ตอนที่ 16 องก์ 3 ระหว่างยืนรอรถไฟใต้ดินอยู่นั้น เกย่าก็ขอให้คนทั้งสามตกลงกันให้เรียบร้อยว่าจะไปไหน เพราะเวลาขณะนั้นก็จะบ่ายสามโมงแล้ว อากาศต้นธันวาคม พอสี่โมงเย็นก็เริ่มมืด อีกอย่างแบร์ลินก็เป็นเมืองใหญ่ไม่ผิดจากกรุงเทพฯ ถึงแม้จะไม่มีปัญหารถติด แต่การจะไปเยี่ยมชมสถานที่ต่าง ๆ อย่างมากในวันหนึ่ง ก็ทำได้ไม่เกินสามแห่ง เพราะสถานที่ท่องเที่ยวแต่ละแห่งของแบร์ลินนั้นใหญ่โต โอ่โถงมาก ๆ หากจะเดินชมให้ทั่ว ยกตัวอย่างเช่น แค่เดินชมพิพิธภัณฑ์แห่งเดียวให้ครบทุกชั้น ครึ่งวันก็หมดไปไม่รู้ตัว และเผลอ ๆ ยังชมได้ไม่หมดทุกอย่างอีกด้วย นายด้นถามเกย่าว่า แบร์ลินนั้นขึ้นชื่อเรื่องอะไร เกย่าตอบว่า แบร์ลินมีโรงละคร และโอเปร่า ตลอดจนคาบาเร่ต์น่าชมหลายแห่ง นายด้นรีบปฏิเสธเสียงหลงว่า ไม่สนใจสถานที่เที่ยวกลางคืน ??? อย่างนั้น ท่านผู้อ่านจำคำนายด้นไว้นะฮะ พี่ติ่งนั้นบอกว่าตนเองสนใจจะไปชมพิพิธภัณฑ์ ซึ่งเกย่าก็ถามว่า จะชมพิพิธภัณฑ์ทางด้านเทคโนโลยี หรือพวกศิลปะโบราณ แต่ถ้าจะให้เกย่าแนะนำ เกย่าก็คงจะเลือกไปพิพิธภัณฑ์เพอร์กามอน เพราะสิ่งที่เก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ หาชมที่อื่นไม่ได้ในโลก นายด้นบอกว่าไทยพาร์คน่าสนใจดี อยากจะไปคุยกับแม่ค้าสาว ๆ เกย่านึกในใจว่า เดี๋ยวสามีเหล่าแม่ค้าก็หวดเอาด้วยไม้ฮอกกี้น้ำแข็งหรอก (ทีมฮอกกี้น้ำแข็งของแบร์ลิน มีชื่อเสียงโด่งดังมากนะฮะ คนที่นี่เชียร์กีฬาประเภทนี้มากกว่า ฟุตบอลบุนเดสลีกา) คุณปุ่น (ตอนนี้ยังเรียกว่าคุณอยู่นะฮะ จวบจนถึงเหตุการณ์นึงในอนาคต) บอกว่าไปไหนก็ได้ แต่อยากไปดูสระว่ายน้ำมากที่สุด เพราะลูกสาวเป็นแชมป์ว่ายน้ำ เกย่าเห็นว่าความคิดของคุณปุ่นไม่บรรเจิดที่สุด จึงไม่ได้สนใจ นายด้นยืนยันว่าอยากไปไทยพาร์ค ในขณะที่พี่ติ่งอยากไปพิพิธภัณฑ์ และคุณปุ่นนั้น เราอย่าไปสนใจแกเลยนะฮะ เกย่าอธิบายให้นายด้นฟังว่าที่ตั้งของไทยพาร์คนั้นไกลจากที่ ที่เราอยู่ตอนนี้มาก และการจะไปดูแม่ค้าไทยขายของ กลับไปมองที่เมืองไทยไม่ได้กว่าเหรอ หรือว่านายด้นมีวาระแอบแฝง อีกอย่างเกย่าไม่แน่ใจด้วยว่า อากาศหนาว ๆ ต้นเดือนธันวาอย่างนี้ จะมีแม่ค้ามาปูเสื่อขายของกันหรือเปล่า เพราะเกย่าเคยไปแค่ตอนหน้าร้อนเท่านั้น เมื่อสองเสียงชนะ หนึ่งเสียง (เกย่า + พี่ติ่ง VS นายด้น)มติเสียงข้างมาก ก็เลยตกลงปลงใจไปพิพิธภัณฑ์ (เสียงคุณปุ่นไม่มีความหมาย เพราะเธอไม่สนใจอะไรมากไปกว่าสระว่ายน้ำ) หลังจากตกลงกันได้แล้ว เกย่าก็พาสามชายไทยนั่งรถไฟใต้ดินไปถึง Friedrichstrasse ซึ่งเป็นชุมทางรถไฟใต้ดินและบนดินอันคับคั่ง และเป็นย่านชอปปิ้งบูมของแบร์ลินด้วย อย่างไรก็ตามเกย่าไม่ได้ปล่อยให้สามหนุ่มมีโอกาสขึ้นไปสู่พื้นดิน ดูความงดงามอลังการของย่านถนนชอปปิ้ง เพราะเกย่าเกรงว่าพวกเค้าจะขอให้เกย่าต่อราคาสินค้า เหมือนตลาดจตุจักร อิอิ ล้อเล่นนะฮะ สาเหตุจริง ๆ ที่ทั้งสามคนไม่ได้ขึ้นไปชมบนผิวถนน ก็เพราะว่ารถไฟที่เราจะต้องเปลี่ยนเพื่อไปยังสถานี Unter den Linden นั้น อยู่ใต้ดินไงฮะ ในที่สุดจตุรบุรุษสยาม (เกย่ายอมนับตัวเองรวมเป็นบุรุษก้อด้ายยยย) ก็มาปรากฏโฉมยืนอยู่ตรงถนน Unter den Linden ซึ่งถ้าจะเปรียบไปก็เหมือนถนนราชดำเนิน หรือ Champ Elysee ก็ว่าได้ ที่มาของชื่อถนนก็เนื่องจากว่ากษัตริย์ได้ทรงดำริให้ปลูกต้น Linden และ Nussbaum ไว้ที่ถนนแห่งนี้อย่างละพันต้น แต่ปรากฏว่ามีแต่ต้น Linden เท่านั้นที่เจริญงอกงามแผ่กิ่งก้านสาขาปกคลุมให้ความร่มรื่น ส่วน Nussbaum นั้นล้มหายตายจากไปหมด ผู้คนจึงขนานนามถนนเส้นนี้ว่า Unter den Linden หรือ ใต้ต้นลินเด้น อย่างไรก็ตามในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ต้น Linden ทั้งพันต้น ก็ถูกทำลายราบเรียบจากระเบิดทางอากาศ ต้น Linden ที่เห็นในปัจจุบันจึงปลูกขึ้นใหม่ทั้งหมด เกย่าว่าจะลองเดินนับดูสักที ว่ามีกี่ต้น จะถึงพันเหมือนสมัยก่อนหรือเปล่า แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้ทำ บริษัทของสามชายไทยนั้น ได้พาพวกเค้ามาชมและถ่ายรูปที่ประตูบรานเดนบวร์ก และอาคารรัฐสภาโดมแก้วแล้ว เกย่าจึงพาทั้งสามเดินย้อนไปอีกด้าน ซึ่งอาคารแรกที่พวกเราผ่านไปก็คือสถานทูตรัสเซีย แรก ๆ เกย่าก็ควบคุมมือไม้ ให้แนบข้างกายดีอยู่ แต่พออารมณ์ไกด์สาวเข้าสิง มือของเกย่าก็กวัดแกว่งเป็นระวิง ขณะที่นิ้วก็ชี้กรีดกรายซ้ายขวา ขณะอธิบายประวัติความเป็นมาของสถานที่ อุปมาดังพิธีกรผิวดำ ผมทรงนกเงือกหัวเหลือง ชุดลายเสือดาว ควงไมค์ร่ายนิราศในเรื่อง the Fifth Element จะต่างกันตรงที่ว่า เธอแต่งตัวแบบ transvestite แต่เกย่าไม่ใส่ และเธอมีอะไรกับแอร์โอสเตสประจำยาน ในขณะที่เกย่าไม่เคยผ่านผู้หญิงมาก่อน :-P อากาศในวันนั้นแย่มาก ๆ นะฮะ เม็ดฝนตกโปรยปรายลงมาไม่ขาดสาย ใจเกย่านั้นอยากจะเดินไปให้ถึงพิพิธภัณฑ์เพอร์กามอนเร็ว ๆ เพราะลมหนาวที่พัดแรง ก็โหมให้ใบหน้าและร่างกายที่สั่นกึก ๆ อยู่แล้ว รู้สึกเจ็บปวดมากขึ้นเป็นทวีคูณ "สวยจังเลย ดูตึกนั้นสิ เก่าขลัง มีเถาวัลย์ขึ้นคลุมด้วย" เสียงนายด้นอุทานขึ้นอย่างร่าเริง ขณะวิ่งตรงเข้าไปในหอสมุดเก่า (Alte Bibliothek) เกย่าคิดในใจว่า เดี๋ยวเราคงต้องเป็นตากล้องอีกแล้ว อย่างไม่สบอารมณ์นัก เนื่องจากถุงมือของเกย่าในวันนั้น ค่อนข้างเทอะทะหนาเตอะ เวลาสามหนุ่ม ซึ่งมักจะเป็นนายด้น ขอให้ช่วยถ่ายรูป เกย่าก็ต้องถอดถุงมือออกก่อน มือล่อนจ้อนขาวบางเปล่าเปลือยนั้น ก็จะถูกลมหนาวกัดเจ็บแปลบปลาบ แอร๊ยย แฮนด์ครีมก็ไม่มี เดี๋ยวนิ้วดี ๆ ยาวเรียวได้รูปของหนูเกิดปริแยกเป็นส้นเท้าแตกขึ้นมา ใครจะอาสารับผิดชอบยะ "เกย่า ถ่ายรูปให้ผมหน่อย" ไม่ต้องรอให้นินทา (ในใจ) นาน นายด้นก็เอ่ยขึ้น แหม ทีลอตเตอรี่ ซื้อเท่าไรไม่ถูก พอเรื่องอย่างนี้ล่ะ ทายแม่นได้แม่นดีจริงเชียว นายด้น ..."อย่าให้กล้องสั่นนะ รูปที่แล้วที่เกย่าถ่าย ภาพมันไม่ชัด" อุเหม่ ไปบอกให้เมียมาถ่ายให้สิฟะ ถ้าเรื่องมากนัก เกย่าเริ่มวีนขึ้นมา และคิดด่าพี่จีน่าในใจ เอาตัวอะไรมาให้ตูพาเที่ยวฟะเนี่ย พี่จีน่าก็ดีใจหายนะฮะ โทรมาเข้ามือถือเกย่าเป็นระยะ ถามสารทุกข์สุกดิบของสามชายไทย เกย่าสะกดใจ ไม่โวยวายออกไปด้วยความยากลำบาก หลังจากถ่ายรูปมัว ๆ ให้ไปรูปหนึ่ง เกย่าก็ไปยืนอ่านป้าย อธิบายเกี่ยวกับหอสมุดให้ฟัง นายด้นไม่ได้ตั้งใจจะรับรู้สักเท่าไร เดินไปมุมโน่นมุมนี่ ก่อนที่จะไปหยุดอยู่หน้าประตูทางเข้า และตะโกนเรียกคุณปุ่น และพี่ติ่งให้ก้าวเข้าไปข้างในด้วยกัน ก่อนที่เกย่าจะอ้าปากห้ามได้ทัน คุณปุ่นก็เดินตามหลังนายด้นผลักประตูหายเข้าไป อะไรกันเนี่ย นึกจะทำอะไรก็ทำ ไม่เห็นหัวเห็น hum กันบ้างเลย พี่ติ่งนั้นไม่ได้ตามอีกสองชายไป แต่ยืนอยู่กับเกย่าด้านนอก ซึ่งพี่แกก็คงจะพอดูอาการเกย่าออกว่าไม่ค่อยพอใจเท่าไรนัก เกย่า " เมื่อไรจะได้ไปพิพิธภัณฑ์กันเสียทีไม่รู้นะฮะ" หนาวจะแย่แล้ว พี่ติ่ง " อาคารนี้ สวยดีนะ ท่าทางจะเก่าน่าดู" ......