2008 : The Return of B r i t p o p ? ( Plus SNOW PATROL ’s A Hundred Million Suns )

คำแนะนำก่อนอ่าน : บล็อกนี้มั่ว(ดังเดิม)และเป็นคห.ส่วนตัวของฉัน โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน



“ B l o o d y f o c k i n ’ h e l l ! ! ! H w o t d a h e l l h a p p e n e d t o t h i s y e a r ? ! ? ”



ถ้าฉันเป็นบริติชชนโดยกำเนิดอาจจะสำรอกส่งสำเนียงออกมาอย่างนั้น เมื่อได้เห็นความคึกคักของบริทซีนในปีนี้
แต่แท้จริงแล้วฉันเป็นคนไทย อาศัยอยู่ในดินแดนสยามนามกระเดื่องเรื่องรอยยิ้ม มีกทม. : เมืองน่าท่องเที่ยวอันดับหนึ่งขวัญใจชาวโลก( เหรอฟะ ) และอุดมไปด้วยนักการเมืองฉ้อฉล ฉะนั้นฉันจึงต้องอุทานแบบบ้านๆด้วยสำเนียงภาษาไทย ตระกูลไท-กะไดประมาณว่า
“ อาาาาาาาาาาาาาา สิทธัตถะเป็นพยาน ปีนี้มันนรกอะไรกันวะคะเนี่ย?!? ”




ก่อนหน้านี้ บางคนที่เติบโตมาในช่วงบริทพ็อพเฟื่องฟูคงจะเลิกหวังให้กระแสอัลเตอร์กลับมาเป็นที่นิยมอีกครั้ง ช่วงเวลามันได้ขึ้นสู่จุดสูงสุดและเลยผ่านไปแล้วพร้อมๆกับการตายจากของหลายๆวง/ศิลปิน หลังยุค 90’s ก็คือการเข้ามาของกระแสหลากแห่งวัฒนธรรมฮิปฮอป การครองความนิยมอย่างกับชนักติดตูดของแร็ป ฮิปฮอป อาร์แอนด์บีบนชาร์ตเพลง ทิมบาแลนด์ครองเมืองและเจซีในเฮดไลน์กลาสตันเบอร์รี่(?)
ขอแสดงความยินดีกับคนโหยหาและอดอยากบริทไว้ ณ ที่นี้ พวกคุณได้สมใจกันเต็มๆในปีนี้แล้ว
หน้าที่สำคัญอย่างเดียวที่ต้องทำมีเพียงแค่ตามฟังพวกมันให้ทันและตามข่าวต่างๆให้ดี เพราะพวกมันคงจะนัดแนะจัดตารางกันมาเพื่อร่วมมือถล่มคนฟังให้หูพรุนในช่วงเวลาไล่เลี่ยกันเป็นแน่แท้
สำหรับฉัน คงจะภูมิใจมากที่บริทยังคงไม่จางหายไปจากโลก ยิ่งคึกคัก คุกรุ่น ยั่วยวนชวนฟังเสนาะหู
และคงจะดี ถ้า.... มันหมายถึงการกลับมาอีกครั้งของกระแสบริทพ็อพที่โชติช่วง
ฉันอยากจะมีชีวิตอยู่ช่วงนี้
ความจริงแล้วฉันเป็นคนมีปมด้อยน่ะ ถ้ารู้แล้วก็เหยียบไว้นะ อย่าล้อเชียว
คือ เป็นความผิดของบิดามารดาที่ปั่มปั๊มฉันมาช้าไปหน่อย ทำให้ไม่ได้อยู่ร่วมสมัยอัลเตอร์รุ่งเรืองมากหรือถ้าจะมาฟังบริทพ็อพแบบรู้เรื่องมันก็กำลังโรยๆแล้ว

กระนั้น ก็ยังดีเสียจริงที่มีโพสต์ บริทพ็อพ ฉันเลยเติบโตมากับพวกนี้เต็มๆ(Travis, Coldplay, Keane) ไอ้ที่เลยผ่านไปแล้ว ฉันถึงไปตามดมกลิ่นเขาเอา โอวววววว ขนาดแค่ดมกลิ่นซากมันยังหวานหอมหวนรัญจวนใจราวกับแหวกทวารมาดมก็ไม่ปาน
ฉะนั้น รู้นะ หลายๆคนเกิดทันและร่วมสมัย รู้ตัวไหม พวกคุณโชคดีและน่าอิจฉามาก (เสมือนความรู้สึกอยากฆ่าพวกอยู่ช่วง 60’s ที่เห็นสี่เต่าทองครองโลก ตาร้อนว่ะ) แบบ วงอัลเตอร์ดีๆมาเล่นกันให้ได้เห็นเป็นเบือ เทียบกับตอนนี้ที่จะมากันทีก็ปล่อยให้อดอยากปากแห้งกันแทบไส้กิ่ว
กระแสวัยรุ่นชอบบริท(จริงๆ) ตอนนี้หาได้ยากพอๆกับหาความดีในตัวคุณทักษิณ อุ๊ปส์!
เพื่อนฉัน 50% ชอบดานซ์มันส์กระจาย สวยเซะซี่แบบจิ๋มตุ๊กตาแมว แหกปากไปกับสาวร็อค(พ็อพ?)อาฟวิล ลาวีน ฮิปฮอปโย่ๆกับคริส บราวน์ ขาร็อคก็ต้องวงพี่ๆลิงกินผัก
40% ไปเย้วๆ กรี๊ดกร๊าดกับหนุ่มสาวตาตีบหน้าตาสะสวยที่ยืนเรียงแถวเต้นทำหน้าตาคิกขุแล้วแบ่งกันร้องเพลงทีละท่อนด้วยภาษาที่ฉันแปลไม่ออก
10% ยังคงมีให้ได้ชื่นชมและน้ำตาไหลพรากทุกครั้งที่พูดถึงวงนั้น วงนี้ แล้วพวกเขาบอกรู้จัก



