ยี่ร้อยพลอยโกสินทร์ _ บทที่ ๓ (๒) บ้านนา


บทที่ ๓ บ้านนา

(พ.ศ.๒๕๒๗ – ๒๕๒๘)

ส่วนที่สอง

     พูดจบหญิงก็รีบเดินเข้าครัวเธอจุดเตาถ่านเพื่อหุงข้าว อุ่นแกง และทอดไข่เจียวด้วยความรวดเร็วแล้วจึงยกข้าวปลาอาหารทั้งหมดขึ้นมาทานบนเรือนกับหมาย ซึ่งเป็นมื้อนี้หมายทั้งรู้สึกอร่อยและมีความสุขเป็นอย่างมากและวันถัดมาทั้งคู่ก็ช่วยกันทำงานบ้าน เลี้ยงลูกน้อย และยังหยอกเอินกันอย่างชื่นมื่นกระทั่งถึงวันปลายสัปดาห์หญิงได้ขอให้หมายพาเธอและลูกๆ ไปเที่ยวงานวัดในอำเภอเมืองเเหมือนที่เขาเคยพาเธอไปสมัยก่อนแต่งงาน ซึ่งที่จริงแล้วเป็นอุบายที่เธอวางไว้จัดการเขานั่นเองและเมื่อถึงเย็นวันนั้นหญิงและหมายก็แต่งตัวเพื่อเตรียมกันไปงานวัด

     “วันนี้แม่แต่งตัวงามมาก ยังกะสาวชาววัง” หมายพูดและมองด้วยสายตาชื่นชมในความงามของเมียที่สวมใส่ชุดไทยแขนพองสีขาวกับโจงกระเบนสีทอง

     “แหมะ นาน ๆ ครอบครัวเราจะได้ไปเที่ยวงานวัดกันพร้อมหน้าพร้อมตาชั้นก็แค่แต่งตัวให้เข้ากับบรรยากาศ”เธอพูดพลางหยิบสายสอยที่เข้ากับชุดไทยนี้มาสวม

     “จริงแล้ว พ่อก็ไม่เคยเห็นหรอกว่าชาววังเค้าแต่งตัวกันยังไงรู้แต่ว่าแม่สวย” หมายยังพูดยอกย้อนเธอ

     “พ่ออย่ามัวแต่มายอแม่เลย นี่ก็พลบค่ำแล้ว เดี๋ยวก็ตกรถไปไม่ทันได้ดูช่วงเค้าเปิดเพลงลูกทุ่งหรอก” หญิงเร่งเขาให้รีบออกจากบ้าน เพราะเกรงจะเดินทางลำบากหากพระอาทิตย์ตกดิน

     “ครับผม วันนี้ดูสารรูปพ่อสิ ยังกะเป็นคนรับใช้คุณผู้หญิงเลยขอรับ” หมายพูดเสียงอ่อย ๆ ขณะส่องกระจกตรวจดูความเรียบร้อยของการแต่งตัวและผ้าขาวม้าที่เอามาผูกเพื่อเหน็บลูกยี่อุ้มไว้กับตัวอีกมือกุมมือน้อยของอ้ายไว้ แล้วพาเด็กน้อยก็เดินตามอย่างช้า ๆ ลงมาที่ใต้ถุนบ้าน ทำให้หญิงหงุดหงิดในความชักช้าจนต้องคว้าตัวลูกชายมาอุ้มไว้เอง

     หลังออกจากบ้านไม่ถึงชั่วโมงทั้งสี่ก็มาถึงหน้างานวัดหญิงเดินนำฝ่าวงผู้คนกำลังปูเสื่อนั่งฟังเพลง และเดินไปเรื่อยถึงด้านหน้าเวทีที่นักร้องสาวคนหนึ่งกำลังร้องเพลงนัดพบหน้าอำเภอของราชินีลูกทุ่งชื่อดังโดยมีหางเครื่องเต้นประกอบเพลงอย่างสนุกสนานและวงดนตรีที่เปิดเครื่องขยายเสียงดังกึกก้องทำให้หมายเพลิดเพลินและคล้อยตามเหมือนเข้าไปอยู่ในบทเพลงเพราะนึกถึงวันที่เขาพบกับหญิงครั้งแรกที่หน้าอำเภอ แต่จู่ ๆ เด็กน้อยที่อยู่ในอ้อมอกของพ่อก็ร้องไห้โฮออกมา