ไม่ได้ฟังตูเล้ยยยยย ก่อนที่เกย่าจะฟิวส์ขาด บอกเลิกศาลา สองชายที่หายเข้าไปก็นวยนาดออกมาจากหอสมุด "เค้าไม่ยอมให้ถ่ายรูป" นายด้นบ่นอย่างไม่พอใจ เอ่อ....มีใครในเมืองไทย เคยถ่ายรูปในห้องสมุดกันบ้างไหมฮะ................ "ผมว่าเราควรจะเดินไปพิพิธภัณฑ์กันได้แล้วนะ" เกย่าไม่ใส่หางเสียงครับที่ท้ายประโยคอีกแล้ว ก่อนจะเดินนำไปทันที ปกติเกย่าเป็นคนที่เดินเร็วมากนะฮะ เพราะสมัยเด็ก ๆ ชอบตามคุณปู่ไปเที่ยวทุ่งนา มรดกตกทอดจากคุณทวด ขาสั้น ๆ ของเจ้าหนูเกย่าวัยเตาะแตะ ก็ต้องวิ่งให้ทัน กับเท้าที่ก้าวสวบ ๆ อย่างขมีขมันของคุณปู่ เกย่าชอบไปทุ่งนากับคุณปู่มาก เพราะระหว่างทางเดินนั้น เราจะต้องผ่านสวนยางพารา ซึ่งเจ้าของเป็นมุสลิม ลูกยางพาราใหม่ ๆ ที่เพิ่งจะหล่นร่วงมาจากต้นนั้น ผิวเป็นมันปลาบ และลวดลายก็งดงามได้ใจจริง ๆ เด็กชายคนอื่น ๆ จะเก็บลูกยางกันถุงใหญ่ เอาไปเล่นขบกัน (ภาษาถิ่นใต้นะฮะ) คือการเอาลูกยางพาราสองลูกมาประกบกันในอุ้งมือ แล้วออกแรงบีบขบให้ลูกยางอัดกัน ลูกไหนแตกก็พ่ายแพ้ไป ลูกที่ชนะนั้นโดยมากจะเป็นลูกยางที่มีสันอยู่ตรงกลาง อย่างไรก็ตาม เกย่าไม่ได้หาลูกยางเพื่อไปเล่นขบเหมือนคนอื่น ๆ แต่ตื่นตาตื่นใจกับลายสวย ๆ ผิวมันเรียบลื่นของลูกยางใหม่ ๆ เสียมากกว่า กลิ่นของเปลือกหุ้มลูกยางสด ๆ ที่หล่นลงมา ผิวข้างในยังขาวมันอยู่นั้น หอมเป็นเอกลักษณ์นะฮะ ดมเท่าไรก็ให้ความรู้สึกสะอาด ที่ไม่เคยเบื่อเลย.............. น่าเสียดายที่ปัจจุบันนี้ สวนยางพารา กลายเป็นบ้านจัดสรรไปเกือบหมด ทางเดินเท้าไปทุ่งนาซึ่งแต่ก่อนต้องเดินลัดเลาะไปตามถนนดินแคบ ๆ ขนาดแค่สองฟุตที่มีหญ้าขึ้นระเกะระกะ ก็เปลี่ยนไปเป็นถนนกว้างลาดยางสองช่องทางจราจรอย่างดี คลองชลประทานที่เคยมีน้ำใสไหลเย็น ก็กลายสภาพเป็นคูคอนกรีตแห้ง ๆ เพราะไม่มีใครทำนากันอีกแล้ว ที่นามรดกของคุณทวด คุณปู่ก็ขายไปเอาเงินมาใส่ธนาคารไว้กินดอกเบี้ย นึกถึงความหลังครั้งเดินผ่านสวนยางแล้วก็คิดถึงใบเมเปิ้ลในฤดูใบไม้ร่วง ทางภาคใต้ของประเทศไทยนั้น พืชพรรณธรรมชาติเป็นป่าดิบชื้นไม่ผลัดใบนะฮะ ต้นไม้ส่วนใหญ่จึงเขียวอยู่ทั้งปี แต่ต้นยางพารา เมื่อถึงหน้าแล้ง ใบก็เปลี่ยนเป็นสีเหลือง และร่วงหล่นปลิดปลิวยามต้องสายลม เวลาอากาศร้อนอบอ้าว ยามฝนใกล้ตก บางครั้งกระแสลมพัดสอบเข้าหากัน