ตอนที่ 12 "ครั้งแรกกะหมอเกย์"
"ตอนที่ 12" ครั้งแรกกะหมอเกย์

ฮ้าววววว (เสียงเกย่าหาวฮ่ะ) ยังง่วงอยู่เลยอะ ขนาดตื่น 11 โมงแล้วนะเนี่ย พอดีเมื่อคืนตกใจตื่นมาตอนตี 3 เพราะเสียงกริ่งดังสนั่น ไม่รู้ว่าขี้เมาที่ไหนลืมกุญแจ เข้ามาในอพาร์ทเมนต์ไม่ได้ เลยเล่นกดกริ่งไล่ปลุกเพื่อนบ้านเสียทุกห้องเลย น่าจะจับมาให้เกย์เรียงคิวจริงเชียว เพิ่งจะพูดเรื่อง S&M ไปหมาด ๆ ด้วย ฮึ่ม

งัวเงียว่าจะหลับต่อเสียหน่อย พอ ตี 5 คนนอนข้าง ๆ ดันมาสะกิด .... ว้าย ม่ายช่าย เด็กทารกลูกของเพื่อนบ้าน ที่อาศัยอยู่ข้างล่างลงไปอีกหนึ่งชั้น ก็แผดเสียงแปดหลอดออกมา โอ๊ย อะไรกันเนี่ย ถ้าเป็นลูกเป็นเต้าตัวเอง จะเอาพลาสเตอร์ปิดปากซะ (คงเป็นเพราะเหตุนี้เอง สวรรค์เลยไม่อนุญาตให้เกย่าสืบเผ่าพันธุ์ มนุษยชาติน่ะฮ่ะ)


ก่อนที่เกย่าจะอารมณ์เสียไปงับคอใครเข้า เพราะอารมณ์หงุดหงิดที่นอนไม่เต็มตื่น เรามารื้อฟื้นกลับเข้าเรื่องที่สัญญากันไว้ตั้งแต่เมื่อวานกันดีกว่านะฮะ สรุปว่ามติเป็นเอกฉันท์ขาดลอย ว่าท่าน ๆ อยากจะทราบประสบการณ์ครั้งแรกของเกย่ากับหมอเกย์นะฮะ (พูดซะ วาบหวามเชียว) ได้เลยฮ่ะ ว่าไงก็ว่าตามกัน คนมันกำลัง อินเลิฟ ใครว่าอะไร ก็ตามใจไปเสียหมดนะฮะ คริ คริ


คิดว่าใครต่อใครที่ย้ายมาอยู่เมืองนอกเมืองนา ก็ต้องเคยประสบพบเจอกับปัญหาเจ็บป่วยกันนะฮะ ถ้าเป็นสมัยอยู่เมืองไทย พอไม่สบาย ครอบครัวของเกย่าที่ต่างจังหวัด มักจะพึ่งพาร้านขายยาเสียมากกว่าไปหาหมอ จนครั้งหนึ่งเกย่าตอนอายุ 5 ขวบ เกือบโบกมือบ๊ายบาย จากโลกสดใสไปก่อนวัยอันควร เพราะเป็นไข้เลือดออก แต่นายหมอตี๋ ในตลาดกลับให้แอสไพรินมาทานน่ะฮ่ะ และในหลาย ๆ ตัวยาที่ฮอตฮิตกัน ตามประสาคนบ้านไร่ปลายนา ไกลปืนเที่ยง ก็มีเจ้ายาปฏิชีวนะ อย่างออริโอมัยซิน นี่แหละ ที่นับถือกันเป็นยาเทวดา จะป่วยจะไข้อะไร ถ้ามีอาการอักเสบผสมด้วย หมอตี๋จะจ่ายยาแก้อักเสบ เป็นว่าเล่น นัยว่าผลมันเร็วและชะงัดนัก


เกย่าว่ายังมีคนไทยเป็นจำนวนมากที่ไม่ได้ตระหนักถึงพิษสงที่ซ่อนอยู่ของเจ้ายาปฏิชีวนะตัวร้าย และยังคง
ใช้กันอย่างพร่ำเพรื่อ แม้แต่ตามคลีนิกแพทย์ผิวหนัง และความงาม ที่ครั้งหนึ่งเปิดกันเบ่งบานเป็นดอกเห็ดยามฝนแรกต้องพสุธา ก็จะเน้นแจกยาแก้อักเสบนี้ แก่คนที่มีปัญหาสิว เพื่อนสาวของเกย่า ซึ่งน้องสิวพาเหรดมาอยู่บนใบหน้าของเธอ ราวกับผลโนนิ (ชื่อหรู ๆ ของลูกยอ) ครั้งหนึ่งไปหาหมอ แถวสยาม ก็ได้ยาแก้อักเสบมาถุงเบ้อเร่อ เห็นแล้วสยองแทนจริง ๆ ฮ่ะ


ถึงแม้ว่าเกย่าจะไม่เคยมีปัญหาเรื่องสิว เพราะอบไอน้ำสมุนไพร และพอกหน้าอยู่เป็นประจำ อ๊าย อย่าคิดว่า
เกย่าไปทำตามสถาบันเสริมความงามนะฮะ เบี้ยน้อย หอยกระจิริดอย่างเกย่า สมัยเป็นนิสิตนักศึกษา ไม่มี
ปัญญาจะไปสถานที่อโคจร (สำหรับคนบ่จี๊ ) อย่างนั้นหรอกนะฮะ