     “โอ๊ย ลูกร้องใหญ่แล้ว มัวแต่ร้องเต้นอยู่นั่นแหละ”หญิงโวยวายดุหมาย

     “ขอโทษจ๊ะ พ่อมัวแต่เพลินคิดถึงวันแรกที่เจอกับแม่ที่หน้าอำเภอ” หมายหน้าจ๋อย

     “ไปเดินเล่นที่อื่นกันเถอะ สงสัยแถวนี้เสียงจะดังเกินไป” หญิงลดเสียงพูดลงและไม่สบตาเขาเพราะเธอเริ่มรู้สึกผิดที่แทบจำเหตุการณ์และความรู้สึกตัวเองในวันนั้นไม่ได้แล้ว

ทั้งคู่รีบเดินออกจากบริเวณเวทีเพลงและช่วยกันปลอบลูกสาวให้หยุดร้องไห้ก่อนจะพากันเดินต่อไปตามแผงขายของของกินของใช้และดูคนในงานวัดเล่นม้าหมุน ปาเป้าและตกไข่ปลาเพื่อชิงรางวัลตามซุมต่าง ๆ แต่ทั้งหมายและหญิงก็ไม่ได้เข้าไปเล่นสนุนกันอย่างสมัยรุ่นๆ ที่มาเที่ยวกันเมื่อหลายปีก่อน เพราะวันนี้พาลูกน้อยมาด้วยถึงสองคน กระทั่งหญิงมองไปเห็นชิงช้าสวรรค์ทำให้เธอนึกอยากชวนเขาขึ้นไปนั่งเพื่อระลึกถึงความหลังและให้ครอบครัวได้อยู่ใกล้ชิดพร้อมหน้ากันเป็นครั้งสุดท้ายก่อนเธอจะพาลูกจากเขาไปในคืนนี้

   “พี่หมาย เราไปนั่งชิงช้าสวรรค์กันไหมจ้ะ” หญิงเอ่ยชวน

   “ได้สิ พ่อก็ไม่ได้ขึ้นมานานแล้ว” หมายรับคำแต่ชักรู้สึกสงสัย เพราะปกติหญิงกลัวความสูงจึงไม่ชอบขึ้นเครื่องเล่นชนิดนี้เขาจึงถามต่อ “แล้ววันนี้แม่นึกอย่างไงอยากเล่น คราวก่อนพ่อรบเร้าตั้งนานกว่าจะยอมขึ้น”

   “ฉันเริ่มชินแล้วไงจ๊ะ อยู่พระนครก็มีขึ้นอีก ข้างบนวิวสวยดี” เธอรีบตอบเขาเพื่อแก้เกี้ยว ก่อนจะจับมือหมายและพามุ่งตรงไปต่อที่แถวขึ้นชิงช้าสวรรค์

   หญิงควักเงินยี่สิบบาทจ่ายให้พนักงานที่คุ้มเครื่องเล่นอยู่เป็นค่าขึ้นชิงช้าของผู้ใหญ่สองคนส่วนเด็กเล็กนั้นอนุโลมให้ขึ้นโดยไม่เก็บสตางค์ หลังจากยืนรอสักพักก็มีกระเช้าที่ว่างหมุนลงมาด้านล่างพนักงานจึงเปิดประตูกระเช้าให้เข้าไปนั่ง ซึ่งหญิงกับหมายต้องรีบกระเตงลูกก้าวขึ้นกระเช้าอย่างรวดเร็วและปิดประตูลงกลอนก่อนที่ชิงช้าจะหมุนขึ้นไปเมื่อชิงช้าค่อยหมุนวงขึ้นลง ทำให้มีลมเย็นหอบความชุ่มชื่นของอากาศและกลิ่นหอมของต้นไม้ใบหญ้าผ่านเข้ามาระหว่างนั่งบนกระเช้าลอยฟ้านั้นซึ่งมันเย็นสบายจนทำให้เด็กน้อยทั้งสองเคลิ้มหลับไป

  “ข้างบนนี้สวยจัง มองไปเห็นแม่น้ำยามค่ำคืนด้วย” หมายพยายามชวนหญิงคุยเพราะตั้งแต่ขึ้นกระเช้ามาเธอได้แต่นั่งนิ่งและดูใจลอยกระทั่งชิงช้าสวรรค์หมุนวนไปเกือบสองรอบ

  “จ้ะ” หญิงรับคำอย่างใจลอย

  “วันนี้พ่อมีความสุขมากจริง ๆ ที่ครอบครัวเราได้อยู่พร้อมหน้าพ่อแม่ลูก ตอนนี้แม่ก็คงทำงานเก็บเงินได้พอสมควรแล้วเรากลับมาอยู่ด้วยกันเหมือนเดิมเถอะน้า แม่ดูสิไม่มีที่ไหนจะดีเท่าบ้านเราหรอก” หมายพูดกับเธอด้วยความหวังเมียรักจะเบื่อเมืองกรุงและใจอ่อนยอมกลับมาอยู่บ้านนา