เกิดเป็นลมหมุนขนาดเล็กที่เรียกกันว่าลมหัวด้วน ซึ่งจะหอบหิ้วเอาเหล่าใบยางบิดควงเป็นเกลียวขึ้นไปในอากาศ ลำลมซึ่งปกติมองด้วยตาเปล่าไม่เห็น ก็กลายสภาพเป็นปล่องซึ่งก่อร่างสร้างขึ้นด้วยฝุ่นสีน้ำตาลและใบยางเหลืองสล้าง น่าดูชมมาก ความรู้สึกยามเดินลอดไปใต้โค้งของต้นยาง ซึ่งปลูกเรียงกันเป็นแถวแนวยาว เวลาสายลมพัดอ่อน และใบยางปลิวว่อนร่อนลงมารอบตัวนั้น เปรียบดังกำลังเดินอยู่ในอุโมงค์แสงตะวันนะฮ ะ เพราะสีเหลืองจัดจ้านฉาดฉานของใบยางที่ถึงเวลาโรยราอำลาต้นนั้น ไม่ต่างไปจากแสงเหลืองรูปแฉกดาวนับร้อยพันบนพื้นดิน อันเกิดจากการระบายแต้ม ของพระอาทิตย์ที่ส่องลอดผ่านซุ้มกิ่งใบเมเปิ้ล ยามต้นเหมันต์ในยุโรป....... เกย่าเดินจ้ำบึ๊ดจ้ำอ้าวก้าวเท้ายาว ๆ อย่างรวดเร็วไปข้างหน้า เพราะหวังว่าจะทำให้สามชายไทยเดินตามมาไวขึ้น แต่พอถึงบริเวณลาน Lustgarten ซึ่งเป็นสวนหย่อมหน้าโดมแห่งแบร์ลิน จากจุดนี้เราจะต้องเลี้ยวซ้าย เพื่อจะเดินต่อไปยังอาคารพิพิธภัณฑ์ เกย่าหันกลับไปดู ปรากฏว่าไม่เจอแม้แต่เงาของสามหนุ่ม อารมณ์ตอนนั้น เกย่าอยากจะทุ่มเป้ที่แบกอยู่ลงบนพื้น น้ำตารื้นขึ้นมาเปียกแผงขนตางอนสวย ทำไมตูถึงซวยอย่างนี้นะ ตกกระไดพลอยโจนมากับคณะคนแปลกหน้าไร้ความเกรงใจนี่ได้ยังไง พี่น้องตระกูลสามจอจานจะว่าอย่างไรก็ช่าง มาช่วยฟรี ๆ อามิสสินจ้างก็ไม่ได้ ตูจะปล่อยทั้งสามคนทิ้งไว้ที่นี่ แล้วหนีกลับไปนอนที่บ้านดีไหมเนี่ย ขณะเกย่ากำลังจะข้ามถนน เพื่อหลบไปยังสถานีรถไฟใต้ดินอีกด้านนั้น พี่ติ่งก็วิ่งกระหืดกระหอบมา "รอด้วยครับน้องเกย่า แหม เดินไวยังกะปรอทเลยนะฮะ" พี่ติ่งหอบพลาง พูดไปพลาง แต่เกย่าไม่มีอารมณ์จะขำด้วย สายตาจ้องเขม็ง และกวาดไปดูด้านหลังของพี่ติ่ง ด้วยภาษาที่ไม่ต้องอาศัยคำพูดว่า อีกสองคนล่ะอยู่ไหน(ยะ) " เอ่อ พี่ปุ่น กับ ด้น ถ่ายรูปกันอยู่ในตึกสีชมพูน่ะครับ ตึกสีสวย ๆ ที่มีรูปปั้นทหารนั่งคอตกอยู่ข้างในน่ะฮะ" อาคารที่พี่ติ่งหมายถึง คืออนุสรณ์สถานสงครามของเยอรมัน สีชมพูหวานที่ฉาบด้านนอกนั้น เกย่าเคยฝันไว้ว่าจะชวน "พี่นาธ" ไปเดินชมด้วยกันในวันวาเลนไทน์ หากแต่ฝันนี้ดูเหมือนจะไม่มีวันเป็นจริง......... เกย่ายืนรออยู่กับพี่ติ่งตรงบริเวณหน้าสวนหย่อมนั้นอีกเกือบห้านาที พี่ปุ่นของพี่ติ่ง ซึ่งตอนนี้กลายเป็นนายปุ่นไปแล้วในสายตาเกย่า