เทศกาลท้ายฝน


235 เทศกาลท้ายฝน
 

     ชีวิตของชาวไทยในชนบท ซึ่งเป็นพลเมืองส่วนใหญ่ของประเทศ และส่วนมากเป็นชาวไร่ชาวนา ต้องพึ่งฟ้าพึ่งฝน  ฤดูฝนจึงเป็นฤดูกาลสำคัญ เป็นฤดูกาลที่หล่อเลี้ยงชีวิตของประชาชน บรรยากาศที่ชุ่มฉ่ำ และพืชพันธุ์ธัญญาหารที่งอกงามเขียวขจีในฤดูนี้  เป็นเครื่องชุบกายและฟื้นใจให้สดชื่นมีชีวิตชีวา
 
     แต่ในเวลาเดียวกัน  ถนนหนทางและพื้นแผ่นดินที่เฉอะแฉะ มีโคลนเลน เป็นหลุมเป็นบ่อ ก็เป็นอุปสรรคแก่การเดินทาง และการดำเนินชีวิตในที่แจ้ง ทำให้เกิดความอึดอัดขัดข้อง ไม่คล่องแคล่วสะดวกดาย
 
     พระภิกษุทั้งหลาย  ซึ่งในยามปกติ  ย่อมเที่ยวจาริกไปในถิ่นต่างๆ เพื่อปฏิบัติศาสนกิจเผยแพร่พุทธธรรม  ครั้นฤดูฝนย่างเข้ามา  ก็หยุดสัญจร เข้าพำนักอยู่ประจำที่ ณ วัดใดวัดหนึ่งตลอดเวลา ๓ เดือน เพื่อหลีกเว้นเหตุที่จะก่อให้เกิดความเสียหายแก่พืชพันธุ์ที่พึ่งจะเริ่มงอกงาม และเปิดโอกาสให้ชาวชนบทประกอบการกสิกรรมโดยไม่ต้องห่วงกังวลถึงพระสงฆ์ที่จะเดินทางออกไปต่างถิ่น หรือเข้ามาจากถิ่นอื่นๆ  อีกทั้งตัวพระสงฆ์นั้นเอง  ก็ไม่ต้องประสบปัญหาอันเกิดจากการเดินทางที่ยากลำบากด้วย

 
     นอกเหนือจากเหตุผลอันเกี่ยวด้วยดินฟ้าอากาศแล้ว  การที่พระสงฆ์หยุดอยู่ประจำที่ในฤดูฝน ได้อำนวยโอกาสให้กิจกรรมเกี่ยวกับการศึกษาและปฏิบัติธรรมในแต่ละท้องถิ่นดำเนินไปได้อย่างเข้มแข็งจริงจังยิ่งขึ้น
 
     พระสงฆ์ที่เป็นผู้ใหญ่ มีความรู้ความสามารถ เชี่ยวชาญในธรรมวินัย เป็นนักเผยแผ่ ก็ได้มีโอกาสหยุดพักผ่อน ทบทวนงาน คิดการที่จะทำต่อไป และอำนวยความรู้ความชำนาญแก่พระสงฆ์อื่นที่พำนักร่วมอยู่
 
     พระสงฆ์ที่มีความรู้ความชำนาญน้อยลงมา   ก็มีโอกาสที่จะได้ศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติม และปรึกษาสอบถามท่านผู้มีความรู้ความชำนาญมากกว่า
 
     แม้พุทธศาสนิกชนชาวบ้านทั้งหลาย  ก็มีโอกาสได้สดับธรรม และสนทนาสอบถามเรื่องราวทางพระศาสนากับพระสงฆ์ผู้อยู่ประจำที่ได้สม่ำเสมอยิ่งขึ้น
 
     นอกจากนั้น  ยังได้เกิดประเพณีที่ให้ชายหนุ่มอายุครบ ๒๐ ปีบริบูรณ์แล้วอุปสมบท เพื่อรับการศึกษาอบรมทางพระศาสนาอย่างจริงจัง  ดังที่เรียกกันมาว่า บวชเรียน  ในช่วงที่มีบรรยากาศเหมาะสมนี้อีกด้วย
 
     เพราะเหตุที่เทศกาลฝน หรือเทศกาลพรรษา  มีความหมายและคุณค่าอย่างนี้  ในสมัยต่อมา แม้ปัญหาเกี่ยวด้วยดินฟ้าอากาศจะลดความสำคัญลง  แต่ความหมายของเทศกาลพรรษา ก็ยังทรงคุณค่าอยู่ได้อย่างมั่นคง
 
     ปีหนึ่ง  มี ๑๒ เดือน  พระสงฆ์จาริกไปในที่ต่างๆ ประมาณ ๘-๙ เดือน อยู่ประจำที่ในเทศกาลพรรษา ๓ เดือน
 
     เสมือนว่า ทำงานนอกสถานที่ ๓ ส่วน ในสถานที่ ๑ ส่วน ทำงานกระจายเพื่อประชาชนทั่วไป ๓ ส่วน ทำงานเจาะจงเพื่อชุมชนหนึ่งโดยเฉพาะ ๑ ส่วน ออกไปเผื่อแผ่แจกให้เขา ๓ ส่วน กลับมาตระเตรียมฟื้นตัวใหม่ ๑ ส่วน ในลักษณะหนึ่ง  เป็นเหมือนเครื่องประจุไฟฟ้า  (แบตเตอรี่) ที่จ่ายกระแสไฟฟ้าไประยะหนึ่งแล้วกลับมาอัดกระแส  เตรียมพร้อมที่จะใช้งานใหม่ต่อไป
 
