hi Japan จาก Bangkok ถึง Narita เหนือสิ่งอื่นใด มาว่ากันเรื่องขั้นตอนก่อนนะจ๊ะ ว่าเหตุใดถึงได้ตัดสินใจไปญี่ปุ่น ตอนแรก คิดอยากไปฮ่องกง แต่พอดีคนที่ชวนไว้หลาย ๆ คนไม่มีใครไปเลยเลยต้องเปลี่ยนแผน ดูตามหนังสือท่องเที่ยว ไปกับทัวร์หรือก็แสนแพง ฮ่องกงนี่ก็เกือบ 2 หมื่น เกาหลี 3 หมื่นกว่า ญี่ปุ่นก็ทะลุ 5 หมื่นไปแล้วเลย เออ ว่าแต่ญี่ปุ่นเรามีญาติอยู่นี่นา มิช้าอยู่ใยเราไปญี่ปุ่นดีกว่า เมื่อคิดสั้น ๆ ได้แค่นี้ก็หาข้อมูลทางอินเตอร์เน็ค เกี่ยวกับเรื่องวีซ่า ก็ได้ทราบว่าญี่ปุ่นเนี่ยขอวีซ่าเข้ายากรองจากอเมริกาเลย แต่ถ้าหากว่ามีจดหมายรับรองก็จะมีโอกาสมากกว่า ก็เลยรีบอีเมล์ไปถึงท่านญาติ ให้ช่วยเขียนจดหมายมาเชิญไปหน่อยนะคะ สำหรับรายละเอียดการขอวีซ่า สามารถ คลิกดูได้ที่นี่นะคะ หรือมีข้อสงสัย เมล์มาถามได้ค่ะอ้อ การเดินทางทริปนี้ขอขอบคุณข้อมูลจาก เว็บไซต์สถานทูต เว็บพันทิพ และห้อง @Japan หนังสือ เที่ยวไม่ง้อทัวร์ตีตั๋วไปญี่ปุ่นเล่ม 1-2 ด้วยค่ะ (ตอนนี้ออกเล่ม 3 แล้วน๊า) หลังจากทำเรื่องยื่นวีซ่าไป 2 วันก็ได้พาสปอร์ตคืน เสียค่าวีซ่า 1110 บาท (ตอนนี้ค่าวีซ่าไม่ถึงพันแล้วนะคะ ลดลงมาแล้ว) บางคนบอกว่าเขาสัมภาษณ์เยอะ แต่ของเราเขาถามแต่ว่า ทำงานด้วย เรียนโทด้วยใช่ไหมครับ ถามแค่เนี๊ยะ...แต่ว่าที่ถามแค่นี้อาจเป็นเพราะเราเป็นข้าราชการก็ได้มั๊ง พอหลังจากได้วีซ่าคืนแล้ว ก็ได้รับความกรุณาจากเพื่อนเอ๊ เพื่อนผู้มีความชำนาญในการเดินทาง เนื่องจากเขาไปต่างประเทศบ่อย ให้คำแนะนำในการจองตั๋วเครื่องบิน เนื่องจากเกิดมาในชีวิต เราไม่เคยจองตั๋วเลย ก็ได้ไปจองตั๋วแถวเอ็มโพเรี่ยม ซอย สุขุมวิท 33/1 เอ๊บอกว่าแถวนี้ย่านญี่ปุ่นน่าเชื่อถือ ก็เลยเข้าไปจอง โอ้....ที่บริษัทบอกว่าช่วงที่จองเป็นช่วงหลัง Golden week ชาวญี่ปุ่นที่ไปเที่ยวกันมากลับบ้าน ทำให้ตั๋วไม่ค่อยมี แต่พอดีเราไปคนเดียว ทำให้ในที่สุดก็ได้ตั๋วมาจนได้ เป็นของคาเธ่ย์แปซิฟิค ราคา 18600 บาท ทรานซิทฮ่องกง ตายละวา เกิดมาขึ้นเครื่องคนเดียวยังไม่เคย โดนทรานซิทอีก แต่ไม่ลองไม่รู้ คนอย่างเอวิ ต้องลองไม่ให้เสียชาติเกิด เอ๊บอกว่าทรานซิทสิดี ได้ลงไปยืดเส้นยืดสาย เดินดูของดิวตี้ฟรี (แหมเข้าทาง) 5555 เอาหละกลับมาเหลือเวลาเตรียมตัว 3 วัน จัดกระเป๋าสีแดงใบเก่ง (แถมจากเอวอนมีล้อลาก) อัดเสื้อผ้าลงไปเต็มพอดี แม่ถาม ไม่เอาไปอีกใบไว้ขนของกลับเหรอ แต่พอดีพี่เป๋อ (ลูกพี่ลูกน้องที่อยู่ที่นู่น) แกว่าจะให้ยืม แล้วก็กะว่าของแพงไม่ซื้อไรมากหรอก จัดกระเป๋าเสร็จเช้าวันที่ 9 พ.