bloggang.com mainmenu search



ดอกไม้ ดวงดาว ท้องฟ้า และพื้นดิน




รอยยิ้มที่ริมฝีปากบางยังค้างอยู่ แม้ว่าคนตัวสูงในเสื้อลายทางสีชมพูจะเดินลับหายออกไปทางประตูทางออกแล้ว


แต่ปานวตาต้องถอนหายใจเฮือกแล้วหุบยิ้มลงทันควัน เมื่อสบสายตาของใครอีกคนที่เพิ่งเดินออกมาจากร้านหนังสือที่อยู่เยื้องออกไปไม่ไกลนัก..รอยยิ้มของคนที่เธอจำได้แม่นยำ แม้ว่าในค่ำคืนนั้นจะมืดสลัวและแสงสีพร่าพราย ยังไม่ทันจะลุกขึ้น คนตัวสูงก็พาขายาวๆนั้นมาถึงม้านั่งที่เธอนั่งอยู่เสียแล้ว


..แกล้งทำเป็นอ่านหนังสือดีกว่าไม๊..หรือจะแกล้งทำเป็นจำไม่ได้ดีนะ..


"ขอนั่งด้วยคนได้ไหมครับ" ถามแต่ไม่รอคำตอบ เขาทรุดตัวลงนั่งข้างเธอทันที เธอจึงได้แต่มองหน้าเขา และเขาก็มองเธอยิ้มๆอย่างช่างใจเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ย

"บางทีคุณอาจจะลืมผมไปแล้ว เพราะหน้าตาของผมไม่น่าจดจำเท่าไหร่" เขาว่า..และปาวนตาเข่นเขี้ยวในใจ..ไม่ใช่หน้าตาหรอก พฤติกรรมต่างหากล่ะที่ไม่น่าจดจำ..

"แต่ผมจะทวนให้..เราเคยพบกันที่ร้าน....ไงครับ" เขาเอ่ยถึงร้านแห่งหนึ่ง..

"อ่อ..ค่ะ" เธอเพียงแต่รับคำสั้นๆ แม้เสียงของเขาจะถ่อมตัวว่าตัวเองหน้าตาไม่น่าจดจำ แต่ดูทีท่าไม่มีวี่แววว่าเขาจะรู้สึกอย่างนั้นจริงๆเลย..ดูท่าทางเขาจะเป็นคนที่มั่นใจในรูปร่างหน้าตาของตัวเองไม่น้อย..หลงตัวเอง..ชีกอ

"เฮ้.." เขาทัก เมื่อเห็นหนังสือในมือเธอ "คุณชอบอ่านหนังสือแนวนี้ด้วยเหรอ "

"อืม" ปานวตาตอบส่งๆ

"ผมเป็นแฟนเลยนะ นักเขียนคนนี้" เขาพูดต่ออย่างสนิทสนม ราวกับรู้จักกันมานาน "ผมชอบมุมมองการเล่าเรื่องจริงและเรื่องแต่งของเขาที่ลงตัวดี"

บอกพลางดึงหนังสือไปจากในมือเธอ..อย่างไม่ทันได้ตั้งตัว

"เฮ้ นี่คุณ ไม่มีมารยาทเลย..เอาคืนมานะ เราไม่รู้จักกันเสียหน่อย" เธอโวยวายท้วง

"ใครว่า" เขาพูดยิ้มๆ แล้วพลิกหนังสือในมือไปมา "เรารู้จักกันแล้ว ผมบอกคุณไปแล้วว่าผมชื่ออะไร แล้วผมก็รู้ว่าคุณชื่ออะไร"

"ก็นั่นแหล่ะ แต่ใครจะรู้ล่ะ ว่านั่นใช่ชื่อจริงๆหรือเปล่า " หญิงสาวเถียง..และพูดกับตัวเองในใจ ..ตาบ้า ฉันจำได้เสียที่ไหนว่าคุณชื่ออะไร


"จริงหรือไม่จริงสำคัญตรงไหนเล่า คืนนั้นคุณบอกผมเองนี่น่า ไม่ว่าจะชื่ออะไร คุณก็เป็นคุณอยู่ดี" ประโยคที่เขาเอ่ย ก็คือประโยคที่เธอเคยว่าไว้จริงๆ นั่นทำให้เธอพูดไม่ออก