การอบไอน้ำของเกย่า ก็ใช้วีธีทำง่าย ๆ มีกาต้มน้ำไฟฟ้าใบนึง (แบบที่กดน้ำออกอยู่บนหัว เหมือนของญี่ปุ่นน่ะ) กาต้มน้ำแบบนี้ พอเราต้มน้ำจนเดือด มันก็จะตัดอัตโนมัติ พออุณหภูมิ เริ่มลดต่ำลง มันก็จะเริ่มต้มใหม่ เหมาะแก่การอบไอน้ำเป็นอย่างยิ่งฮ่ะ เพราะถ้าเกย่าใช้หม้อหุงข้าวต้ม น้ำก็จะเดือดอยู่ตลอดเวลา ลวกหน้าลวกตา แดงเถือก ถลอกปอกเปิกหมดสวยกันพอดีฮ่ะ พอเสียบปลั๊กเสร็จ รอน้ำเริ่มร้อนสักครู่ ก็เปิดฝากาต้มน้ำออก เลื่อนใบหน้าไปอังอยู่เหนือปากกา เอาผ้าเช็ดตัวมาคลุมศีรษะ และลำคอ เหมือน
คลุมโปงน่ะฮ่ะ ในน้ำนั้นก็ใส่ใบสมุนไพรลงไปด้วยนะฮะ มาอยู่ยุโรปนี่ เกย่าใช้ลาเวนเดอร์ เพราะหาง่ายแต่สมัยอยู่เมืองไทย จะสะระแหน่ กระเพรา โหระพา หรือแมงลัก เกย่าก็ไม่เกี่ยงฮ่ะ แอบจิ๊กมาจากร้านก๋วยเตี๋ยวเรือน้ำตกเป็นประจำ


การอบไอน้ำด้วยวิธีนี้ ทำได้สบาย ๆ ตลอดรอดฝั่ง 15-20 นาทีฮ่ะ เพราะไอน้ำที่รมบ่มผิวอยู่นั้น ไม่ร้อนจัด เนื่องจากตัวเทอร์โมสตัดท์จะคอยตัดกระแสไฟ เสร็จสิ้นกระบวนการอบไอน้ำ เกย่าก็ล้างหน้าและลำคอด้วยน้ำเย็นจัด ตอนอยู่เมืองไทยก็ใช้น้ำแข็งผสมเอา หลังจากนั้นก็พอกหน้าด้วยโยเกิตรสธรรมชาติ ระหว่างพอกก็ถูนวดไปด้วย ให้เนื้อโยเกิตซึมซาบลงไปใต้ผิว รอจนแห้ง แล้วก็ล้างหน้าด้วยน้ำอุ่น จากกาใบเดิมนั่นล่ะฮ่ะ เสร็จแล้ว ซับหน้าและลำคอให้แห้ง ทำอย่างนี้สัปดาห์ละ ครั้ง 2 ครั้ง ใบหน้าก็สว่างสดใส ไร้สิวฝ้าราคี ไม่ต้องพึ่งฝีมือหมอฮ่ะ


ในเยอรมัน คลีนิกดูแลรักษาผิวพรรณ ไม่ได้มีดาษดื่นทั่วไปอย่างบ้านเรา และค่าเข้าไปใช้บริการแต่ละที ก็แพงกว่าเงินเดือนข้าราชการไทยเสียอีก คนไทยไกลบ้านเลยเลือกที่จะดูแลตัวเองกันมากกว่าฮ่ะ แต่สาเหตุที่ทำให้เกย่าต้องไปหาหมอเกย์นั้น ไม่ได้เป็นเพราะปัญหาผิวพรรณหรอกนะฮะ ก็บอกแล้วว่าเกย่า หน้าสวยใส ไม่เชื่อไปถาม น้องหมี่เย็น หรือพี่ฟรีด้อมดูก็ด้ายยยยส์ คริคริ

มิตรรักนักอ่านบางท่านที่นี่ ก็อาจจะมีโรคประจำตัวกันนะฮะ เช่น หอบหืด แพ้โน้นแพ้นี่ คนไทยหลาย ๆ คน
ตอนอยู่ที่เมืองไทยเป็นโรคแพุ้ฝุ่น พอระหกระเหินมาอยู่ต่างแดน ฝุ่นผงไม่ค่อยจะมี อาการก็ค่อย ๆ หายไป

แต่ก็มีกรณีกลับตาลปัตร บางท่านอยู่เมืองไทยไม่เคยแพ้เกสรดอกไม้ พอย้ายมาอยู่เมืองนอก นัยว่าใหม่ ๆ
ภูมิยังดีอยู่ จับพลัดจับผลูอยู่ไปนาน ๆ ผ่านวันเป็นเดือน ผ่านเดือนเป็นปี พอเข้าหน้าฤดูใบไม้ผลิ อากาศดี
ๆ มวลช่อมาลีนานาพรรณพากันเบ่งบาน หลายคนกลับต้องหยุดงาน นอนซมอยู่กับบ้าน เพราะแพ้เจ้าเกสรดอกไม้ เสียยับเยิน ตาก็บวมเป่งจนลืมไม่ขึ้น เยื่อบุโพรงจมูกก็อักเสบ ปวดหัวตัวร้อนกันให้วุ่นวาย


เกย่านั้น นับว่าโชคยังดีอยู่ เพราะไม่เคยเจ็บป่วยด้วยโรคประจำถิ่นของชาวยูโรเปี้ยน กับใครเขา ใครจะแพ้เกสรจนล้มหมอนนอนเสื่อ หรือเป็นไข้หวัดใหญ่กันหนักหนาสาหัสแค่ไหน เกย์ไทยคนนี้ก็อยู่รอดปลอดภัย
ฮ่ะ แต่ถึงแม้เกย่าจะเป็นเกย์สาวกระทิงเปลี่ยว โคตะระถึกแค่ไหน ก็มีอยู่โรคหนึ่งที่ตามมาราวีและมีชัยเหนือเกย่า ตั้งแต่สมัยยังกระเตาะอยู่เมืองไทยฮ่ะ