ค.49 ก็เดินทางกัน แต่เช้า เครื่องขึ้น 11 โมง ออกจากนนท์ 6.30 น. โดยมีน้องแจ๋วกรุณาไปส่ง(เรื่องของเรื่องคือมันอยากไปส่ง) รถติดมากกก.กกก น้องแจ๋วถาม 8 โมงแล้วจะทันไหมเนี่ย เพราะเราบอกต้องถึง 9 โมง ความจริงเลยปรากฏว่า ถึง 9 โมงน่ะเขาเปิดเช็คอินจะได้ไปช้อบดิวตี้ฟรี ถึงดอนเมืองจริง ๆ 8 โมงกว่า ๆ พบคุณพ่อคุณแม่ที่มาจากบ้าน...แหม...ไม่ได้ไปด้วยก็อยากมาส่งง่ะ โหลดกระเป๋าเสร็จ กินข้าวเช้ากันแป๊บนึงก็ได้เวลา ออกสัญจร ผ่านขั้นตอนสำคํญซื้อของสกัดดาวรุ่งที่ดิวตี้ฟรีไทยแลนด์ของไทย ก็เหินฟ้าสู่ฮ่องกง ถึง ฮ่องกง 14 น.เวลาฮ่องกง ออกจากที่เกท 25 เวลา 14.05 น.ต้องไปต่อเครื่องไปโตเกียวที่เกท 66 แต่ก็มีโง่หลงเกท หาทางไปไม่เจอ (อย่าตกใจ เป็นเรื่องปกติของดิฉัน) ถามใครก็ไม่อยากจะบอก สุดท้ายมีแอร์หน้าออกทางจีน ๆ คนนึงชี้ ๆ ให้เลยไปถูก เฮ้อ.... ![]() สนามบินที่ฮ่องกง ![]() ระหว่างวิ่งไปเกท 66 ยังมีแก่ใจแอบดูกระเป๋า ร้าน Lesportsac ที่ดิวตี้ฟรีฮ่องกง สวยจัง เดี๋ยวขากลับค่อยมาซื้อ เทอร์มินอลที่สนามบินฮ่องกงใหญ่มาก จากเกท 25 ไป 66 ราวกิโลนึงมั๊ง ขนาดว่าวิ่งบนสายพานนะ ก็ยังรู้สึกว่าไกล อ้อ มารยาทของชาวฮ่องกง คือเวลายืนบนบันไดเลื่อนหรือ รางเลื่อนให้ยืนชิดข้างหนึ่งนะคะ จำไม่ได้ว่าข้างไหน เพื่อเว้นให้คนรีบ วิ่งไปทางด้านที่ว่าง ก็อาศัยดูเอาว่าเขายืนข้างไหน แต่ฝรั่งส่วนใหญ่ไม่ค่อยรู้หรอก ก็ excuse me sorry ๆ ไปเรื่อย ๆ จนถึงเกท 66 นั่นแหละค่ะ ถึงหน้าเกทเขาขึ้นเครื่องกันไปแล้ว อ้อ เวลาขึ้นเครื่องต้องขึ้นให้เรียบร้อยก่อนเครื่องขึ้น 20 นาที คือถ้าเครื่องขึ้น 15.00 ต้องไปเข้าเครื่องก่อน 14.40 ค่ะ โอ๊ยๆ เราไปถึง 14.30 เหลืออีก 10 นาที เข้าไปนั่งไม่เท่าไหร่ เครื่องออกพอดี นั่งข้างชายวัยกลางคนชาวญี่ปุ่นค่ะ กินอาหารเสร็จ แอร์ก็มาถามไรไม่รู้ ฟังก็ไม่รู้เรื่อง (พูด อ่าน เขียน ได้ แต่อย่าให้ฟัง ฮ่วย!) มาถาม japan ๆ ก็ Japan ๆ ด้วย ทำหน้างงเดินไปเลย 55555 แต่นึกว่าจะรอด สักพักเดินมาใหม่ ถามทรานซิทใช่ไหม บอกใช่ ยื่นแบบสอบถามให้ จับใจความได้ว่าจับรางวัลปลายเดือน(ทีเงี๊ยรู้เรื่อง) เลยเอามาทำซะ แอบหวังลึก ๆ ว่า คงได้รางวัลนะ เครืองลงจอดล้อหยุดหมุนที่ Japan สนามบินนาริตะ เทอร์มินอล 1 เวลาท้องถิ่น 21.30 น. ผ่าน ตม. ฉลุย เอากระเป๋า เจอศุลกากร หล่อเสียด้วย อ้าวคนสุดท้ายเลยนี่หว่า (มัวเอ๋ออยู่) "มากับใครครับ" "มาคนเดียวค่ะ" "อยู่ที่ไหนครับ" "อยู่บ้านเพื่อนค่ะ ชินจูกุ" "พูดภาษาญี่ปุ่นได้ไหม" "ไม่ได้เลยค่ะ !! " ตอนแรกเห็นสาวผิวสีคนข้างหน้าตานี่โดนเปิดกระเป๋าดูด้วย แต่เราไม่โดนเปิดนะคะ "เอ้า....แล้วมีตั๋วไหม" "ตั๋วอะไร ไม่มี๊ๆๆๆ" เราทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ "ticket ๆ ยูมีม้าย..." "ไม่มี๊ๆๆๆ ตั๋วรถไฟไม่มี ตั๋วรถเมล์ไม่มี" "ตั๋วเครื่องบินมีไหม" "มีสินั่งมาแล้วนี่ไง" ![]() "ม่ายช่ายๆๆๆ" "เอ๊า..." "ขากลับน่ะ" "อ๋อ...." อ๋อซะยาว "มีค่ะ" (พูดกันรู้เรื่องประมาณนี้) ครั้นพ้นขั้นตอนออกมา พี่ชายร่ะ ไม่เห็นมีใครเลย แถมที่ตัวก็มีแต่แบงค์ จะซื้อบัตรโทรศัพท์ก็ไม่รู้จะทำยังไง ไปติดต่อประชาสัมพันธ์ประกาศแล้วก็ไม่มี ฮือๆๆๆๆๆ นอนที่นี่ล่ะวะ อ้าว...เหลือบไปเห็นคนอินเดียคนนึง ยืนโทรศัพท์ เลยอาศัยว่าหน้าออกแขก (สักพัก ลิเก ออก อ่ะ ม่ายช่าย) ไปถามดีกว่าว่าแลกเหรียญที่ไหน เอ๊า...นายห้างแกใจดีให้เหรียญมาเลย เลยยกมือไหว้ปะลกๆ เอีา...แขกแกรับไหว้อีก ได้เศษเหรียญมาแล้วก็โทรเข้ามือถือตาเป๋อ พี่แกบอกไปรออีกที่ ให้รอที่นั่นก่อน ก็เลยเดินไปนั่งข้างตู้น้ำ...อ้าวมันสอดแบงค์ได้นี่หว่า เชยจริง กดชาอู่หลงมากินขวดนึง (100 เยน 35 บาท ฮือๆๆๆ) มีเศษตังทอนลงมา จะเอาไปคืนนายห้างแกก็ไปซะแล้ว ขอบคุณมากนะ จะไม่ลืมพระคุณเลยจริง ๆ ![]() ตู้น้ำหยอดเหรียญที่นาริตะแอร์พอร์ต ขวดที่กินน่ะ ขวดขวาล่างสุด นั่นน่ะค่ะ 100 เยน มุมขวาล่างช่องใส่แบงค์ ช่องกลางตังทอน ช่องซ้ายรับของ นั่งรอตรงจุดนัดพบ ตาเป๋อก็ยังไม่มา เอ้า...แต่มียามหนุ่มรูปหล่อเดินยิ้มมาแต่ใกล มานั่งคุกเข่าตรงหน้าซะงั้น ชักเขินแฮะ "แอร์พอร์ตจะปิดแล้วคร๊าบ สี่ทุ่มครึ่งแล้ว นอนที่นี่ไม่ได้นะคร๊าบ" พี่แกพูดภาษาอังกฤษกระท่อนกระแท่น ทำมือประกอบด้วย "ค่ะๆ" พลางงง อ้าว หนามบินมีปิดด้วยเหรอฟะ "รอเพื่อนมารับค่ะ อีก 10 นาที" เรายิ้มให้ เอ๊า...