Angel Caido Luci ตอนที่ 2 Back to Chapter 1 ---------------------------------- Chapter2 “จากการตรวจสอบซากของ D-3 มีเพียงบาดแผลจากการถูกฟัน และถูกยิงด้วยกระสุนขนาด 7.62 นาโต้ เท่านั้น” ชายผู้หนึ่งโชว์ภาพบนจอสกรีนขนาดใหญ่ เป็นภาพของเจ้าสิ่งนั้น ที่คาเรนจัดการไป “สิ่งที่ทำให้มันเสียชีวิตคือ กระสุนปืนจำนวนมากที่ถูกยิงใส่ที่บริเวณชายโครง ทะลุปอดและหัวใจ” ภาพถูกเปลี่ยนไปเป็นอีกภาพ “สิ่งที่น่าสนใจคือ กระสุนที่ฝังอยู่ในดวงตาของมัน” ภาพถูกเปลี่ยนอีกครั้ง ชายอีกคนทำท่าทางชี้นิ้ววน ๆ ไปที่รูปบนสกรีน พร้อมกับเอ่ยถาม “มัน มีอะไรแปลกยังงั้นรึ?” “จากการตรวจสอบ ลูกกระสุนที่ดวงตามีทั้งหมด 5 นัด แต่เป็นการยิงเข้าเป้าจุดเดียวกัน 2 นัดซ้อน ดวงตาทั้ง 2 ข้างเท่ากับ 4 นัด ในเวลาที่...ห่างกันไม่ถึงเสี้ยววินาที” ชายที่ทำหน้าที่บรรยายอธิบายออกมา “หมายความว่ายังไง? คุณจะบอกพวกเราว่า D-3 ถูกยิงที่ดวงตาทั้ง 2 ข้าง ด้วยกระสุน 4 นัดในเวลาที่แทบจะพร้อมกันงั้นรึ” ชายอีกคนตั้งคำถามขึ้น “ใช่ครับ มันอาจจะฟังดูไม่น่าเชื่อ แต่ผลพิสูจน์เป็นอย่างนั้น กระสุน 2 นัดแรก แยกยิงเข้าที่ดวงตาทั้ง 2 ข้าง อีก 2 นัด แยกกันยิงซ้ำไปที่กระสุนนัดเดิม เทียบจากรอยเขม่าบนลูกกระสุน ระยะเวลาในการยิง ห่างกันเพียง 0.00000001 วินาที” ชายที่อยู่หน้าสกรีนอธิบาย พร้อมกับเสียงดังเซ็งแซ่ในที่แห่งนั้น เพราะอัตราความเร็วในการยิงเช่นนี้ มันเป็นไปไม่ได้ “ใครเป็นผู้ลั่นไก?” ชายคนหนึ่งในห้องกล่าวถามขึ้น ชายที่อยู่หน้าสกรีนจึงเปลี่ยนรูปขึ้นจอเป็นภาพของคาเรน “จากการสอบสวนพยานให้การว่าคือ คาเรน คลาวเรน เจ้าหน้าที่อนุรักษ์พันธุ์สัตว์จอห์น เฮนซ์ ประจำรัฐเพนซิลวาเนีย เป็นผู้ยิงครับ” เขาบรรยายให้คนในห้องรับฟัง “ไม่น่าเชื่อ ว่าผู้หญิงคนนี้จะทำสิ่งที่ไม่น่าเป็นไปได้ให้เกิดขึ้น” ชายอีกคนในห้องกล่าวขึ้น “บางที... เราอาจจะใช้ประโยชน์จากผู้หญิงคนนี้...ได้สินะ” ชายที่อยู่หน้าสุดของห้องแห่งนั้นกล่าวขึ้นมา ทุกคนในห้องแห่งนั้นจับจ้องมาที่ภาพของคาเรนที่ยังคงฉายอยู่บนสกรีน -------------------------------- หลังจากเหตุการณ์ที่เจ้าสิ่งนั้นปรากฎตัวในเขตอนุรักษ์พันธุ์สัตว์ที่จอหน์ เฮนซ์ ทางเจ้าหน้าที่ของทาง FBI ได้เข้ามาดูแลในคดีดังกล่าว ซึ่งการสอบสวนได้เสร็จสิ้นไป แต่ไม่มีข้อสรุปของเจ้าสิ่งนั้น ไม่มีใครสามารถให้คำตอบถึงการมีอยู่ และการมาของมันได้ ทาง FBI ก็ทำได้เพียงสืบหาต่อไป ทางด้านเหล่าสมาชิกของกองอนุรักษ์พันธุ์สัตว์จอห์น เฮนซ์ ก็ทำได้เพียงไว้อาลัยให้ผู้เสียชีวิตเท่านั้น “มีคำสั่งอนุญาตให้คุณพักร้อนได้นะคาเรน” หัวหน้าของเธอเดินมาบอกเธอถึงที่โต๊ะทำงาน “เอ๋??” เธออุทานด้วยความประหลาดใจ เพราะมันไม่น่าใช่เรื่องที่จะต้องหยุดพักอะไร “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ดิชั้นไม่ได้เป็นอะไรมาก” คาเรนกล่าวพร้อมมองไปยังที่นั่งของมาร์คซึ่งเจ้าตัวยังคงอยู่ในโรงพยาบาล “เอาเถอะ คิดซะว่าพักหัวสมองจากที่ต้องเผชิญอะไรมาต่อเนื่อง มันจะดีต่อสุขภาพของเธอมากกว่านะ” หัวหน้ากล่าว คาเรนรับฟังโดยไม่ได้กล่าวอะไร เธอก็ยอมรับว่าหลังจากเหตุการณ์นั้นเธอค่อนข้างเพลียและเครียดพอสมควร ไม่ใช่เรื่องการตายของฟิลลิป หรือความกลัวต่อเจ้าสิ่งนั้น หากแต่มันเป็นความสงสัยในตัวเจ้าสิ่งนั้น มันมาจากที่ใด? มันจะทำอะไร? และ ใครเป็นผู้สร้างมัน? เพราะเธอไม่เชื่อว่ามันเป็นสิ่งที่ธรรมชาติสรรสร้างขึ้น เธอตัดสินใจทำตามคำแนะนำของหัวหน้าอย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก แต่ก็คิดว่า พักบ้างก็ดี วันนี้เธอจึงเก็บข้าวของเพื่อกลับไปยังบ้านของเธอที่นิวยอร์ค คาเรนนั้นเสียพ่อและแม่ไปตั้งแต่เด็ก เธอจึงอยู่กับป้า จนกระทั่งป้าของเธอเสียชีวิตไปเมื่อ 4 ปีก่อนเธอก็อยู่คนเดียวมาตลอด การที่เธอชอบนอนค้างในสำนักงานนั้นเธอจึงมองว่าเป็นเรื่องธรรมดา เพราะถึงกลับบ้านไป เธอก็อยู่เพียงลำพังอยู่ดี เธอจัดของไปคิดไปว่าช่วงพักยาวนั้นจะทำอะไรบ้าง แต่เธอก็ไม่สามารถสลัดความสงสัยต่อเจ้าสิ่งนั้นได้หมด มันยังคงวนเวียนอยู่ในหัวเธอตลอดเวลา เธอได้แต่พยายามลืม ๆ มันไปซะแล้วจัดข้าวของให้เสร็จเพื่อรีบออกเดินทาง การเดินทางจากเพนซิลวาเนีย จนมาถึงนิวยอร์คซิตี้ เสียเวลาไปร่วมกว่า 5 ชม. กว่าจะถึงบ้านก็เกือบ 5 โมงเย็นแล้ว บ้านของเธอเป็นบ้านแบบบราวน์สโตน แม้มันจะดูเก่าแก่ แต่ภายในก็สภาพดีทีเดียว เธอจอดรถของเธอไว้หน้าบ้าน แล้วขนกระเป๋าที่มีเพียงใบเดียวเข้าบ้านไป แม้ว่าเธอจะกลับบ้านเพียงเดือนละ 2 ครั้ง แต่บ้านก็ไม่ได้สกปรกแต่อย่างใด เธออาจจะดูเหมือนคนปล่อยเนื้อปล่อยตัว ทำอะไรตามสบาย แต่จริง ๆ เธอรักความสะอาดพอดูทีเดียว เธอเอากระเป๋าไว้ในห้องนอน สิ่งที่เธออยากทำอย่างแรกคือ อาบน้ำ เพราะการเดินทางที่ยาวนานทำให้เธอรู้อยากชำระล้างร่างกายเหลือเกิน หลังจากเอากระเป๋าไปไว้เสร็จ เธอจึงจัดแจงถอดเสื้อผ้า เข้าห้องน้ำทันที เธอไม่ได้เปิดเครื่องทำน้ำร้อนอุณหภูมิของน้ำจึงค่อนข้างเย็น หากแต่ภายในใจกลับตรงกันข้ามกับอุณหภูมิของน้ำ ความคิดเรื่องเจ้าสัตว์ประหลาดตัวนั้นยังคงวนเวียนอยู่ในหัวเธออยู่ เธอใช้เวลาในห้องน้ำเกือบครึ่งชั่วโมง ถึงได้ออกมา เธอเช็ดหัวตัวเองที่เปียกปอน แล้วนั่งไดร์ผมไป ดูทีวีไป ทีวีช่วงเย็นไม่ค่อยมีอะไรน่าสนใจเท่าไหร่ แต่มันก็พอฆ่าเวลาได้ ระหว่างที่เธอไดร์ผมอยู่นั้น ปิ๊งป่อง*~ เสียงคนกดกริ่งที่หน้าบ้าน เธอหันหน้าไปดูด้วยความสงสัย เพราะเธอเพิ่งกลับมานั่งได้ไม่ถึงชั่วโมง การที่ใครจะมาหาในทันทีนั้นดูเป็นเรื่องประหลาด แต่เธอไม่ค่อยใส่ใจเท่าไหร่ เธอเดินไปที่ประตูแล้วมองที่ตาแมวดูว่าคนภายนอกคือใคร คนที่มามี 2 คน ทั้งสองแต่งตัวดูภูมิฐาน ใส่เสื้อโค้ทคลุมคนหนึ่งสีดำ อีกคนสีเทา แม้ตาแมวจะไม่ได้ให้ภาพชัดเจนนัก แต่เธอพอจะมองเห็นบัตรประจำตัวของ FBI