บ้านพักรับรองของบริษัทไทยไวล์ดไลฟ์
xx xxxx 2502
บ้านพักรับรองของบริษัทไทยไวล์ดไลฟ์

ในที่สุดสมุดบันทึกเล่มนี้ก็ได้ถูกนำมาเขียนอีกครั้งจนได้ ไม่เสียแรงที่อุตส่าห์ขนมาจากพระนคร โล่งใจไปหลายเปลาะ ที่โล่งใจก็ไม่ใช่แค่จะได้เขียนบันทึกเล่มนี้ต่ออย่างที่ตั้งใจไว้เพียงประการเดียว แต่สาเหตุที่ทำให้โล่งใจเป็นที่สุด เป็นเพราะเมื่อใดที่สมุดเล่มนี้ได้ถูกจดบันทึกลงไป ก็เป็นความหมายว่าการเดินทางตามหาอนุชาได้เริ่มต้นขึ้นด้วย

อนุชา วราฤทธิ์ เหตุผลประการเดียวที่ทำให้เราสามคนต้องดั้นด้น บุกป่าฝ่าดงเข้ามาถึงที่นี่ ทั้งในฐานะ พี่ชาย ในฐานะน้องสาว และในฐานะเพื่อนตาย นึกย้อนไปถึงวันนั้นก็ยังแค้นใจตัวเองไม่หาย หากเรากล้ากว่านี้ กล้าที่จะเข้าไปห้ามการทะเลาะกันของพี่น้องคู่นั้น กลางก็คงไม่หนีหายออกมาเช่นนี้ นี่ถ้ายายน้อยไม่กลับมาป่านนี้ก็คงยังไม่มีการออกตามหากลางอยู่นั่นเอง โชคดีที่น้อยกลับมา โชคดีที่เชษฐายอมฟัง และเป็นโชคดีของเรา ที่ได้มีโอกาสแก้ตัวเสียที การมาตามกลางกลับบ้านครั้งนี้ไม่ใช่เพียงในฐานะเพื่อนสนิทเท่านั้น หากแต่นี่คือความรับผิดชอบของเราด้วย รับผิดชอบต่อความขลาดเขลาในครั้งนั้น

หลังได้รับคำยืนยันวันเวลาที่พรานรพินทร์จะเข้ามาส่งสัตว์ที่สถานีจากนายอำพล เชษฐาก็สั่งการเตรียมข้าวของมุ่งมาที่นี่ทันที แต่การขับรถมาด้วยความเร็วกว่า 80 ไมล์ต่อชั่วโมง คงไม่ได้ทำให้ความรู้สึกร้อนรนของเชษฐาและดารินลดลงได้เลยกระมัง เชษฐาจึงสั่งให้นายอำพลนำเครื่องบินมารอรับที่สนามบินน้ำในตัวจังหวัด ร่นเวลาเดินทางไปได้โขทีเดียว ถ้าเทียบกับการมาในครั้งก่อนๆ ล่ะก็นะ

