bloggang.com mainmenu search




คนผู้ใดมีความรัก

คนผู้นั้นมีความริษยา

เพียงแต่ว่าความรู้สึกอันบางเบานั้น

จะแอบซุกซ่อนอยู่ที่ใด

ใครจะสามารถสะกดเพลิงร้ายนั้นไว้ได้

ภายใต้หน้ากากอันสวยงาม









บทที่1





พื้นพรมสีขาวสะอาดตา ม่านหน้าต่างสีเดียวกันให้ความรู้สึกถึงความบริสุทธ์สดชื่น ตัดกันอย่างรุนแรงกับผ้าปูที่นอนซาตินเรียบตึงสีแดงสด ซึ่งคลุมเตียงกว้างไว้อย่างเรียบร้อย แม้สีสันจะดูขัดแย้งกันหากแต่กลับลงตัวอย่างประหลาด

หญิงสาวคนหนึ่งนั่งอยู่ตรงปลายเตียงในอริยาบทสบายๆ ชุดกระโปรงสูทร่นสูง เสื้อแขนยาวคอปกสีขาวท่อนบนกระชับลำตัวอย่างพอดิบพอดี บ่งบอกให้รู้ว่าผู้สวมใส่นั้นพิถีพิถันในการเลือกสรรสิ่งที่เหมาะเจาะให้ตัวเองเพียงไร กระโปรงเอวสูงสีควันบุหรี่ความยาวสั้นเหนือเข่าราวหนึ่งคืบ อวดขาเรียวสวยเปลือยเปล่าขาวเนียนละออ ส่วนตัวเสื้อสูทสีเดียวกันนั้นถูกถอดพาดไว้บนโซฟาซึ่งตั้งอยู่ตรงมุมหนึ่งของห้องอย่างรวกๆ ปลายเท้าเขี่ยรองเท้าส้นสูงหัวแหลมสีเดียวกับชุดให้หลุดลงไปกองอยู่พื้นพรม ขณะที่หญิงสาวอีกคนกำลังลำเลียงเสื้อผ้าในกระเป๋าเดินทางซึ่งเปิดอ้าอยู่บนพื้น ใส่เข้าไปในตู้เสื้อผ้าใหญ่โต

"ไม่ต้องจัดของพี่หรอก ไปจัดของที่ห้องเธอให้เรียบร้อยเสียก่อนเถอะ ไป๊" หญิงสาวซึ่งนั่งเอกขเนกอยู่บนเตียงเอ่ยขึ้น

"ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวจัดให้พี่เพชรเสร็จแล้ว พลอยก็ค่อยไปจัดของพลอยทีหลังก็ได้" หญิงสาวผู้อ่อนวัยกว่าตอบกลับเสียงอ่อน ขณะที่มือเรียวเล็กนั้นยังคงประวิงอยู่กับการรื้อเสื้อผ้าทั้งหมดขึ้นมาวางไว้บนเตียง ก่อนลำเลียงใส่ไม้แขวนเข้าตู้ บุษราคัมขยับตัวนิดเพื่อเพิ่มพื้นที่ให้แก่พลอยอำพันได้ทำงานอย่างถนัดยิ่งขึ้น แม้กริยานั้นจะสบายๆ หากแต่สายตาคมหวานกลับตวัดมองหน้าหญิงสาวผู้อ่อนวัยกว่าทันควัน ทำให้พลอยอำพันถึงกับชะงักมือไปชั่วขณะ

“บอกแล้วไง ว่าอย่าเรียกชื่อนั้นอีก”

"ขอโทษค่ะพี่บุษ พลอยลืมตัวอีกแล้ว "

บุษราคัมส่ายหน้าอย่างระอาใจ "พี่บอกแล้วไง ว่าอะไรที่มันผ่านไปแล้ว เราก็ต้องปล่อยวาง ปล่อยให้ทุกอย่างมันผ่านไป สอนไม่เคยจำเลยเธอนี่ สอนยากสอนเย็นจริงเชียว ไม่รู้ว่าวันๆ เอาสมองไปคิดเรื่องอะไรบ้าง" ก่อนจะเหยียดร่างสูงสมส่วนลงนอนเหยียดยาวบนเตียง สายตาคู่สวยเหลือบขึ้นมองบนเพดานสูงโปร่งสีขาว แสงพร่าพรายระยิบระยิบของโคมไฟคริสตัลดวงใหญ่ทำให้หัวใจเบิกบาน

