สมรภูมิ "เดมแยงส์" ของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ตอนที่ 4 สมรภูมิ "เดมแยงส์" (Battle of Demyansk) ตอนที่ 4 จากหนังสือเรื่อง "สมรภูมิของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์" โดย พันเอกศนิโรจน์ ธรรมยศ Master of International Relations (with merit) Victoria University of Wellington, New Zealand สงวนลิขสิทธ์ตาม พรบ.สิ่งพิมพ์ พ.ศ.2537 ห้ามทำซ้ำเพื่อการพาณิชย์ ให้เผยแพร่เพื่อการศึกษาและค้นคว้าแก่ผู้สนใจเท่านั้น
เครื่องบินลำเลียงแบบ เจยู 52 ของกองทัพอากาศเยอรมันกำลังลำเลียงยุทธปัจจัยให้กับกำลังทหารในวงล้อม "เดมแยงส์"
ในช่วงที่การขนส่งทางอากาศของเยอรมันดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพนั้น กองทัพรัสเซียสังเกตุเห็นว่ากองบัญชาการกองบินที่ 1 ของเยอรมัน ได้ย้ายมาอยู่ที่เมืองเปสกี้ และทำหน้าที่ในการอำนวยการยุทธอย่างได้ผล จึงรวมกำลังเข้าโจมตีที่มั่นของกองบินที่ 1 อย่างรุนแรงในช่วงค่ำของวันที่ 19 มีนาคม ค.ศ.1942 โดยจัดกำลังจากกองพลน้อยส่งทางอากาศ (พลร่ม) ที่ 1 และ 204 (1st and 204th Airborne Brigade) เข้าตีสนามบินทั้งสองแห่งที่เมือง "เดมแยงส์" และเมือง "เปสกี้" การรบเริ่มขึ้นเมื่อทหารรัสเซียอาศัยความมืดคืบคลานผ่านแนวป่าทึบ จนถึงแนวหน้าของทหารเยอรมัน แต่ทหารราบเยอรมันสืบทราบความเคลื่อนไหวของทหารรัสเซียมาก่อนหน้านี้ระยะหนึ่งแล้ว จึงได้เตรียมการรับมืออย่างเต็มที่ พวกเขาต่อสู้อย่างเหนียวแน่นเพราะต่างทราบดีว่าหากเมือง "เปสกี้" และสนามบินของเมืองตกอยู่ในเงื้อมมือของฝ่ายรัสเซียแล้ว ก็จะส่งผลกระทบถึงการขนส่งยุทธปัจจัย และนำมาซึ่งความพ่ายแพ้ของเยอรมันในวงล้อม "เดมแยงส์" อย่างแน่นอน การต่อต้านของเยอรมันทำให้การเข้าตีครั้งใหญ่ของรัสเซียล้มเหลวเนื่องจากทหารพลร่มของรัสเซียมีแต่อาวุธประจำกาย ไม่มีอาวุธหนักสนับสนุน ทำให้ประสบกับความสูญเสียจำนวนมาก
ปืนใหญ่ต่อสู้รถถังขนาด 37 มิลลิเมตรแบบแพ็ค 36 ของเยอรมันตั้งมั่นรอการโจมตีของทหารรัสเซีย จะสังเกตุเห็นภูมิประเทศซึ่งเป็นที่โล่งแจ้งปราศจากสิ่งกำบังสำหรับฝ่ายรุกและฝ่ายรับ