"ไม่รู้ล่ะ เอาหนังสือของฉันคืนมา" เมื่อเธอแย่งหนังสือคืนมาได้ เธอก็ทำท่างจริงจังในการอ่าน ไม่สนใจจะมองคนข้างๆซักนิด


กริยาแบบเด็กๆนั้นทำให้เขาแอบขำในใจ ซึ่งก็ดีกับเขาไม่น้อย เพราะเมื่อเธอไม่มองเขา ยิ่งทำให้เขามีโอกาสได้มองและพินิจเธออย่างละเอียด ไม่มีคนที่คอยมองค้อนหรือมองขวางอย่างขุ่นเคือง


"คุณรู้ไหม ผู้หญิงคนนั้นเขาพูดว่าอย่างไร" เขาถามแล้วเธอหันมามอง

"ผู้หญิงคนไหน" ปานวตางุนงง

"ก็ผู้หญิงในหนังสือที่อยู่ในมือของคุณไง..เธอพูดกับผู้ชายที่เธอนัดเดทด้วยว่า การที่ผู้ชายไม่มองหน้าคู่สนทนามีสองกรณีคือ หนึ่ง..เขาคนนั้นเป็นคนขี้อายหรือไม่ชอบผู้หญิง..สอง เขากำลังคิดอะไรเกี่ยวกับผู้หญิงอยู่ ถ้าไม่ใช่คนที่อยู่ตรงหน้า ก็เป็นอีกคนหนึ่ง คุณคิดว่าไงกับประโยคนี้"

ดูเหมือนว่าคำถามนี้ จะพอดึงดูดความสนใจของเธอได้บ้างนิดหน่อย เมื่อเธอเงยหน้าขึ้นมามองเขา

"ก็อาจเป็นไปได้ แต่ฉันไม่มีความเห็นหรอกค่ะ เพราะฉันยังอ่านไปไม่ถึงบทนั้น แล้วคุณล่ะ เป็นผู้ชายประเภทไหนกัน" เธอถามอย่างรวนนิดๆ "แต่ถ้าให้ฉันเดา..คนคงไม่ใช่ทั้งสองกรณี" พาดพิงถึงลักษณะการที่เขามองหล่อนไม่วางตา


เพชระหัวเราะเบาๆ มองมาที่คู่สนทนาไม่ละสายตาไปทางไหน "คุณเดาผิดแล้ว.. "


ปานวตาเสหันไปมองหนังสือที่อยู่ในมืออย่างขมักขเม่น ตัวอักษรที่เรียงรายอยู่ตรงหน้า..หาได้เข้าไปในสายตาซักตัวเดียว แหม..เธอคิดกับตัวเองเงียบๆ เธอรู้สึกไม่ชอบใจเลย เขาทำให้เธออึดอัดใจและร้อนๆหนาวๆกับสายตาที่มองมาอย่างไม่มีปิดบัง..ซักนิด

..ฉันก็อายเป็นนะย๊ะ มานั่งจ้องกันอยู่ได้..




* * * * * * * * * *





นี่น่ะหรือปานวตา พิชานนท์..ชายหนุ่มคิด

ไม่อยากจะเชื่อก็ต้องเชื่อ เมื่อเขาออกจากร้านของน้องสาวของอรอรี..แล้วยกมือถือโทรหาอรอรี

"คุณอร ผมเพิ่งออกมาจากร้านของน้องสาวคุณนะ ผมเห็นน้องสาวคุณแล้วนะ แต่ยังไม่ทันได้ทำความรู้จักกันเลย อ้อ..ผมเห็นผู้หญิงคนนึงที่นี่ด้วย สูงๆหน่อย ผิวคล้ำๆ เห็นคุยกับน้องสาวคุณสนิทสนมกันเชียว คุณรู้จักไหม"

ใช่เพื่อนน้องสาวของคุณรึเปล่า? พักอยู่ที่นั่นด้วยไหม?..นั่นคือคำถามที่คิดจะถาม แต่ยังไม่ทันได้ถาม คำตอบที่ได้รับก็ทำให้เขาต้องเงียบไป