ในกระเป๋าเสื้อของชายคนหนึ่ง ในสถานการณ์เช่นนี้คงทำได้แค่เปิดรับสินะ เธอคิดในใจ “ค่า~~” เธอพูดออกไป เพื่อเป็นการบอกว่ามีคนอยู่ แล้วเธอก็เปิดประตูทันที “...” ชายที่มาทั้งสองได้แต่นิ่งอึ้ง คงไม่แปลกที่พวกเขาจะยืนนิ่ง เพราะสภาพที่คาเรนออกไปนั้น มีเพียงผ้าเช็ดตัวโจมอกออกไป ผมเธอก็ยังไดร์ไม่เรียบร้อยจึงเปียกหมาดๆ อยู่ “คะ?” เธอพูดเพื่อกระตุ้นคนทั้งสอง “อ่ะแฮ่ม” ชายคนหนึ่งกระแอ่ม ทั้ง ๆ ที่ใบหน้าออกแดง ๆ ด้วยความอาย ทว่าคาเรนกลับไม่มีทีท่าอายเลยซักนิด “เข้ามาก่อนก็ได้ค่ะ คุณนักสืบ” เธอกล่าวพร้อมรอยยิ้มราวอย่างเป็นมิตร นักสืบทั้งสองมองหน้ากันเลิ่กลั่กกับการเชื้อเชิญของสาวในชุดผ้าเช็ดตัว คาเรนเดินเข้าบ้านไปก่อน นักสืบทั้งสองเดินตามไปติด ๆ “รับกาแฟมั้ยคะ?” คาเรนเอ่ยถามขึ้น นักสืบคนหนึ่งตอบกลับว่า “ไม่เป็นไรครับ พวกผมดื่มมาเรียบร้อยแล้ว” เธอจึงเดินนำนักสืบทั้งสองมาที่โซฟา ในห้องรับแขกของเธอ “ขอโทษนะคะ บ้านยังไม่ค่อยเรียบร้อยเท่าไหร่ เพราะไม่ได้กลับมาหลายวันน่ะค่ะ” คาเรนออกตัว “ไม่เป็นไร พวกผมแค่มาแจ้งเรื่องบางอย่างเท่านั้น” นักสืบคนหนึ่งกล่าวขึ้น “ผมชื่อ แอธร่อน ส่วนนี่คู่หูของผม ดูลอน จาก FBI ครับ” นักสืบที่สวมโค้ทสีเทาแนะนำตัวตนเองและเพื่อนร่วมงาน คาเรนจับมือเพื่อความยินดีที่ได้รู้จัก “แล้วคุณนักสืบทั้งสองมาหาดิฉันทั้ง ๆ ที่น่าจะหมดเวลาราชการแบบนี้มีอะไรรึคะ” คาเรนกล่าวถามพร้อมกับปรายตามองสองนักสืบ เธอนั่งไขว่ห้างทั้ง ๆ ที่นุ่งผ้าเช็ดตัวที่โจมอกอยู่ มันช่างทำให้สองนักสืบหวั่นไหวเหลือเกิน “จริง ๆ ทางเราว่าจะแจ้งคุณทางโทรศัพท์ แต่วันนี้ทางหน่วยติดต่อไปหาคุณที่ทำงานแล้ว พบว่าคุณลาพักร้อน พวกเราเลยต้องมาแจ้งคุณตรง ๆ” นักสืบแอธร่อนอธิบาย สายต่อจับจ้องที่คาเรนหาได้หวั่นไหวกับกิริยาที่คาเรนแสดงเท่าไหร่ “เรื่องสัตว์ประหลาดนั่นสินะคะ ยังมีข้อมูลอะไรไม่ครบรึคะ??” คาเรนกล่าว น้ำเสียงของเธอหาใช่เสียงของความเบื่อหน่าย ที่ถูกถามซ้ำซาก เพราะเธอมองการทำงานของเจ้าหน้าที่ในแง่ดีเสมอ “พวกผมคงไม่มีหรอกครับ เรามาแจ้งข่าวว่า คดีนี้ได้ถูกโอนให้ทางหน่วยงานพิเศษที่ถูกจัดตั้งขึ้นมา เข้ามาดูแลแล้ว ซึ่งผมได้รับคำสั่งจากหัวหน้าฝ่ายสืบสวนพิเศษ ให้มาเชิญคุณไปพบน่ะครับ” นักสืบแอธร่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักใจนิด ๆ “อาฮะ แล้ว?” คาเรนตอบรับพร้อมทิ้งคำถาม นักสืบดูลอนกล่าวตอบทันที “ทางหัวหน้าฝ่ายสืบสวนพิเศษ ขอเชิญคุณไปพบที่สำนักงานครับผม” เสียงของเขาดูหนักแน่น คาเรนทำหน้าประหลาดใจนิดหน่อย เธอถามกลับไป “เดี๋ยวนี้เลยรึคะ??” “เออ ไม่ครับ ทางนั้นเขาให้คุณเป็นผู้นัดเวลาครับ” นักสืบดูลอนตอบ มันเป็นเรื่องแปลกที่การสืบสวนจะให้พยานในเหตุการณ์เป็นผู้เลือกเวลาในการ ให้การ ทั้ง ๆ ที่ทางหน่วยงานมีสิทธิ์ที่จะเข้ามาหาและสอบสวนได้เลยแท้ ๆ คาเรนนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนที่เธอจะยิ้มออกมา “คงมีอะไรน่าสนใจสินะคะ เพราะอยู่ ๆ ดิชั้นก็ได้สิทธิ์ในการหยุดพักร้อน ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ร้องขอ” คาเรนตั้งข้อสังเกต “นั้นเป็นเรื่องของเบื้องบน ผมไม่อาจจะให้คำตอบได้ครับ” นักสืบแอธร่อนตอบ คาเรนผายมือทั้ง 2 ข้างออกเป็นเชิงยอมรับ “รับทราบค่ะ ดิชั้นคงขอเวลาวันนี้เพื่อพักผ่อนซักวันก่อน แล้วพรุ่งนี้ดิชั้นจะติดต่อไปที่สำนักงานก็แล้วกันค่ะ” คาเรนตอบ “ครับ ผมจะแจ้งหัวหน้าตามนั้น นี่ครับเบอร์ติดต่อของหน่วยงาน” นักสืบแอธร่อนยื่นกระดาษซึ่งแจ้งเบอร์ติดต่อของหน่วยงานให้คาเรน เธอรับแล้วเปิดออกดูก่อนที่จะพับมันวางไว้บนโต๊ะ “ถ้าเช่นนั้นพวกผมก็หมดธุระแล้ว ก็คงขอตัวล่ะครับ” นักสืบแอธร่อนกล่าวลาพร้อมกับลุกขึ้นยืน “เชิญค่ะ” คาเรนกล่าวตอบ เธอลุกขึ้นเดินนำไปเปิดประตูให้นักสืบทั้งสอง เธอรอจนพวกเขาไปกันหมด จึงเดินกลับมาที่โต๊ะรับแขก ดูที่อยู่ของหน่วยงาน จากนั้นเธอก็เอามือลูบปอยผมตัวเองเล็กน้อย “แย่จัง หัวยุ่งอีกแล้ว” เธอบ่นขึ้นอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย --------------------------- รถยนต์สีดำวิ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว “ครับ เธอบอกจะติดต่อมาพรุ่งนี้ครับ” นักสืบแอธร่อนกล่าวตอบเสียงหนึ่งในโทรศัพท์ นักสืบดูลอนมองจากฝั่งของคนขับ “ครับ ทราบครับ คิดว่าไม่มีปัญหาครับ” นักสืบแอธร่อนตอบรับอะไรบางอย่างจากเสียงปลายทาง “ครับผม” เขากดวางโทรศัพท์ พร้อมกับถอนหายใจแล้วมองดูลอน “ผมว่าคดีนี้ออกจะซับซ้อนน่าดูเลยนะครับ” นักสืบดูลอนออกความเห็น นักสืบแอธร่อนมีสีหน้าหนักใจอย่างเห็นได้ชัด เขาเท้าคางเข้ากับกระจกประตูรถ และถอนหายใจออกมา “บางที มันอาจจะเป็นคดีเหนือมนุษย์ก็ได้ ถ้าหน่วยงานเรามีนักสืบโมลเดอร์ กับ นักสืบสกัลลี่ก็ดีสิ” นักสืบแอธร่อนพูดติดตลกเล็กน้อย แต่ในใจลึก ๆ เขาอยากให้เป็นแบบนั้นจริง ๆ ---------------------------- หลังจากที่คาเรนจัดการผมที่ยุ่งเหยิงของเธอเสร็จแล้ว เธอก็จัดการทำหารแบบง่าย ๆ ทาน พลางดูโทรทัศน์ไป หากแต่ใจของเธอไม่ได้อยู่กับโทรทัศน์เท่าไหร่ เธอคิดถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้มากกว่า เธอไม่คิดว่าการที่ทาง FBI ตามตัวเธอแค่เพื่อไปให้การเฉย ๆ มันน่าจะมีอะไรมากกว่านั้น ซึ่งเธอเองก็ตอบอะไรไม่ได้ เธอทานไป คิดไปอยู่ซักพัก จนทานอาหารหมด เธอจัดการล้างและทำความสะอาดครัวพอเป็นพิธี ความเพลียจากการเดินทาง และเหตุการณ์ต่าง ๆ ทำให้เธอต้องมาปิดทีวี แล้วเข้าห้องนอน ทั้ง ๆ ที่เพิ่งจะสองทุ่มเศษๆ เธอยังคงคิดอยู่ จนพล่อยหลับไป คาเรนมาอยู่ในสถานที่แห่งหนึ่งมีสีขาวโพลนไปหมด มีขนนกสีขาวจำนวนมากล่องลอยบนอากาศ มีละอองบางอย่างลอยอยู่ด้วย มันมีสีแดงสด เหมือนเลือด ขนนกบางเส้นกระทบเข้ากับละอองสีแดง มันทำให้ขนนกสีขาวถูกย้อมไปเป็นสีแดง ทันใดนั้นภาพของสถานที่สีขาว