     เทศกาลพรรษา  เริ่มต้นด้วยงานพิธีเป็นเครื่องหมายให้รู้กัน ฉันใด  ก็สิ้นสุดลงด้วยมีงานพิธีเป็นเครื่องหมาย ฉันนั้น เริ่มต้นพรรษาเรียกว่า   เข้าพรรษา  สิ้นสุดพรรษา  เรียกว่า ออกพรรษา
 
     อย่างไรก็ดี ลักษณะงานพิธี สาหรับเริ่มต้นพรรษา และสิ้นสุดพรรษานั้น หาได้เหมือนกันอย่างแท้จริงไม่
 
      เมื่อเริ่มต้นพรรษา มีวันหนึ่งกำหนดไว้โดยเฉพาะสำหรับเริ่มต้น เรียกว่าเข้าพรรษา   (แรม ๑ ค่ำ เดือน ๘)  และพิธีกรรมก็เป็นพิธีสำหรับเข้าพรรษา โดยพระสงฆ์กล่าวคำแสดงความตั้งใจ หรือตัดสินใจว่า  “ข้าพเจ้าจะจำพรรษาตลอดเวลา ๓ เดือนในวัดนี้”
 
     เมื่อสิ้นสุดพรรษา วันที่พรรษาสิ้นสุดลงมีจริง   เรียกว่า  วันออกพรรษา  (ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑)  แต่พิธีกรรมที่จะให้พรรษาสิ้นสุดลงหามีไม่  เพราะเมื่อวันเวลาที่อยู่จำพรรษาครบ ๓ เดือนเต็มตามที่กล่าวคำตั้งใจแล้ว การจำพรรษา  ย่อมสิ้นสุดลงโดยตัวของมันเอง  เป็นของอัตโนมัติ
 
     แทนที่จะมีพิธีสำหรับให้พรรษาสิ้นสุดลง  กลับมีงานมีพิธีที่มีลักษณะเป็นการเริ่มต้น คือเริ่มต้นเวลาหลังจากพรรษาสิ้นสุดแล้ว
 
     พูดอีกอย่างหนึ่งว่า   มีพิธีเริ่มต้นเวลาในพรรษา ที่เรียกว่า เข้าพรรษา กับ พิธีเริ่มต้นเวลานอกพรรษา ที่จะพูดถึงต่อไป
 
     พิธีเริ่มต้นเวลานอกพรรษานั้น มีความหมายเชื่อมโยงเวลาในพรรษา  กับ  เวลานอกพรรษา ให้สัมพันธ์กัน คือ อ้างอิงหรืออาศัยเวลาที่ผ่านมาในพรรษานั้นเป็นฐาน เพื่อเริ่มต้นกิจการงานในเวลานอกพรรษา ที่จะมีมาต่อไป ให้ได้ผลดี
 
     วัสสานกาล หรือพรรษากาล หรือฤดูฝนนั้น ความจริงมี ๔ เดือน พระสงฆ์จำพรรษาเพียง ๓ เดือน
 
     เดือนสุดท้ายของฤดูฝนจึงยังเหลืออยู่ ๑ เดือน ขอเรียกว่า เดือนท้ายฝน (แรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ ถึงขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒)  เป็นเดือนที่เหลือไว้เตรียมตัวให้พร้อม  สำหรับงานหรือศาสนกิจนอกพรรษาต่อไป งานพิธีในเวลาช่วงนี้ขอเรียกว่า เทศกาลท้ายฝน
 
     พิธีกรรม และงานพิธีในท้ายฝนนี้มีถึง ๓ อย่าง  บางอย่างเป็นพิธีที่ต้องทำในวันสิ้นสุดพรรษา  บางอย่างทำได้ตลอดเดือนท้ายฝน   บางอย่างเป็นพิธีตามบทบัญญัติในวินัยของพระสงฆ์   บางอย่างเป็นพิธีอันมีมาตามประเพณี   บางอย่างเป็นทั้งบทบัญญัติในวินัยสงฆ์ และเป็นพิธีอันมีมาตามประเพณี
 
     พิธีกรรม และงานพิธี ๓ อย่างนี้  มีชื่อว่า พิธีมหาปวารณา (เรียกง่ายๆ ว่า พิธีปวารณา)  งานตักบาตรเทโวโรหณะ  (ชาวบ้านเรียกว่า ตักบาตรเทโว)  และงานทอดกฐิน
 
     งานใดเป็นอย่างไร  มีความหมายอย่างไร จะได้พูดต่อไป
 
 



Create Date : 11 พฤศจิกายน 2567
Last Update : 11 พฤศจิกายน 2567 19:09:36 น.
Counter : 125 Pageviews.

0 comments
: กะว่าก๋าแนะนำหนังสือ - พลังแห่งชีวิต : กะว่าก๋า
(8 ก.พ. 2568 06:05:24 น.)
It's Tea O'clock! จันทราน็อคเทิร์น
(7 ก.พ. 2568 16:56:04 น.)
๏ ... ตัดน้ำตัดไฟ ... ๏ นกโก๊ก
(7 ก.พ. 2568 13:19:10 น.)
รวมธรรม26 นาฬิกาสีชมพู
(28 ม.ค. 2568 15:12:36 น.)
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Samathijit.BlogGang.com

สมาชิกหมายเลข 6393385
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 9 คน [?]

บทความทั้งหมด