  “จ้ะ อีกไม่นาน พ่อจะไม่ต้องมารอฉันอีกแล้ว” หญิงพูดแล้วพลางคิดถึงแผนการเตรียมไว้

   “แม่เป็นอะไรรึเปล่า พูดจาแปลกๆ หน้าก็ดูซีด ๆ เหมือนไม่สบาย” หมายถามด้วยความเป็นห่วงและเอาหลังมือแตะหน้าผากเธอเพื่อดูว่ามีไข้หรือไม่ “ตัวก็ไม่ร้อนนี่จ้ะ”เขาพูดต่อด้วยความแปลกใจ

  “สงสัยหน้าชั้นจะซีดเพราะอากาศชื้นหนะจ้ะ ดูท่าฝนใกล้จะตกแล้วเดี๋ยวเราลงจากกระเช้ากันดีกว่า” หญิงบอกหมายให้ออกจากกระเช้าหลังจากนั่งนึกถึงความหลังอยู่หลายนาทีเพราะคิดว่าไม่มีประโยชน์ที่จะห่วงหน้าพะวงหลังอีกต่อไป เนื่องจากเธอได้ตัดสินใจเลือกคุณเกียรติเป็นคู่ชีวิตคนใหม่แล้ว

   ขณะนี้ล่วงเข้าไปเกือบสามทุ่มแล้วในที่สุดก็ถึงเวลาที่หญิงต้องตัดใจทำตามแผน เธอจึงบอกให้หมายพาลูก ๆ ไปนั่งรอที่ศาลาริมน้ำด้านหลังวัดก่อนแล้วเธอจะแวะซื้อของในงานถือตามไปให้กินกัน จะได้ไม่ต้องเมื่อยยืนอุ้มลูกรอต่อแถวซื้อของและเสี่ยงกับฝนที่กำลังจะตกด้วยเขาจึงรับคำและทำตามที่เธอต้องการ

           “มาแล้วจ้ะลูกชิ้นปลากรายทอดเจ้าอร่อย” หญิงเดินถือถุงลูกชิ้นมาหมายที่ศาลาไม้ริมน้ำพูดจบเธอก็นั่งลงข้างตัวเขาและอุ้มอ้ายมานั่งไว้บนตัก

           “โฮ้! ลูกเบ้อเร่อ น่ากินจังเลย” หมายหยิบลูกชิ้นกินด้วยความเอร็ดอร่อย ในขณะที่เธอหยิบแก้วน้ำแดงให้อ้ายดื่มทำให้เด็กน้อยผลอยหลับไปทันที โดยที่หมายไม่ทันสังเกต

   “เผ็ดไหมจ้ะ พ่อทานน้ำหน่อยนะ” หญิงคะยั้นคะยอให้เขาดื่มน้ำเขียวอีกแก้วที่เธอซื้อมา

  “แม่ทานด้วยกันสิจ้ะ” หมายชวนหญิงกินลูกชิ้น หลังจากเขาดูดน้ำหวานไปหลายอึกเพราะความเผ็ดของน้ำจิ้มที่ราดมากับลูกชิ้น

  “ไม่หละ” หญิงพูดจบ จึงอุ้มอ้ายออกจากตักวางบนแคร่ไม้ในศาลานั้นเมื่อเห็นว่าหมายอ่อนแรงแล้ว เธอจึงเอื้อมมือไปที่ผ้าขาวม้าบนตัวเขาที่ผูกลูกสาวติดไว้แต่หมายนั้นพยายามถ่อยตัวออกห่างเธอ

          “นี่แม่วางยาพ่อ ทำไม...”หมายยื้อยี่มาไว้กับตัวอย่างสุดกำลังพอที่จะครองสติได้เมื่อรู้ตัวว่าโดนเมียรักวางยาสลบและกำลังจะพรากลูกไปจากเขา

   “ชั้นจำเป็นต้องทำเพื่ออนาคตของลูก” หญิงพูดด้วยน้ำเสียงเรียบ สีหน้านิ่ง เพราะรู้ว่าเขากำลังจะหมดแรงแล้วจึงชะล่าใจไม่ทันแยกลูกสาวออกจากผ้าที่เขาผูกติดไว้กับอกพ่อ ก่อนย้ำทิ้งท้ายกับเขาว่า“พี่อย่าโทษชั้นเลยนะ”

  “แม่อย่าไป” หมายพูดประโยชน์สุดท้ายกับเธอก่อนขาดสติและก้าวเซไปที่บันไดศาลาพอสิ้นเสียงพูดไม่ทันขาดคำหมายก็พลัดตกแม่น้ำใหญ่ ด้วยเพราะฝนที่กำลังตกนั้นมาทำให้พื้นลื่นมากแล้วสายน้ำก็พลัดพ่อกับลูกสาวหายไปในพริบตา