ย้อนความกลับไปสมัยยังเป็นหนุ่ม (?) น้อย ชั้น ม. 1 นมยังไม่แตกพาน แก้มก็แดงใส แบบไม่ต้องพึ่งพาน้ำยาอุทัยทิพย์ พอถึงหน้ากีฬาสี พวกเราเหล่าหนุ่มละอ่อนหน้าสวยสะ ก็มักจะถูกรุ่นพี่แมวมอง มาจ้องตะครุบ เอ๊ย มาทาบทามไปเป็นเชียร์ลีดเดอร์ฮ่ะ การทำหน้าที่ดังกล่าว ในโรงเรียนมัธยม เราไม่ต้องมาทำท่าเชิดนม คอตั้ง กางนิ้วมือแผ่เป็นปีศาจต้นไทรพันปี อย่างในหนังโปเยโปโลเยหรอกนะฮะ

จริตสาวจะแตกฉาวโฉ่ยังไง ก็ตามสบาย ไม่ต้องมากระมิบกระเม้ม คอยเก๊กเป็นแมน อย่างกรณีอย่างงานฟุตบอล
ประเพณี ให้เหล่าสปายกะเทยฝีปากดี ไปคุ้ยเขี่ยมาแฉให้สนั่นลั่นบอร์ดปาล์มอย่างเช่นทุกปีที่ผ่านมา


เกย่านั้นถึงจะโดนจับตัวไปเป็นเชียร์ลีดเดอร์ แต่ก็ไม่ค่อยจะชอบเต้นหรอกนะฮะ ชอบกรี๊ดซะมากกว่า ยิ่งเวลารุ่นพี่นักกีฬาชายหนุ่มหล่อ วิ่งห้อเข้าเส้นชัย ท่าเต้นอะไร ๆ ก็ลืมหมด ใจจ่อจดอยู่กับการตะเบ็งเสียงกรี๊ดเท่านั้นฮ่ะ เรียกว่า กว่าบรรดาหนุ่มหล่อแห่งโรงเรียนลงแข่งขันหมดครบทุกคน คอของเกย่าก็ระบมจนเปล่งเสียงแทบจะไม่ได้ แต่เนื่องจากยังเด็กอยู่ เลยไม่ได้ใส่ใจอะไรมากมายฮ่ะ


สองสามวันต่อมา ก็เกิดอาการอักเสบในลำคอ เกย่าก็แค่ฝานมะนาวเป็นชิ้นบาง จิ้มทานกับเกลือ เพื่อบรรเทาอาการ แต่สุดท้ายก็ช่วยอะไรไม่ได้ อาการลุกลามมากขึ้น ถึงขั้นนอนกะที่ เจ็บคอมาก จนแม้แต่กลืนน้ำลายก็แทบจะไม่ไหว

คุณแม่เลยมาคะยั้นคะยอให้ไปหาหมอ เกย่าก็ไม่ยอมไป เพราะนึกถึงเวลาต้องไปต่อคิวรอหมอที่คลีนิกแล้ว ไม่แคล้วต้องเป็นลมล้มพับไปเสียก่อนแน่ ๆ คุณแม่ยกแม่น้ำทั้งห้าอยู่เป็นนาน จนอิดหนาระอาใจ ในความหัวดื้อหัวแข็งของเกย่า ในที่สุด ท่านก็เลยออกไปซื้อยามาให้แทน เกย่าไม่ได้ถามว่า ไปซื้อมาจากร้านหมอตี๋หน้าตลาด หรือเภสัชกรในตัวเมือง


เจ้ายานั้นชื่อว่า อะม็อกซี่ซิลลิน ฮะ เกย่าจำชื่อได้ขึ้นใจ และคงจะจำได้ไปจนวันตาย เพราะเจ้ายาปฏิชีวนะตัวนี้ คลุกคลีอยู่กับชีวิตเกย่า นับสิบปี ราวกับเพื่อนสนิทเลยทีเดียว หลังจากทานยาเข้าไปสองวัน อาการของเกย่าก็ดีขึ้นจนผิดหูผิดตา และสามวันผ่านไป เกย่าก็รู้สึกกระปรี้กระเปร่าเป็นปกติ และคิดว่าหยุดทานยาได้แล้วล่ะ หายแล้วนี่นา (ปกติต้องทานติดต่อกัน 5 วัน) อีกอย่าง ยาในแคปซูลสีเขียวแก่นี่ก็กลิ่นแรงเหลือเกิน

บางครั้งไม่ทันจะกลืน ก็แทบจะอาเจียนออกมาเสียก่อน เกย่าในวัย 11 ปี ก็เลยแอบเอายา ปาออกไปตรงพงหญ้านอกรั้วบ้าน ทุกครั้งที่คุณแม่เอาเม็ดยามาวางให้ ภูมิใจแกมตื่นเต้นฮ่ะ


อนิจจา เกย่าไม่ได้รู้เลยว่า การกระทำอย่างรู้เท่าไม่ถึงการณ์ในครั้งนั้น จะส่งผลอันไม่พึงประสงค์ ต่อวงจรการเจ็บป่วยในชีวิตติดตามมาอย่างสาหัสสากรรจ์ จะมีใครสร้างเครื่องย้อนเวลาไหมฮะ เกย่าขออาสาเป็นตัวทดลอง จะได้กลับไปบีบปากเจ้าหนูน้อยเกย่าวัย 11 นั่น แล้วจับกรอกยาที่ปาทิ้งไปเข้าปากให้ครบ