โดยเฉพาะการรบของกองกำลังเฉพาะกิจ ไซม่อน หรือ คามป์กรุพป์ไซม่อน (KampfgruppeSimon) สังกัดกองพล เอส เอส โทเทนคอฟ ซึ่งอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของรองผู้บัญชาการกองพล คือ เอส เอส โอแบร์ฟือเรอห์ แมกซ์ ไซม่อน (SS Oberfuhrer Max Simon - เอสเอส โอแบร์ฟืเรอร์ เป็นชั้นยศของหน่วย เอส เอส อยู่ระหว่างพันเอกและพลจัตวาของระบบสหรัฐอเมริกา ในที่นี้อาจเทียบได้กับชั้นยศพันเอกพิเศษ) ที่สามารถต้านทานการเข้าตีสนามบินเมือง "เดมแยงส์" ของทหารรัสเซียได้อย่างห้าวหาญและน่าทึ่ง เพราะมีกำลังเป็นรองทหารรัสเซียถึง 1:8 โดยเฉพาะการบดขยี้ทหารรัสเซียจากกองพลน้อยส่งทางอากาศที่ 1 ซึ่งมีกำลังพลทั้งสิ้นถึง 8,500 นาย นำโดยพันโท นิโคไล ทาราซอฟ (NikolayTarasov) ให้เหลือรอดกลับไปเพียง 900 นาย การเข้าตีของทหารรัสเซียที่สนามบิน "เดมแยงส์" ดังกล่าวเปิดฉากขึ้นในเวลากลางคืน แม้ขณะนั้นจะไม่มีเครื่องบินขนส่งเดินทางเข้ามาแล้ว แต่ในพื้นที่บริเวณสนามบินก็เต็มไปด้วยยุทธปัจจัยอันมีค่าต่างๆ มากมาย ที่รอการขนส่งไปยังแนวหน้า เมื่อเสียงนกหวีดดังไปทั่วแนวรบ ทหารรัสเซียระลอกแรกก็วิ่งดาหน้าออกมาจากแนวป่ามุ่งเข้าหาสนามเพลาะของทหาร เอส เอส ปืนกลแบบเอ็มจี 34 (MG 34) เปิดฉากการยิงประสานกันเป็นแนวฉากกั้น เพื่อหยุดยั้งการเข้าตีของทหารรัสเซีย กระสุนพุ่งเข้าตัดร่างของทหารพลร่มรัสเซียแนวแรก ที่วิ่งเข้ามาราวกับถูกเคียวที่คมกริบตัดขาดสะบั้น ในขณะที่พลยิงเครื่องยิงลูกระเบิดของเยอรมันก็ปูพรมด้วยกระสุนเครื่องยิงลูกระเบิดขนาด 82 มิลลิเมตร ที่ยิงทั้งลูกระเบิดแรงสูง สลับกับกระสุนส่องสว่าง ขึ้นบนท้องฟ้าเพื่อชี้เป้าให้ทหารเยอรมันที่อยู่ตามสนามเพลาะ ถึงแม้ทหาร เอส เอส จะระดมยิงสกัดทหารพลร่มรัสเซียด้วยอาวุธทุกอย่างที่มีอยู่ แต่ทหารรัสเซียอย่างน้อยหนึ่งกองร้อย ก็สามารถรุกเข้ามาถึงแนวสนามเพลาะของทหารเยอรมัน ณ เวลานี้ การต่อสู้แบบประชิดตัวได้เปิดฉากขึ้น ทหาร เอส เอสใช้พลั่วสนามที่คมกริบและมีความคล่องตัวกว่าการใช้ดาบปลายปืน ฟาดฟันใส่ทหารพลร่มรัสเซีย การสู้รบแบบมือเปล่ามีให้เห็นอยู่ทั่วไป จนในที่สุดทหารพลร่มรัสเซียก็ไม่อาจต้านทานความบ้าบิ่นและห้าวหาญของทหาร เอส เอส ได้ ต้องล่าถอยกลับเข้าพื้นที่ป่าไปทิ้งซากศพไว้กว่า 600 ศพทหารเอส เอสที่กระเหี้ยนกระหือรือ ปีนสนามเพลาะ วิ่งออกไล่ตามทหารพลร่มรัสเซียที่กำลังบาดเจ็บและเสียขวัญ พร้อมกับสาดกระสุนเข้าใส่อย่างไม่ยั้งมือ จนทหารพลร่มรัสเซียแทบจะละลายไปทั้งหน่วย นอกจากนี้ในพื้นที่เมืองบาโคโว (Bjakowo) ชุดต่อสู้ทำลายรถถังของกองพล เอส เอส โทเทนคอฟ ภายใต้การนำของเอส เอส โอแบร์สตรุมฟือเรอห์ เออร์วิน มายเออร์เดรส (SS Obersturmsfuhrer Erwin