นายอำพล พลากร ผู้อำนวยการบริษัท Thai Wild Life ก็ยังคงเหมือนเดิม แม้ดูจะเจ้าเนื้อขึ้นกว่าเดิมที่เจอกันเมื่อสองปีที่แล้ว แต่ก็ยังมีเค้าของนักเผชิญโชคอยู่บ้าง แต่ก็เถอะนะ ใครมาเห็นในวันนี้ก็คงจะนึกไม่ออกเลยว่านักผจญภัยที่ไหนจะไว้พุงได้ใหญ่ขนาดนี้ นี่ท่าจะอยู่ดีกินดีไปหน่อย ทันทีที่เจอหน้าเชษฐากับดารินก็ไม่ปล่อยเวลาให้เสียเปล่าไปแม้วินาทีเดียว ทั้งคู่ต่างซักไซ้ไล่เรียงหาที่มาที่ไปของข่าวนายกลาง จนนายอำพลแทบไม่มีโอกาสอ้าปากตอบคำถาม แต่ถึงจะอ้าปากทันก็คงไม่ได้อะไรมากอยู่ดี เพราะนายอำพลเองก็ไม่รู้อะไรมากเหมือนกัน ผู้ที่รู้เรื่องจริงๆ คือนายพรานนำทางที่นายอำพลจะแนะนำให้เรารู้จักต่างหาก และตามกำหนดที่นายอำพลบอกไว้ วันนี้เป็นวันครบกำหนดต้องเข้ามาส่งสัตว์ที่สถานีฯ และยิ่งแน่ใจมากขึ้นว่าจะได้เจอนายพรานคนนี้ในวันนี้ ก็ตอนที่เครื่องบินของเราบินต่ำระดับยอดไม้ ตัดผ่านขบวนขนสัตว์ของเค้าไป และนายอำพลชี้ให้ดูนั่นแหละ ไม่เห็นหรอกนะว่าใครเป็นใคร เพราะทันทีที่เครื่องบินของเราบินผ่าน ข้างล่างก็ชุลมุนวุ่นวายกันไปหมด เสียงสรรพสัตว์ร้องกันระงม แต่เสียงสัตว์ก็ดังไม่สู้เสียงตะโกนโหวกเหวกเรียกหาบรรพบุรุษที่ดังมาจากด้านล่างไปได้ ฟังๆ จากหางเสียงแล้ว คงไม่ใช่การเรียกหาบรรพบุรุษของเรามาสรรเสริญเป็นแน่ และคงจะเป็นการดี ถ้าเราจะเงียบไว้ ไม่บอกให้พวกนั้นรู้ว่าใครเป็นคนเสนอให้นักบินบินโฉบลงไป

ตลอดเวลาที่เราบินผ่านป่าดิบด้านล่าง น้อยดูตื่นเต้นมากกับสัตว์ป่านานาชนิดที่โผล่ออกมาให้เห็นเต็มไปหมด น้อยถ่ายรูปจนหมดฟิล์มไปหลายม้วน อย่างที่เขาเรียกว่าบ้านนอกเข้ากรุงไม่มีผิด จะผิดก็แต่ว่านี่เป็นคนกรุงที่เข้าป่าเป็นครั้งแรก อะไรๆ ก็เลยดูตื่นตาตื่นใจไปทั้งนั้น

เรามาถึงสถานีกักสัตว์ของนายอำพลก่อนขบวนขนสัตว์ ร่วมสองชั่วโมง จึงพอมีเวลาเดินสำรวจรอบบริเวณสถานีกักสัตว์ บริษัท Thai Wild Life เป็นบริษัทที่อยู่ในเครือบริษัทของเชษฐา มีนายอำพลเป็นผู้อำนวยการ และมีผู้จัดการ คอยดูแลจัดการเรื่องทั่วๆ ไป ชื่อนายประเสริฐ ตัวสถานีกักสัตว์ตั้งอยู่ริมแม่น้ำบนพื้นที่กว่าร้อยไร่ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นกรงสัตว์สารพัดชนิด ที่กำลังรอการส่งออกไปตามสวนสัตว์ต่างๆ ทั่วโลก ตัวสถานีกักสัตว์เองก็ดูเหมือนกับสวนสัตว์ย่อมๆ มีสัตว์ต่างๆ ชนิด นับจากนกไปจนถึงช้าง มีเรือยนต์ของบริษัทจอดเทียบสะพานท่าเรือ ซึ่งเรือลำนี้มีหน้าที่ขนสัตว์ออกจากสถานีเพื่อนำไปส่งที่กรุงเทพฯ

สถานีกักสัตว์แห่งนี้ อยู่ห่างจากตัวเมืองพอสมควร ทั้งไฟฟ้าและน้ำประปายังเข้ามาไม่ถึง ต้องใช้เครื่องปั่นไฟสร้างกระแสไฟฟ้าเพื่อใช้ภายในสถานี ส่วนน้ำก็ต้องใช้น้ำบาดาลสำหรับให้คนงานดื่มกิน ภายในสถานีมีคนงานกว่าห้าสิบคน ส่วนใหญ่เป็นคนพื้นที่ แต่ก็มีบางส่วนเหมือนกันที่มาจากกรุงเทพฯ