นี่เป็นเพียงความฝันรึเปล่านะ...หากมันคือความฝัน เธอก็ไม่อยากจะตื่นขึ้นมาอีกเลย

บุษราคัมคิดก่อนจะหลับตาลงชั่วครู่แล้วลืมตาขึ้นมาใหม่อีกครั้ง แสงระยิบระยับงดงามราวความฝันนั้นยังไม่หายไปไหน ที่ตรงนี้ไม่ได้เป็นเพียงความฝันอีกต่อไปแล้ว ความจริงก็คือเธอได้เหยียบย่างและก้าวเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของศิลาภักดีอย่างเต็มตัวแล้ว ทุกอย่างไม่ใช่ความฝันอันเลื่อนลอยอีกต่อไป เธอรู้ดีว่าแค่นี้ยังไม่ใช่จุดจบ แต่มันเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของทุกอย่างต่างหากเล่า

สาวน้อยวัยยี่สิบต้นๆ อีกคนที่เดินไปมาอยู่ในห้องคือพลอยอำพัน หญิงสาวยังคงจัดโน้นจัดนี่ให้เข้าที่ ก่อนจะไปหยิบเสื้อสูทบนโซฟาตัวยาวนั้นมาสลัดเบาๆ ใส่ไม้แขวนลงตู้เป็นตัวสุดท้าย เมื่อหันมามองอีกที คนบนเตียงก็นอนหลับตานิ่งไปเสียแล้ว พลอยอำพันจึงหันหลังเดินออกจากห้อง ไม่ลืมที่จะปิดประตูห้องนอนนั้นอย่างแผ่วเบา เพื่อไม่ให้รบกวนผู้หญิงคนที่เธอรักและบูชาอย่างหมดใจ

จึงไม่ทันได้เห็นสายตาของบุษราคัมที่ลืมขึ้นมาอีกครั้ง ดวงตาคมหวานสีสวยราวมีประกายของเพชรสีน้ำเงินวาววับทุกครั้งที่มีเรื่องราวให้ต้องครุ่นคิด มองตามผ่านประตูที่ปิดลงนั้นไป มองทะลุราวกับประตูไม้บานใหญ่นั้นเป็นเพียงธาตุ อากาศ ไม่มีตัวตน บุษราคัมรู้ดีว่าหัวใจของพลอยอำพันนั้นอ่อนไหวแค่ไหน แต่ไม่นานหรอก ขอเวลาเพียงซักพักเท่านั้น เมื่อน้องสาวผู้อ่อนต่อโลกคนนั้นได้เริ่มต้นก้าวที่หนึ่งแล้ว ก้าวต่อไปของหล่อนจะต้องแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ แล้วหัวใจอันบอบบาง รู้สึกรู้สากับทุกเรื่อง ทุกความอ่อนไหว ซักวันหนึ่งหัวใจดวงนั้นจะเยือกเย็นขึ้นและพร้อมรับทุกสถานการณ์ดั่งเช่นที่เธอเป็น

อีกด้านหนึ่งของห้องติดกันนั้น พลอยอำพันพาตัวเองกลับมานั่งมองห้องสีขาวซึ่งเหมือนกันกับห้องเมื่อกี้นี้ รายละเอียดต่างๆ ไม่ต่างกันนัก หากสิ่งที่ต่างออกไปคือขนาดของห้องและขนาดเตียงของหญิงสาวมีความเล็กลงมาหน่อย และผ้าปูที่นอนเป็นสีฟ้าอ่อน ซึ่งก็คงไม่แปลกอะไรมากมายสำหรับความแตกต่างนี้ เพราะเธอเข้ามาอยู่อาศัยที่นี่ในฐานะผู้อาศัย ไม่เหมือนกับบุษราคัมซึ่งเป็นลูกสาวคนเดียวของดุลย์เดชา ทายาทคนที่สองของศิลาภักดี ดังนั้นหากจะมีความเหลื่อมล้ำทางฐานะ หรือถูกใครมองข้ามไปด้วยสายตาเย็นชา เธอก็ไม่แปลกใจเลย ไม่ต้องคิดอื่นไกล แค่สายตาที่ตวัดมองมาอย่างเคลือบแคลงของคุณพิมมาลาเมื่อบ่ายที่ผ่านมานี้ ก็ทำให้พลอยอำพันรู้สึกแย่ได้แล้ว

แต่ไม่เป็นไรหรอก ฉันต้องทนให้ได้...