Meierdress เอสเอส โอแบร์สตรุมฟือเรอห์ เทียบเท่ากับยศร้อยโท) ซึ่งมีกำลังเพียง 120 นายได้รับมอบหมายให้ยึดพื้นที่เมืองนี้ไว้ให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ มายเออร์เดรสมีรถปืนใหญ่อัตตาจรแบบสตุก 3 อยู่เพียงไม่กี่คันพร้อมกับปืนใหญ่ต่อสู้รถถังแบบลากจูงอีกเพียงไม่กี่กระบอก สามารถตอบโต้การเข้าตีของทหารรัสเซียและสามารถทำลายรถถังแบบที 34 ได้จำนวนหนึ่ง แต่ฝ่ายรัสเซียก็เข้าตีอย่างไม่หยุดหย่อน จนทั้งสองฝ่ายต้องประสบกับความสูญเสียอย่างหนัก ในที่สุดชุดต่อสู้รถถังของมายเออร์เดรส ก็เหลือกำลังพลเพียง 30 นาย โดยที่ตัวเขาเองก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส ซ้ำร้ายไปกว่านั้นทหารรัสเซียยังสามารถตัดขาด และโอบล้อมเมืองบาโคโว ออกจากกำลังส่วนใหญ่ของเยอรมันทำให้ทหารเยอรมันไม่ได้รับการส่งกำลังจากแนวหลังเลย แต่มายเออร์เดรสก็ยังคงยืนหยัดยึดที่มั่นอยู่ต่อไป จนกระทั่งได้รับการช่วยเหลือจากกำลังอีกส่วนหนึ่งของกองพล เอส เอส โทเทนคอฟ ที่แหวกวงล้อมเข้ามาช่วย และนำมายเออร์เดรสส่งกลับไปรักษาตัวยังโรงพยาบาลสนามของหน่วย เอส เอสในเมือง "เดมแยงส์" วีรกรรมในครั้งนี้ทำให้มายเออร์เดรสได้รับเหรียญกล้าหาญกางเขนเหล็กชั้นอัศวิน (Knight's Cross of the Iron Cross) แม้ทหารรัสเซียจะต้องสูญเสียอย่างหนัก แต่การสูญเสียของกองทัพแดงไม่เคยเป็นปัญหา อันเนื่องมาจากการมีทรัพยากรมนุษย์ที่ไร้ขีดจำกัด ทหารรัสเซียหน่วยใหม่ๆ ยังคงหนุนเนื่องเข้ามาทดแทนกำลังพลที่สูญเสียไปอย่างต่อเนื่อง กล่าวกันว่ากำลังของฝ่ายรัสเซียที่เข้าโอบล้อมและเข้าตีทหารเยอรมันมีจำนวนเทียบเท่าถึง 15 กองพลทหารราบเลยทีเดียว ตรงกันข้ามกับเยอรมันที่การสูญเสียกำลังทหารและยุทโธปกรณ์ไป ได้ก่อให้เกิดปัญหาขึ้นอย่างมาก แม้จะมีความพยายามในการส่งกำลังหนุนเข้ามาในวงล้อม แต่ก็กระทำได้อย่างยากลำบาก ในขณะเดียวกันการขนส่งยุทธปัจจัยเข้าสู่วงล้อม "เดมแยงส์" ของกองบินที่ 1 ก็ดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง และไม่ขาดสาย แม้จะต้องประสบกับการต้านทานและนำมาซึ่งความสูญเสีย จนผลสำเร็จเริ่มปรากฏชัดเจน เพราะทำให้เสบียงอาหารถูกลำเลียงเข้ามาจนสามารถใช้หล่อเลี้ยงทหารเยอรมันได้เป็นเวลานาน 4 ถึง 5 วัน แม้การลำเลียงจากสนามบินไปสู่แนวหน้าของวงล้อมจะประสบปัญหาบ้างพอสมควร ความต้องการอันดับแรกๆ ในการขนส่งยุทธปัจจัยในวงล้อม "เดมแยงส์" นั้น