ฟังแล้วจะรู้ Viva la Vida or Death and All His Friends - Coldplay Viva la Vida or Death and All His Friends เริ่มจาก Parachutes เมื่อปี 2000 ตามด้วย A Rush of Blood To The Head ในอีกสองปีต่อมา ต่อด้วย X&Y กระทั่งมาถึงอัลบั้มล่าสุดของสี่หนุ่ม Chris Martin Jonny Buckland Guy Berryman และ Will Champion ในชื่อ Viva la Vida or Death and All His Friends ก็กลับมาให้แฟนๆได้ฟังกันพร้อมแบกความหวังที่ไม่มากไม่มายเลย แค่ว่าต้องเป็นอัลบั้มที่ดีที่สุดของพวกเขาเท่านั้น Viva la vida เป็นชื่อภาพวาดของ Frida Kahlo ศิลปินเม็กซิกันเลื่องชื่อซึ่งChris Martinประทับใจอย่างมาก 12 มิถุนาคือ วันที่ชาวสหราชอาราจักรจะได้ครอบครองอัลบั้มนี้ก่อนใคร ตามด้วยอเมริกาเหนือวันที่ 17 หลังจากที่ก่อนหน้านั้น Coldplay ปล่อยแผนการตลาดออกมาเช่นการปล่อยให้ดาว์นโหลดซิ้งเกิ้ลแรก Violet hill ไปฟังกันฟรีๆก่อนขายออนไลน์ หรือล่าสุดที่เอาทั้งอัลบั้มมาให้ฟังกันในเว็บ myspaceของตัวเอง (ก่อนหน้านั้นเพลงบางส่วนก็รั่วออกมาแล้วด้วย) เรียกว่าวัดใจกันไปเลย. ให้สมดังเป้าประสงค์ของพวกเขาที่อยากให้ทุกคนได้ฟังอัลบั้มนี้ก่อนตาย ฟังทั้งอัลบั้ม และยืนยันเหลือเกินว่านี่เป็นอัลบั้มที่ทุกคนจะจดจำไว้ในประวัติศาสตร์ จากหน้าปกอัลบั้มเอารูปของศิลปิน Eugene Delacroix ที่มีชื่อว่า Liberty Leading the People ภาพช่วงของการปฏิวัติ ผู้หญิงที่ถือธงอยู่คือ Marianne ที่เป็นเหมือนสัญลักษณ์ของฝรั่งเศสช่วงนั้น มีกราฟฟิตี้เขียนว่า viva la vida การปฏิวัติคำนี้ก็จะเป็นหัวใจสำคัญของอัลบั้มด้วย ภายใต้การโปรดิวซ์ของหัวเรี่ยวหัวแรงหลักอย่าง Brian Eno ที่ทำ U2 ไว้เป็นอย่างไรคงไม่ต้องอธิบาย ภาพรวมทั้งหมดใน Viva la Vida or Death and All His Friends จากคำสัมภาษณ์ของChris กับนิตยสารNME บอกว่า “ถ้าคุณฟังมันดูจะเห็นว่ามีหลายสิ่งหลายอย่างมากในนั้น มีเรื่องเซ็กส์ ความตาย ความรัก ความกลัว การท่องเที่ยว ผู้หญิง และเรื่องร้ายๆ ทั้งหมดมีในนั้น” ไม่ว่าจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม อย่าเชื่อจนกว่าจะลองฟัง และต้องฟังทั้งอัลบั้มด้วยนะ รีวิวคร่าวๆกับ Viva la Vida or Death and All His Friends LIFE IN TECHNICOLOR อันนี้เป็นดนตรีบรรเลงค่ะ สไตล์อิเล็กโทรอคูสติก ตอนฟังจบแทบกรี๊ดทันที ได้อารมณ์ไปอีกแบบที่coldplay หันมาจับงานบรรเลงแบบนี้ เพราะจะว่าไปแล้ว ที่ผ่านๆมา โดยเฉพาะใน X&Y จะเห็นว่าด้านการบรรเลงดนตรีพวกเขาก็พัฒนาไปมาก เริ่มต้นด้วยการเปิดบรรเลงอย่างเนิบๆ แล้วค่อยๆเปลี่ยนสไตล์ก่อนที่จะมาถึงเสียงกีต้าร์และกลอง(ตอนที่ได้ยินเสียงกลองครั้งแรก แทบกลั้นหายใจนั่งฟังทีเดียวว่าดนตรีจะไปแนวไหน) บวกกับเสียงคริสที่ โว้ โว... มาเล็กน้อย เพลงนี้โดยรวมเราว่าวิเศษไปเลย ถ้าทำเป็นเพลงมีเนื้อออกมามีหวังเพราะชัวร์ แต่ในเมื่อออกมาเป็นบรรเลงก็ต้องดูกันต่อว่าcoldplayจะสนทำแบบนี้ออกมาอีกรึปล่าว CEMETERIES OF LONDON หลังจากสดใสไปในเพลงแรก แทรกที่สองนี้ก็เปลี่ยนโทนจากด้านสดใสเข้าสู่ด้านมืดทันที เพลงนี้ชอบตรงsinging la la laa la laa laa eeeeyyyyy คอรัสกันซะงดงามชวนฟัง รวมทั้งเสียงเปียโนช่วงท้ายตอนจบเพลง กระชากอารมณ์ให้หยุดนิ่งได้พักหนึ่ง เนื้อหาเพลงเหมือนchris ดูจะเล่นกับศาสนาอีกเพลง แถมยังมีพวกแม่มด เมืองผี คำสาปอะไรอีก ชวนขุนลุกดีแฮะ ท่อนสุดยอด “I see God come in my garden, but I don't know what he said, for my heart it wasn't open" อยากให้เพลงนี้ตัดเป็นซิลเกิ้ล นึกภาพเอ็มวีงามๆในหัวไว้เรียบร้อยแล้วด้วย LOST! แปลกแหวกแนวมาก็เพลงนี้แหละ เสียงปรบมือก็ดูไม่ใช่แนวพวกเขาเท่าไหร่ แต่ทำให้เพลงมีจังหวะคึกคักขึ้นมา ช่วงโชว์ผีมือโซโลกีต้าร์ของ Jonny Buckland คือจุดเด่นของเพลง ท่อน Just because I'm losing doesn't mean I'm lost อันนี้ช่างตรงไปตรงมาดีแท้ ไม่เหมือนภาษาเพลงcoldplayที่เป็นเอกลักษณ์ที่เรารู้จักกัน แต่นี่คือคติประจำตัวนายคริสเขาแหละ ทว่า เนื้อเพลงก็ยังมีภาษาสวยๆอย่างเช่นเนื้อที่ว่า "You might be a big fish in a little pond, doesn't mean you've won" 42 42 ขึ้นต้นด้วยเสียงเปียโนเนียนๆ นุ่มนวลด้วยเสียงร้อง ฟังไปก็ชวนโงกหลับและเคลิบเคลิ้ม ว่าแล้วก่อนที่จะชวนกันไปหาเตียงนุ่ม หมอนอุ่น พวกเขาก็จัดการกระชากใจเราเข้าสู่จังหวะร็อกคึกคัก ตรงส่วนนี้รับอิทธิพลมาจาก Rammstein วงร็อคชื่อดังของเยอรมันมาอย่างเต็มที่ ก่อนจะปิดท้ายด้วยเปียโนในแบบฉบับตัวเองอีกที เพลงนี้เหมือนการพลิกด้านจากมุมมืดไปสู่แสงสว่างที่ค่อยๆส่องลอดเข้ามาทีละน้อย เช่นเดียวกับเนื้อหาของเพลง those who are dead are not dead they're just living in my head เพลงนี้รูปแบบอาจดูคล้ายๆงานของ Radiohead โดยเฉพาะ Paranoid android ซึ่งบทสัมภาษณ์ในnme คริสก็ยอมรับว่าได้แรงบันดาลใจมาจากพวกเขาเอง LOVERS IN JAPAN/ REIGN OF LOVE นี่ก็เป็นรูปใหม่ที่coldplayนำมาใช้อีก กับการนำสองแทรกมาใส่ไว้ด้วยกัน เข้าใจว่าคงอภินันทนาการหรืออย่างไร ประมาณว่าซื้อหนึ่งได้สอง อย่างนี้โหลด iTunes มาก็มีแต่คุ้มกับคุ้ม จุดมุ่งหมายนั้นคริสบอกว่าอัลบั้มเขาต้องฟังทั้งอัลบั้ม Lovers in Japan เพลงมีจังหวะสอดประสานเมโลดี้เร็วขึ้นมาหน่อย ดูหวานๆง่ายๆ เพิ่มความน่าสนใจในช่วงกลางอัลบั้มได้ไม่น้อย Brian Eno ช่วยให้แทรกนี้คนฟังฟังไปพลางจินตนาการหน้าBonoร้องไปได้อีกต่างหาก ต่อด้วย Reign of love ซึ่งอ่อนนุ่มละมุนละไม หวานๆแต่ก็เรียบง่าย หากฟังตอนบรรยากาศเย็นเยียบ เหงาหงอยอยู่จะได้อารมณ์ร่วมมากขึ้น YES โอววววววววว คริสร้องเสียงต่ำๆแบบนี้ถูกใจดีนักแล แถมยังมาแนวเซ็กซี่เล็กๆ ไม่เพียงแต่โทน เนื้อหา