หลังจาก (คิดว่า) หายดีแล้ว เพราะเสียงแจ้ว ๆ กลับมา และอาการเจ็บคอก็ไม่ีมีอีก เกย่าก็กลับไปโรงเรียน
ตามปกติ แต่สิ่งที่ไม่ปกติก็คือ นับแต่นั้น อาการอักเสบในลำคอก็มักจะวนเวียนมาเยี่ยมเกย่า เสมอ ทุก ๆ สองเดือน หรือสามเดือน บางครั้งก็เจ็บมาก บางครั้งก็ไม่หนักหนาอะไร แต่ที่แน่ ๆ ทุกครั้ง อะม็อกซี่ซิลลินจะเป็นพระเอกขี่ม้าเขียว มาช่วยเกย่าไว้เสมอ

เรียกว่า พอเริ่มมีอาการระคายคอปุ๊บ เกย่าก็จะวิ่งไปร้านขายยา ถามหาฮีโร่ตัวนี้ปั๊บ ทุกครั้งไป สิบปีเต็มนะฮะ แม้กระทั่งตอนเดินทางมาเรียนต่อที่เยอรมัน เกย่าก็ยังแวะไปซื้อยาปฏิชีวนะตัวดังกล่าว จากร้านใหญ่แถวศิริราช มาตุนไว้ 100 เม็ด เพราะได้ยินมาว่า ในเยอรมัน เราจะซื้อยากลุ่มนี้ไม่ได้ หากไม่มีใบสั่งจากแพทย์


และแน่นอนว่า ถึงแม้จะย้ายมาอยู่เยอรมันแล้ว ทุก ๆ สองสามเดือน เกย่าก็จะป่วยด้วยโรคคออักเสบนี้ ก็อาศัยยาที่ตุนมาคอยช่วย ทำให้ไม่ต้องไปหาหมอ จนกระทั่งผ่านไปเกือบปีครึ่ง ยาก็หมดลง และเมื่อวงจรอุบาทว์เวียนมาถึงรอบ เกย่าก็ป่วยด้วยโรคเดิมอีกครั้ง โดยการป่วยครั้งดังกล่าว เกย่าเพิ่งกลับจากไปทัวร์แบกเป้ฉายเดี่ยว ที่สเปนมาฮะ


คุณป้า.... อะไรกันเกย่า กลับมาจากเที่ยว ป่วยเลยเหรอ

เกย่า... ฮะ คุณป้า เจ็บคอมากเลย

คุณป้า... ไปทำอะไรมา คอถึงอักเสบ (สายตา คุณป้า แบบว่า... อ๊ะ ๆ ชั้นรู้นะ เธอไปทำอะไรมา)

เกย่า... ก็ไม่ได้ทำอะไรมากมายนี่ฮะ (สายตามองกลับ แบบว่า อ๊ะ ๆ ... ไม่ใช่อย่างที่เธอคิดย่ะ)


คุณป้าก็เลยเร่งเกย่าให้ไปหาหมอ แต่พอดีว่า คุณหมอประจำบ้านนั้น ไปฮอลิเดย์ฮะ หลังการปฏิรูประบบประกันสุขภาพของเยอรมันเมื่อต้นปี 2005 ผู้ป่วยทุกคนจะต้องไปตรวจกับหมอประจำบ้านก่อน เมื่อหมอประจำบ้านลงความเห็นว่า จะต้องส่งตัวไปรักษาต่อกับแพทย์เฉพาะทาง ผู้ป่วยถึงจะไปได้

มิฉะนั้นบริษัทประกันสุขภาพจะนำมาเป็นข้ออ้างไม่ชำระค่ารักษาให้เราได้ การปฏิรูปดังกล่าวเป็นผลมาจากสภาวะ
เศรษฐกิจที่ถดถอยหลังการรวมชาติตะวันตก-ตะวันออกของเยอรมัน และมีผู้ใช้ประโยชน์จากระบบประกันสุขภาพแบบเิดิมไปในทางที่ผิด เจ็บ ป่วย เล็ก ๆ น้อย ๆ ก็แห่กันไปหาแพทย์เฉพาะทาง ทำให้เกิดค่าใช้จ่ายจำนวนมาก

เกินกว่าที่บริษัทประกันสุขภาพจะรับไหว หลังการปฏิรูป หากผู้ป่วยไปหาหมอ จะต้องควักกระเป๋าตัวเอง จ่ายค่าธรรมเนียม 10 ยูโร ในแต่ละไตรมาส นอกเหนือจากค่าประกันสุขภาพที่หักออกจากเงินเดือนทุกเดือนอยู่แล้ว มีคนออกมาโวยวาย ประท้วงกันใหญ่โต แต่ก็ไม่สำเร็จฮะ


แต่ตอนที่เกย่าป่วยนั้น ระบบนี้ยังไม่ถูกนำมาใช้ แต่อย่างที่บอกคือ หมอประจำบ้านของครอบครัวเกย่า ไป
ฮอลิเดย์ ชาวเยอรมันนั้น เป็นชาติที่ใช้จ่ายเงินไปกับการฮอลิเดย์สูงเป็นอันดับหนึ่งของโลกนะฮะ มากกว่าญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกาเสียอีก และหมอก็เป็นอาชีพหนึ่งที่ไปฮอลิเดย์บ่อยมาก ถ้าหากป่วยด้วยโรคร้ายแรง บางทีคุณอาจจะตายก่อน กว่าจะถึงคิวนัดที่หมอให้ไว้


เกย่าลองอ่านดูในคู่มือเกย์ของแบร์ลิน ซึ่งมีโฆษณาระบุนานาอาชีพของชาวเกย์และเลสเบี้ยนเอาไว้ กวาดสายตาไล่หาอยู่ไม่นานก็เจอหมอเกย์รายหนึ่งอยู่ใกล้บ้าน เป็นแพทย์ประจำบ้านเสียด้วย เกย่าเลยไม่รอช้า
โทรนัดทันที

