Angel Caido Luci ตอนที่ 4 Back to Chapter 1 Back to Chapter 2 Back to Chapter 3 ---------------------------------------------------------- [b]Chapter 4[/b] ท่ามกลางยามราตรี ในคืนที่แสงจันทร์ส่องสว่าง มุมหนึ่งในนิวยอร์คซิตี้ เสียงไซเรนรถพยาบาลดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ต่างล้วนวิ่งไปยังสถานที่ซึ่งเกิดอุบัติเหตุ ณ ที่แห่งนั้นเกิดอุบัติเหตุรถบรรทุกคันหนึ่งเสียหลัก คาดว่าคงเพราะเบรกของรถมีปัญหา ตัวรถพลิกคว่ำแล้วพุ่งเข้าใส่ฝูงชน มีประชาชนจำนวนมากได้รับบาดเจ็บ เนื่องจากที่เกิดเหตุมีประชาชนพลุกพล่าน ประชาชนจำนวนมากร่ำร้องด้วยความเจ็บปวดจากบาดแผลที่ได้รับ เหล่าพยาบาลเข้าทำการปฐมพยาบาล และพาผู้บาดเจ็บนำส่งไปยังโรงพยาบาลที่อยู่บริเวณนั้น ที่ปลายสุดของจุดที่รถบรรทุกพุ่งเข้าชน ปรากฏร่างของเด็กสาวคนหนึ่งยืนนิ่งไม่ไหวติง บุรุษพยาบาลคนหนึ่งเดินไปหาหนูน้อยที่ยืนนิ่ง ณ ที่นั่น “หนู ๆ หนูไม่เป็นไรนะ” เขาจับที่ตัวเด็กน้อย ที่ยังมีอาการสั่นเทาอยู่ “เขาช่วยหนูไว้” หนูน้อยพูดกระท่อนกระแท่น “เขา?” บุรุษพยาบาลถามย้ำ “ค่ะ คนตัวใหญ่ ๆ แต่มีขนตามตัวด้วยล่ะ” “เขายันตัวรถไว้ แล้วรถก็มาไม่ถึงหนู” เด็กน้อยบอกเล่าสิ่งที่ตัวเองประสบให้บุรุษพยาบาลฟังแบบซื่อ ๆ ท่ามกลางความงุนงงของเหล่าผู้คนต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มีเงา ๆ หนึ่งกระโดดข้ามจากตึกหนึ่ง ไปยังอีกตึกหนึ่ง ท่ามกลางยามราตรี ในคืนที่แสงจันทร์ส่องสว่าง ----------------------------------------- “อ่ะ...อือออ.......” เสียงของคาเรนลอดออกมาจากกองผ้าห่ม เธอค่อย ๆ ขยับตัวเพื่อคลายผ้าห่มที่พันตัวเธออยู่ หากแต่เหมือนว่ามันจะพันกันยุ่งเหยิงไปซักหน่อย เธอจึงดิ้นแรงขึ้น แรงขึ้น และแรงขึ้น ตึง!!! “อ...โอ้ย!!” เธอร้องด้วยความเจ็บปวด เช่นเคยเหมือนทุกวันที่เธอจะต้องตกเตียงเป็นกิจวัตรประจำวัน เธอค่อย ๆ ขยับไปมาซักพัก ผ้าห่มที่พันกันเริ่มคลายออก เธอโผล่หัวออกมาจากกองผ้าห่ม “ฮ้าาาา~” เธออ้าปากออกมาเอาอากาศเข้าปากเต็มที่ เพราะตอนที่อยู่ในผ้าห่มเธอหายใจได้ไม่เต็มที่นัก เธอค่อย ๆ ลุกขึ้นพลางคิดในใจ ‘น่าซื้อผ้านวมมารองข้าง ๆ เตียงแฮะ’ ก่อนที่จะเดินออกไปเก็บจานขนมที่โต๊ะเครื่องแป้งที่เธอเอามาทานเมื่อคืนระหว่างหาข่าวของเจ้าสัตว์ประหลาด พร้อมทั้งทบทวนเรื่องที่เธอต้องทำในวันนี้ เธอตัดสินใจที่จะไปยัง FBI เพื่อให้คำตอบแก่มอเฟียช เธอเดินลงมาที่ชั้น 1 เอาจานมาเก็บที่ห้องครัว เธอเหลือบมองทางลงไปห้องใต้ดินแว่บนึงแล้วเกาหัวพลางนึกถึงงานที่ต้องทำความ สะอาดถ้าหากเธอคิดที่จะใช้ห้องใต้ดินเพื่อฝึกซ้อมยิงปืน ด้วยเพราะเธอไม่คิดว่าทาง FBI จะให้เธอเข้าไปซ้อมยิงด้วยกาลิอ้อน และเบลิอ้อน ซึ่งเป็นของที่ไม่ได้ถูกต้องตามกฏหมายแน่ ๆ เธอทำความสะอาดจานเรียบร้อยแล้ว จึงออกไปเข้าห้องน้ำ เพื่อล้างหน้าแปรงฟัน ระหว่างนั้นเธอเปิดวิทยุไว้เพื่อรับฟังข่าวสาร ข่าวต่าง ๆ รายงานไปเป็นเรื่องปกติทั่ว ๆ ไปซึ่งเธอก็ฟังด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย จนกระทั่ง “เมื่อเวลา 22.45 คืนที่ผ่านมา ณ สวนสาธารณะซาร่ารูสเวลท์ ได้เกิดอุบัติเหตุรถบรรทุกเล็กพลิกคว่ำ ทำให้รถลื่นไถลไปตามขอบทางทำให้มีผู้บาดเจ็บ 24 ราย จากการสอบสวนพบว่าระบบเบรคของรถมีปัญหาจึงทำให้เกิดเหตุดังกล่าวขึ้น ในเหตุการณ์ดังกล่าวมีเด็กสาวผู้หนึ่งรอดจากการถูกรถพุ่งเข้าชนได้อย่างน่า อัศจรรย์ เด็กสาววัย 8 ขวบบอกเพียงว่า มีชายลึกลับมีขนตามตัวมาช่วยเธอไว้ จากการตรวจสอบส่วนหัวของรถที่พุ่งไปหาเธอ มีร่องรอยเป็นฝ่ามือขนาดใหญ่กดลงไป ความคืบหน้า ทางสำนักข่าวจะได้รายงานต่อไป” สายตาที่ดูสะลึมสะลือของคาเรนเบิกกว้างทันที ร่างกายเธอแทบจะหายจากความงัวเงียยามตื่นนอนเป็นปลิดทิ้ง เธอรีบล้างหน้าแปรงฟัน ปิดวิทยุ แล้ววิ่งขึ้นไปเปิดคอมพิวเตอร์ของเธอเพื่อหาข่าวอ่านทันที เนื้อหาของข่าวจากเว็บไซต์ไม่ได้ต่างจากที่รายงานผ่านวิทยุนัก หากแต่มีภาพข่าวและสัมภาษณ์เด็กสาวจากที่เกิดเหตุ แค่นั้นก็มากพอที่จะยืนยันเหตุการณ์ได้แล้ว “เจ้านั่นที่อยู่ในเมืองนี้ เป็นมิตรกับมนุษย์งั้นรึ??” น้ำเสียงของเธอไม่ค่อยเชื่อในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า เจ้าสัตว์ประหลาดนั่นมาช่วยเด็กสาวคนนี้จริง ๆ มันทำให้เธองุนงงกับพฤติกรรมของมันมากขึ้นไปอีก คาเรนรีบอาบน้ำแต่งตัวทันที เธอคิดว่าบางทีเธอคงจะต้องตอบตกลงที่จะร่วมมือกับ FBI ซะแล้ว เพราะ ณ เวลานี้ความอยากรู้อยากเห็นของเธอมันมากเสียเหลือเกิน คาเรนจัดการภารกิจอย่างรวดเร็ว แล้วปิดบ้านเพื่อเดินทางไปยัง FBI ทันที ณ สำนักงาน FBI สาขานิวยอร์ค ผู้คนยังไม่มากนัก เพราะคาเรนมาถึงที่หมายในเวลาค่อนข้างเช้าอย่างมาก เธอเดินตรงไปยังฝ่ายประชาสัมพันธ์ทันที “จะติดต่อเรื่องอะไรคะ?” เจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์เอ่ยถามขึ้น “ติดต่อคุณมอเฟียช โอวิธแผนกสืบสวนคดีพิเศษค่ะ ช่วยเรียนเขาว่า คลาวเรน คาเรนขอพบค่ะ” คาเรนตอบ “รอสักครู่นะคะ” เจ้าหน้าที่รีบติดต่อให้ทันที คาเรนยืนเคาะนิ้วกับโต๊ะประชาชัมพันธ์ มันออกจะเป็นอาการที่ดูร้อนรน แต่ไม่แปลกนักสำหรับคาเรนในเวลานี้ ดูเหมือนเธอจะให้ความสนใจต่อเจ้าสิ่งนั้นอย่างมาก อาจจะเพราะความท้าทายและความน่าสนใจของมันช่างมีมากมายเหลือเกิน เธอยืนคอยประมาณ 5 นาที เจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์จึงได้เดินกลับมาหาคาเรน “คุณคะ คุณโอวิธเชิญที่แผนกสืบสวนคดีพิเศษได้เลยค่ะ แผนกจะอยู่ที่ชั้น 5 จากลิฟท์ เดินไปทางซ้าย เดินไปจนสุดนะคะ” เจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์กล่าว “ขอบคุณค่ะ” คาเรนยิ้มรับ พลางแลกบัตรและเดินผ่านยามไปทางลิฟท์ทันที เมื่อมาถึงชั้น 5 เธอเดินตรงไปตามที่เจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์บอกทันที ที่สุดของทางเดิน ห้องนั้นติดป้ายไว้ชัดเจน ‘แผนกสืบสวนคดีพิเศษ (สำนักงานชั่วคราว)’ คาเรนหยุดมองป้ายอยู่ครู่ใหญ่ เธอรวบรวมลมหายใจ ก่อนที่จะเปิดประตูห้องเข้าไป