หญิงสาวบอกตัวเองในใจ ก่อนจะลงมือจัดข้าวของออกจากกระเป๋าของตนเองบ้าง ซึ่งก็ไม่มีอะไรมากมายอยู่แล้ว เสื้อผ้าใส่เล่นเพียงไม่กี่ชุดและชุดนักศึกษาสามชุด หนังสือเล่มโปรดสองสามเล่ม ที่เหลือก็เป็นตำราการเรียนทั้งนั้น กรอบรูปหนึ่งอันถูกนำวางลงบนโต๊ะข้างหัวเตียง กรอบรูปที่มีเด็กสาววัยรุ่นสองคนโพสท่าเก๋ไก๋ กอดคอกันส่งยิ้มแสนหวานให้กล้อง โดยมีอีกหนึ่งเด็กสาวที่อายุน้อยกว่าซักสี่ถึงห้าปี พยายามที่จะเขย่งตัวให้สูงเท่าเทียมกับอีกสองคน แล้วยิ้มหวานให้กล้องบ้าง หากแต่ผมม้าแหว่งๆ และรอยยิ้มที่พยายามฉีกอย่างเต็มที่ กลับทำให้เธอดูเด๋อด๋ามากกว่าจะน่ารักอย่างที่ควรเป็น

พลอยอำพันยิ้มกับภาพนั้น แววตาหม่นแสงลง ไล้ปลายนิ้วไปตามกระจกใสอย่างช้าๆ ราวกับต้องการจะสัมผัสให้ถึงเนื้อในของรูปถ่าย สัมผัสให้ถึงเนื้อในของคนในภาพที่แบนราบหากไม่ไร้มิติ เด็กสาววัยรุ่นหน้าตาสดใสสองคน ความสูงไล่เลี่ยกัน ความงามก็ไม่แตกต่างกันนัก นั่นคือบุษราคัมและเพชรแพรวา คนหนึ่งออกเปรี้ยวเฉี่ยวนิดๆ มั่นใจในตนเอง ส่วนอีกคนดูหวานละมุนละไมมากกว่าหน่อย แต่เสน่ห์ที่เปล่งประกายออกมาดูจะไม่มีใครยอมน้อยหน้าใคร

เพชรแพรวา หรือพี่เพชรของเธอ คือผู้หญิงที่สวยงามที่สุดในความคิดของเด็กสาวในขณะนั้น เพชรแพวามีมั่นใจในตัวเองสูง จิตใจเข้มแข็ง แต่เธอซุกซ่อนมันไว้ภายใต้ความนิ่งเฉยและความอ่อนหวาน เพื่อไม่ให้คนรอบข้างหมั่นไส้และไม่เป็นมิตร ซึ่งมันได้ผลดีเสียด้วย ความหวานละลายได้ทุกอย่างแม้กระทั่งความร้อนแรง ความนิ่งก็คืออำนาจอย่างหนึ่งเช่นกัน

ส่วนบุษราคัม เพื่อนของเพชรแพรวา คือผู้หญิงที่น่ารัก สดใส มีชีวิตชีวาที่สุดคนหนึ่ง หยิ่งยโส ไม่ยอมแพ้ ไม่ยอมก้มหัวให้ใคร ถ้าความหวานของเพชรแพรวาละลายทุกอย่างได้ ความร้อนและแรงของบุษราคัมก็ไม่เป็นสองรองใคร และมักทำให้คนยอมสยบอยู่แทบเท้าเสมอ

การจับคู่และกลายมาเป็นเพื่อนซี้กันของทั้งสองคน ดูเหมือนว่าจะเป็นความขัดแย้งที่ลงตัวอย่างยิ่ง จำได้ว่าคุณครูท่านหนึ่งซึ่งพวกเธอเคารพรักอย่างยิ่ง มักชอบพูดล้อเล่นกับพวกเธอเสมอว่าเพชรแพรวาและบุษราคัม น่าจะเป็นพี่น้องกันมากกว่าพลอยอำพันเสียอีก

ผิดฝาผิดตัวแท้ๆ เจ้าพลอยของครูสงสัยจะมาเกิดผิดท้อง เจ้าบุษนี่สิ น่าจะมาเกิดท้องเดียวกับเจ้าเพชร มันคล้ายกันจริงๆ...