ตอนที่เกย่าโทรไปนั้น เวลาประมาณ 10 โมงเช้า พนักงานที่รับโทรศัพท์บอกว่า ให้เกย่าไปตอนเที่ยงตรง
โดยเกย่าบอกให้อาการเบื้องต้นให้ทราบว่า เจ็บคอมาก และมีอาการไข้ร่วมด้วย คุณป้าซึ่งกลัวว่าคุณแม่
ของเกย่าจะตำหนิว่าดูแลหลาน (ชาย ?) ไม่ดี เลยอาสาขับรถไปให้ เกย่าซึ่งไม่เคยไปหาหมอมาก่อนก็อุ่น
ใจขึ้นมานิดหนึ่ง พอขับรถไปถึงอาคารหมายเลขตรงกับที่ลงโฆษณาไว้ และวนหาที่จอดอยู่นานมาก คุณ
ป้าก็บอกให้เกย่าลงจากรถ เข้าไปหาหมอก่อน ท่านจะไปหาที่จอดรถแล้วตามมาทีหลัง เราไปถึงก่อนเวลา
ประมาณครึ่งชั่วโมง เพราะคุณป้าบอกว่า เราจะได้ไม่ต้องรอนาน


สภาพของอาคารก็เป็นตึกแถวสูงห้าชั้น ประตูไม้ด้านหน้าปิดสนิท ตรงผนังด้านซ้ายมีรายชื่อผู้พักอาศัยและ
กริ่งให้กดอยู่ละลานตา ส่วนผนังด้านตรงข้ามมีป้ายขนาด 1 ฟุต ระบุไว้ว่าคลีนิก นายแพทย์แอนเดรียส มึล
เล่อร์ แพทย์อายุรกรรม และแพทย์ประจำบ้าน เชี่ยวชาญทางด้าน โฮมิโอพาธี่ เกย่าก็กดกริ่งตรงรายชื่อที่
เขียนว่าคลีนิก สัญญาณเปิดประตูก็ดังขึ้น แล้วเกย่าก็ผลักประตูเข้าไป ข้างในเป็นตึกที่ตกแต่งด้วยเครื่อง
ไม้ และลานปูนปั้นแบบโบราณ เกย่าเดินขึ้นบันไดวนไปยังชั้นสอง ซึ่งเป็นที่ตั้งของคลีนิก ซึ่งพอเปิดเข้าไป
ก็ตกใจเล็กน้อย เพราะจ๊ะเอ๋เข้ากับเคาน์เตอร์พนักงานต้อนรับพอดี ระยะห่างจากประตู ถึงเคาน์เตอร์ ราว 1
เมตรครึ่ง เห็นจะได้


เกย่าก็แจ้งชื่อเสียงเรียงนาม ส่งบัตรประกันสุขภาพซึ่งมีชิปฝังอยู่ด้วยนั้นให้ พนักงานบอกให้ไปนั่งรอตรง
ห้องที่จัดไว้ ในห้องนั้นมีผู้ป่วยนั่งอยู่ราวสิบคนเห็นจะได้ และทุกคนก็อายุเป็นปู่ตาย่ายายเกย่าได้ทั้งสิ้น
มาผิดที่เปล่าอะเนี่ย เกย่ารำพึงกับตัวเอง ถอดเสื้อแจ็กเกตและผ้าพันคอ แขวนไว้ที่ราว ก่อนที่จะพุ่งความ
สนใจไปยังกองหนังสือที่ตั้งอยู่บนโต๊ะกระจกใสกลางห้อง หนังสือกองนั้น เป็นเรื่องเกี่ยวกับโฮมิโอพาธี่
หมดเลยฮะ แต่ไม่ใช่ให้ความรู้นะ เป็นหนังสือโฆษณาสินค้าโฮมิโอพาธี่จากบริษัทผลิตยาน่ะ เกย่าเลือก ๆ
หยิบ ๆ ดู แล้วตัดสินใจกองไว้ตรงนั้นอย่างเดิม รู้สึกผิดหวังมากที่ต้องมานั่งแกร่วรอหมออยู่ โดยไม่มีอะไร
ให้อ่านฆ่าเวลา


สิบนาทีต่อมา คุณป้าก็โทรเข้ามือถือมาบอกว่า หาที่จอดรถไม่ได้ ให้เกย่ารอจนตรวจเสร็จ แล้วค่อย
โทรบอกให้คุณป้ามารับ (มีแผนอ๊ะเปล่าเนี่ย คุณป๊าาา) รออยู่ยี่สิบนาที พยาบาลก็เดินมา เอาปรอทมาให้
อมใต้ลิ้น อ่านค่าได้ 39 องศา จากนั้นก็นั่งรอต่ออีก แล้วก็มีคุณหมอหนุ่มในชุดขาว รองเท้าไนกี้เท่ห์มาก
เดินออกมา เรียกชื่อคนไข้ซึ่งเป็นคุณยายคนหนึ่ง คุณหมอทักทาย และยื่นมือให้คุณยายจับ

โอ.... หมอที่นี่ เดินออกมารับคนไข้เลยเหรอ เกย่าคิด ขณะที่สายตาก็มองไปที่คุณหมอ ซึ่งผายมือให้คุณยายเดินนำหน้าไปยังห้องตรวจ

คุณหมอแอนเดรียส ยังดูหนุ่มมากอยู่เลยฮะ คะเนด้วยสายตา เกย่าคิดว่า อายุน่าจะยังไม่เกิน 30 แต่อายุ
จริงก็คงจะเกินแหละ หน้าตา และมือของคุณหมอ สีชมพูไปหมด อย่างคนสุขภาพดี นอกนั้นเกย่ามองไม่
เห็นฮะ เสื้อกาวน์คลุมอยู่ คริ คริ