อืม กระแสบริทในปีนี้ มันบึ้มบั้มกันจริงๆนะ ที่ออกกันมามีแต่วงบิ๊กๆทั้งนั้นด้วย เราได้เห็นวงอย่าง The Kooks และ The Fratellis กลับมาในอัลบั้มสอง กลางปีที่เราได้เห็น Coldplay ไปเหยียบชาร์ตอเมริกา ทั้งอัลบั้ม ทั้งเพลง Viva la vida ฉันคงได้ตายแบบตาหลับแล้วเมื่อมีเพลง Coldplay ขึ้นอันดับหนึ่งยูเคชาร์ตและบิลบอร์ดซะที พ่อเจ้าประคุณรุนช่อง ควีนอลิซาเบธ!!! ไม่มีกลุ่มของศิลปินจากเกาะอังกฤษหน้าไหนทำได้มานานบรม นับแต่ Wanna be ของป้าๆ Spice Girls ตั้งแต่ เอ่อ... ปีไหนนี่แหละ
ไม่ให้หายใจหายคอ The Verve ยังอุตส่าห์กลับมารียูเนียน เสิร์ฟออเดิร์ฟผ่านคอนเสิร์ตในเฟสฯที่ต่างๆ โดยเฉพาะกลาสตันเบอร์รี่ให้เราสดับรับฟัง Love is noise หรือ Sit and wonder ก่อนที่ Forth จะโดนเข็นออกมา และแน่นอนว่ามันขึ้นอันดับหนึ่งยูเคชาร์ต
Travis วงที่ใครๆเขาก็ยอมรับว่าเจ๋งจริงและมีความสำคัญในการให้กำเนิด Coldplay แต่กลับต้องอยู่ภายใต้ร่มเงาวงของนายคริส มาร์ตินมาตลอดซะงั้น อย่างไรก็ดี Ode to J.Smith ยังเป็นงานคุณภาพและพวกเขายังเป็นวงที่แฟนๆรักใคร่อยู่เสมอมา
ปลายปีคือการขับเคี่ยวกันอย่างเมามัน เริ่มจากวงตัวพ่อสมัยบริทพ็อพเรืองอำนาจอย่าง Oasis กลับมาอย่างสมศักดิ์ศรีกับ Dig out your soul ยืนหยัดเชิดหน้าชูตาบนอันดับหนึ่งชาร์ตอังกฤษ อาทิตย์ถัดมา Perfect symmetry ของ Keane ขอเบียดไปสูดอากาศข้างบนบ้าง ด้วยการกลับมาสไตล์ใหม่แบบ โจ๊ะ โป๊ะ ป๊ะเท่งป๊ะ และใช้ไม่ได้แล้วกับคำว่าวงที่ไม่มีกีต้าร์ ทั้งสองอัลบั้มของ Keane และ Oasis เปิดตัวอยู่ในเกณฑ์ดีที่ฝั่งอเมริกา
Off with their heads จาก Kaiser Chiefs ยังเป็นอีกตัวสอดแทรกสำคัญ วงนี้เองที่ฉันคิดว่าพวกเขาเป็นหัวกะทิอีกวงในแกนนำที่ยังคงความเป็นบริทพ็อพดั้งเดิมไว้อยู่ พวกเขามีความคิดแบบเด็กหนุ่ม แนวดนตรีเจ๋ง(ติดหูง่ายดี)ที่มาพร้อมกับเนื้อหาวิพากษ์สังคมสมัยใหม่ของอังกฤษ Off with their heads เป็นอัลบั้มที่จับมือร่วมกันปรุงแต่งกับมาร์ค รอนสันที่ต้องการครองเมืองแข่งกับทิมบาแลนด์อีกคน
เพลงแบบ Kaiser Chiefs ยังมีสิ่งนึงที่ทำได้มากกว่าวงอย่าง Keane หรือ Snow Patrol จะทำได้
ก็กระโดดดึ๋งๆอย่างเมามันส์หรือชูกำปั้นสุดเหวี่ยงไปกับเพลงยังไงล่ะ
นับจากนี้ก็เป็นการรอคิวกันของ Snow Patrol - A hundred million suns ( ฉันสยบตั้งแต่เห็นชื่ออัลบั้มเลยทีเดียว ) Razorlight – Slipway fires กระทั่ง Stereophonics ก็ยังมีแก่ใจจะออกรวมฮิต
เอาล่ะ พวกที่กล่าวมาทั้งหมด หลายคนอาจแย้งว่ามันนับเป็นบริทพ็อพไม่ได้เฟ้ย เฮ่ออออ ก็ถูกอ่ะ คำว่า “บริทพ็อพ” ตามความหมายอย่างเจาะจงจริงๆตายสนิทไปตั้งแต่ปลายยุค 90’s แล้วจริงๆ ... แต่ยังไงซะบริทพ็อพยังคงตกผลึกมาให้เราเห็นอยู่ แม้ภาพลักษณ์กับงานจะต่างไปบ้าง เพราะแน่นอนว่ามันย่อมเปลี่ยนไปตามยุคสมัย และวงต่างๆข้างต้น แม้อาจจะไม่ได้ถึงขนาดทำให้บริทพ็อพกลับมารุ่งโรจน์โชติช่วงได้ในแบบที่ Oasis, Blur และเพื่อนๆเคยทำมา อย่างน้อยนี่ก็เป็นสัญญาณสำคัญที่แสดงให้เห็นถึงกระแสความนิยมในบริทและโดยเฉพาะกับพวกเราคนฟัง ภูมิใจตายเลยสินะ (ได้เห็นเพลงพวกนี้ขึ้นชาร์ตสูงๆหรือสื่อเปิดบ่อยๆแล้วก็แอบดีใจทุกครั้ง)
ว่าแล้วก็อุทานด้วยสำเนียงบริติชปิดท้าย