"อ๋อ..ใช่คนที่ผมยาวสีดำ ตัดหน้าม้าใช่ไหม ถ้าใช่..นั่นน่ะยัยปอยลูกสาวของฉันล่ะ" น้ำเสียงที่ตอบกลับมาอย่างภูมิใจ จนเขาต้องกลืนคำถามอื่นๆ ที่อยากถามลงไป

"ลูกสาวคุณเหรอ? " เขาถามย้ำอีกครั้ง เพื่อความแน่ใจ "ผมนึกว่าลูกสาวคุณจะเด็กกว่านี้เสียอีก"



เพชระถอนหายใจบ้าง..เมื่อนึกถึงคำตอบจากอรอรีที่ไม่ได้เปลี่ยนไปเป็นคำตอบอย่างที่เขาอยากให้เป็น..เช่นว่า ไม่ใช่ลูกสาวฉันหรอกค่ะ..ฉันล้อเล่น



รู้สึกถึงคนบางคนที่ดึงถุงหนังสือและของอย่างอื่นออกไปจากที่นั่งตรงกลาง พร้อมกับขยับเข้ามาชิดแนบสนิทแล้วกระซิบที่ข้างหู

"นี่คุณ อยู่นิ่งๆนะ" ไม่บอกเปล่า แขนเรียวบางยังสอดเข้ามากอดแขนเขาไว้แน่น

"ทำอะไรของคุณ" เพชระถามอย่างตกใจ พยายามจะดึงแขนออก แต่แขนเล็กๆกลับล็อคแน่นกว่าเดิม

"ช่วยอะไรฉันหน่อยเถอะค่ะ ช่วยนั่งนิ่งๆซักครู่"

ดูเหมือนว่าชายหนุ่มจะเริ่มเข้าใจบางอย่างได้ง่ายๆ จึงกวาดสายตาไปรอบๆบริเวร "คนไหน"

"คนที่ใส่เสื้อสีน้ำเงินที่กำลังเลือกซื้อน้ำหอมที่ข้างร้านหนังสือน่ะค่ะ" เธอบอก และขยับเข้าใกล้เขามากขึ้นไปอีก จนกลิ่นหอมอ่อนๆของกุหลาบจากปอยผมดำสนิทที่คลอเคลียอยู่ที่ไหล่ลอยมาปะทะจมูกโด่งของเขา

"หนอย..กล้าข้ามถิ่นมาถึงที่นี่เชียว" ปานวตาพึมพำคนเดียวอย่างมีน้ำโห

ราวกับกระแสจิตของปานวตาส่งไปถึงเขา เมื่อชายหนุ่มในร้านน้ำหอมหันมามองทั้งคู่ เเลดูเขาเองถึงกับตะลึงจนลืมน้ำหอมในมือแล้วหันมาเขม้นมองอย่างตั้งใจ แต่เมื่อมีมือของใครบางคนมาสะกิดที่ไหล่กว้างเขาจึงหันเดินกลับไปด้านใน

"คนนั้นเหรอ แฟนเก่าคุณ" เขาถาม

"คุณจะอยากรู้ไปทำไม" เธอถามกลับอย่างไม่สบอารมณ์ แต่ยังไม่ยอมปล่อยแขนของคนข้างๆ ราวกับว่าจะรอเพื่อให้แน่ใจว่าคนที่อยู่ในร้านน้ำหอมนั้นยังเห็นชัดมากพอ

"ก็ถามดูเฉยๆ แต่ไม่ต้องตอบหรอก ผมรู้คำตอบอยู่แล้วล่ะ" เขาว่า "แต่ถ้าจะให้ผมช่วยคุณ ก็น่าจะบอกกันดีๆหน่อย ผมไม่ใช่ของสาธารณะนะ ที่ใครๆก็มาจับต้องได้ฟรี"

"นี่คู๊ณ..ณ.. ณ.." ปานวตาเสียงสูง "ฉันไม่ได้ตั้งใจจะหลอกแต๊ะอั๋ง แตะต้องคุณเลยนะ เมื่อกี้ฉันยังไม่ทันคิดเลย ฉันเห็นเขากระทันหันมากๆ"

เมื่อเห็นเขาหันมาตั้งใจฟังยิ้มๆ เธอจึงสารยายต่ออย่างเก้อเขินเล็กน้อย "ฉันรู้ค่ะ ว่ามุกนี้มันน้ำเน่าสุดๆ แต่ฉันเคยเห็นมันใช้ได้ผลในละคร ก็เลยลองเอามาใช้บ้างแค่นั้นเอง"


เขายังคงเพียงแต่ยิ้ม.."อ่อ.."