นั่งดูคุณหมอ เดินเข้าออก มารับคนไข้ อยู่เกือบสองชั่วโมง ก็ถึงคิวเกย่า เสียงเรียกนั้น ขึ้นคำนำหน้าชื่อ
เกย่าว่า Frau แล้วตามด้วยนามสกุลที่ยาวเหยียดของเกย่า ซึ่งคุณหมออ่านด้วยความยากลำบาก คำว่า
Frau แปลแล้ว ก็ได้ความเหมือนกับ Madame ภาษาฝรั่งเศสนะฮะ คุณหมอคิดว่า เกย่าเป็นผู้หญิง เพราะ
ชื่อจริงของเกย่า ลงท้ายด้วยสระ อา หรือตัว เอ ในภาษาอังกฤษ ซึ่งสำหรับคนเยอรมันแล้ว ชื่อที่ลงท้าย
ด้วยเสียงสระ อา จะเป็นชื่อผู้หญิงเสียส่วนมาก มีข้อยกเว้นเพียงบางชื่อเช่น ชื่อ Sasha ซึ่งใช้สำหรับ
ผู้ชาย


เกย่าเลยสัพยอกหมอแอนเดรียสเล่นว่า เกย่ายังไม่แปลงเพศนะ ทุกคนในที่นั่นหัวเราะกันเกรียว หมออาย
หน้าแดงทีเดียว คุณหมอก็ผายมือให้เกย่าเดินนำไปเข้าห้องตรวจเช่นเดียวกับคนไข้อื่น ๆ ในห้อง ก็มีเตียง
ตรวจ โต๊ะทำงานของคุณหมอ คอมพิวเตอร์จอแบน ตู้ยา และเก้าอี้สำหรับ คุณหมอ และคนไข้ อ้อ มีแผน
ผังตัวอักษรสำหรับวัดสายตาด้วยฮะ


คุณหมอแอนเดรียสก็เชิญให้เกย่านั่ง มือก็พร้อมอยู่ตรงแป้นพิมพ์ หน้าจอคอมพิวเตอร์ แล้วถามไถ่อาการ
เกย่า ขณะดียวกับที่มือก็พิมพ์คำพูดของเกย่า อย่างรวดเร็วยังกะเลขานุการิณีมืออาชีพ เนื่องจากเกย่าเป็น
คนไข้ ที่มาครั้งแรก คุณหมอจึงซักประวัติเกย่ามากมาย แต่คุณหมอนั้นไม่สันทัดภาษาอังกฤษ และเกย่าก็
ไม่รู้จักศัพท์ทางการแพทย์ภาษาเยอรมันเลย ตอนที่คุณหมอถามเกี่ยวกับวัคซีนที่เกย่าเคยได้รับสมัยอยู่
เมืองไทย เกย่าเลยต้องทำจินตลีลาประกอบการเล่าไปด้วย เช่น ไอแค่ก ๆ อย่างเอาเป็นเอาตาย ตอน
อธิบายถึงไอกรน หรือ หยิบปากกาแดงมาจุด ๆ เต็มหลังมือ ชี้แจงถึงโรคหัด เกย่าพยายามบอกคุณหมอ
ด้วยว่า เกย่าไม่เคยเป็นโรคอีสุกอีใสเลย แต่ทำอย่างไรคุณหมอก็ไม่เข้าใจ เกย่าเลยบอกว่า จะโทรมาบอก
อีกที หลังจากกลับไปถามคุณลุงแล้ว คุณหมอก็ตกลง


หลังเสร็จการซักประวัติอย่างทุลักทุเล คุณหมอก็กลับมาถามถึงอาการป่วยของเกย่า ซึ่งเกย่าก็บอกไป คุณ
หมอเลย บอกให้เกย่าอ้าปาก เอาไม้ไอติม (ก็มันไม้ไอติมจริง ๆ อะ) มากดที่ลิ้น เอาไฟฉายมาส่องดู แล้ว
บอกว่าไม่ใช่ทอนซิลอักเสบ แต่เป็นเส้นเสียงอักเสบ และจากเท่าที่ดู ก็เรื้อรังแล้วด้วย เกย่าบอกคุณหมอ
ว่า อยากได้อะม็อกซี่ซิลลิน เพราะถูกโรคกันดี ทุกทีที่ป่วย เกย่าก็ทานยาตัวนี้ตลอด มาเป็นสิบปีแล้ว
คุณหมอได้ยินก็ อุทานด้วยความตกใจดังสนั่น เกย่าคิดว่า ถ้าเสียงคุณหมอแหลมกว่านี้อีกนิด ก็เรียกว่า
กรี๊ดคงจะได้ จากนั้นคุณหมอก็เทศนาเกย่ายืดยาว ถึงพิษภัยของการใช้ยาปฏิชีวนะอย่างไม่ถูกต้อง



จากนั้นคุณหมอก็บอกให้เกย่าถอดเสื้อออก อ๊าย อะไรนะฮะ เกย่าถามย้ำอีกครั้ง เพื่อความแน่ใจ เพราะที่
เมืองไทย เวลาหมอตรวจ หมอก็ใช้หูฟังภายนอกเสื้อ หรือไม่ก็สอดมือผ่านชายเสื้อเข้าไป เกย่าไม่เคยเจอ
หมอที่ไหน บอกให้ถอดเสื้อมาก่อน เอียงอายอยู่นิดหนึ่ง แล้วจำต้องถอดเสื้อ โชว์เรือนรางอันสะโอดสะอง
ของตัวเองต่อหน้าหมอ (เกย์) หนุ่ม