“ F o ’ G o d ’ s S a k e ! ! W h y k k a a a n ’ t y e j u s t l e t m e h t a k e e b r e a k ? ”
( ซับไตเติ้ล : โอย ตายหงส์เป็ดห่านทั่วทุกสรรพสัตว์หละที่นี้ พ่อคุณเอ๊ยยยย ได้โปรดเห็นแก่พระโพธิสัตวอวโลกิเตศวรด้วยเถอะ นี่จะไม่ให้อิชั้นได้พักหายใจหายคอเลยเหรอฟะ เสียตุ้งเสียตังค์บานเบอะแย้ววววว )


Snow Patrol - จากหมีขั้วโลกเป็นสายตรวจหิมะ




Snow Patrol เป็นวงที่ดังระเบิดระเบ้อเลยนะ หากเอาไมค์ฯไปจ่อปากสัมภาษณ์คนเดินถนนดู เราจะได้คำตอบราวๆนี้
“Chasing Cars!!!”
“Chasing Cars ค่ะ”
“Chasing Cars ครับ”
“Chasing Cars เลยเพ่”
“Chasing Cars, dude!!!”
“ อิ๊ฟ ไอ๊ เหล้ เฮี้ย ...”
ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
แหม ใครบอกว่าพวกเขาเป็นพวก one hit wonder นี่ผิดถนัดเลยเชียว Snow Patrol ถือเป็นหนึ่งในระดับบิ๊กเนมของวงจากเกาะอังกฤษ ณ ปัจจุบัน และถ้าพูดให้ถูกไปอีก นับความสำเร็จของพวกเขาไปด้วย นี่เป็นวงที่ทำยอดขายได้เร็วสุด มากสุดวงหนึ่งในศตวรรษนี้เลยทีเดียว
แต่เพราะได้รับความขอบคุณจาก Grey’s Anatomy นิดๆหน่อยๆ Chasing Cars เลยเปรี้ยงปร้าง และอำนวยอวยชัยช่วยยอดขายพุ่งกระฉูดในอเมริกา Chasing Cars นี่มันกระหึ่มเถิดเทิงขนาดยืนหยัดในท็อป 75 ของยูเคชาร์ตได้ถึง 68 อาทิตย์ และถ้าลองเปิดไปดูชาร์ตเพลง UK ณ เวลานี้ดู มันก็ยังสถิตเสนอหน้าประทับอยู่ในท็อปร้อย มายก็อดดดด!!! หนังเหนียวดีแท้
A Hundred Million Suns คือ สินค้าส่งออกสำคัญส่าสุดของสก็อตแลนด์ (จริงๆสมาชิกมีภูมิลำเนาที่ไอร์แลนด์ทั้งนั้น แต่ต่างมาเรียนและได้ฟอร์มวงกันที่สก็อตแลนด์) อัลบั้มนี้โปรดิวซ์โดยอีกหนึ่งโปรดิวเซอร์มือทองของวงการ แจ็คไนฟ์ ลี คนเดิมที่ทำ Final Straw กับ Eyes Open ผู้ผ่านการเจียระไนงาน U2 มาแล้ว และทำอัลบั้มล่าสุดของ Bloc Party และ R.E.M นี่เป็นอัลบั้มที่ห้าของวงซึ่งหลายคนก็คงงงล่ะ จีสัด ไข่!! นี่มันออกมาตั้งห้าอัลบั้มแล้วเหรอ เหมือนจะรู้จักมักจี่กันเมื่อวันซืนเอง ค่ะ... พอดีสมัยอัลบั้มแรกๆของวง ฉันก็ไปเข้าป่า ไถนาอยู่ ไม่รู้จักพวกมันเหมือนกัน เพราะ Snow Patrol ไปแอบทำเพลงตามซอกหลืบกับค่ายเล็กๆในกลาสโกว์ชื่อ Jeepster (ของ Belle and Sebastian ด้วยนี่เอง) ด้วยชื่อวงสมัยนั้นว่า Polarbears (ขอบคุณสวรรค์ที่เปลี่ยนชื่อในที่สุด) Songs For Palarbears คืออัลบั้มแรก ก่อนจะทำ When It's All Over We Still Have To Clear Up ตามมา แล้วมันก็ดังระเบิดเถิดเทิง พลุแตกโป๊ะๆ ซะเมื่อไหร่ล่ะ ถึงคำวิจารณ์จะพอกินได้ แต่ยอดขายน่าอนาถเป็นที่สุด ชาวบ้านชาวช่องก็ยังไม่ค่อยรู้จักกัน ถึงขนาดว่าแกรี่ ไลท์บอดี้ หัวหน้าวงยังบอกว่านี่พวกเขาทำเพลงในช่วงกว่าสิบปีนั้นเพียงเพื่อให้คนหกพันคนซื้อไปฟังเท่านั้นเชียวหรือ ว่าแล้วเขาก็ลำบากขนาดต้องเอาคอลเลกชั่นซีดีตัวเองมาขายประทังชีวิตและจ่ายค่าเช่าบ้าน ก่อนจะเคราะห์ซ้ำกรรมซัดโดนต้นสังกัดลอยแพ กลับไปโอ๊ะโอ๋ Belle and Sebastian อย่างเดิมดีกว่า
Run เพลงนี้ได้ทำให้พวกเขาโล่งใจ เป่าปาก ตดออกซะที ทำเพลงมาตั้งนาน ชาวโลกได้รู้จักกันก็คราวนี้ กับอัลบั้มลำดับสาม Final Straw ที่ไปอยู่กับ Polydor ค่ายใหม่ใหญ่กว่าเยอะ แน่นอนว่าอัลบั้มนี้คือของจริงและมีเพลงเยี่ยมๆมากมาย สำหรับฉัน เมื่อแรกฟังงานพวกเขาก็ไม่มีอะไรมากไปกว่า การยอมจำนนโดยดุษณี สโรราบกราบและมอบหัวใจ แฮะๆ ฉันรักดนตรีแบบนี้แหละ ว่าแล้วก็รวบรัดมันมาเป็นวงบังคับที่ต้องตามฟัง ก่อนที่ Eyes Open จะโด่งดังและยอดขายกระฉูด ขณะที่เดินไปที่ไหนๆ เราอาจจะได้ยิน Chasing Cars แต่ก็อย่าลืมว่าอัลบั้มนี้ยังมีเพลงเจ๋งๆอย่าง Shut Your Eyes, Make This Go On Forever , You're All I Have หรือ Open Your Eyes