เหมือนห่างออกไป มันไม่ใช่การถอยห่าง แต่เหมือนมันลอยสูงขึ้นไป เรื่อย ๆ ๆ ไม่สิ ตัวเธอกำลังตกลงไปต่างหาก อย่างรวดเร็ว เร็วขึ้น เร็วขึ้น และเร็วขึ้น ตึง!!! “ว้าย” คาเรนร้องเสียงดัง จนนกที่เกาะตามหน้าต่าง พากันบินกระเจิงไปหมด เธอนอนตกเตียงอีกแล้ว “อูย~~” เธอร้องโอดโอย เพราะเตียงของเธอมันสูงกว่าเตียงที่สำนักงานเขตอนุรักษ์พันธุ์สัตว์พอสมควร เธอโผล่ออกมาจากกองผ้าห่มที่ตกลงมาพร้อมเธอด้วยสีหน้ามึนงง เธอหันซ้ายหันขวาก่อนที่จะยันตัวลุกขึ้นมา “อึ้บ!!” เธอบิดขี้เกียจพร้อมกับเดินไปเปิดกระจก ห้องนอนเธออยู่ที่ชั้น 3 ของตัวบ้าน อากาศยามเช้าที่นี่แม้จะไม่สดชื่นเท่าในป่า แต่มันก็ไม่ได้เลวร้ายนัก เธอมองดูเหล่าผู้คนที่ออกไปทำงานในตอนเช้า เธอไม่เคยต้องเร่งรีบอะไรแบบนี้ ชีวิตคนเมืองดูไม่เหมาะกับเธอเลยจริง ๆ เธอเอามือทาบที่ขอบหน้าต่าง ค่อย ๆ ทรุดตัวลงจนไปนั่งพับเพียบกับพื้น คางของเธอชนกับแขนที่ขอบหน้าต่างล่าง แล้วมองสิ่งต่าง ๆ จากหน้าต่างห้องนอน พร้อมกับยิ้มออกมา “ชั้น... ไม่เคยนึกเสียใจเลยนะ ที่เธอให้ชั้นมีชีวิตอยู่... มิคาเอล” เธอพูดเบา ๆ แล้วหลับตาลงทั้งรอยยิ้ม เธออยู่อย่างนั้นครู่ใหญ่ ถึงได้ค่อย ๆ ยันตัวขึ้นมา “เอาล่ะ วันนี้มีเรื่องต้องจัดการนะ คาเรน” เธอพูดพร้อมกับเอามือทั้ง 2 ตีไปที่แก้มตัวเอง เพื่อกระตุ้นให้ลืมตาตื่นเต็มที่ เธอจัดแจงถอดชุดนอนออก แล้วเข้าห้องน้ำทันที เธอใช้เวลาในการแต่งตัวไม่นานนัก วันนี้เธอเลือกใส่เสื้อเชิ้ตขาวแขนยาว กางเกงขายาวสีดำ คาเรนแต่งหน้าเพียงบาง ๆ เท่านั้น ริมฝีปากสีชมพูของเธอแทบไม่ต้องทาลิปสีใดเพิ่มอีก เพียงแค่ลิปแคร์ก็เพียงพอแล้ว หลังจากนั้นก็เธอเช็คความพร้อมที่กระจกบานใหญ่ในห้องก่อนออกจากบ้านไป คาเรนโยนกระเป๋าถือไปในรถ WJ ซึ่งเป็นพาหนะที่เธอใช้มาตลอดเกือบ 5 ปี เธอดูนาฬิกาข้อมือแล้วค่อย ๆ ขับออกไปโดยวางแผนไปหาอะไรกินก่อน เพราะจากบ้านเธอไปถึงสำนักงาน FBI สาขานิวยอร์คขึ้นทางด่วนไป ก็เพียงแค่ 20 นาทีเท่านั้น เธอแวะซื้อหนังสือพิมพ์ แล้วก็ไปนั่งทานโดนัทกับกาแฟที่ร้านใกล้บ้านเธอ เธอนั่งอยู่ในร้านจนใกล้ ๆ 9 โมงถึงได้ ติดต่อไปยังสำนักงาน FBI ในนิวยอร์ค “ค่ะ สำนักงาน FBI สาขานิวยอร์คนะคะ” คาเรนย้ำถามโอเปอเรเตอร์ “ค่ะ จะขอติดต่อถึง เออ....ซักครู่นะคะ” คาเรนหยิบแผ่นกระดาษที่ทางนักสืบแอธร่อนให้ไว้มาดู “อา ถึง คุณมอร์เฟียช มอเฟียช โอวิธ ที่อยู่แผนกสืบสวนคดีพิเศษน่ะค่ะ....ค่ะ....ฝากข้อความก็ได้ค่ะ” “ดิชั้นจะไปถึงที่นั่นประมาณ 9.30 น. ค่ะ....ค่ะ....