คุณหมอก็เอาหูฟังมาแนบที่อก และหลังของเกย่า บอกเกย่าให้หายใจลึก ๆ แล้วกลั้นหายใจ ก่อนจะ
บอกว่าปอดปกติดี จากนั้นคุณหมอก็ทำในสิ่งที่ประหลาดที่สุด ที่เกย่าไม่เคยเจอมาก่อนตลอดชีวิต คุณ
หมอบอกให้เกย่ายืนกางแขน แล้วคุณหมอก็หยิบตะกร้าซึ่งเต็มไปด้วยยาปฏิชีวนะมากมายหลายชนิด
มาวาง แล้วแกะกล่อง หยิบเอาแผงยาข้างในออกมา บอกให้เกย่ากำแผงยาไว้ด้วยมือซ้าย โดยวาง
ตำแหน่งของมือไว้ที่ลำคอ ตรงตำแหน่งจุดที่อักเสบ ในขณะที่แขนขวาก็เหยียดตรง ขนานไปกับพื้น
คุณหมอบอกให้เกย่าเกร็งแขนขวาฝืนไว้ ขณะที่คุณหมอออกแรงกดแขนขวาของเกย่านั้นให้ตกลง


คุณหมอเปลี่ยนแผงยาที่ให้เกย่ากำไว้ใต้คางตรงลำคอนั้นไปเรื่อย ๆ และเกย่าก็รู้สึกแปลกใจมาก ที่ว่า แรง
กดของคุณหมอนั้น ไม่ได้แตกต่างกันในแต่ละครั้ง แต่บางครั้งเกย่ากลับไม่มีแรงต้านทานแม้แต่น้อย ใน
ขณะที่บางครั้งก็ต้านทานได้บ้าง ตัวยาในตะกร้าก็ร่อยหรอลงไปเรื่อย ๆ จนหมด และจากทั้งแผงยากองนั้น
มีอยู่เพียง 2 ครั้งเท่านั้น ที่แขนขวาของเกย่า ต้านทานการกดจากคุณหมอได้คุณหมอแยกยาทั้งสองแผงนั้น ออกจากตัวอื่น ๆ


และถึงแม้จะถูกจ้องจากสายตาที่งุนงงของเกย่า คุณหมอกลับยิ้ม ไม่พูดอะไำรแล้วก็เอา วัสดุโลหะบางอบ่าง รูปร่างคล้ายตะขอ แขวนที่หูขวาของเกย่า พลางบอกให้เกย่าแบมือขวาออก ก่อนจะวางแผงยา หนึ่งในสองแผงที่แยกไว้นั้นลงไป แล้วคุณหมอก็ใช้ฟิล์มสีดำส่องดูที่มือของเกย่า เกย่าไม่รู้ว่าฟิล์มดังกล่าวคือฟิล์มอะไร ดูคล้าย ๆ กับฟิล์มเอ็กซเรย์ที่ถูกตัดให้มีขนาดเล็กเท่ากับพาสปอร์ต คุณหมอบอกว่าดูสเปคตรัมของรังสีชีวิตเกย่า เทียบกับยาปฏิชีวนะ เกย่าก็ได้แต่งง ในที่สุดคุณหมอก็เลือกหนึ่งในสองตัวยาออกมา ก่อนจะบอกว่า ตัวนี้เหมาะกับเกย่าที่สุด ส่วนอะม็อกซี่ซิลลินนั้นลืมไปได้เลย เพราะร่างกายของเกย่ารับยากลุ่มนี้ไม่ได้อีกแล้ว



คุณหมอเองก็ตกใจไม่น้อย ที่ร่างกายของเกย่า่อ่อนแออย่างมาก ถึงขนาดที่สามารถจะรับยาปฏิชีวนะได้
เพียง 2 ชนิด จากทั้งตะกร้า นั่นเป็นเพราะว่าเกย่าใช้ยาปฏิชีวนะพร่ำเพรื่อ จนส่งผลร้ายต่อร่างกายเกย่า
เองอย่างไม่รู้ตัว คุณหมอขอให้เกย่าใช้ยาปฏิชีวนะตัวที่เข้ากับเกย่าดีที่สุดนี้ เป็นครั้งสุดท้าย พร้อมกับแนะ
นำวิธีการปฏิบัติตัวในการรักษาสุขภาพ ตามแนวทางโฮมิโอพาธี่มากมาย คุณหมอบอกว่า ถ้าเกย่าปฏิบัติ
ตามอย่างเคร่งครัด อาการเส้นเสียงอักเสบเรื้อรังก็อาจจะหายได้ เกย่าก็รับคำคุณหมอ สรุปว่าคุณหมอใช้
เวลากับเกย่าเกือบครึ่งชั่วโมง


หลังจากเกย่าโทรให้คุณป้ามารับ และเล่าเรื่องราวแปลก ๆ ที่ได้เจอมาให้คุณป้าฟัง ท่านก็งง และแนะนำ
ให้รอถามคุณลุง ซึ่งพอคุณลุงได้ฟังเรื่องราวในเวลาต่อมา ก็หัวเราะ และบอกว่า เจอหมอดี ๆ เข้าแล้วสิ ท่า
ทางจะต้องไปหาบ้างคราวหน้า เล่นเอาคุณป้างงมากขึ้น คุณลุงเลยอธิบายให้สองป้าหลานฟังว่า วิธีการเชิงโฮมิโอพาธี่ดังกล่าว ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในเยอรมัน ซึ่งคุณลุงก็อธิบายไม่ได้ ว่า มันเกี่ยวเนื่องกันอย่างไร คุณลุงรู้แต่ว่า วิธีการตรวจดังกล่าวได้ผลเสมอ ในการวัดว่าผู้ป่วยจะทนยาปฏิชีวนะได้ดีแค่ไหน