ความรู้สึกอย่างย่อหลังฟัง A Hundred Million Suns




If there’s a rocket tie me to it - แทร็กเปิดตัวที่เลือกได้สุดยอด อูยๆ เนื้อหาเพลงก็หวานจ๋อยโฮก แรกๆมาก็ยังโอเค เฉยๆ แต่พอตรงท่อนคอรัสที่เปิดทางมาให้คุณพี่แกรี่โชว์เสียงอันแบบเป็นเอกลักษณ์กับจังหวะกีต้าร์มันส์ๆที่ขึ้นมาปุ๊บก็.... สาโนว์ แพทโธรวววว์ มันกลับมาแล้วววว ฟังไปก็จะมันส์ขึ้นไปเรื่อยๆในแต่ละช่วง น่าจะตัดเป็นซิงเกิ้ลนะ ขอเชียร์เพลงนี้ คงติดหูได้ง่ายอยู่แล้ว
Crack the shutters - เพราะอีกแล้ววววววว โมโลดี้ของเพลงยังคงความเป็นเครื่องหมายการค้าแบบ Snow Patrol ไว้อยู่ จังหวะเพลงดูแปลกแต่น่าสนใจ และรู้สึกติดหูง่ายอีกแล้วอ่ะ ฟังสองเพลงแรกจบแล้วชอบตั้งแต่แรกฟังเลย นี่ก็น่าจะเป็นซิงเกิ้ลได้เหมือนกัน
Take back the city - โว้ โว โว่ โหว่...ซิงเกิ้ลแรกของอัลบั้ม จริงๆตั้งแต่ได้ฟังครั้งแรกก็จะเฉยๆอยู่แล้ว เพราะมันยังคล้ายได้ฟังแนวเดิมๆ เหมือนเอา Hands open มาล้างน้ำ ปรุงรส เยาะโน่นนี่นิดนึง แล้วแปะป้ายตีตราว่าเป็นซิงเกิ้ลใหม่ แต่จะว่าไป ฟังไปหลายๆทีแล้วก็ติดหูดีนะ ท่อนฮุคเท่ๆร้องตามหนุกๆ คึกๆดี เพียงแต่คนอาจจะคาดหวังให้มาดีๆอย่าง Chasing cars หรือต้องดังเปรี้ยงอะไรแบบนั้น บ้างก็ว่าไอ้วงนี้ไม่มีทางทำอะไรได้แบบ Chasing cars อีกแล้ว แหม่ๆ ไม่เห็นจะต้องขนาดนั้นเลย แค่นี้ก็พอฟังแล้ว
คือ ขอบอกว่ารู้สึกคนส่วนใหญ่(ฉันด้วย) ฟังเพลงนี้ครั้งแรกแล้วจะเฉยๆ แต่นั่นแหละ อย่างที่บอกว่า ลองฟังหลายๆครั้งแล้วจะติดนะ ฮ่าๆ เดี๋ยวจะเผลอกระทืบเท้า ปรบมือ ผงกหัวเอาได้ง่ายๆ
Lifeboats - ตายตกหกกระโถนโดนกระเถร!! เพลงนี้ฟังดูเหมือนไม่ใช่วงนี้เลย ให้ตายสิ! ช่วงแรกๆอย่างกับแจ็ค จอห์นสันมาเอง แนวใหม่พวกเขาล่ะทีนี้ ไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ เป็นง่วงๆ แต่ โอเค อาจจะรู้สึกดาร์กไซด์อะไรแบบนั้นมานิดๆ มันอาจจะดีที่ลองอะไรใหม่ๆ เอ่อ แต่รู้สึกมันยังไม่ดีพอยังไงไม่รู้