"นี่.." เธอร้องอีก เมื่อเห็นสายตาของเขา

"อย่ามองแล้วทำท่าเหมือนฉันเป็นนางเอกละครปัญญาอ่อนพวกนั้นนะ..ฉันไม่ชอบ"

"ผมยังไม่ได้ว่าอะไรเลย" เพชระกลั้วยิ้ม

ปานวตามองอย่างเข่นเขี้ยว " แต่ตาคุณมันฟ้อง"

"แล้วตาผมฟ้องด้วยหรือเปล่า ว่าคุณนอกจากจะไม่เหมือนนางเอกละครปัญญาอ่อนพวกนั้นแล้ว..คุณยังน่าสนใจกว่ามาก" เพชระว่า

ปานวตาอึ้งไป..ก่อนจะแสยะยิ้ม "ถ้าคุณคิดจะแทะเล็มฉันเหมือนดอกไม้ริมทางเพื่อเป็นการตอบแทนแล้วล่ะก็ ถือว่าเราหายกันแล้วนะ"

"คุณคร๊าบ..บ.." เพชระลากเสียงนุ่ม "ผมไม่ใช่ตัวอะไรซักอย่างนะ จะได้ต้องแทะเล็มดอกไม้ต้นไม้ริมทาง หรือแทะเล็มทั่วไปไม่เลือกที่"

ตัวอะไรซักอย่าง....คำนั้นทำให้ปานวตาหัวเราะออก

"ฉันไม่ได้หมายถึงอะไรเสียหน่อย คุณพูดเองนะ " เธอปฏิเสธเสียงแข็ง แต่แววตายิ้มกริ่มบ่งบอกว่า..นั่นแหล่ะย่ะ ฉันหมายถึงเจ้าตัวนั้นแหล่ะ


เขาแกล้งมองหล่อนอย่างแค้นๆ ..


..คำว่า ฝากไว้ก่อนเถอะ ที่เธออ่านได้จากดวงตาสีดำอมน้ำตาลของเขา ก็ทำให้เธอหัวเราะร่วน ก่อนจะมองเขาด้วยสายตาที่เป็นมิตรมากขึ้นกว่าเดิม..นิดหน่อย

"โอเคๆ..บุญคุณต้องทดแทนความแค้นต้องชำระฉันถือคตินี้ เพราะฉะนั้นวันนี้ฉันจะเลี้ยงตอบแทนคุณ..ไอศกรีมซักมื้อดีไหม" เธอเอ่ยถาม

ชายหนุ่มทำท่าคิดชั่วครู่ "ไม่เอาดีกว่า ผมไม่ชอบทานไอศกรีม เอาเป็นว่าผมเก็บเอาไว้ก่อนดีกว่า คิดออกเมื่อไหร่แล้วค่อยขอให้คุณตอบแทนทีหลัง"

"ได้ไง..ถ้าให้คุณกำหนดเอง เกิดวันดีคืนดีคุณหลงรักฉันขึ้นมา แล้วมาขอให้ฉันแต่งงานด้วยเป็นการตอบแทน อย่างนี้ไม่แย่เหรอ" เธอเย้า

"รับรองน่า..ผมไม่ขอคุณแต่งงานแน่ๆ" เขาว่า ... "คิดได้ไงนี่มุกนี้ เชยชะมัด ผมขอซื้อ"

ขณะที่ปานวตายิ้มตาหยี.. "จะซื้อจริงเหรอ มุกนี้ถึงเชยแต่ฉันขายแพงนะ"

เพชระเพียงแต่ยิ้มๆ..กับคุณ ผมทุ่มหมดตัวเลย..