ภายในห้อง ภาพของเจ้าหน้าที่ประมาณ 2 - 3 คนเงยหน้ามองเธอเป็นตาเดียวกัน คาเรนดูท่าทางตื่น ๆ เล็กน้อย เธอรู้สึกแปลกประหลาดกับสถานที่พอสมควรเธอจึงได้แต่ยืนนิ่งเงียบ เจ้าหน้าที่คนอื่นก็ได้แต่มองเธอเท่านั้น การโดนมองเช่นนี้มันช่างน่าทำให้ความมั่นในตัวเธอลดลงไปจริง ๆ เธอสำรวจตัวเองทันทีว่าเผลอทำอะไรป้ำ ๆ เป๋อ ๆ รึไม่ คงเพราะวันนี้เธอใส่กระโปรงสั้นด้วยความรีบแทบจะคว้าอะไรได้ ก็คว้ามาใส่เลย ซึ่งตามปกติเธอชอบที่จะใส่กางเกงมากกว่าแท้ ๆ “คุณคาเรน!!” เสียงชายผู้หนึ่งเรียกเธอ คาเรนมองไปตามเสียงนั้น นักสืบแอธร่อนนั่นเอง “อรุณสวัสดิ์ครับ ไม่คิดเลยนะครับ ว่าคราวนี้คุณจะเป็นฝ่ายบุกมาถึงที่ทำงาน” นักสืบแอธร่อนกล่าวแกมหยอก “อรุณสวัสดิ์ค่ะ ดิฉันมาขอพบคุณโอวิธน่ะค่ะ” คาเรนแจ้งความประสงค์ไปทันที “อืม... หัวหน้าไปแผนกวิเคราะห์ข้อมูลน่ะครับ” “เชิญนั่งทางนี้ก่อนครับ” นักสืบแอธร่อนเชิญเธอไปนั่งที่โซฟารับรองแขก เหล่าเจ้าหน้าที่กลับไปทำงานกันตามปกติ “จะดื่มอะไรรึเปล่าครับ?” เขาเอ่ยถามขึ้น “อ่ะ... ไม่ค่ะ ขอบคุณมากค่ะ” คาเรนตอบ คำพูดของเธอดูตะกุกตะกัก “ดูคุณตื่น ๆ นะครับเนี้ย” นักสืบแอธร่อนที่สังเกตท่าทางของคาเรนเอ่ยถามขึ้น “ก็ค่อนข้างรู้สึกแปลก ๆ น่ะค่ะ คงเพราะตัวเองไม่ค่อยได้ทำงานในที่คนแยะ ๆ แบบนี้น่ะค่ะ” คาเรนตอบคำถาม นักสืบแอธร่อนรู้สึกแปลกใจกับนิสัยของคาเรนพอควร เพราะที่พบกันครั้งแรกเธอออกจะเป็นคนที่มีความมั่นใจในตัวเองสูงทีเดียว หากแต่วันนี้เธอกลับดูเหมือนเป็นคนที่ไม่ค่อยมั่นใจในตัวเองไปซะดื้อ ๆ “คุณนี่เป็นคนแปลก ๆ กว่าที่ผมคิดไว้อีกนะครับ” นักสืบแอธร่อนกล่าวตรง ๆ “ค่ะ เพื่อนดิฉันก็มักบอกว่าดิฉันน่ารักแบบแปลก ๆ เสมอล่ะค่ะ” คาเรนล้อเล่นกลับไปจนนักสืบแอธร่อนที่ฟังอยู่อดขำไม่ได้ ดูเหมือนว่าคาเรนจะสามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมรอบ ๆ ตัวได้แล้วเพราะท่าทางของเธอดูผ่อนคลายมากขึ้น “วันนี้มาตอบข้อเสนอของหัวหน้าสินะครับ” นักสืบแอธร่อนถามพลางยกถ้วยกาแฟขึ้นมาดื่ม คาเรนนั้นแสดงสีหน้าแปลกใจเล็กน้อย เพราะเธอนั้นคิดว่าเรื่องที่เธอถูกเสนอให้มาช่วยงานแผนกสืบสวนคดีพิเศษจะ เป็นความลับอะไรซะอีก สายตาของเธอแสดงความแปลกใจจนนักสืบแอธร่อนสังเกตเห็นได้ “ไม่ต้องแปลกใจหรอกครับ จริง ๆ เจ้าหน้าที่ในแผนกนี้แต่ละคนก็ถูกดึงตัวจากหน่วยงานต่าง ๆ มาร่วมกันทำงานเฉพาะกิจทั้งนั้นล่ะครับ” นักสืบแอธร่อนพูดพลางยิ้มที่มุมปาก “ผิดคาดมากเลยนะคะเนี้ย ดิฉันนึกว่าทุกคนในที่นี้เป็นคนของ FBI ทั้งหมดซะอีก” คาเรนพูดพลางมองดูบรรยากาศในที่ทำงาน มันทำให้เธอนึกถึงทุกคนที่สำนักงานกองอนุรักษ์พันธุ์สัตว์ ประตูสำนักงานถูกเปิดออกอีกครั้ง คราวนี้ผู้เปิดมันคือมอเฟียช เขาสังเกตเห็นคาเรนที่นั่งอยู่ที่โซฟาสำหรับรับแขก จึงเดินเข้าไปหาทันที มอเฟียชเข้าเขย่ามือคาเรนเป็นการทักทาย “สวัสดีครับคุณคาเรน มาแต่เช้าเลยนะครับ” เขายิ้มออกมาเล็กน้อย “ค่ะ ดิฉันคิดว่า ควรให้คำตอบไว ๆน่ะค่ะ” คาเรนกล่าวตอบพร้อมรอยยิ้มเช่นกัน