The golden floor - ต่อด้วยเพลงนี้ก็เกือบหลับได้ที่เลย เสียงเคาะๆตอนแรกที่ขึ้นมาก็น่าสนดีอยู่หรอก แต่พยายามฟังเท่าไหร่ก็ยังไม่โดน เหมือนเริ่มต้นอัลบั้มได้สวยๆแล้วมาตายช่วงกลางอะไรอย่างนั้น
Please just take these photos from my hands - ค่อยดีขึ้นหน่อย ฟังไปเรื่อยๆแล้วโอเคเลย ถึงความหมายจะเศร้า โหยหา อาลัยเรื่องอดีต แต่จังหวะยังมันส์ได้ด้วยเสียงอื้ออึงของกีต้าร์และกลอง
Set down your glass – มาง่ายๆกับเสียงกีต้าร์ที่ดูเหมือนอคูสติกตอนแรก เฉยๆ พอฟัง
The planets bend between us – เจ๋ง! เนิบๆชวนโคลงหัว ท่อนคอรัสไพเราะเพราะพริ้ง ก็เหมือน Snow Patrol น่ะแหละ พวกเขาทำเพลงง่ายๆ เน้นโมเลดี้งดงาม เนื้อหาเพลงชวนจินตนาการลอยล่อง ชอบบบบ เอ... ท่อนนี้น่าคิด “And from the edge of Ireland shout out loud. So they could hear it in America”
Engines – ไม่ชอบเสียงในเพลงนี้ ทั้งฮู วู้ อะไรฟะ เซ็ง จุดอ่อนในอัลบั้มเลย
Disaster button - ถ้าฟังเรื่อยๆ มันจะติดหูเอาได้ง่ายๆ แต่ก็จัดอยู่ขึ้นเพลงดาดๆทั่วไปไม่มีอะไรดีเป็นพิเศษ แต่ก็เป็นแทร็กที่ได้คึกและหูชาได้ที่สุดในอัลบั้มแล้ว
The Lightning Strike - แทร็กสุดท้ายความยาวถึงสิบหกนาที แต่ก็เป็นทรีอินวันแบบที่ถ้าเป็นหนังก็ต้องเรียกว่ามหากาพย์ไตรภาคเลยทีเดียว
แบ่งภาคมา อันแรก What if the storm ends – ใช้ได้
The sunlight through the flags – น่าเบื่อหน่อยๆ แต่พอช่วงกลางๆแล้วใช้ได้เลย
Daybreak – กลับมาปิดอัลบั้มได้ดี ชอบส่วนนี้ที่สุดในไตรภาค ราวกับวงจะบอกว่าขอบคุณที่ฟังกันนะคร้าบ อิอิ สิบหกนาทีกับสามเพลง ถ้าลองพยายามฟังรวดเดียวหลายๆที แล้วจะรู้สึกได้ว่าแต่ละขั้นนั้นทวีขึ้นด้วยความอบอุ่นและความสว่างไสววาบเข้ามา จากเมฆหมอกอึมครึมสีทอง ฉาบไล้เข้าไปสู่รุ่งอรุณอันสดใส ซึมซาบทาบทับด้วยแสงอาทิตย์อุทัย (A hundred million suns?) บทเพลงถูกเชื่อมให้เข้ากันอย่างกลมกล่อมด้วยโวหารสำนวนเปรียบเทียบที่น่าเชยชม รวมถึงดนตรีสังเคราะห์ เสียงซินธ์ในแบบเจ๋งๆ