แค่นี้ล่ะค่ะ....” หลังจากฝากข้อความ เธอวางสายแล้วเดินไปที่รถทันที ------------------------------------- ตรู๊ดๆ ๆ ๆ เสียงโทรศัทพ์ภายในแผนกสืบสวนพิเศษ เจ้าหน้าที่สาวคนหนึ่งเดินไปรับ “ค่ะ ค่ะ ขอบคุณค่ะ” เธอวางสายแล้วเดินไปยังห้อง ๆ หนึ่ง ด้านหน้าติดป้ายไว้ หัวหน้าแผนกสืบสวนพิเศษ เธอเคาะประตูเบา ๆ สักครู่ก็มีเสียงจากในห้อง “เข้ามาได้” เธอเปิดประตูเข้าไป ในห้องมีเพียงชายผิวดำอายุไม่มากนัก เขาเงยหน้ามองเจ้าหน้าที่สาว “หัวหน้าคะ โอเปอเรเตอร์ชั้นล่างโทรมาแจ้งว่า คุณคลาวเรน มาถึงแล้วค่ะ จะให้ดิชั้น…” เธอพูดค้างคำไว้ “เดี๋ยวผมจะลงไปพบเธอเอง” ชายผิวดำกล่าวขึ้น พร้อม ๆ กับลุกขึ้น ทำให้เห็นรูปร่างอันสูงใหญ่ของเขา ทั้งสองเดินออกจากห้องพร้อม ๆ กัน “นักสืบฟิลด์ ช่วยมากับผมหน่อย” ชายชุดดำสั่งลูกน้องตนเอง ชายในชุดเสื้อเชิ้ตขาวผูกเน็คไทสีเทาลุกขึ้นแล้วเดินตามชายผิวดำไป ------------------------------ ณ ล็อบบี้ด้านล่าง คาเรนนั่งอยู่ที่โซฟา ผู้คนเดินไปมาในสำนักงาน FBI พอสมควร เธอมองผู้คนที่เดินเข้าเดินออก สังเกตคนนั้นคนนู้นไปเรื่อย ๆ “คุณคลาวเรนครับ” เสียง ๆ หนึ่งทักคาเรนจากทางด้านหลัง เธอจึงลุกหันไปหา ชายผิวดำผู้ที่ทักคาเรนยื่นมือมาจับแสดงการทักทาย “ผมมอเฟียช โอวิธ หัวหน้าฝ่ายแผนกสืบสวนพิเศษ ยินดีที่ได้รู้จักครับ” “และนี่นักสืบฟิลด์ แกรนท์” เขาแนะนำผู้ที่ติดตามเขามาด้วย นักสืบฟิลด์เดินไปจับมือกับคาเรน “เรียกคาเรนเฉย ๆ ก็ได้ค่ะ แล้วก็จริง ๆ ให้ดิชั้นขึ้นไปหาก็ได้นะคะ” คาเรนกล่าวด้วยน้ำเสียงเกรงใจ “ไม่ครับ พวกผมเป็นฝ่ายเชิญคุณมาผมคิดว่าการลงมาต้อนรับจะดีกว่า” มอเพียชกล่าว คาเรนหรี่ตาลงเล็กน้อย พลางคิดในใจ ‘ต้อนรับงั้นรึ...’ “งั้นจะให้ดิฉันให้การที่ใหนรึคะ?” คาเรนถามขึ้น ด้วยน้ำเสียงซื่อ ๆ “ไม่อยากให้เรียกว่าให้การนะครับ เรียกว่ามาคุยเพื่อขอข้อมูลบางอย่างจะดีกว่า” มอเฟียชยิ้มที่มุมปาก คาเรนปรายตามองมอเฟียช และหัวเราะเบา ๆ “เป็นการนัดสาวไปเดทรึเปล่าคะ?” เธอกระเซ้ามอเฟียช “คุณนี่เป็นคนอารมณ์ดีกว่าที่ผมคิดซะอีก ถ้าเช่นนั้นร้านอาหารซักที่ ที่ไม่มีคนมากเกินไปนะครับ” มอเฟียชตามน้ำ คาเรนพยักหน้าเป็นการตอบรับข้อเสนอของมอเฟียช “ถ้าอย่างนั้น นักสืบฟิลด์ ผมคงต้องขอตัวไปเดทกับคุณผ้หญิงคนนี้ซักหน่อยนะครับ” มอเฟียชกล่าวพร้อมมองไปที่ลูกน้อง นักสืบฟิลด์พยักหน้ารับแล้วเดินกลับสำนักงานไป ปล่อยให้คาเรนอยู่มอเฟียช “เชิญครับคุณผู้หญิง” มอเฟียชผายมือให้กับคาเรน คาเรนยิ้มเล็กน้อยก่อนเดินออกจากสำนักงาน FBI ไปยังรถของมอเฟียช ภายในรถเก๋งสีดำของมอเฟียช เมื่อเขาขับรถออกจากสำนักงานได้ครู่ใหญ่ คาเรนซึ่งนั่งอยู่ก็หัวเราะขึ้นเบา ๆ “คุณโอวิธ คุณนี่ก็ขี้เล่นดีจริง ๆ นะคะ” เธอกล่าวพร้อมกับปรายตามองไปที่มอเฟียชที่ขับรถอยู่ “ผมว่าบางที ถ้าใครพูดเล่นกับเรา เราก็น่าที่จะพูดเล่นกับเขากลับไปน่ะครับ” มอเฟียชกล่าวตอบ “ก็ดีค่ะ คุยด้วยได้อย่างสบายใจดี” คาเรนยิ้มรับ ทั้งคู่มาถึงร้านอาหารแห่งหนึ่ง ภายในร้านมีผู้คนไม่มากนัก เหมาะแก่การคุยงานและธุระจริง ๆ คาเรนเดินไปเลือกที่นั่งริมหน้าต่างทันที เพราะเธอชอบที่จะนั่งดูภาพผู้คนเดินไปเดินมาพอสมควรทีเดียว “จะรับอะไรดีครับ” บริกรเข้ามาถามทั้งสอง