  “ยี่” หญิงตะโกนอย่างสุดเสียงด้วยความตกใจและสลบลงทันที

   ตลอดค่ำคืนที่ฝนตกหนักหญิงกับอ้ายสลบอยู่ที่ศาลานั้นกระทั่งรุ่งสางเมื่อเธอตื่นขึ้นจึงรีบกระโดดลงไปในแม่น้ำดำพยายามผุดดำว่ายแถวริมฝั่งอยู่พักใหญ่ แต่ก็ไม่พบร่างของลูกสาวและหมายจึงกลับขึ้นมาที่ศาลานั่งข้างตัวลูกชายและเหม่อลอยคิดถึงเหตุการณ์เมื่อคืน ภาพลูกสาวที่ผูกติดกับอกพ่อลอยหายไปกับสายน้ำเชี่ยวกรากทำให้เธอเสียใจมากแต่ก็พยายามบอกตัวเองว่าทั้งหมดเป็นอุบัติเหตุเธอไม่ได้ตั้งใจให้เขาและลูกต้องมาตายแบบนี้ อย่างไรก็ตามเธอยังคงนั่งอยู่ที่เดิมย้ำคิดเรื่องเดิมวนไปวนมานับร้อยครั้งกระทั่งเวลาล่วงเข้าเที่ยงวันจนอ้ายร้องขึ้นเสียงดังเสียงลูกชายที่ร้องหาแม่นั้นทำให้เธอได้สติกลับมา จึงอุ้มลูกชายกลับไปที่บ้านไม้ริมนาและเฝ้ารอยู่หลายวันแต่ก็ไม่มีวี่แววอะไรเลยจนในที่สุดเธอก็เริ่มคิดได้ว่าไม่มีประโยชน์ที่จมอยู่กับความเศร้า จึงตัดสินใจพาลูกอ้ายจากบ้านนาไปหาคุณเกียรติที่เมืองกรุงเพื่อเดินหน้าสู่ชีวิตอย่างที่เคยใฝ่ฝันไว้โดยเธอมีเพียงรูปถ่ายครอบครัวใบเดียวนั้นเก็บใส่กระเป๋าสตางค์มาไว้ระลึกถึงคนสำคัญในชีวิตสองคนที่จากไปแล้ว

   เมื่อกลับถึงกรุงเทพฯคุณเกียรติได้พาหญิงไปกราบน้าจวงและไหว้ลาเฮียฮงกับเจ้เนียมที่บ้านโดยไม่ได้จัดพิธีแต่งงานใดๆ ตามที่หญิงขอร้อง เพราะเธอบอกคุณเกียรติและน้าจวงให้ทราบว่าลูกสาวของเธอเพิ่งเสียชีวิตเพราะพลัดตกน้ำจึงไม่อยากจัดงานมงคลใดๆ อีกทั้งยังบอกให้ทุกคนเรียกเธอว่าคุณโสรวมถึงให้ชื่อเล่นใหม่กับลูกชายว่าเอกแทนอ้ายเพื่อเป็นการช่วยเธอให้ลืมเรื่องเก่า ๆ และเหตุการณ์เลวร้ายที่บ้านเกิดด้วย พอหลังจากที่ทั้งสองแต่งงานกันได้ไม่นานคุณเกียรติก็พาเธอและลูกชายทั้งคู่ย้ายจากกรุงเทพฯไปยังจังหวัดสมุทรปราการเนื่องจากเขาเริ่มขยายกิจการจากเดิมทำเพียงขายเครื่องจักรผลิตอาหารไปสู่ธุรกิจใหม่คือการผลิตอาหารในระดับโรงงานเนื่องจากในที่ดินแถบพระนครนี้มีราคาสูงมากทำให้ไม่คุ้มที่จะลงทุน เขาจึงจำเป็นต้องพาครอบครัวไปตั้งรกรากยังที่แห่งใหม่


 

https://web.facebook.com/199Foods/





Create Date : 08 ธันวาคม 2560
Last Update : 23 ธันวาคม 2560 10:35:38 น.
Counter : 504 Pageviews.

0 comments
แพ้เนื้อจากการโดนเห็บกัด alpha-gal allergy สวยสุดซอย
(17 เม.ย. 2567 14:07:10 น.)
봄 처녀(Virgin spring) by 홍난파(NanPa Hong) ปรศุราม
(17 เม.ย. 2567 10:09:12 น.)
เวลาที่หายไป - บทที่ 27 ดอยสะเก็ด
(16 เม.ย. 2567 20:17:49 น.)
เรื่อง รัก ลึก อุ่น (Omega Verse) - บทที่ 43 วัลยา
(16 เม.ย. 2567 16:34:37 น.)
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Yoktawangel.BlogGang.com

จอมใจจอมมโน
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]

บทความทั้งหมด