โดยรวมประทับใจกับอัลบั้มนี้ครึ่งนึง คือ รู้สึกว่ามันมีส่วนที่แจ่มสุดยอด ส่วนธรรมดาๆพอฟัง และบางส่วนที่แทบรับไม่ได้ ยอมรับว่าฟังครั้งแรกจบ ผิดหวังและจิตตกไม่น้อย ยังไม่ถึงขั้นชอบ แต่พอได้ให้เวลากับหลายๆเพลง และฟังบ่อยๆเข้า จะรู้สึกได้ว่าบางเพลงมันเริ่มเกาะกุมจิตใจ วนเวียนหึ่งๆหวี่ๆในประสาทหูเรื่อยขึ้น เคยฟัง Snow Patrol ชุดแรกและชุดสองมาบ้าง A hundred million suns นี้จะแตกต่างพอสมควรจากงานที่ผ่านมาทั้งหมด (เพราะFinal straw และ Eyes open ก็ต่างจากสองงานแรกเช่นกัน) ถ้าเทียบกับ Eyes open ชุดนี้ก็จะช้าแช่มช้อยลงไปนิด กระนั้นก็ยังมีแทร็กอย่าง Disaster button ที่ทำให้คึกได้บ้าง ภาพรวมก็ดูมีชีวิตชีวาขึ้น สดใสมาอีกหน่อย เพราะแต่ก่อนแกรี่ ไลท์บอดี้แกแต่งเพลงมาจากประสบการณ์ส่วนตัวตอนเพิ่งเลิกกับแฟน เลยถ่ายทอดอารมณ์ราวๆนั้นออกมา (ขนาด Chasing cars ที่ดูโรแมนติดดีออก แต่ฉันฟังแล้วเศร้าทุกที) สิ่งที่ชอบเป็นพิเศษคือเนื้อเพลง ดูแล้วช่างแจ่มบรรเจิดเลิศวิไล ภาษาจากปลายปากกานายแกรี่ ไลท์บอดี้สละสลวย เฉียบคม ไม่ว่าจะอารมณ์เศร้า เหงา รัก ดูมีความโรแมนติกแฝงอยู่ การเปรียบเทียบความรักในแบบต่างๆ หลายหลากดี... ที่ไม่ชอบคงเป็นบางเพลงที่ใส่เสียงเอฟเฟ็กต์อะไรไม่รู้มา ชอบเสียงแกรี่แบบธรรมดารื่นหูมากกว่า


เพลงแนะนำ : If there’s a rocket tie me to it




ฟันธง : พอรับได้!!! ถึงจะไม่ดีไปกว่า Final straw และ Eyes open แต่ชอบก็คือชอบ จะเดินไปซื้อให้เมื่อวางขาย (30 ต.ค. โดยยูนิเวอร์ซัล ไทยฯ)



โน้ตเล็กน้อย
- โอเค อัลบั้มนี้แสดงว่าพวกเขาเติบโตอีกขั้น รู้ทิศทางของตัวเอง ได้ทำงานแบบตัวเอง แน่นอนว่าความสำเร็จถ้าจะทำให้ได้แบบที่ผ่านมาคงยาก แต่อันที่จริงไม่เห็นต้องไปสนเรื่องนั้นเลยนิ อย่าลืมล่ะว่าพวกเขาเป็นแค่วงอินดี้ธรรมดาๆที่จู่ๆ ก็ถูกผลักดันเข้าสู่เมนสตรีมเท่านั้น!
- เบื้อ เบื่อ เวลาคนชอบเทียบวงนี้ กับ Coldplay
- เดือนต.ค. บันทึกไว้ว่าเป็นเดือนที่เสียตังค์ไปกับซีดีเพลงมากที่สุดในรอบปีนี้(แม่ด่าเลย)