ก็เดินหัวเราะร่ามากับนายด้น และเมื่อมาถึงจุดที่เกย่ากับพี่ติ่งยืนเอามือล้วงกระเป๋าตัวสั่นงันงกอยู่ นายด้นก็ร้องว้าว "โห นั่นอะไรน่ะ สวยสุดยอดเลย" สิ่งที่ทำให้นายด้นตะลึงงัน คืออาคารโดมแห่งแบร์ลินฮะ "เราเข้าไปข้างในกันได้ไหม" นายด้นถาม "ถ้าจะเข้าไปก็ไปกันเองสามคนนะฮะ เกย่าจะไปรอที่หน้าพิพิธภัณฑ์เพอร์กามอน ละกัน จากโดมนี่ เดินไปทางซ้าย ตรงไปตามถนนเส้นนี้นะฮะ เสร็จแล้วก็เลี้ยวซ้ายอีกที ข้ามสะพานตรงคอคอด ต่อจากนั้นก็เลี้ยวขวาเดินเลียบถนนไปเรื่อย ๆ ก็จะถึงพิพิธภัณฑ์เพอร์กามอนฮะ" เกย่าอธิบายยืดยาวแทบไม่หายใจ "งั้นผมเดินไปพิพิธภัณฑ์พร้อม ๆ กับน้องเกย่า" พี่ติ่งพูด นายด้นกับนายปุ่นมองตากัน ด้วยสีหน้าปั้นยาก ในที่สุดก็บอกว่า โดมค่อยเข้าก็ได้ ไปพิพิธภัณฑ์ก่อน เกย่าจึงหันตัวกลับและเดินมุ่งตรงไปตามถนนสู่พิพิธภัณฑ์เพอร์กามอนอันมีชื่อเสียงที่สุดของเยอรมันอย่างรวดเร็ว ตลอดระยะทางราว 500 เมตรนั้น มีเพียงพี่ติ่งที่เดินมาพร้อม ๆ กับเกย่า นายปุ่นและนายด้นนั้น หยุดถ่ายรูปโน่นนี่ แทบจะทุก ๆ สิบยี่สิบก้าว แต่เกย่าก็ไม่ได้สนใจ คิดว่าถ้าเดินมาไม่ทัน ตามหากันไม่เจอก็ช่างหัว (มัน) ปะไร พี่ติ่งนั้นเลิ่กลั่ก น่าสงสารกว่าใคร จะรอเพื่อนที่ทำตัวยังกะลูกทัวร์แตกแถว หรือจะปล่อยให้เกย่าคลาดสายตา อิหลักอิเหลื่อสิ้นดี นางฟ้าในใจเรียกร้องให้เกย่าหยุดรอคนทั้งคู่ แต่เธอผู้ใจดี มิอาจสู้ฤทธิ์แม่มดร้ายอีกฝ่ายได้ เกย่าจึงหักปีกเหยียบหลังเธอไว้ นำไปพันธนาการในส่วนลึกที่สุดของจิตใจ ไม่ให้เผยอมาเสนอหน้าชี้สอนคุณธรรมได้อีก..... มิตรรักนักอ่านหลายท่านสงสัยว่าทำไมเกย่าถึงใจเย็นจัง กลับมานั่งตรึกตรองดูตอนนี้ เกย่าคิดหาคำตอบได้ว่า อาจจะเป็นเพราะเกย่าดีใจที่เจอคนไทยก็ได้นะฮะ เพราะเกย่าแทบจะไม่ได้ปฏิสังสรรค์กับคนไทยเลย อีกประการหนึ่งคงเพราะ เกย่าพยายามจะเข้าใจความรู้สึกคนที่มาต่างประเทศ เห็นอะไรสวย ๆ งาม ๆ แปลกตา ก็น่าตื่นเต้นไปเสียหมด ขนาดตึกร้างก็ยังถ่ายรูป แต่เกย่าก็ไม่ใช่คนดี คนน้ำใจงามเป็นแม่พระอะไรอย่างที่ใคร ๆ คิดกันหรอกนะฮะ ไม่งั้นเกย่าก็คงจะยิ้มร่า อ้าแขนโอบอ้อมอารี ปราณีสามชายไทย ได้ประเภทอย่างหนาตราช้าง ไม่หวั่นต่อทุกสถานการณ์ แต่นี่ มิตรรักนักอ่านก็เห็นกันว่า เกย่าน่ะโมโหโกรธาขนาดไหน ไม่ฟาดงวงฟาดงา ไล่ขวิดใคร ๆ เป็นควายเอ๊ย ช้างพลายตกมัน นับว่าอีตาสามคนนั้นโชคดีบุญรักษาเท่าไรแล้วนะฮะนั่นน่ะ ....