พลอยอำพันหรือเด็กสาวในขณะนั้นได้แต่ยิ้มรับ ออกจะเห็นด้วยเสียด้วยซ้ำไป ไม่เคยคิดมีอคติอันใดต่อบุษราคัมเลย เพราะว่าแม้หญิงสาวผู้นั้นจะร้ายและแรงกับใครที่ไหนก็ตาม แต่เพชรแพรวาคือเพื่อนรักคนหนึ่งที่สำคัญที่สุด และพลอยอำพันก็เลยกลายมาเป็นน้องรักอีกคนที่หญิงสาวคอยปกป้องดูแล และช่วยเหลือเจือจานเมื่อยามขาดแคลนหรือถูกเด็กนักเรียนคนอื่นๆ รุมรังแก

นิ้วเรียวไล้มาถึงเด็กสาวดวงตาคมซึ้ง ใบหน้าอ่อนหวานละมุนละไม และดูเหมือนว่าความอ่อนไหวที่แอบซุกซ่อนอยู่ภายในจะถาโถมเข้ามาใส่พลอยอำพันจนนัยน์ตาแสบร้อน

พี่เพชรคนเดิมไม่มีอีกแล้ว...

นิ้วยังคงลากต่อไปเรื่อยๆ จนถึงใบหน้าของหญิงสาวอีกคน

พี่บุษ....พลอยขอโทษนะคะ อย่าโกรธพี่เพชรของพลอยนะคะที่ทำแบบนี้ ให้อภัยพี่เพชรด้วยเถอะ

แม้รำพึงรำพันไปก็ไร้ประโยชน์ วันเวลาและความทรงจำเก่าๆ โบยบินผ่านไป มันไม่มีวันจะย้อนกลับมาเหมือนเดิมได้อีกแล้ว คนที่จากไปก็คือคนที่จากไป แต่คนที่ยังอยู่ต่างหาก คือคนที่จะต้องก้าวเดินไปข้างหน้า อยู่ที่ว่าเราจะเลือกเดินไปทางไหน ทางราบเรียบปูพรมแดงแล้วโรยด้วยกลีบกุหลาบ มองเห็นแสงสว่างรำไรอยู่เบื้องหน้า หรือเส้นทางที่มองไม่เห็น ต้องถากต้องถางจนเหนื่อยอ่อนกว่าจะพบเจอ

เมื่อเลือกแล้วก็จะต้องทำให้ดีที่สุด ไม่มีการถอยหลังกลับอีกแล้ว



ศิลาภักดี...นอกจากจะเป็นนามสกุลยิ่งใหญ่ไม่น้อยหน้าใครแล้ว ยังเป็นชื่อของตัวตึกสีขาวทรงยุโรปที่ใหญ่ที่สุดในซอยและย่านนี้ รั้วสีขาวสูงลิบลิ่ว เมื่อเลี้ยวรถเข้ามาจากประตูด้านหน้า ถนนราบเรียบทอดยาวไปหน้าตึก สิ่งที่ตระหง่านอยู่ด้านหน้าคือน้ำพุขนาดใหญ่ สายน้ำกระจายแตกออกเป็นพุ่มแล้วโค้งตกลงสู่พื้นด้านล่างงดงามตระการตาราวกับเนรมิต ตัวตึกกว้างขวางแบ่งออกเป็นหลายส่วน ปีกขวาคือที่พักอาศัยของเดชเดชา ผู้กุมบังเหียฐของทุกสิ่งทุกอย่างในตระกูลศิลาภักดีและลูกหลาน อันประกอบด้วย ศิตราภา ศิลาภักดี ลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนสุดรักสุดดวงใจ และพิมมาลา น้องสาวของศิรียา ภรรยาที่เสียชีวิตไปตั้งแต่ศิตราภาอายุได้ไม่เต็มสิบขวบดี ส่วนปีกซ้ายสำหรับต้อนรับแขกเหรื่อผู้มาเยือน ซึ่งตอนนี้ถูกจับจองไว้เรียบร้อยแล้ว โดยบุษราคัม ลูกสาวคนเดียวของดุลย์เดชา น้องชายคนรองของเดชเดชา น้องชายที่ออกจากบ้านไปตั้งแต่ยังเป็นหนุ่ม เพราะว่าเขาพบรักและแต่งงานกับผู้หญิงธรรมดาๆ คนหนึ่ง โดยไม่ได้รับความเห็นชอบจากผู้ใหญ่ เขาจึงออกไปใช้ชีวิตของตัวเอง โดยไม่ยุ่งเกี่ยวกับศิลาภักดีอีก จนเมื่อเขาเสียชีวิตไป ภรรยาก็ไม่ยอมให้ใครมายุ่งวุ่นวายกับลูกสาวของพวกเขา จนเมื่อล่าสุด เธอเองก็สิ้นไป ตอนนี้ตระกูลศิลาภักดีจึงจำใจต้องรับบุษราคัม ทายาทเพียงคนเดียวของเขากลับเข้ามาในครอบครัวอีกครั้ง และเธอมาพร้อมกับพลอยอำพันน้องสาวของเพชรแพรวา เพื่อนรักของเธอ เพชรแพวาที่เสียชีวิตไปแล้วเช่นกันในอุบัติเหตุร้ายแรงเมื่อ 3 ปีก่อน

คนที่เพิ่งก้าวลงจากรถสปอร์ตคันหรูยังไม่ทันได้ปิดประตูสนิทด้วยซ้ำไป เหญิงสาววัยกลางคนซึ่งเดินออกมาจากด้านในของตึก ก็ถาโถมเข้ามาถึงตัวในทันทีทันใด ราวกับรอช่วงจังหวะการกลับมาของหญิงสาวอย่างใจจดใจจ่ออยู่แล้ว จนศิตราภาต้องทักด้วยรอยยิ้มแกมเย้าหลังจากหอมแก้มอิ่มของคนสูงวัยกว่าไปหนึ่งฟอดใหญ่

"อะไรกันคะนี่น้าพิม มาดักรอภาแต่หัววันเลย มารับของฝากหรือคะ เสียใจด้วยค่ะ วันนี้ร้านก๋วยเตี๋ยวเนื้อเปื่อยเจ้าประจำที่น้าพิมชอบปิดค่ะ ดูสิ หน้ามุ่ยเชียว สงสัยจะหิวแย่เลย ภาไม่ได้ผิดสัญญานะคะ แต่ร้านมันปิดจริงๆ"

คนที่ถูกเรียกขานว่า น้าพิม ทำท่าอยากจะบิดคนในอ้อมกอดเต็มแก่ "ทะเล้นจริง ยัยภา ที่น้าหน้ายุ่ง นี่ไม่ใช่เพราะหิวหรอกนะ แต่มีเรื่องอยากจะเล่าให้ฟังต่างหาก"

"หืม...อะไรคะ" ศิตราภาเอ่ยถาม เมื่อจูงมือน้าสาวที่รักและเคารพเปรียบเสมือนแม่คนหนึ่งมานั่งลงบนโซฟาตัวยาวในห้องรับแขก

"เอ่อ...คุณ เอ่อ..." การเอ่ยชื่อคนไม่คุ้นเคยดูจะยากลำบากกว่าปกติ

"คุณ...เอ่อ..คุณ...อะไรคะน้า" ศิตราภาแกล้งล้อเลียนด้วยรอยยิ้มกริ่ม

"เอ่อ...ยัยบุษราคัมมาถึงแล้วนะ" คำบอกนั้นทำให้คนฟังชะงักไป ก่อนจะยิ้มอย่างยินดีปรีดา

"จริงหรือคะ ก็ดีสิคะ อยู่ไหนเอ่ย อยากเจอจะแย่อยู่แล้ว"

"เดี๋ยวค่ะ...เดี๋ยว" คนเล่ารีบห้ามทันทีทันใด เมื่อเห็นว่าคนฟังตั้งท่าจะลุกไปทันที "ไม่ใช่แค่มาเฉยๆ เห็นขนข้าวขนของมามากมาย ทำท่าว่าจะมาอยู่ที่นี่เลย"

"ก็ดีสิคะ เจอกันครั้งนั้นตั้งแต่คุณอาดุลย์เสียใหม่ๆ ภาก็เคยชวนเธอมาอยู่เหมือนกัน แต่ดูท่าเหมือนจะไม่อยากมาเท่าไหร่ และตอนนั้น เราต่างก็เด็กกันเหลือเกิน "