ความคืบหน้าชาร์ตเพลง(UK) ฯลฯ
- Take back the city – ขึ้นไปสูงได้ที่ 6 ตอนนี้ตกมาอยู่ที่ 16
- อัลบั้ม Off with their heads ของ Kaiser Chiefs ขายอาทิตย์แรกเข้าป้ายที่สองแพ้ AC / DC (Perfect symmetry ตกไปที่ 6)
- Wire to wire ซิงเกิ้ลใหม่จาก Slipway fires ของ Razorlight เพลงที่แปลกไปพอสมควรจากงานเก่าๆ หลังจากrelease มาสองสัปดาห์ตอนนี้ขึ้นมาอยู่อันดับห้า
- My mistakes were made for you ซิงเกิ้ลที่สามของ The last shadow puppets เพิ่ง release ไปอาทิตย์นี้เหมือนกัน อยู่ที่ 81
- ดูเหมือนตอนนี้พีท โดเฮอร์ตี้จะกำลังเคร่งเครียดกับการทำอัลบั้มใหม่ในนามงานโซโลเดี่ยว
- Decade in the sun: The best of Stereophonics (27 ต.ค. – UK) คืออัลบั้มรวมเพลงฮิตเรียกตังค์แฟนๆ ของ Stereophonics มีซิงเกิ้ลใหม่ You’re my star
- ข่าวว่าสไปค์ จอนซ์(กรี๊ดดดดด) จะกลับมาร่วมงานกับ Weezer อีกครั้งในการกำกับเอ็มวีซิงเกิ้ลใหม่ The greatest man that ever lived และพ่อริเวอร์สก็กำลังเตรียมเข็นงานเดี่ยวชุดล่าสุดออกมาเร็วๆนี้






Create Date : 29 ตุลาคม 2551
Last Update : 29 ตุลาคม 2551 22:34:16 น.
Counter : 1010 Pageviews.

8 comments
แปลเพลง Memory - KANE BROWN x blackbear First Step
(29 พ.ย. 2567 21:56:07 น.)
สวนรถไฟ : กระเต็นอกขาว ผู้ชายในสายลมหนาว
(28 พ.ย. 2567 08:46:15 น.)
แปลเพลง Babe – Styx First Step
(26 พ.ย. 2567 06:41:05 น.)
วิ่งข้างบ้าน 18,19,20,21,23,24,25 พ.ย.2567/สถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 สองแผ่นดิน
(25 พ.ย. 2567 20:57:13 น.)
  
ผมสารภาพเลยครับว่าผมตามเพลงจากเกาะอังกฤษไม่ทัน เมื่อก่อนชอบฟังพวก The Selector มาก แต่ก็ยังตามไมทันอยู่ดี ออกมาเยอะเกิน หรือไม่ก็ตัวเองแก่เกิน เลยวน ๆ อยู่แต่เพลงแถว 90 's ไม่ไปไหน (ตอนนี้ยังฟัง The Stone Roses กับ Suede อยู่เลย)

ว่าแต่ Snow Patrol นี้ก็ฟังอยู่นะครับ พึ่งรู้เลยว่าออกชุดใหม่ (เอาท์จัง) ไม่เข้ามาบล็อกนี้คงไม่ทราบละครับ ขอบคุณสำหรับข่าวคราวและรีวิว
โดย: I will see U in the next life. วันที่: 29 ตุลาคม 2551 เวลา:16:26:29 น.
  
เข้ามาเพราะ LSD เอ๊ยไม่ใช่ เพราะชื่อ จขบ ประกอบกะเพิ่งฟังเพลงนี้เมื่อเช้านี้เองตอนเดินมาทำงาน แต่เป็นเวอร์ชั่นของหนัง Across the Universe นะ
โดย: prunelle la belle femme วันที่: 29 ตุลาคม 2551 เวลา:17:47:14 น.
  
โอ้วดีใจด้วยน่ะ

ปีนี้ บริท กลับมาจริงๆ

ยัยบริท womanizer ก็ได้อันดับ 1 ไปแล้ว 10 ปีให้หลังเบบี้ วัน มอร์ ไซส์.....สงสัยต้งรอให้บ้าอีกที 10 ปีต่อไป ถึงจะได้อันดับ1 ตัวที่สาม

เชน หวาท ก็ชอบน่ะ น่ากอด แต่จริงๆใจเราก็อยู่ที่เจย์ โจว คนเดียวล่ะ

ถ้าพูดถึงวงการเพลงUK ที่เราประทับใจตอนนี้ อาจจะมาคนล่ะทางกับลูซี่ซังน่ะ คือเราดีใจที่ บอยโซนกลับมา ถึงจะแค่ออกทัวร์ กับ 1 รวมฮิต แต่เพลงเค้าเพราะนิน่า เราว่าเธอต้องเคยแอบชอบเพลง love me for a reason กับ no matter what แน่ๆ
โดย: AguileraAnimato วันที่: 29 ตุลาคม 2551 เวลา:19:43:25 น.
  
