะบอกล่วงหน้าว่าให้เลี้ยวซ้าย หรือขวา สิ่งที่เขาจะดูคือ การตอบสนอง Stop Sign, Yield Sign, ทางม้าลาย, สัญญาณไฟจราจร, และป้ายการให้สัญญาณไฟเลี้ยว, ความนุ่มนวลในการเบรก-การออกตัว,ระยะการจอดห่างจากคันหน้าเหมาะสม, การเลี้ยวซ้ายอยู่ในเลนที่ถูกต้อง/ไม่ตัดมุมถนนสี่เลนที่เรากำลังจะเข้าไป+เข้าเลนที่ถูกต้อง และการเลี้ยวขวาที่ไม่ทำมุมเลี้ยวกว้างเกินไป...



....เขาสั่งให้ขับออกมาที่ถนนที่มาดามเพิ่งจะหลังไปหยก ๆ และขับเข้า Interstate Route 55 แล้วไปเข้า William St. อีกครั้ง แต่คราวนี้ให้วิ่งตรงอย่างเดียว พอถึงสี่แยกที่สามมาดามเห็นไฟยังเขียวอยู่ก็ขับไปความเร็วปกติ แต่พอหัวรถมาดามถึงเส้นที่จะต้องหยุดก่อนเข้าแยกพลันไฟมันดันทะลึ่งเปลี่ยนเป็นสีเหลือง มาดามเบรกกะทันหันและคร่อมอยู่บนเส้นหยุดนั่น....โดนตัดคะแนนไปเป็นอันดับแรกเลย....จริงๆกฎจราจรบอกว่า ไฟเหลือง เตรียมต้องหยุด เว้นแต่การหยุดจะทำให้เกิดอันตรายผู้ขับขี่จะต้องขับผ่านไปห้ามหยุด...ซึ่งมันอันตรายจริง ๆคันหลังอาจชนท้ายเราแต่ดีที่คันหลังมาดามอยู่ห่างกัน...และเขาเตรียมพร้อมที่จะหยุด


..…เมื่อขับบนถนนสี่เลนหรือมากกว่าสี่เลนเขาจะดูว่าเราวางระยะห่างจากรถคันหน้า เมื่อเรากำลังตามหลังเขาอยู่เหมาะสม? ใช้ความเร็วตาม Speed Limit ในแต่และพื้นที่/ถนน? เปลี่ยนช่องเดินรถบนเส้นประ/ทึบถูกกฎ? ให้สัญญาณไฟเมื่อทำการแซงเมื่อแซงแล้วกลับเข้าเลนในระยะที่ปลอดภัย? และให้สัญญาณไฟ?...การนำรถเข้าทางร่วม หรือ Merging lane, การออกนำรถเข้า-ออกถนนไฮเวย์/Interstate route การขับในวงเวียน หรือ Roundabout และรวมถึง...โอยยยย กฎเยอะฟุด ๆ เลยละพี่น้อง

....ต่อมาทดสอบการจอดรถหรือ Parking เริ่มจาก การจอดข้างถนนระนาบ หรือ Flat Parking อันนี้เขาจะดูตั้งแต่เราเริ่มนำรถเข้าเลนขวาให้สัญญาไฟเลี้ยวขวา? ระยะจอดห่างขอบถนนไม่เกิน 18”? เมื่อจอดเลื่อนเกียร์ไปที่ตำแหน่งP? เมื่อเขาสั่งให้ไป เราได้ให้สัญญาณไฟซ้ายเพื่อกลับเข้าทาง?และเราได้หันไปเช็คกระจกซ้าย? และหันมองข้ามไหล่ซ้ายเพื่อดูรถที่มาข้างหลังก่อนออกรถ?...

.....จากนั้นก็ให้ขับไปในเวิ้งที่เงียบสงบไม่มีรถวิ่งเลย ตรงนั้นทำเป็นที่สอบ Parallel Parking หรือการจอดริมถนนระหว่างรถคันหน้าและคันหลัง...ตรงนั้นเขาตั้งกรวยยางและปักเสาสูงไว้สี่ต้น สมมติสองต้นแรกคือตำแหน่งท้ายรถคันหน้าสองต้นหลังคือตำแหน่งหน้ารถคันที่จอดข้างหลัง...เราต้องถอยหลังเสียบเข้าไปจอดตรงกลางซึ่งมีความยาวภายในระหว่างสี่เสามากกว่าตัวรถของเราประมาณสี่ฟุต แต่ท่านผู้ชมเพราะไอ้เสาสี่ต้นนี่มันสูงท่วมหลังคารถ มันทำให้ดูเหมือนที่ข้างในนั้นแสนจะคับแคบยากที่จะเข้าไปจอดแบบม้วนเดียวจบโดยไม่เฉี่ยวต้นเสา....กฎมีอยู่ว่าเราต้องถอยรถให้เข้าไปจอดตรงกลางในช่องว่างนั้นให้ได้ภายใน นาที แล้วตั้งล้อตรงขนานขอบถนน ห่างไม่เกิน 18 นิ้วและต้องไม่ชนเสาต้นใด ๆ....มาดามไม่รู้อิโหน่อิเหน่ว่ามันมีเคล็ดลับที่จะเข้าไปอยู่ในนั้นแบบถอยเสียบในกระบวนท่าเดียวจบ...แค่คะเนระยะเอาตามใจชอบ (เหมือนที่ทำบ่อย ๆ ที่เมืองไทย) ขับรถเลยต้นเสาแรกไปตั้งลำซะไกลโพ้น แล้วก็ถอยเข้าไปๆ แต่ว่าหมุนพวงมาลัยกลับเร็วเกินไปก่อนที่มันจะได้ที่ เลยต้องพุ่งออกมาใหม่แล้วถอยอีกทีค่อยเข้าไปได้โดยไม่ชน..ที่สำคัญลืมให้สัญญาณไฟเลี้ยวขวาระหว่างปฏิบัติการเข้าจอดอีก...เฮ้อ!! คิดว่าตรงนี้รูปหล่อได้ตัดแต้มไปเรียบร้อย…