"ไม่ได้มาคนเดียวด้วยนะ แต่พาเด็กสาวอีกคนหนึ่งมาด้วย เห็นบอกว่าเป็นน้องสาวของเพื่อน และคุณดุลย์พ่อของเธอก็รักเหมือนลูกสาวคนหนึ่ง "

คำบอกเล่านั้นไม่ทำให้ศิตราภาแปลกใจเท่าใดนัก แม้จะไม่เคยได้รู้เรื่องราวมาก่อน สำหรับเธอแล้ว ก็ไม่เห็นจะน่าแปลกใจตรงไหน หากจะไม่รู้เรื่องราวเหล่านี้ เพราะว่าตั้งแต่เกิดเรื่องราวมากมายแต่หนหลัง ครั้งที่พ่อและอาของเธอยังเป็นหนุ่มแน่น อาดุลย์ที่เธอรู้จักเพียงแต่นามก็เดินหายออกไปจากศิลาภักดีนานแสนนาน ตั้งแต่เธอยังไม่มีตัวตนอยู่บนโลกนี้ด้วยซ้ำไป จนหญิงสาวอายุได้สิบขวบกว่านั่นแหล่ะ จึงได้มีโอกาสพบหน้าค่าตาของอาดุลย์ ที่ได้ยินชื่อเสียงเรียงนามเป็นครั้งคราว

“เซอร์ไพรส์มากค่ะน้าพิม" ดูท่าทางพิมมาลาเหมือนต้องการจะเอ่ยอะไรอีกมากมาย แต่ศิตราภากลับตัดบทยิ้มๆ อย่างคนที่ไม่เคยทุกข์ร้อนกับสิ่งใดๆ

“ยัยภา ..น้าว่า...”

"เอาไว้คุยกันทีหลังดีกว่าค่ะ เรื่องเด็กสาวคนนั้น เอาแค่เรื่องบุษราคัมก่อน เดี๋ยวภาจะต้องรีบโทรไปบอกพี่วัตน์ก่อนแล้วว่า ว่าน้องสาวอีกคนมาปรากฏกายที่บ้านเราแล้ว ไม่อยากคิดเลยว่าพี่วัตน์จะทำหน้ายังไง"

ว่าแล้วก็ไม่รอช้า หยิบโทรศัทพ์ขึ้นมาโทรหาพี่ชายนอกคอ กตามคำเรียกของบิดาทันทีทันใด รอสายอยู่นานทีเดียว ขณะที่คุณพิมมาลาก็ตามติดลงมานั่งที่โซฟาเดียวกัน ศีรษะของสองสาวต่างวัยเทียบจะเกยกันเลยทีเดียว เมื่อมีเสียงนุ่มทุ้มมาตามสาย

"ว่าไง...ยัยตัวยุ่ง"

"โหย..ย..กว่าจะรับสายได้" น้องสาวตัดพ้อ

"ว่างมากหรือไงเรา...แต่พี่ไม่ว่างเลยช่วงนี้"

“ว่างหน่อยเถอะค่ะ มีอะไรจะบอก" เสียงระรื่นเกินเหตุของคนฝั่งนี้ คงทำให้ปลายสายแปลกใจไม่น้อย

"หืม..."

"บุษราคัม ลูกสาวอาดุลย์กลับมาแล้วค่ะพี่วัตน์"

"..." ปลายสายมีแต่ความเงียบงัน

ก่อนเสียงหัวเราะในลำคอเบาๆ จะล่องลอยมาตามสาย "ล้อเล่นล่ะสิ"

“ไม่ล้อเล่นเลยค่ะ เรื่องจริง...เดาว่าอีกไม่นาน ต้องมีงานเลี้ยงฉลองต้อนรับเธอแน่ๆ พี่วัตน์กลับมาที่บ้านหน่อยนะคะ ...อีกอย่าง” ทอดเสียงออดอ้อน “น้องสาวคนนี้ คิดถึงพี่ชายจะแน่แล้ว...ไม่เห็นแก่ใครอื่น ก็เห็นแก่ภานะคะ”




Create Date :22 พฤษภาคม 2556 Last Update :22 พฤษภาคม 2556 2:10:02 น. Counter : 3987 Pageviews. Comments :3