* * * * * * * * * *




น้องสาวของฉันเองค่ะ..นั่นคือคำบอกสุดท้าย ก่อนที่อรอรีจะลุกจากไป ในขณะที่คิรากรยังคงนั่งอยู่ตรงนั้น พร้อมกับที่หมุนนามบัตรในมือเล่นอย่างใจลอย

การพูดคุยเกี่ยวกับข้อตกลงในการทำธุรกิจรวมกันเป็นไปได้ด้วยความเรียบร้อย สำหรับการที่เขาต้องการให้อรอรีสปาร์แอนด์ซาวน์น่าเป็นที่รองรับลูกค้าบางส่วน สำหรับผู้ที่ต้องการพักผ่อนและทำกิจกรรมในสถานที่ที่น่ารักและอบอวลไปด้วยกลิ่นพฤกษาพรรณ

เขาได้รับการแนะนำให้รู้จักกับอรอรีจากเพชระว่า เธอเป็นคนสวยและมีความสามารถ ทั้งสองอย่างจากสายตาที่มองเห็นเขาคงไม่เถียงเลย และเมื่อได้มาเห็นใกล้ๆอย่างนี้ ต้องบอกกว่านอกจากเธอดูดีมากแล้วเธอยังดูสาวกว่าวัยมากมายทีเดียว..ด้วยเหตุนี้กระมัง ใครๆจึงพูดกันว่าเพชระคั่วสาวใหม่เมืองปักษ์ใต้..ทำให้ยัยธาลัยน้องสาวของเขา..หงุดหงิดเสียนักหนา

ความจริง..การมาพบกันครั้งนี้ ไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นเขาก็ได้ แต่เขาเองออกตัวที่จะมาเองเพราะได้ยินเพชระพูดถึงให้ฟังไม่น้อย..

"นี่ค่ะ..นามบัตรของฉัน" เธอยื่นให้เขา เมื่อเขารับมันมาดู ..อรอรี พิชานนท์ นามสกุลที่คลับคล้ายคลับคลาว่าเคยได้ยินที่ไหนมาก่อนนั้น..

นามสกุลที่ดูเหมือนจะติดอยู่ในความทรงจำส่วนที่ลึกล้ำที่สุด ที่เขาอยากจะแกล้งลืมมันไป ทำเป็นว่ามันไม่เคยมีอยู่ในความทรงจำส่วนไหนของเขามาก่อนแต่ไม่สามารถทำได้ จึงทำให้เขาต้องถามคนตรงหน้าไปว่า

"ขอโทษนะ ไม่ทราบว่าคุณรู้จักคนที่ชื่อลอออินทร์ พิชานนท์ไหมครับ" ตรงๆและไม่อ้อมค้อมตามแบบของเขา

คำถามนั้น ทำให้คุณอรอรียิ้มน้อยๆ ก่อนถามกลับ "คุณเคยได้ยินมาจากไหนหรือคะ"

"เอ่อ..คุ้นๆนะครับ เหมือนเคยได้ยินที่ไหนซักแห่ง" บางครั้งคนตรงๆ ก็ไม่อาจเอ่ยอะไรที่ตรงไปตรงมาได้เสมอไป ถ้าบางเรื่องเป็นเรื่องที่ไม่พูดถึงคงดีกว่า

"ถ้าเคยได้ยินจากที่นี่ก็ไม่แปลกหรอกค่ะ เพราะถ้าสำหรับที่นี่แล้ว..เมืองเล็กๆอย่างนี้ ก็พอจะคุ้นๆกันบ้างล่ะ เพราะว่าเธอเองก็มีร้านกาแฟกึ่งบาร์ขึ้นชื่อของที่นี่เหมือนกัน"

อรอรียิ้มอย่างภูมิใจ "เธอเป็นน้องสาวของฉันเองค่ะ"



คิรากรถอนหายใจเบาๆ..ทฤษฏีโลกกลมนั้นมีมานานโข เขาไม่แปลกใจซักนิด

แต่ว่าเมื่อทฤษฏีโลกกลมเกิดขึ้นกับตัวเขาเอง..เขายังอดแปลกใจ ไม่ได้



นานเท่าไหร่แล้วนะ..