เกย่าอยากจะเรียนถามมิตรรักนักอ่านว่า มีประสบการณ์ในเรื่องการตรวจด้วยวิธีนี้ กันบ้างไหมฮะ ตอนนี้
หมอแอนเดรียส เป็นหมอประจำตัวคนเก่งของเกย่าไปแล้ว เพราะหลังจากปฏิบัติตัวตามคำแนะนำที่หมอ
ให้มา อาการคออักเสบของเกย่า ก็ค่อย ๆ น้อยลง จากเดิม ที่ ทุก ๆ สองเดือน ก็ห่างขึ้นเป็น สี่ ห้า
เดือน และปัจจุบันนี้ เกย่าก็หายขาดจากโรคเส้นเสียงอักเสบแล้ว และไม่เคยใช้ยาปฏิชีวนะอีกเลย ล่าสุด
จากการตรวจเลือดเมื่อเดือนที่ผ่านมา สุึขภาพของเกย่า แข็งแรงสมบูรณ์สุด ๆ ขอบคุณมาก ๆ นะฮะ
คุณหมอแอนเดรียส มึลเล่อร์ หมอเกย์ที่จรรยาบรรณแพทย์สูงส่งของเกย่า .........................................

©2006 Gay-ya. All Rights Reserved. สงวนลิขสิทธิ์ ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2539


















Create Date : 21 กุมภาพันธ์ 2549
Last Update : 2 มีนาคม 2549 2:39:22 น.
Counter : 6890 Pageviews.

10 comments
สวัสดีปีใหม่ ๒๕๖๗ มาช้ายังดีกว่าไม่มา
(2 ม.ค. 2567 07:30:30 น.)
สวัสดีปีใหม่ ๒๕๖๗ มาช้ายังดีกว่าไม่มา
(2 ม.ค. 2567 07:30:30 น.)
สวัสดีปีใหม่ ๒๕๖๗ มาช้ายังดีกว่าไม่มา
(2 ม.ค. 2567 07:30:30 น.)
สวัสดีปีใหม่ Rain_sk
(1 ม.ค. 2567 21:38:33 น.)
  
ผมติดตามอ่านมาตั้งแต่ตอนแรกๆ เลยครับ สนุกและน่าสนใจมากเลยครับ อยากจะขอบคุณที่สละเวลามาเขียนเรื่องดีๆ ให้อ่านนะครับ ผมจะรออ่านตอนต่อไป
โดย: พัด IP: 168.29.151.149 วันที่: 21 กุมภาพันธ์ 2549 เวลา:21:32:56 น.
  
หวานแหว๋วมากคะคุณเกย่า
ขอชมหน่อยนะคะ ว่าคุณเกย่าเนี่ยความจำดีมากเลยคะ
จำรายละเอียดมาเล่าได้ดีมาก

แล้วก็เก่งด้วย เป็นแม่ศรีเรือนสมเป็นกุลสตรีไทยจริง ๆ

อ่านแล้วจินตนาการว่าคุณเกย่าเนี่ยตัวจริงต้องน่ารัก ตัวเล็ก ๆ อยากเห็นรูปจังคะ มีโพสต์ไว้มั้งหรือยังคะ
โดย: ป้าเต่า (ป้าเต่า ) วันที่: 21 กุมภาพันธ์ 2549 เวลา:21:38:50 น.
  
ตามมาจากห้องไกลบ้าน เวบน่ารักมากค่ะ ขอบอก
โดย: dutchygal IP: 212.187.116.80 วันที่: 21 กุมภาพันธ์ 2549 เวลา:22:06:27 น.
  
เขียนดี อ่านสนุกจ๊ะ
โดย: thienkam วันที่: 21 กุมภาพันธ์ 2549 เวลา:22:22:31 น.
  
ตามมาจากห้องไกลบ้านเหมือนกัน ขำดีครับ
โดย: dont wanna no วันที่: 21 กุมภาพันธ์ 2549 เวลา:22:31:53 น.
  
ป้าแวะมายินดีคะ ต่อไปก็จะติดตามอ่านที่blogนี่ละ ป้าก็ไปหาหมอบ่อย ไม่ใช่ตัวป้าหรอก ลุงเขาเป็นไรไม่รู้หาหมอรือไปหาทันตแพทย์ต้องมีป้าไปยืนกำักับ หมอบ้านที่เดนมาร์คก็มีวิธีตรวจแปลกๆเหมือนกันแต่เขาเป็นกันเองดีนะ หมอและทันตแพทย์เขาจะออกมารับคนไข้เอง
โดย: Odense (Odense ) วันที่: 22 กุมภาพันธ์ 2549 เวลา:0:31:31 น.
  
คามอ่านใน blog มาใกล้จะครบแล้วค่ะ
โดย: asita วันที่: 22 กุมภาพันธ์ 2549 เวลา:9:33:41 น.
  
ได้ความรู้มากมาย
โดย: interbizz วันที่: 22 กุมภาพันธ์ 2549 เวลา:11:42:06 น.
  
นิดหน่อยเองก็เจ็บคอบ่อย ๆ เหมือนกัน อยากเจอหมอแบบนี้บ้างจัง แต่ในเมืองไทยไปหาหมอทีไรก็ได้แต่ยาปฏิชีวนะมากินทุกทีเฮ้อ...
โดย: นิดหน่อย IP: 203.114.120.70 วันที่: 27 กุมภาพันธ์ 2549 เวลา:12:14:51 น.
  
พี่เพิ่งจะเข้ามาอ่าน
เขียนได้สนุกมากเลยคะ น่าติดตาม
โดย: พี่ฝน (Childcraft ) วันที่: 20 ธันวาคม 2550 เวลา:22:38:34 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Gay-ya.BlogGang.com

เกย่า
Location :
BERLIN,  Germany

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]

บทความทั้งหมด