โดยรวมมันช่างน่ายั่วยวนให้จิตใจหลงใหลเคลิบเคลิ้ม(เป็นไรไปฟะเนี่ยตู) ก็พ่อคริสมาคร่ำครวญอะไรไม่รู้นี่เนอะ มันกวนใจขนาดนั้นเชียวรึ เฮอะๆ แถมยังมีความแปลกใหม่เพิ่มมาอย่างเสียงกีต้าร์แบบกลิ่นอายตะวันออก เสียงเบสขึ้นลงก็ประกอบกันพอเหมาะได้จังหวะดี เพลงนี้ยิ่งฟังยิ่งชอบไปเลย แม้ครั้งแรกได้ยิน แฟนcoldplay คงได้เป็นอึ้งกันบ้าง แต่เห็นได้ชัดว่าพวกเขาได้พยายามลองสิ่งใหม่ๆ แล้วนี่ก็เป็นส่วนผสมที่ลงตัวอย่างน่าทึ่ง นอกจากนี้ช่างท้ายเพลงยังแอบมี Chinese sleep chant แทรกสั้นๆโผล่เป็นกีต้าร์จังหวะแนวๆบวกเสียงร้องอะไรสักอย่าง ฟังไม่ออก VIVA LA VIDA >> เพลงนี้ ถ้ายังไม่ได้ฟัง อย่าเพิ่งตาย!!! เพลงสวดหรืออย่างไรกันเนี่ย แต่ viva la vida คือเพลงที่โปรดที่สุดและดึงดูดใจได้ตั้งแต่ฟังครั้งแรกเลยทีเดียว ฟังครั้งแรกนี่คิดว่าใช้ได้แล้ว เพราะกว่า violet hill แต่ยิ่งฟังหลายๆๆๆๆๆรอบแล้วรู้เลยว่าเพลงนี้ทำให้ยิ้มได้และซาบซึ้งกับมันจนแยกไม่ออก ขออภัยถ้าจะโอเวอร์ไปนิ้ด ความไพเราะบดบังดวงตาไปซะแล้ว เพราะจนแทบน้ำตาแตก(ร้องไห้ไปเลยจริงๆ ไม่อยากเชื่อตัวเอง) พลางคิดขอบคุณcoldplayที่ไม่ได้ทำให้แฟนผิดหวังเลย อัลบั้มนี้มันยอดเยี่ยมมากจริงๆ นับแต่clock แล้ว เพลงนี้แหละคือการออกมาประกาศความเป็นสุดยอดของพวกเขาได้อย่างเต็มภาคภูมิ Viva la vids ประกอบไปด้วยเครื่องดนตรีครบเครื่องลงตัว แม้แต่กลอง...(เรียกว่าอะไรอ่ะ?) เครื่องสาย เบสเป็นจังหวะๆ ไวโอลิน วงออเครสต้า เสียงคอรัสเป็นแบ็กกราวน์ นี่มันเพอร์เฟคชัดๆ ยิ่งเนื้อเพลงด้วย มีความสวยงามของภาษาดังเดิม ชอบตรงท่อนที่ว่า For some reason I can't explain I know Saint Peter won't call my name ช่วงที่คริสร้องด้วยเสียงสูงตามสไตล์ สุดยอดมากครับ ยิ่งViva la vida ฟังกี่ที่ยิ่งรู้สึกตื่นเต้นมากขึ้นเท่านั้น เนื้อหาของเพลงยิ่งไปใหญ่เลย ผมนั่งวิเคราะถึงเนื้อเพลงนี้เป็นอาทิตย์เลยนะ ส่วน STRAWBERRY SWING ทำให้เรารู้สึกกลับไปเป็นเด็กเลยละ เพลงให้ความผ่อนคลายแต่ปนไปด้วยความเศร้าเล็กๆนะ และเพลง Lost! ผมชอบตรงจังหวะกลองของมันนี้แหละรวมถึงความหมายของมันด้วยดีมากๆเลยล่ะครับ!
โดย: ิีbunsai07 IP: 125.27.54.6 วันที่: 14 กันยายน 2552 เวลา:3:48:26 น.
|
บทความทั้งหมด
|
พอฟังครังที่สอง แล้วลองหลับตาฟังยิ่งทำให้ขนลุกเพราะภาพอะไรต่อมิอะไร ผ่านเข้ามาในจินตนาการ เป็นอะไรที่บอกไม่ถูกจริงๆ ผมว่านี้คงจะไม่ใช่แค่เพลงหรอกนะ แต่ว่าคงจะเป็นบทกวีในศตวรรษที่ 20
(ใครที่มาเจออาจจะหาว่าผมเวอร์) แต่ผมก้อไม่ว่าหรอกนะ
เพราะว่าบทกวีคือ ก็คำ ที่เอามาเรียงร้อยถ้อยคำ ให้สัมผัสกันและก้แฝงแนวความคิดที่ลึกซึ้งเอาไว้ผมว่านี้ก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่
สุดท้ายขอบคุณ Cold play ที่ทำอะไรอย่างนี้ออกมาซึ้งผมไม่รู้ว่าจะเรียกไรดีแต่ พูดได้ 3 คำว่า ชอบ มากๆ ครับ