"นั่นใครกันหรือธาลัย หน้าตาน่าเอ็นดูจัง" คิรากรถามน้องสาวถึงผู้หญิงคนหนึ่งที่เพิ่งเดินสวนออกไปจากรั้วประตูใหญ่ของบ้านเมื่อเขาขับรถเลี้ยวเข้ามาด้านใน

"อ๋อ..ถ้าหมายถึงยัยคนที่หน้าตกกระ ขาวๆหน่อย ผมยาวๆ ที่เพิ่งเดินออกไปนั่นแล้วล่ะก็" ธาลัยลากเสียงอย่างไม่สนใจ เพราะกำลังเห่อกับรายการเรียลริตี้หน้าทีวีจอใหญ่ในส่วนของห้องโถง

" อย่าไปสนใจเลยค่ะพี่กร เพื่อนสนิทของพี่เนน่ะค่ะ พวกนักศึกษาโนเนมจากบ้านนอกที่อยากจะเป็นศรีสะใภ้ศิวาลัยเต็มแก่มังคะ"

"ทำไมพูดจาไม่น่ารักอย่างนั้น" คิรากรว่า

"ก็คุณแม่เขาพูดนี่คะ ธาลัยก็พูดตาม เห็นคุณแม่ว่าพี่เนมาเอ่ยๆ เลียบๆเคียงๆแล้วนะคะ ว่าเรียนจบแล้วจะแต่งงานเลย ไม่รู้ว่ากับแม่คนนี้หรือเปล่า แต่ที่รู้ๆคุณแม่ไม่พอใจใหญ่เลย"


นั่นคือครั้งแรกที่เขาได้เห็นเธอ..และได้รู้จักชื่อของเธอในเวลาต่อมา


บางส่วนของสีแดงบนการ์ดเล็กๆในมือใหญ่สะท้อนเข้ามาในดวงตาของเขา ทำให้อดไม่ได้ที่จะนึกถึงสิ่งๆหนึ่ง..หนังสือปกสีแดงเล่มหนาเล่มนั้น


ตกลงจ้ะ..ถ้าเรียนจบเมื่อไหร่
เราไปก่อปราสาททราย และปลูกดอกไม้บนท้องฟ้าด้วยกัน
..อ้อน..




* * * * * * * * * *



เรียนจบเมื่อไหร่
ไปก่อปราสาททรายในพื้นที่ของเราเอง..ดีไหมอ้อน
แล้วก็ปลูกดอกไม้ให้เต็มท้องฟ้าเลย..
ตกลงนะ..
..เน..



ข้อความนี้..ยังตราตรึงอยู่ในความทรงจำของเธอ แม้ว่ามันจะผ่านไปหลายปีแล้วก็ตาม ข้อความของเขา


อเนชา ศิวาลัย..คือชายหนุ่มที่เป็นเพียงผู้ชายธรรมดาคนหนึ่ง นอกจากหน้าตาที่หล่อเหลา ดูดีงดงามตามแบบฉบับของพี่น้องสายเลือดศิวาลัยแล้ว ส่วนอื่นๆนิสัยใจคอและการใช้ชีวิตของเขาไม่เหมือนพวกของศิวาลัยเลยแม้แต่ซักนิดเดียว


และนั่นคือสิ่งแตกต่างที่ทำให้เขาเหมือนกับเธอ


เมื่อลอออินทร์..คือดอกไม้ธรรมดาที่อยู่บนพื้นดิน และอเนชาคือควงดาวพราวแสงที่เบื่อหน่ายกับจักรวาลเวิ้งว้างกว้างใหญ่ เขาจึงอยากหนีไปให้ไกล เขาอยากเป็นเพียงดวงดาวในใจของใครบางคน และเธอก็อยากเป็นเพียงดอกไม้ในใจของใครบางคน ด้วยเป้าหมายที่คล้ายคลึง..จึงนำพาให้พวกเขามาพบกัน


"อ้อน..ผมอยู่กับอ้อนแล้วสบายใจจัง ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น แค่เพียงเห็นคุณยิ้มผมก็มีความสุขเหมือนได้ขึ้นสวรรค์แล้ว"