เกย่าปล่อยให้พี่ติ่งละล้าละลังอยู่ตรงนั้น แต่ก็ไม่ได้ใจไม้ไส้ระกำถึงขนาดไม่ได้ชี้ทางบอกอย่างชัดเจนว่า พิพิธภัณฑ์เพอร์กามอนอยู่ตรงไหน เมื่อเห็นว่าท่านชายเข้าใจดีแล้ว แม่น้องแก้วเกย่ายอดยาหยี ก็วิ่งรี่ตัวปลิวไปเข้าห้องน้ำ แหมอั้นมาจนหน้าดำหน้าเขียวแล้วอะท่านผู้ชม ไม่ปล่อยออกมาให้ดมในรถเป็นการแก้แค้นก็บุญถมแล้ว อิอิ ทิ้งพี่ติ่ง กะนายด้น นายปุ่นไว้ข้างหลัง อย่างไม่อินังขังขอบ มานั่งหาคำตอบให้ความต้องการของร่างกายอย่างสุขารมณ์ในห้องน้ำเลิศหรู สายตาตรวจสอบแน่ใจดีแล้วว่าไม่มีรูใด ๆ ข้างประตูและผนังกั้นระหว่างห้อง ใครมิอาจมาถ้ำมองนวลน้องได้ เกย่าก็เบาใจ นั่งปล่อยอะไร ๆ ไป ก็ย้อนความคิดหวนจิตคำนึงถึงสมัยแบกเป้เที่ยวเืมืองเดรสเดนครั้งแรก ร่างกายมันเรียกร้อง ให้ต้องเข้าไปใช้ห้องน้ำที่สถานีรถไฟ ไม่ได้สังเกตอะไร เพราะเป็นเด็กใหม่ไร้เดียงสาอยู่ นั่งไปก็จดจ่อสายตาอยู่แต่ที่ประตู ทันใดนั้น กระดาษทิชชู่ที่อุดรูผนังก็หล่นปุ๊ลงมา อารามตกใจ ผนวกความสงสัยใคร่รู้ อดใจไม่ได้แนบหน้าใกล้ ๆ เข้าไปดู เลยโดนจู๋ทิ่มตาเข้าให้ฮ่ะ กรี๊ดดดส์.................. Glory hole มันเป็นอย่างนี้เองเหรอฮะ เต็มเบ้าตาเลยตู๊ !!! ถึงแม้จะน่ากินขนาดไหน เล่นเอามาเสิร์ฟแบบไม่เห็นหน้าบ๋อยอย่างนี้ หนูไม่เอาส้อมจิ้มกลางลำ ให้ hum ทะลุ ก็ปรานีมากแล้วนะยะ มีวีนค่ะงานนี้ โผล่หน้าตาลอดรูมาให้เห็นก่อนก็พอจะตกลงกันได้ นี่เล่นเสิร์ฟของชิ้นใหญ่โดยไม่ได้ให้โอกาสเลือกเมนู ก็เอาจู๋ของเธอถอยกลับเข้ารูไปเถอะย่ะ !!! /me เชิดใส่ มือสาวกระดาษทิชชู่ ม้วนใหม่ มาอุดรูดังเดิม...... ต่อองค์ 4 กันฮ่าาา 555 เขียนได้สะใจค่ะ เดี๋ยวอ่านต่อก่อน
โดย: Jiguli IP: 84.230.128.124 วันที่: 5 เมษายน 2549 เวลา:0:28:56 น.
555 ตามคุณ Jiguli มาหัวเราะ 555
โดย: RiNNe IP: 58.147.14.244 วันที่: 19 เมษายน 2549 เวลา:16:04:21 น.
โดย: จอย(ลัดดา) IP: 62.178.219.125 วันที่: 1 กันยายน 2549 เวลา:4:01:13 น.
I really love your story mak mak ja.
โดย: kookmartin IP: 80.3.160.8 วันที่: 8 กันยายน 2549 เวลา:7:59:43 น.
|
บทความทั้งหมด
|