บทที่ 12 Day10 วันสุดท้ายในซูริค และเที่ยวบินกลับบ้าน บันทึกการเดินทางเที่ยวยุโรป 3ประเทศ บทที่ 12 Day10 วันสุดท้ายในซูริค และเที่ยวบินกลับบ้าน ตื่นเช้ามาพร้อมอาการเมื่อยขบเล็กน้อยจากเตียงแคบ รีบอาบน้ำแล้วลงไปหากาแฟร้อนที่ล้อบบี้ พบน้องสาวกับคุณอากินอาหารเช้ากันอยู่ อาหารเช้าที่นี่แยกขายต่างหากใครจะซื้อหรือไม่ซื้อก็ตามสะดวก ฉันตรงไปที่เครื่องชงกาแฟ ถามพนักงานว่าจะขอซื้อกาแฟสักถ้วย เธอบอกให้ไปจ่ายเงินที่เคาน์เตอร์เช็คอินก่อน มีการถามไถ่อย่างละเอียดว่ามาดามต้องการกาแฟแบบไหน ต้องการรับน้ำตาลเพิ่มหรือไม่ แล้วจึงแจ้งราคาให้ทราบ ช่างละเอียดถี่ถ้วนเสียจริง เมื่อจ่ายเงินแล้วก็เดินกลับมากดกาแฟได้เอง ง่ายๆแบบนั้น เมื่อคืนฉันได้ปักหมุดบริษัทเช่ารถที่เราต้องนำรถไปคืนไว้ ดูแล้วมั่นใจว่าใช่เพราะเป็นสำนักงานที่อยู่ในสนามบินซูริค เราจึงไม่โอ้เอ้รีบเก็บกระเป๋าแล้วเตรียมตัวออกเดินทางเพราะต้องเผื่อเวลาไว้หลง ถึงกระนั้นก็ขับวนในลานจอดเสียสามรอบเพราะหาทางออกไม่ได้ คิดว่าจะวนไปออกทางที่เข้ามาก็มีลูกศรที่พื้นไม่ให้เลี้ยว วนอยู่จนมีรถคันอื่นออกนำไป เราเลยบอกให้ขับตามเขาไปโดยมีคนขับเถียงตลอดว่าไม่ใช่ทางออก เมื่อผ่านตู้ตอกบัตรจอดออกมาแล้วคนขับก็ยังไม่เชื่อว่านี่คือทางออก เพราะมันเป็นทางเดียวกับทางเข้าที่จอดรถของศูนย์การค้าข้างโรงแรมที่เขามาเดินเล่นเมื่อวานเย็น ฉันกับลูกต้องผนึกกำลังเข้าข่มว่าไปตามกูเกิ้ลเลย ทางออกเป็นถนนเลนเดียววิ่งลัดเลาะระหว่างศูนย์การค้ากับปั๊มน้ำมันเล็กๆ แล้วไปโผล่ออกซอยเล็กเพื่อเลี้ยวเข้ามอเตอร์เวย์ ยังดีที่ปากซอยมีป้ายบอกทางที่มีรูปเครื่องบินแสดงว่าเป็นทางไปสนามบินถูกต้องแล้ว เข้ามอเตอร์เวย์มาสิบนาทีก็ใกล้จะถึงสนามบิน รักป้ายบอกทางแถวนี้เพราะชี้ละเอียดเลยว่าเลนนี้ไปที่จอดรถ3-4และ Rental car เราชี้บอกให้ไปตามป้ายด้วยเสียงอันดังด้วยความดีใจและมั่นใจว่าวันนี้ไม่หลงแล้วโว้ย เราคืนรถง่ายๆ โดยเอารถไปจอดตรงป้ายคืนรถของบริษัท แล้วเอากุญแจหย่อนไว้ในกล่อง เข็นกระเป๋าลงลิฟท์แล้วข้ามถนนไปยังอาคารเช็คอิน มีป้ายชี้บอกให้ไปเคาน์เตอร์เช็คอินหลายส่วน เราเลยต้องถามเจ้าหน้าที่ที่ยืนยิ้มอ่อนอยู่ข้างประตูว่าสายการบินไทยเช็คอินตรงไหน เมื่อแยกกันเช็คอินเรียบร้อยเรายังมีเวลาเหลืออีกเป็นชั่วโมงกว่าจะถึงเวลาขึ้นเครื่อง น้องสาวกับลูกเลยไปติดต่อขอยืมวีลแชร์ และโยนภาระให้ลูกชายเป็นคนเข็นแม่ไปโน่นไปนี่ เราอยากช้อปของฝากประเภทของสดอีกสักหน่อย ลูกเลยต้องเข็นพาเราลงลิฟท์ข้ามกลับไปอาคารนอกเพื่อหาซื้อของฝาก แลัวก็เข็นข้ามกลับมาเพื่อไปยังเกท เราแยกทีมอีกเช่นเคย ข้อดีของการนั่งวีลแชร์คือเราจะได้สิทธิพิเศษได้ช่องผ่านพิเศษนับว่าสะดวกดี เราเริ่มเดินทางไปเกท ขั้นแรกคือตรวจบอร์ดดิ้งพาสเพื่อผ่านเข้าโซนชั้นในที่เข้าได้เฉพาะผู้โดยสาร เข้ามาแล้วก็มีร้านรวงขายของมากมาย เราไปตามป้ายซึ่งเป็นการไปเกทที่ไกลโพ้น ลูกต้องเข็นเราลงลิฟท์ ขึ้นรถไฟใต้ดินขบวนน้อย ขึ้นลิฟท์ ไปตามทางเดิน ลงลิฟท์อีกครั้ง ผ่านด่านตรวจคนเข้าออกเมือง ขึ้นลิฟท์ ไปตามทางเดินเพื่อจะพบว่าเขาเปลี่ยนเกท โดยเราทราบจากการถามเจ้าหน้าที่ว่าเกทE47อยู่ที่ไหน เขาย้อนถามว่าเราจะบินไปไหน พอรู้ว่าเป็นสายการบินนี้จะบินไปกรุงเทพ เขาเลยบอกว่าอ๋อเปลี่ยนไปที่เกท43นะ กว่าจะถึงเกทลูกชายถึงกับหมดแรงเห็นแล้วน่าสงสาร เราเลยลงจากวีลแชร์แล้วบอกลูกว่าจะเดินไปขึ้นเครื่องเองละกัน แต่ระหว่างรอมีเจ้าหน้าที่ฝรั่งตัวโตแวะมาถามว่ามาดามต้องการความช่วยเหลือไหม งั้นเดี๋ยวเขาจะเข็นรถมารับนะ เราพยักหน้าดีใจ ส่วนลูกชายถอนหายใจเฮือก รอที่เกทแค่สิบห้านาทีก็ได้ขึ้นเครื่อง เขาได้เปลี่ยนที่นั่งให้เราเพื่อได้นั่งคู่กับลูกชาย สะดุดตาผู้โดยสารที่นั่งแถวริมหน้าต่างด้านขวาข้างลูกชาย มองไปมองมาก็จำได้ว่าคือสามีนางเอกคนดัง ตื่นเต้นได้บินเที่ยวเดียวกับเซเลบ ขึ้นนั่งประจำที่พักใหญ่กัปตันก็ประกาศว่าเนื่องจากการจราจรติดขัดทำให้เราต้องจอดรอคิวอีกประมาณ40นาที แต่ก็ไม่เดือดร้อนอะไร เปิดดูหนังฟังเพลงไปพอเพลินๆ เที่ยวบินขากลับนี้ใช้เวลาบิน10ชั่วโมง30นาที เครื่องลงตรงเวลาหลังจากบวกเวลารอคิวขึ้นที่ซูริคแล้ว เมื่อเครื่องจอดก็มีวีลแชร์มารับ พาไปรับกระเป๋าแบบไม่แวะไหนเลย ฉันกับลูกเลยได้ออกมานั่งคอยอยู่ตรงประตูทางออก เพราะอีกสองคนนั่นแวะซื้อของปลอดภาษีก่อนออกมา ฉันนัดรถมารับหน้าประตูซึ่งเขามารออยู่ตามที่รับปาก ใช้เวลาบนรถจากสุวรรณภูมิถึงบ้านอีกประมาณชั่วโมงนิดๆ ถึงบ้านโดยสวัสดิภาพ จบการเดินทางท่องเที่ยวยุโรปปีนี้อย่างมีความสุข ปล. จบบันทึกแล้ว แต่จะขอมีบทรีวิวตามมาอีกบ้างนะคะ บางแห่งมีรายละเอียดอยากเล่า บางแห่งมาหาข้อมูลเพิ่มภายหลัง |
BlogGang Popular Award#20
สมาชิกหมายเลข 8225107
บทความทั้งหมด
|