Parallel Parking 

.....พอออกจากจุดนั้นก็กลับมาที่สำนักงานแต่ว่าก่อนถึง รูปหล่อได้บอกให้มาดามจอดรถข้างทาง ฟังคล้าย ๆ เขาบอกว่าให้ Overnight parking ซึ่งไม่เคยผ่านตาคำนี้ หรือผ่านแต่จำไม่ได้??? คิดเอาเองว่าเขาจะตรวจสอบว่าเราจอดรถแถวบ้านยังไงมาดามก็จินตนาการว่า อ้อ!จอดแถวบ้านไม่มีกฎอะไร ก็จอด ๆพอเขาบอกให้ขับต่อมาดามก็แค่ให้สัญญาณไฟซ้ายเพื่อกลับเข้าเลน และเข้าทีลานจอด

Examiner รูปหล่อเสียงดี มาเฉลยตอนกลับมาจอดที่สำนักงานก่อนลงรถ ทุกข้อที่มาดามพลาด...ว่าไอ้ตอนท้ายสุดนี่เขาสมมติว่าให้จอดบนไฮเวย์กรณีฉุกเฉิน และให้จอดแบบ Uphill parking/Downhill parking...เวรเลย...การจอดข้างทางบนไฮเวย์ มันก็ต้องเปิดไฟฉุกเฉินซิพี่น้องและตอนจะกลับเข้าเลน นอกจากให้สัญญาณไฟซ้ายแล้วยังไม่พอต้องเช็คด้านซ้ายผ่านกระจกข้างหรือมองข้ามไหล่ซ้ายก่อนออกรถ...บรื๋อ!!! นี่ถ้าสั่งมาดามให้เข้าไปวิ่งบน Route 55 ของแท้รับรองไม่พลาดเลยแม้แต่น้อยSmiley (โว!!) สิริรวมโดนตัดแต้มแบบว่า นับไม่ถ้วน เขาบอกว่า ผิดมากเกินอภัยให้ผ่านไม่ได้ครับผม


.....ขับรถกลับบ้านแบบเฉาๆ พอถึงบ้าน...มัมวีดีโอคอลมาบอกว่าวันอังคารหน้าจะพาไปทำใบขับขี่ชั่วคราว...เพื่อให้ขับรถไปไหน ๆ ได้ระหว่างรอสอบรอบถัดไปและได้จ้างคนให้มาสอนขับ...ที่เธอรู้ว่ามาดามสอบตก เพราะเธอโทรเข้ามือถือตอนมาดามกำลังสอบแต่มาดามไม่ได้รับมันเป็นกฎหมายห้ามใช้โทรศัพท์ขณะขับรถ เว้นแต่ใช้ Small talk เธอก็วีดีโอมาที่บ้านอีกสองสามครั้งแต่มาดามยังมาไม่ถึงบ้านสุดท้ายเลยโทรไปที่สำนักงานเพื่อเช็คผลช่วงที่มาดามขับรถกลับ...แม่ผัวที่แสนประเสริฐเลิศล้ำของมาดาม...

ตอนต่อไปมาดูว่า Instructor สาวใหญ่วัยเกือบ 70จะมีวิธีการขั้นตอนในการสอนมาดามให้ขับรถอย่างถูกต้องตามกฎจราจรยังไงและมาดามจะสอบผ่านรอบที่สองนี่หรือเปล่า...โปรดติดตามนะจ๊ะ!!!

Smiley






 

Create Date : 12 มกราคม 2559   
Last Update : 11 มิถุนายน 2559 9:12:50 น.   
Counter : 1640 Pageviews.  


1  2  3  4  5  6  7  8  9  

สมาชิกหมายเลข 1963584
 
Location :
United States

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




มาดามฟรายค่ะ...
ข้ามห้วยมาไกล...ขอจอยน์ด้วยคนนะคะ
หากอ่านแล้วมีความคิดเห็นยังไง
ก็กระซิบกระซาบมาให้ได้ยินได้อ่านบ้าง
หรือเชิญมาดามไปเยี่ยมที่บล็อกของเพื่อนบ้าง
ด้วยความยินดีค่ะ...
ขอบคุณทุกท่านที่แวะเวียนเข้ามา
และทุก ๆ ท่านที่ติดตามประจำนะค๊า
New Comments
[Add สมาชิกหมายเลข 1963584's blog to your web]

MY VIP Friends


 
 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com