"เนคะ..อยู่กับคุณ อ้อนก็มีความสุขเหมือนกัน คุณไม่ต้องยิ้มก็ได้..แค่ได้เห็นเงาของคุณ อ้อนยังมีความสุขเลย" ลอออินทร์เอ่ยยิ้มๆ

"เรียบจบแล้ว แต่งงานกันไหม" นั่นคือคำถามแบบเรียบง่าย "ไปก่อปราสาททรายแบบที่เราใฝ่ฝัน..มีพื้นที่ส่วนตัวของเราเอง ดีไหม"

คำถามนั้น..ทำให้ลอออินทร์ถึงกับอึ้งไป มันเร็วเกินกว่าจะทันตั้งตัว จึงไม่ทันได้ตอบ..

"ไม่เป็นไร เอาไว้แน่ใจเมื่อไหร่ค่อยตอบก็ได้ เรายังมีเวลาอีกยาวนาน"

เสียงเขาแผ่วมากับสายลมแห่งความทรงจำ ขณะที่ลอออินทร์ค่อยๆวางหนังสือเล่มนั้นลงในลิ้นชักอย่างเบามือที่สุด ด้วยกลัวว่าหนังสือเล่มหนาปกสีฟ้าน้ำทะเลเล่มนั้นจะบอบช้ำ หรือกลัวว่าความทรงจำของเธอต่างหากเล่า..จะบุบสลาย


ก่อปราสาททรายหรือ?..ปลูกดอกไม้บนท้องฟ้าด้วยกันหรือ?
พื้นที่ของตัวเองหรือ?
ฝันไปแท้ๆ..อ้อนเอ๋ย


ดาวมันก็สมควรที่จะอยู่บนท้องฟ้าบนจักรวาลกว้างใหญ่ ..ดอกไม้ก็ควรอยู่อย่างเจียมตัวบนพื้นดินธรรมดาๆ ใช่ไหม ต่อให้ดอกไม้ไม่ว่าชนิดไหน สวยงามขนาดไหน แต่มันก็ไม่สามารถที่จะปลูกและเจริญงอกงามบนท้องฟ้าได้อยู่แล้ว


..คนที่ต้องเจ็บปวด ก็คือคนที่ฝันจะไปถึงในที่ ที่ไม่มีวันไปถึงไงเล่า..


เสียงดนตรีทำนองหวานๆดังแผ่วพริ้วขึ้นมา หญิงสาวเอื้อมมือขวาไปคว้ามือถือบนโต๊ะมาแนบหู...พร้อมๆกับใช้มือซ้ายดันลิ้นชักปิดลงเบาๆ

" ค่ะพี่อร อ้อนจะลงไปเดี๋ยวนี้แหล่ะ "

วางหูแล้ว ลุกขึ้นสะบัดผมสีน้ำตาลหยักโศกค่อนข้างหนานุ่ม ที่ยาวไปถึงกลางหลังเกือบจรดบั้นเอวขึ้นมาม้วนอย่างลวกๆ มองหาดินสอด้ามโปรดที่ใช้ปักผมเสมอๆ แต่วันนี้ไม่รู้ว่าวางไว้ที่ไหนตามประสาคนเจ้าระเบียบแต่ขี้หลงขี้ลืมเป็นประจำ ก่อนจะต้องเปิดลิ้นชักที่เพิ่งปิดลงไปเมื่อครู่อีกครั้ง เพื่อควานหาบางสิ่งบางอย่างซักชิ้นหรือหนังยางซักเส้นมารวบผมยาวเกะกะให้เข้าที่เข้าทาง


ปกหนังสือสีฟ้าเรียบเป็นมันสะท้อนเงากระจ่าง..คล้ายกระจกใสเต้นระริกสะท้อนแสงไฟจากบนเพดาน


อย่ามองฉันเหมือนน้อยใจอย่างนั้นสิคะเน..ฉันไม่ได้เป็นคนที่อยากทิ้งคุณนะ คุณต่างหากที่ผิดสัญญา

...ลอออินทร์กระซิบแผ่วเบาก่อนปิดลิ้นชักอีกครั้ง
Create Date :20 พฤษภาคม 2552 Last Update :3 มีนาคม 2553 23:27:51 น. Counter : Pageviews. Comments :7