มอเฟียชผายมือไปยังคาเรนให้เธอสั่งก่อน “กาแฟ กับ แซนวิชทูน่าค่ะ” คาเรนตอบบริกร “กาแฟอย่างเดียวครับ” มอเฟียชตอบ หลังจากที่บริกรเดินออกจากโต๊ะไป คาเรนจัดแจงพูดก่อนทันที “เข้าเรื่องเลยดีกว่าค่ะ ที่เชิญมาวันนี้ต้องการทราบเรื่องอะไรคะ?” เธอกล่าวถามด้วยใบหน้าที่ยังคงยิ้มแย้ม มอเพียชนิ่งเงียบไปชั่วขณะ คงเพราะไม่คิดว่าผู้หญิงที่ดูขี้เล่นไม่จริงจังอะไร แต่กลับถามตรง ๆ เช่นนี้ “หลัก ๆ ก็คงเรื่องเจ้าสัตว์ประหลาดนั่นล่ะครับ แต่คงไม่ได้เก็บข้อมูลอะไรเป็นพิเศษ เพราะทางผมก็มีข้อมูลหลายอย่างมากพอจะให้ในการสืบคดีได้ การที่เชิญคุณมาในครั้งนี้ น่าจะเรียกว่า มาขอความร่วมมือมากกว่า” มอเฟียชร่ายยาว สายตาจับจ้องไปที่คาเรน เช่นเดียวกันคาเรนก็จับจ้องไปที่มอเฟียช “ขอความร่วมมือ?” คาเรนทวนคำในคำพูดของมอเฟียชด้วยน้ำเสียงสงสัย “ครับ จากการสืบสวนข้อมูล พยานหลักฐานต่าง ๆ ตลอดระยะเวลา 1 เดือนที่ผ่านมาเป็นที่ยืนยันว่า เจ้าสัตว์ประหลาดที่คุณจัดการไปนั้น ไม่ได้มีตัวเดียว” มอเฟียชกล่าวด้วยน้ำเสียงที่จริงจังมากขึ้น หากแต่คาเรนที่รับฟังอยู่ดูไม่มีปฏิกิริยาว่ามันเป็นเรื่องน่าตกใจเลยสักนิด “ข้อมูลที่เรามีในมือ มีการให้ข้อมูลการพบเจ้าสัตว์ประหลาดนี้ในวอชิงตันดีซี และที่นิวยอร์คนี้ เพียงแต่ เรายังไม่มีภาพถ่ายที่ยืนยันเท่านั้น” มอเฟียชอธิบายต่อ ระหว่างนั้นบริการได้นำอาหารที่สั่งมาเสิร์ฟ คาเรนหยิบถ้วยการแฟขึ้นมาจิบเล็กน้อย ก่อนที่จะถามออกไป “มีผู้เสียหายรึเปล่าคะ?” เธอถามด้วยสีหน้าที่ดูเรียบเฉย “ที่วอชิงตัน มีผู้เสียชีวิต 4 ราย ส่วนที่นิวยอร์คนี่ยังไม่มีครับ” มอเฟียชตอบด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ เช่นกัน “อะไรที่ทำให้คุณโอวิธเชื่อว่าเป็นการกระทำของสัตว์ประหลาดล่ะคะ มันอาจจะเป็นเหตุฆาตรกรรมก็ได้” คาเรนกล่าวถามด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ “เศษขนที่พบในที่เกิดเหตุมันเป็นแบบเดียวกับเจ้าตัวที่คุณจัดการไป แต่มันคนละสีกันเท่านั้นเอง” มอเฟียชตอบพร้อมหยิบถ้วยกาแฟขึ้นมาจิบ เขายังคงมองดูปฏิกิริยาของคาเรน “ถ้านั่นคือข้อมูลเพิ่มเติม การที่คุณนำเอาข้อมูลซึ่งน่าจะเป็นข้อมูลปกปิดมาบอกให้ดิฉันทราบแบบนี้ คุณต้องการอะไรจากทางดิฉันรึคะ?” คาเรนค่อย ๆ ใช้ส้อมจิ้มแซนวิชออกจากจาน “สิ่งที่ทางผมต้องการทราบคือ คุณจัดการมันได้ยังไง” มอเฟียชจ้องมาที่คาเรนแล้วยิ้มออกมา “ก็จากที่ผลชันสูตรนั่นล่ะค่ะ ดิชั้นจัดการมันด้วยปืน ก็เท่านั้นเอง” คาเรนตอบแบบไม่รู้ไม่ชี้ “เดี๋ยวนี้เครื่องมือพิสูจน์หลักฐานทันสมัยมีมากมายนะครับ คุณคาเรน” มอเฟียชแสดงสีหน้าเหมือนรู้อะไรบางอย่าง “ผลพิสูจน์กระสุนในห้องแลปมีการยืนยันว่ากระสุนที่คุณยิงใส่ที่ดวงตาของมัน นั้น มันถูกยิงออกไปในเวลาไล่เลี่ยกัน ไม่ถึงเสี้ยววินาที ซึ่งเป็นประเด็นที่น่าสนใจอย่างยิ่ง” มอเฟียชวางถ้วยกาแฟลง “ทางหน่วยงาน เลยอยากจะขอความร่วมมือจากคุณให้มาช่วยราชการที่ FBI เพื่อสะสางคดีนี้น่ะครับ” มอเฟียชพูดตรง ๆ คาเรนทำหน้าตาเหมือนสิ่งที่มอเฟียชขอนั้นดูเป็นเรื่องแปลกประหลาดอย่างยิ่ง “ดิชั้นสังกัดกรมป่าไม้นะคะ ไม่ใช่หน่วงานทางทหารหรือทางตำรวจ” “ก็ขอตัวมาช่วยราชการนั่นล่ะครับ ทางเบื้องบนก็มัดมือชกเป็นที่เรียบร้อยแล้วด้วย” มอเฟียชพูดต่อจากคาเรนทันที คาเรนรู้สึกหงุดหงิดนิดหน่อย เพราะมันไม่ใช่การขอความร่วมือ มันเป็นการบังคับให้ร่วมมือซะมากกว่า เธอหยิบแซนวิช ที่ทางร้านทำเป็นชิ้นขนาดพอดีคำ ใส่ปากทันทีเผื่อจะทำให้ใจเย็นลง “ดูท่าดิชั้นจะค่อนข้างเสียเปรียบน่าดูเลยนะคะ” คาเรนกล่าวออกมา น้ำเสียงยังคงไม่ค่อยพอใจอยู่ “คนมีฝีมือเช่นคุณ ผมไม่คิดว่าทางหน่วยเหนือเขาจะยอมปล่อยให้หลุดมือไปได้ง่าย ๆ หรอครับ” มอเพียชกล่าว พร้อมกับหยิบกาแฟขึ้นดื่ม คาเรนนิ่งเงียบไป จริง ๆ ในใจของเธออยากจะสานการสืบสวนต่อ อย่างน้อยก็เพื่อฟิลลิปที่เสียชีวิตไป แต่เธอก็ต้องคิดอย่างหนัก เพราะนั่นเท่ากับชีวิตเธออาจจะวุ่นวายมากกว่าทุกวันที่เป็นอยู่นี้ “ถ้า... ดิชั้นปฏิเสธล่ะคะ?” เธอตั้งคำถามใส่มอเฟียช เขานิ่งเงียบให้กลับคำถามของคาเรน ก่อนที่จะบอกกลับไป “ผมไม่คิดว่า ทางเบื้องบนจะปล่อยคุณง่าย ๆ เขาก็คงหาทางมาบีบให้คุณไปทำงานที่เขาต้องการอยู่ดีล่ะครับ” มอเฟียชคาดการณ์สิ่งที่จะเกิดขึ้น คาเรนนั่งเงียบ ๆ เธอยังไม่ตัดสินใจสิ่งใดลงไป แม้เธออยากจะรู้ที่มาของเรื่องต่าง ๆ พอควร เธอดื่มกาแฟไปครุ่นคิดในสิ่งที่มอเฟียชกล่าวไป จนกระทั่งกาแฟหมดแก้ว เธอค่อย ๆ วางถ้วยกาแฟลง ก่อนที่จะกล่าวถามขึ้น “ต้องการคำตอบเมื่อไหร่คะ?” “ถ้าเป็นไปได้อยากจะให้รู้ผลในอาทิตย์นี้น่ะครับ” มอเฟียชตอบ ‘นี่ก็วันอังคารแล้ว มีเวลานั่งคิดนอนคิดตีลังกาคิดเพียงแค่ 2 วันเอง’ คาเรนคิด สีหน้าค่อนข้างหนักใจ “ดิชั้นยังให้คำตอบไม่ได้ในวันนี้หรอกค่ะ แต่จะพยายามตอบให้ภายในวันศุกร์ค่ะ” คาเรนบอกมอเฟียชที่กำลังรอคำตอบของอย่างตั้งใจ “ถ้าอย่างนั้น พวกผมก็จะรอคำตอบครับ” มอเฟียชหยิบกาแฟมาดื่มจนหมด นั่นคือข้อสรุปที่ได้ในวันนี้ คาเรนค่อนข้างไม่ค่อยสดชื่นเท่าตอนเช้า เนื่องจากไม่คิดว่าตัวเองจะต้องมาโดนบีบบังคับอะไรแบบนี้ แต่เธอก็ไม่ได้แสดงปฏิกิริยาใด ๆ ซึ่งอาจจะไม่สุภาพออกไป ---------------------------------------- หลังจากการพูดคุยเสร็จสิ้น มอเฟียชพาคาเรนกลับมายังสำนักงาน FBI นิวยอร์ค เพราะรถของคาเรนยังอยู่ที่นั่น เธอกลับบ้านไป ในช่วงบ่าย เมื่อถึงบ้าน สิ่งแรกที่เธอทำคือโยนข้าวของสารพัดด้วยความขี้เกียจ และเซ็งในอารมณ์อย่างยิ่ง เธอขึ้นไปห้องนอน ทิ้งตัวลงบนเตียงทันที เธอนอนแผ่หราสายตาเหม่อมองเพดาน มันมีอะไรให้คิดมากขึ้นกว่าเดิมอีก เธอเอามือมาจับที่ปอยผมด้านหน้าของเธอเอง พร้อมกับบ่นออกมา “ชีวิตมีแต่เรื่องวุ่นวายอีกแล้วนะ คาเรนเอ๋ย” --------------------------------------Next to Chapter 3 ![]() |
บทความทั้งหมด
|