คือกระสุนสำหรับปืนใหญ่เฮาวิทเซอร์ โดยเฉพาะกระสุนของปืนใหญ่ขนาด 150 มิลลิเมตรแบบเอฟเฮช18 (FH 18) ซึ่งเป็นปืนใหญ่หลักของเยอรมันในการยิงสนับสนุนแนวตั้งรับในวงล้อม ปืนใหญ่ชนิดนี้มีระยะยิงไกลถึง 13,325 เมตรหรือกว่า 13 กิโลเมตร เยอรมันค่อนข้างโชคดีที่มีปืนใหญ่ขนาดดังกล่าวในจำนวนที่มากพอ และอยู่ในสภาพที่ดี ก่อนที่ตกอยู่ในวงล้อมของรัสเซีย กระสุนปืนใหญ่นี้มีน้ำหนักนัดละ 43 กิโลกรัมและใช้เวลาในการยิงน้อยกว่า 2 นาทีต่อนัด โดยปกติแล้วกองบินที่ 1 จะจัดสรรอาหาร น้ำ ยุทธปัจจัยอื่นๆ เช่น กระสุนปืนเล็ก ระเบิดขว้าง และกระสุนปืนใหญ่ โดยขนส่งกระสุนปืนใหญ่ในอัตรา 80 100 ตันต่อวัน แต่ก็ยังไม่เพียงพอ เพราะในบางวันยอดการขนส่งก็ลดลง เนื่องจากอุปสรรคจากฝูงบินขับไล่ของรัสเซียและสภาพภูมิอากาศที่แปรเปลี่ยนไปตลอดเวลา แม้ในบางห้วงเวลา กองบินที่ 1 จะสามารถขนส่งยุทธปัจจัยได้เพิ่มขึ้นถึงวันละ 300 ตันและเพิ่มเป็นวันละ 544 ตันในห้วงเดือนมีนาคมก็ตาม ทำให้กองบินที่ 1 ต้องใช้การทิ้งร่มลงในแนวตั้งรับของทหารเยอรมัน ซึ่งบางครั้งกระแสลมที่รุนแรงทำให้ยุทโธปกรณ์ที่ส่งลงมาถูกพัดเข้าไปแนวรบของทหารรัสเซีย อุปสรรคเหล่านี้ทำให้หน่วยปืนใหญ่ของเยอรมันในแนวหน้าลดความแข็งแกร่งลงถึงร้อยละ 30 เนื่องจากขาดแคลนกระสุนปืนใหญ่ ตัวเลขที่น่าสนใจคือ เฉพาะกองพล เอส เอส โทเทนคอฟ เพียงกองพลเดียว ใช้กระสุนของปืนใหญ่ขนาด 150 มิลลิเมตร แบบเอฟเฮช 18 เกินกว่าครึ่งหนึ่งของกระสุนปืนใหญ่ทั้งหมดในวงล้อม "เดมแยงส์" นอกจากนี้กองบินที่ 1 ยังได้ลำเลียงปืนใหญ่ต่อสู้รถถังขนาด 45 มิลลิเมตร จำนวน 10 กระบอกที่ยึดมาได้จากฝ่ายรัสเซียให้กับทหารเยอรมันในแนวหน้าอีกด้วย เนื่องจากทหารเยอรมันสามารถหากระสุนได้จากการปะทะและยึดกระสุนขนาดดังกล่าวได้เป็นจำนวนมาก นอกจากกระสุนปืนใหญ่และยุทโธปกรณ์อื่นๆ ตลอดจนเสบียงอาหารสำหรับทหารแล้ว อาหารสำหรับม้าจำนวนกว่า 20,000 ตัวที่ตกอยู่ในวงล้อมก็เป็นปัญหาด้วยเช่นกัน เพราะม้าได้ถูกใช้ลากจูงเกวียนบรรทุกอาหาร กระสุนปืนเล็ก กระสุนปืนใหญ่และน้ำมัน ไปส่งให้ทหารเยอรมันในแนวหน้ากองบินที่ 1 ต้องลำเลียงข้าวโอ็ตและหญ้าแห้งจำนวนมาก เพื่อนำไปใช้ในการดูแลม้าที่ตกอยู่ในวงล้อม ซึ่งเป็นที่แน่นอนว่าอาหารสำหรับม้าถูกจัดความสำคัญให้อยู่ในลำดับท้ายๆ ส่งผลให้เกิดความขาดแคลนอาหารม้าและนับวันม้าเหล่านั้นก็จะผอมและไร้เรี่ยวแรงลงทุกวัน (โปรดติดตามตอนต่อไป)
|
บทความทั้งหมด
|