มอเฟียชที่เห็นเช่นนั้นจึงผายมือไปทางห้องของเขา “ถ้ายังงั้น ก็เชิญเลยครับ” เขาออกเดินไปยังห้องนั้นทันที คาเรนเดินตามมอเฟียช ไปในห้องหัวหน้าแผนกสืบสวนคดีพิเศษทันที มอเฟียชนั่งที่โต๊ะประจำตำแหน่งของเขา และเชิญให้คาเรนนั่งลง คาเรนค่อย ๆ นั่งลงช้า ๆ พร้อมทั้งจ้องมองไปยังมอเฟียช “คำตอบล่ะครับ?” มอเฟียชกล่าวถามพลางเอามือมาประสานกันที่หน้าคางของตนเอง คาเรนยิ้มกว้างออกมาทันที “ไม่ปฎิเสธค่ะ แต่ว่าทางดิฉันเองก็คงต้องแจ้งบางอย่างให้ทางนี้ทราบไว้ด้วย” เธอตอบพร้อมข้อแม้ ซึ่งมอเฟียชเองก็พยักหน้าและรอรับฟังอยู่ “อย่างแรกดิฉันทำงานในฐานะเจ้าหน้าของอุทยานมาตลอด ฉะนั้นเรื่องระเบียบปฏิบัติของ FBI อาจจะไม่สันทัดนะคะ” “อย่างที่สองดิฉันแค่เพียงมาช่วยงาน หากภาระกิจเสร็จสิ้นดิฉันก็คงขอกลับไปทำที่หน่วยงานเดิม” “และอย่างสุดท้ายดิฉันขอที่จะใช้อาวุธหนักในบางครั้งเพื่อตามตัวคนร้ายนะคะ” มอเฟียชยิ้มออกมาทันที เขาไม่ค่อยพบใครที่กล้ายื่นข้อแม้ในการร่วมงานมาให้เห็นบ่อยนัก “ไม่คิดบ้างรึครับว่า ทางผมจะปฎิเสธ” มอเฟียชแย็บกลับไปทันที “ไม่คิดค่ะ เพราะถ้าดูจากสิ่งที่คุณกล่าวเมื่อครั้งก่อน ทางดิฉันก็พอสรุปได้ว่า ทางหน่วยงานของคุณมีความต้องการในตัวดิฉันมากพอสมควรทีเดียว” คาเรนตอบทั้งรอยยิ้ม มอเฟียชแสดงสีหน้ายอมรับในความคิดของคาเรน เพราะสิ่งที่เธอคิดไว้นั้นไม่ผิดเลย ทางเบื้องบนกำชับเขามาไม่ว่าจะวิธีใหนให้นำเธอมาร่วมทีมให้ได้จริง ๆ “ข้อ 1 และ 2 นั่นผมคิดว่าไม่มีปัญหา แต่ข้อ 3 ผมว่าคงแล้วแต่สถานการณ์ล่ะครับ” มอเฟียชตอบด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ “ค่ะ ดิฉันทราบดี เพียงแต่ว่าถ้าต้องรับมือกับพวก มัน ดิฉันว่เตรียมของหนักไว้ก็ดี” คาเรนตอบรับ มอเฟียชหัวเราะออกมานิดหน่อย “เอาเถอะครับ ถึงเวลาคงจะได้รู้กัน ครั้งแรกผมนึกว่า คุณจะขอคู่หูเป็นนักสืบโมลเดอร์ หรือ นักสืบสกัลลี่ซะอีก” “ดิฉันไม่คิดว่าคุณคือ หัวหน้าสกินเนอร์หรอกค่ะ” คาเรนพูดพร้อมรอยยิ้ม “คุณนี่ดูยังไงก็ไม่น่าใช่ผู้ที่จัดการเจ้าสิ่งนั้นเลยนะครับ” มอเฟียชกล่าว คาเรนยักไหล่นิดหน่อย “บางครั้ง อะไรที่ดูไม่น่าเชื่อมันมักเป็นจริงเสมอล่ะค่ะ” มอเฟียชลุกขึ้นจากโต๊ะ เขาเดินไปยังประตูห้อง ก่อนเปิดประตูเขากล่าวขั้น “เดี๋ยวผมจะแนะนำเพื่อนร่วมงานในที่นี้ให้คุณรู้จักนะครับ” คาเรนลุกตามมอเฟียชไป มอเฟียชที่เดินออกไปก่อนจึงเริ่มแนะนำตัวคาเรนทันที “โอเคครับ ทุกคน คุณผู้หญิงท่านนี้คือคุณคลาวเรน คาเรน สมาชิกใหม่ของหน่วยเรา เธอจะมาอยู่ประจำในฐานะเจ้าหน้าที่ภาคสนามนะครับ” เขาแนะนำสั้น ๆ “ยินดีที่ได้รู้จักทุกคนค่ะ จริง ๆ เรียก คาเรน เฉย ๆ ก็ได้ค่ะ” คาเรนกล่าวต่อจากมอเฟียชทันที หลังจากคาเรนกล่าวจบ มอเฟียชค่อย ๆ แนะนำสมาชิกแต่ละคนในหน่วยงานต่อ เขาเริ่มจากเจ้าหน้าที่หญิงผมยาวสีบลอนด์ “นี่เจ้าหน้าที่ลินดา เฮอร์มิ่ง เป็นเลขาและงานธุรการของแผนกเรา” ลินดาส่งยิ้มให้คาเรน “นักสืบแอธร่อน นักสืบดูลอน และนักสืบฟิลด์ คิดว่าคุณคาเรนรู้จักแล้วนะครับ” คาเรนพยักหน้ารับ เพราะทั้งสามคนคาเรนได้พบและพูดคุยบ้างแล้ว มอเฟียชเดินลึกเข้าไปยังเจ้าหน้าที่ซึ่งกำลังขะมักเขม้นอยู่ที่หน้าจอคอม “ส่วนคนนี้คือ เจ้าหน้าที่สตีฟ เวสท์ เจ้าหน้าที่ฝ่ายข้อมูลของเรา” สตีฟยกมือทักทายคาเรนโดยไม่ได้มองหน้า “ส่วนคนสุดท้าย” มอเฟียชเดินไปยังชายผู้หนึ่งใส่เสื้อเชิ้ตสีขาว ตัดผมสั้นจนเกรียน นัยน์ตาสีน้ำตาลเข็ม “เจ้าหน้าที่ริชาร์ด โฟลคอน เขาจะเป็นผู้ที่ทำงานร่วมกับคุณในฐานะคู่หูครับ” คาเรนยิ้มให้เขาทันที แต่ริชาร์ดดูท่าทางไม่ค่อยชอบใจเท่าไหร่นัก เขาค่อย ๆ ลุกขึ้นยืน “หัวหน้าครับ ผมไม่ใช่พี่เลี้ยงนะครับ ถึงได้ให้ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ แบบนี้มาทำงานภาคสนามกับผม” ริชาร์ดกล่าวน้ำเสียงไม่พอใจเท่าไหร่ ตัวเขาที่ลุกขึ้นสูงเกือบ 7 ฟุตซึ่งสูงใหญ่กว่าคาเรนที่สูงเพียง 5 ฟุต 8 นิ้ว เขาจึงมองว่าคาเรนนั้นดูเด็กไป มอเฟียชมองริชาร์ดอย่างเยือกเย็น เขาพูดขึ้นอย่างเรียบ ๆ “คุณคาเรนเองในหน่วยงานเก่าก็จัดว่ามีฝีมือที่สูงอยู่นะครับคุณริชาร์ด และที่สำคัญเธอยังเป็นผู้จัดการเจ้านั่นอีกด้วย” จัดการเจ้านั่น มันเป็นคำที่ทำให้เจ้าหน้าที่ที่ไม่ได้ตามเรื่องนี้โดยละเอียดถึงกับตะลึง ด้วยไม่มีใครคิดว่าผู้ที่จะจัดการเจ้าสัตว์ประหลาดจะเป็นผู้หญิงที่ รูปร่างบอบบางคนนี้ “หา!! ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ เนี่ยะนะ” ริชาร์ดอุทานด้วยไม่เชื่อสายตาตัวเอง ว่าผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าจะเป็นคนที่จัดการสัตว์ประหลาดที่สังหารเจ้า หน้าที่ของ FBI ไปถึง 2 คน คาเรนได้แต่เพียงยืนมองริชาร์ดนิ่ง ๆ เธอไม่ได้รู้สึกแปลกใจหรือรู้สึกไม่ดีกับริชาร์ด เพราะเธอเองก็เคยเจอสถานการณ์แบบนี้เมื่อคราวที่รู้จักกับมาร์คใหม่ ๆ “ค่ะ ดิฉันเป็นคนยิงมันตายเองกับมือ” คาเรนย้ำความมั่นใจให้ริชาร์ด “ดิฉันเอาพริกไทยโรยใส่หน้ามัน แล้วตอนที่มันเผลอดิฉันเลยเอาไรเฟิลกรอกปากมันน่ะ” คาเรนอธิบายแบบติดตลก คนในสำนักงานหัวเราะออกมาเบา ๆ แต่ดูริชาร์ดไม่ขำตามเลย เขาลงไปนั่งกอดอกลงกับเก้าอี้ของเขา “ถ้าเป็นคำสั่งยังไงผมก็ปฎิเสธไม่ได้สินะ” “ใช่แล้วครับ คุณริชาร์ด” มอเฟียชตอบข้อสงสัยที่เหมือนประชดของริชาร์ด “ถ้าอย่างนั้น ขอฝากเนื้อฝากตัว ฝากกายฝากใจด้วยนะคะ” คาเรนพูดต่อจากมอเฟียช พร้อมขยิบตาให้ริชาร์ด ทำเอาริชาร์ดถึงกับอึ้งหน้าแดงไปเลย จนคนในสำนักงานแทบจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมา คงไม่มีใครคาดคิดว่าเจ้าหน้าที่คนใหม่ของแผนกจะเป็นคนที่บ๊องได้ขนาดนี้ ริชาร์ดแทบจะทนไม่ได้เขาลุกขึ้นเดินออกจากห้องไปด้วยท่าทางกระฟัดกระเฟี้ยด พอควรทีเดียว หลังจากที่ริชาร์ดเดินออกไป คาเรนหันไปหามอเฟียสแล้วถามขึ้น “ดิฉันจะเริ่มงานได้เมื่อไหร่คะ” “จริง ๆ ตามกำหนดน่าจะเป็นวันจันทร์หน้า แต่จะเริ่มวันนี้เลยก็ได้ครับ” มอเฟียชกล่าวตอบพร้อมกับยื่นมือให้คาเรน คาเรนจับมือมอเฟียชแล้วเขย่าเล็กน้อย “หวังว่าเราจะทำงานกันได้ด้วยดีนะครับ” “ดิฉันจะพยายามทำให้ดีที่สุดค่ะ” คาเรนกล่าวตอบมอเพียช หลังจากที่แนะนำตัวเสร็จสิ้น ทุกคนก็แยกย้ายกันไปทำงาน โดยมอเฟียชจะเรียกประชุมทั้งแผนกในตอน 10 โมง ระหว่างนี้คาเรนจึงไปจัดโต๊ะที่นั่งของเธอเอง โต๊ะของคาเรนนั้นอยู่ติดกับโต๊ะของริชาร์ด ณ เวลานี้เธอยังไม่มีของอะไร เธอจึงจัดวางของที่เป็นอุปกรณ์สำนักงานตามที่จำเป็นไปก่อน ระหว่างนั้นริชาร์ดที่กระฟัดกระเฟี้ยดออกไปก็เดินกลับเข้ามา ดูท่าทางเขาจะงงเล็กน้อยที่คาเรนมานั่งข้างเขา คาเรนที่เห็นริชาร์ดก็ยังมีอารมณ์ยั่วเขาด้วยการชูแขนแล้วโง้งเข้าหากันเป็น รูปหัวใจและส่งยิ้มให้ ริชาร์ดแสดงสีหน้าหนักใจจนเห็นได้ชัด ในใจเขาตอนนี้รู้สึกยิ่งกว่าพี่เลี้ยงเด็ก เขากำลังคิดว่ากำลังต้องไปทำงานร่วมกับคนบ้าซะมากกว่า หากแต่ภายในสำนักงานกลับอบอวลไปด้วยเสียงหัวเราะ คงเพราะริชาร์ดนั้นปั้นหน้าเครียดตลอดและไม่เคยมีใครกล้าแหย่ริชาร์ดมาก่อน ด้วย นี่เรียกได้ว่าเป็นครั้งแรกที่มีคนในสำนักงานกล้าล้อเล่นกับริชาร์ดเช่นนี้ “คุณคาเรนครับ ไอ้การแหย่ผมแบบนี้มันสนุกมากรึไงครับ” ริชาร์ดเดินเข้ามาคุยกับคาเรนตรง ๆ ด้วยน้ำเสียงที่พยายามอดกลั้นอย่างยิ่ง คาเรนที่จัดของจึงเงยหน้าขึ้นไปมอง “ไม่สนุกเท่าไหร่ค่ะ คุณโฟลคอนไม่ค่อยยอมเล่นกับดิฉันเหมือนหัวหน้าสกินเนอร์เลย” คาเรนตอบด้วยน้ำเสียงใสซื่อหากแต่คิดตลกนิด ๆ ริชาร์ดรู้สึกเส้นประสาทกระตุกด้วยความโมโห เพราะเหมือนว่าคาเรนไม่รู้ร้อนรู้หนาวกับอารมณ์โกรธของเขาเท่าไหร่เลย ทว่าคาเรนกลับยิ้มออกมาแล้วปรายตาไปที่ริชาร์ด “ดิฉันเข้าใจค่ะ ว่าคุณต้องการบรรยากาศที่เป็นการเป็นงาน แต่ว่าบางครั้งจะผ่อนคลายอารมณ์บ้างก็ดีต่อสุขภาพตัวเองนะคะ” คาเรนกล่าวด้วยน้ำเสียงที่จริงจังมากขึ้น จนทำให้ริชาร์ดที่เหมือนจะตวาดคาเรนต้องหยุดกิริยานั้นไว้ เขาถอนหายใจออกมาแรง ๆ ก่อนที่จะกล่าวออกมา “ยังไงซะในเวลางานก็อย่ากวนผมให้มากก็แล้วกัน” “ได้ค่า~ คู่หู” คาเรนตอบรับ แต่ก็ยังออกกวนนิด ๆ คาเรนจัดของจนถึงเวลาที่มอเฟียสเรียกเข้าประชุม ทุกคนไปพร้อมกันในห้องประชุมซึ่งมีขนาดไม่ใหญ่มาก แต่ก็พอจุเจ้าหน้าที่ทั้งหมดเข้าไปได้ และมีอุปกรณ์ในการนำเสนองานทุกอย่างครบถ้วน เมื่อทุกคนมาพร้อมกัน มอเฟียสจึงเริ่ม เปิดการประชุมทันที “จริง ๆ ผมว่าจะเรียกประชุมพร้อมกันในวันจันทร์ แต่ที่เรียกกันในวันนี้เลยเพราะเห็นว่า เจ้าหน้าที่ของเราก็ครบแล้ว ผมคงไม่ต้องแนะนำคุณคาเรนให้ทุกคนแล้วนะครับ ก็ขอเข้าเรื่องเลยก็แล้วกัน สตีฟขอภาพและข้อมูลด้วย” สตีฟกดคีย์บอร์ดโน๊ตบุ๊คซึ่งต่อเข้ากับโปรเจคเตอร์อย่างรวดเร็วภาพที่ขึ้นจอ เป็นภาพเหตุการณ์อุบัติเหตุเมื่อคืนวาน โดยเป็นภาพของรถบรรทุกที่พลิกคว่ำอยู่ สตีฟขยับแว่นตาตัวเองเล็กน้อยแล้วจึงเริ่มให้ข้อมูล “จากที่มีการเก็บข้อมูลและหลักฐานทั้งจากที่เกิดเหตุ พยานแวดล้อม ตัวรถยนต์ ค่อนข้างแน่ชัดตรงกันครับ ว่ามีการปรากฏตัวของ D-2 จริง ๆ” สีหน้าของคาเรนแสดงความสนใจออกมาอย่างมาก พลางคิดในใจ ‘เจ้านั้นถูกเรียกว่า D-2 งั้นรึ’ “ในที่เกิดเหตุทางหน่วยพิสูจน์หลักฐานสามารถเก็บเศษขนของ D-2 ได้จำนวนมากทีเดียว และที่ตัวรถรอยมือขนาดใหญ่นั่น ก็ได้รับการพิสูจน์แล้วว่า ไม่ใช่รอยนิ้วมือของมนุษย์แต่อย่างใด” “สรุปว่ามันเข้าช่วยเด็กสาวนั่นจริง ๆ สินะ” นักสืบดูลอนกล่าวขึ้นมา “ถ้าดูตามสภาพการณ์ก็คงแบบนั้นล่ะครับ” สตีฟตอบอย่างเรียบ ๆ คาเรนลูบปอยผมเธอช้า ๆ ก่อนที่จะยกมือขึ้นถาม “เชิญครับ คุณคาเรน” มอเฟียชที่สังเกตเห็นคาเรนยกมือ จึงเปิดโอกาสให้เธอถามทันที “ทางหน่วยงานที่พิสูจน์ได้มีการทดสอบเส้นขนของมันบ้างรึไม่คะ” คาเรนกล่าวถามขึ้น “หมายถึงพิสูจน์ DNA น่ะรึครับ?” สตีฟถามย้ำ “ไม่ใช่ค่ะ หมายถึง ความแข็งของมันค่ะ” คาเรนตอบข้อคำถาม หากแต่เป็นการตอบที่ทำให้หลายคนเกิดความสงสัยในใจมากขึ้น “หมายความว่ายังไงความแข็ง เธอจะเอาขนมันไปถักเสื้อเกราะหรือยังไง” ริชาร์ดกล่าวแถมแกมเหน็บนิด ๆ “...” คาเรนนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง “เส้นขนของมันก็ปกตินะครับ สามารถใช้กรรไกรตัดขาดได้สบาย ๆ เลยล่ะครับ” สตีฟกล่าวตอบ มอเฟียชที่ฟังคำถามอยู่ เกิดความสนใจในสิ่งที่คาเรนกล่าว จึงถามกลับไป “คุณคาเรนกำลังสงสัยอะไรยังงั้นรึครับ ถ้าเป็นข้อมูลใหม่พวกผมก็อยากฟังเหมือนกัน” คาเรนมองมอเฟียช สายตาของเธอค่อนข้างแปลกใจต่อคำตอบของสตีฟ และต่อข้อมูลที่ทุกคนได้รับ “ตัวที่ดิฉันจัดการไป กระสุน 7.62 นาโต้ ยิงมันไม่เข้าน่ะค่ะ” สายตาของทุกคนในห้องประชุมเริ่มให้ความสนใจต่อสิ่งที่คาเรนกล่าวออกมา “คุณคาเรนจะบอกว่า ขนของมันกันกระสุนได้งั้นรึ” นักสืบดูลอนถามขึ้น “เป็นไปได้ยังไง” ริชาร์ดพูดแบบไม่เชื่อเท่าไหร่ “ดิฉันคิดเช่นนั้น เพราะจากเหตุการณ์ที่ผ่านมา...” เธอหยุดคำไปครู่หนึ่ง ในห้องเงียบเพื่อรอฟังในสิ่งที่เธอจะพูด “พวกดิฉันที่ประสพเหตุ พยายามใช้อาวุธที่มีระดมยิงมัน ไม่ว่าจะปืนพก หรือ ไรเฟิล ก็ไม่สามารถทำร้ายมันได้เลย ดิฉันคิดว่าจำนวนปลอกกระสุนในที่เกิดเหตุ กับ บาดแผลบนตัวมันคงยืนยันได้” คาเรนอธิบายต่อ หลายคนหันไปมองมอเฟียชที่กำลังแสดงสีหน้าครุ่นคิดอยู่ทันที “ถูกของคุณคาเรน ในที่เกิดเหตุไล่ตามเส้นทางที่คุณคาเรน และเจ้าหน้าที่อีกคนได้ให้การไว้ ทีมเก็บหลักฐานพบปลอกกระสุนตลอดเส้นทาง แถมจำนวนไม่ใช่น้อย ๆ แต่เมื่อเทียบกับบาดแผลบนตัว D-3 แล้วมันเป็นคนละเรื่องกันเลย” มอเฟียชตอบทุกคนในห้องประชุม “แต่ผลพิสูจน์ในห้องแลปของ D-3 ขนมันอ่อนนุ่มมากเลยล่ะครับ” สตีฟกล่าวค้านตามข้อมูลที่เขาได้รับ “แล้วมันเกี่ยวอะไรกันกับเรื่องใหม่นี่ล่ะ” ริชาร์ดเอ่ยถามขึ้น “ดิฉันกำลังคิดว่ารูปแบบและพฤติกรรมของเจ้าสัตว์ประหลาด แต่ละตัวไม่เหมือนกันค่ะ” คาเรนตอบ “เออ ทางเราเรียกพวกมันว่า D ตามด้วยนัมเบอร์น่ะครับ เลข 1 คือตัวที่ปรากฏที่วอชิงตัน เลข 2 คือที่นิวยอร์ค และ เลข 3 คือที่เพนซิลวาเนีย” นักสืบฟิลด์อธิบาย “ช่วยอธิบายให้ละเอียดอีกนิดสิครับคุณคาเรน” นักสืบแอธร่อนกล่าวต่อจากนักสืบฟิลด์ คาเรนแสดงสีหน้าไม่แน่ใจออกมานิดหน่อยก่อนจะเริ่มอธิบายต่อ “เท่าที่ดิฉันรวบรวมข้อมูลเท่าที่ทำได้ พบข้อมูลแปลก ๆ นิดหน่อยน่ะค่ะ อย่างที่หนึ่ง พวกนี้มีอุปนิสัยการกินไม่เหมือนกัน ตัวที่ดิฉันพบ เออ D-3 น่ะค่ะ มันกินสัตว์ทุกชนิดที่มันทำร้าย ในขณะที่ D-1 มีการฆ่าคนแต่ไม่มีร่องรอยการกิน ยิ่งเจ้า D-2 นี่ไม่มีหลักฐานการฆ่าสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ไปกินเลย” “อย่างที่สองรูปแบบวิธีการโจมตีเหยื่อของ D-1 กับ D-3 ค่อนข้างแตกต่างกัน คือ D-1 เหมือนว่าจะพุ่งเข้าทำร้ายเป้าหมายแม้ว่าเป้าหมายจะไม่ได้ทำอะไรเลย อย่างกรณีผู้เสียชีวิตที่เป็นเด็ก แต่เจ้า D-3 กลับมีลักษณะคล้ายสัตว์ป่า เออ...อารมณ์เหมือนเจอหมูป่าในป่าน่ะค่ะ ถ้าเราเดินผ่านมันห่าง ๆ มันก็ไม่สนใจ แต่ถ้าเราเข้าใกล้ มันก็จะวิ่งเข้าชนเรา” ทุกคนฟังที่คาเรนกล่าวแล้วอดทึ่งไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่เพิ่งมาแต่เธอกลับมีข้อมูลในมือและวิเคราะห์มันออกมาได้อย่างน่าสนใจ “จริง ๆ เธอเป็นนักสืบโมลเดอร์แปลงเพศมารึเปล่าน่ะ” ริชาร์ดแหย่คาเรนน้ำเสียงติดตลก “งั้นคุณก็คงเป็นสกัลลี่แปลงเพศมาเหมือนกันแน่เลย” คาเรนแหยกลับไปพร้อมรอยยิ้ม เพราะริชาร์ดชอบขัดเธอบ่อย ๆ ราวกับนักสืบสกัลลี่ที่ชอบขัดเวลานักสืบโมลเดอร์สันนิษฐานอะไร สำหรับคนอื่น ๆ ในห้องประชุมล้วนแปลกใจกับกิริยาของริชาร์ด แต่ก็ไม่ได้สนใจมากเท่ากับสิ่งที่คาเรนกล่าว มอเฟียสครุ่นคิดอย่างหนักทีเดียว ส่วนสตีฟนั้นพยายามกรอกข้อสงสัยของคาเรนกรอกลงคอมพิวเตอร์อย่างรวดเร็วทันที “ดิฉันอยากเสนอในทางหน่วยมุ่งการไล่ล่าไปยังตัวที่วอชิงตันก่อนค่ะ เพราะเจ้าตัวนั้นดูท่าทางจะดุร้ายกว่าทางนิวยอร์คมาก อีกอย่าง ถ้ามันมีนิสัยแบบสัตว์ ดิฉันคาดไม่ผิด อีกไม่น่าเกิน 4 วันจะมีเหยื่ออีกรายที่วอชิงตันค่ะ” หลายคนคิดตรงกันว่าเป็นข้อสันนิษฐานที่สร้างความน่าหวาดหวั่นจริง ๆ “ทำไมคุณคิดแบบนั้นล่ะครับ คุณคาเรน” “ถ้าคิดว่านี่เป็นอุปนิสัยการล่า เมื่อเอาเวลาของการเกิดเหตุมานั่งคำนวณ ดูเหมือนจะมีช่วงห่างที่น่าจะลงตัวน่ะค่ะ” คาเรนอธิบายต่อข้อคำถามที่นักสืบฟิลด์กล่าวถามออกมา “ความรู้ของเจ้าหน้าที่อุทยานที่คุ้นเคยกับสัตว์ป่างั้นรึ” ริชาร์ดกล่าวพลางเกาหัว “หลาย ๆ อย่างที่คุณคาเรนกล่าวก็น่าสนใจอยู่ คงต้องฝากให้สตีฟส่งเรื่องให้กับทางฝ่ายพิสูจน์หลักฐานลองหาความเป็นไปได้ดู ” มอเฟียชมอบหมายงานให้สตีฟทันที สายตาของมอเฟียชแสดงความมุ่งมั่นและกล่าวออกมา “เราคงต้องทำงานแข่งกับเวลาซักหน่อยแล้ว” คาเรนยิ้มออกมานิดหน่อย เธอมองไปที่ภาพของเด็กที่ D-2 ช่วยชีวิตได้ ‘...ถ้ามันไม่ใช่ของที่ธรรมชาติสร้างขึ้นมา ผู้ที่สร้างมันคิดจะทำอะไรกันแน่นะ’ เธอลูบผมตัวเองไปคิดไป ในขณะที่ริชาร์ดจ้องมองด้วยแววตาสงสัยในความสามารถและความคิดของคาเรนเป็นอย่างยิ่ง --------------------------------------Next to Chapter 5 |
บทความทั้งหมด
|
feel it with the love of God ask for his and then you will
find out what is the truth love in Your life as he does for me!