มีแก้มแดงอีก คนญี่ปุ่นนี้เขินง่ายจังแฮะ เราก็ไม่ได้สวยขนาดนั้นน๊า... (คิดไปเอง) แล้วพี่แกก็เดินจากไป ปล่อยสาวสวยไว้กับตู้น้ำ โธ่ ตาเป๋อนะตาเป๋อ.....เอ้า...เดินมาโน่นแล้ว เสื้อแดงมาเชียว "ร้องไห้รึยังล่ะเรา" "หวัดดีพี่" ว่าแล้วยกมือไหว้แบบไทย พี่เป๋อพาไปซื้อตั๋ว airport Lemousine bus จะมีเคาน์เตอร์ของเขาเลย บอกไปชินจูกุ ราคา 3000 เยน (1000 บาท ฮือๆ) ![]() หน้าตาตั๋ว พี่เป๋อบอก ใช้เวลา 2 ชั่วโมง อารมณ์เหมือนกรุงเทพสิงห์บุรี ไม่อยากให้นั่งรถไฟเพราะจะไม่เห็นอะไรเลย ประตูแอร์พอร์ตเปิด ลมเย็นโชยมา หนาวจริงจัง แกหัวเราะบอกนี่ล่ะอากาศดี ถามแกแกบอกราว 12-13 องศา ฝนตกปรอยๆด้วย "เรานี่โชคดี เลือกมาหน้าฝน เขาไม่มากันหรอกช่วงนี้" "โธ่พี่....คนอื่นมาเคยสัมผัสฝนญี่ปุ่นไหม....แต่เอวิเคยนะเออ" ขึ้นรถเสร็จ ปวดฉี่ ดีที่ในรถด้านหลังมีห้องน้ำ มีกระดาษชำระให้ด้วย วิวด้านนอกรถมืดหมด รถวิ่งตามไฮเวย์จนถึงโตเกียว สังเกตเห็น office ต่าง ๆ ยังเปิดไฟ พี่เป๋อบอกว่าคนที่นี่ทำงานดึก บางทีไม่กลับ เช้าก็แวะอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า กินกาแฟ เคี้ยวหมากฝรั่ง แล้วทำงานต่อ โห....เป็นพี่ไทย ไปเมาแล้วยังกลับก่อนเลยอ่ะ ในที่สุดก็ถึงชินจูกุ บนรถบัสมีจอ LCD บอกด้วยว่าที่จอดคือที่ไหน เขียนภาษาอังกฤษชัดเจน Shinjuku ไม่ต้องกลัวหลงเลย ลงมาฝนตกปรอย ๆ พี่เป๋อเรียก Taxi บอกไป Shin-Okubo ที่นี่ Taxi ประตูเปิดปิดเองค่ะ แป๊บเดียวก็ถึง ขึ้นไปที่อพาร์ทเม้นท์ชั้น 4 ห้อง 413 ก็พบพี่ชิฮารุ พี่สะใภ้คนน่ารักขวัญใจของเรายิ้มต้อนรับ "สวัสดีค่า...." พูดไทยชัดแจ๋ว (ที่บล๊อกของคุณ fudge-a-mania มีเรื่อง Japan and the Bathroom น่าสนใจทีเดียวค่ะ)
ไปต่อกันวันรุ่งขี้น ไปวัดอาซาคุสะ คลิก ที่นี่ ค่ะ edit : แก้คำผิด แก้ภาพเสียค่ะ ชอบค่ะ อ่านง่ายดี อ่านแล้วอยากไปมั้ง
โดย: อยากเที่ยว IP: 125.25.184.173 วันที่: 21 สิงหาคม 2551 เวลา:9:17:25 น.
อ่านตามแล้วสนุกจังเลยค่ะ เราก็อยากไปนะญี่ปุ่นเนี่ย รอคุงแฟนอยู่ ^ ^
โดย: petite_poochi IP: 58.11.83.20 วันที่: 6 เมษายน 2553 เวลา:17:43:50 น.
|
บทความทั้งหมด
|
ขอเวลาอ่านซัก 2-3 วันแล้วจะ Comments หนุก ๆ แบบ NumAromDee ไปให้
แต่ตอนนี้ขอลาไปกหม่ำข้าวและทำงานต่อก่อนล่ะกัน
ว่าแต่คุณน้อง honneynut น่าจะเป็นคนรักแมวอย่างรุนแรงนะเนี๊ยะ......