รัก snow patrol ตั้งแต่แรกเจอ final straw แต่ได้แค่เจอนะยังไม่ได้ฟัง
ชอบที่ปก (แค่รูปปก) และว่าด้วยเรื่องแนวเพลงที่เป็นนอกกระแสเล็กๆ (เค้าว่ากันอย่างนั้น)
ได้มาก็ได้แต่หวังว่าจะชอบมากๆ เหมือนที่ได้นั่งมองรูป(บนปก)พอเปิดฟัง ไล่ไปจนถึงเพลงสุดท้าย
ตอบคำเดียวเลยว่า ชอบเพลง Run เพลงเดียวเท่านั้น (- -")ไม่สบกะที่อยากได้เลย

นั่นเป็นแค่รอบสองรอบเท่านั้น แล้วเมินหน้าหนีไปซัก เกือบเดือนได้ หลังจากที่ไม่มีไรฟัง
งั้น เอาอีกรอบละกัน ฟังแค่อีกรอบเดียว ได้แต่ต่าตัวเอง ทำไมไม่ชอบตั้งแต่ฟังครั้งแรกวะ
จากวันนี้นก็ชอบเสียงกีตาร์ดิบๆ เสียงร้องหมอนี่เป็นเอกลักษ(ณะ)ณ์จิงๆ ให้ตายเถอะ..
แล้วก็ฟังได้ไม่เบื่อด้วยนะ

เสียดายที่ไม่ค่อยรู้จักวงการเพลง ไม่รุ้จักอินเตอร์เน็ต เลยได้แต่ อ่านจากหนังสือที่มีคนเขียนถึง
เล็กๆ น้อยๆ ไม่รุ้ที่มาที่ไป แต่ช่างเถอะ มันไม่สำคัญ!!

พอก้าวมาถึง Eyes Open มั้ง-ก็ได้แต่หวังว่าจะได้รับเอาสิ่งที่ขาดหาย หรือที่ final straw
ได้ทำตกหล่นไว้ กลิ่นกีตาร์ดิบๆ ได้โชยมาอีกครั้ง แต่เปล่าเลยทำไมเขาทำร้ายจิตใจเราเช่นนี้ ...
ซาวด์กีตาร์แบบเดิมๆ ถูกคลื่นความสำเร็จเคลียให้ไม่เหลือความเป็นอินดี้อีกเลย ...หรือนี่จะถึงคราว
ต้องโบกมือลาเสียแล้ว หมดสัทธากันเท่านี้ ...

eyes open จำไม่ได้แม้แต่ชื่อเพลง นึกไม่ออกว่า เพลงไหนเด่น เพลงไหนน่าฟัง
เพราะหลังจากที่ฟัง หลายต่อหลายรอบ ต้องพูดออกมาเลยว่าไม่ไหวแล้ว เสียใจอยากแรง T_T

ก้ได้แต่หวังว่า ฮันเรด มิเลี่ยน ซัน จะทำให้ความรู้สึกของ ไฟนอล สโตรว กลับมาอีกครั้ง สาธุ !!!!!
โดย: haro_haro วันที่: 30 ตุลาคม 2551 เวลา:10:13:48 น.
  
ชอบวงนี้จ้า ฟังบ่อยทั้ง final straw กะ eyes open

ถ้ามาถามถึงเพลงของวงนี้ ก็คงจะตอบว่า chasing car หรือไม่ก็ run เหมือนกันแหละ 555+ (อ้อ signal fire ก็ชอบนะ)
โดย: yatiko IP: 118.173.155.187 วันที่: 30 ตุลาคม 2551 เวลา:10:15:48 น.
  
แผ่นไทยออกแล้วนิครับ
โดย: strawberry machine gun วันที่: 4 พฤศจิกายน 2551 เวลา:7:03:04 น.
  
ชอบที่ห้อยโทรศัพท์ keane มากๆ

คิดถึงพี่จอนนี่ แห่ง Razorlight (อัลบั้มนี้จะมาพร้อม กล้ามท้องรึเปล่า?? ฮี่ๆๆ )
โดย: little_fuku วันที่: 7 พฤศจิกายน 2551 เวลา:13:58:21 น.
  
นอกเรื่องนิด
ขอบคุณนะคะที่แวะไปตอบเราที่บล็อค

ไม่ต้องอยากทำธุรกิจก็คุยกันได้ 55
(เผอิญว่าเพิ่งเล่นบล็อคแก็งค์อะค่ะ คิดว่าอีกหน่อยจะอัพเดทแผ่นที่ฟังบ้าง...แต่ค่อยๆ อัพความสนใจทีละเรื่อง)

ส่วนตอนนี้เราอินกับ The Verve มาก
ว่างๆ เขียนรีวิววงนี้ให้ฟังบ้างสิคะ อยากอ่าน
โดย: So Serene วันที่: 9 พฤศจิกายน 2551 เวลา:21:10:19 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Tinkerbell.BlogGang.com

Lucy in the sky with diamonds
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]

บทความทั้งหมด