ระหว่างรอพรานรพินทร์ พวกเราถือโอกาสนี้พูดคุยสอบถามกับนายอำพลในหลายๆ เรื่อง โดยเฉพาะเรื่องการจ้างพรานรพินทร์นำทางในการเดินทางครั้งนี้ ทำให้เราทราบว่าโอกาสของพวกเราดูจะริบหรี่เต็มที นายอำพลเองก็ยังไม่ใคร่จะมั่นใจในคนของแกนักว่าจะยอมนำทางไปด้วยหรือไม่ ว่าก็ว่าเถอะครั้งที่แกพูดมาก็ยังนึกสงสัยอยู่ ทำไมต้องเจาะจงไปที่นายพรานคนนี้คนเดียว สถานีกักสัตว์ของนายอำพลเองก็ใหญ่โต ใหญ่โตในที่นี้ไม่ได้หมายเพียงขนาดที่ใหญ่โตของสถานีกักสัตว์เท่านั้น ดูท่าในช่วงสองปีที่ผ่านมานายอำพลจะหมดเงินไปอักโข เพราะเท่าที่จำได้ เมื่อสองปีที่แล้ว สถานีของแกยังไม่ใหญ่โตทันสมัยขนาดนี้เลย แต่จะว่าเป็นเงินของ นายอำพลก็คงไม่ใช่ซะทีเดียว จำได้ว่า เชษฐาเคยเปรยเรื่องนายอำพลมาขอยืมเงินก้อนโตอยู่หลายหนเหมือนกัน เชษฐาเองก็ดูจะพอใจทีเดียว เมื่อได้มาเห็นสถานีกักสัตว์ที่พัฒนาไปได้ขนาดนี้ ไม่ว่าจะเป็นตึกทำการที่โอ่อ่าทันสมัย ก่ออิฐถือปูนแบบอาคารพวกฝรั่ง เรือนรับรองก็ดูหรูหราทันสมัยไม่แพ้กัน เครื่องเรือนเครื่องใช้ก็เข้าที ถึงจะดูขัดหูขัดตาไปบ้าง แต่ในบ้านป่าอย่างนี้ ก็ต้องนับว่ารสนิยมของนายอำพลนี่ดีใช้ได้ทีเดียว โดยเฉพาะหนังเสือผืนเบ้อเริ่มที่วางแผ่หราอยู่กลางห้องทำงานผืนนั้น นี่ถ้าได้เอาไปวางไว้ในห้องรับแขกของบ้านอนันตรัยคงโก้ไม่หยอก เสียดายที่ยังไม่มีเวลาเดินดูให้ทั่ว ขบวนขนสัตว์ของนายรพินทร์ก็เข้ามาพอดี

รพินทร์ ไพรวัลย์ เมื่อแรกได้ยินเรื่องของนายคนนี้ ทั้งฝีมือความชำนาญและประวัติอันโชกโชน ดูท่าจะต้องตัวใหญ่เป็นยักษ์ปักหลั่นแน่ แต่พอเจอเข้าจริง ผิดคาดแฮะ หมอตัวเล็กนิดเดียว ไม่ถึงไหล่เราด้วยซ้ำมั้ง ผอมเกร็ง ดูไม่น่าจะใช่คนๆ เดียวกับที่นายอำพลเล่าให้ฟังเลย

แต่ก็นั่นแหละนะ หลังจากสิ้นเสียงกระสุนนัดนั้น ทำให้รู้ชัดเลยว่า หมอนี่แหละตัวจริง ของจริง อย่างที่นายอำพลเค้าคุยไว้จริงๆ มีเรื่องที่ทำให้เราต้องตื่นเต้นกันนิดหน่อย ไม่รู้ว่าคนงานของนายอำพลทำงานกันยังไง ถึงทำให้กรงใส่เสือดำหล่นลงมาแตกได้ พอกรงแตกเท่านั้นแหละ เจ้าแมวยักษ์สีดำก็อาละวาด วิ่งเตลิดออกไป แถมไม่วิ่งหนีไปเปล่าๆ ไล่ตะปบคนงานที่กำลังวิ่งหนีเสียหลายคนเลือดสาด ร้องกันระงม หนีไปหลบอยู่แถวกรงนก รพินทร์จัดการให้ทุกคนหลบไป แล้วตัวเองก็เดินหน้าตายเข้าไปประจันหน้ากับมันเพียงลำพัง ก็ดูเอาเถอะ คนที่ไหนจะบ้าขนาดเดินเข้าไปยิงเสือซึ่งๆ หน้าอย่างนั้น มิหนำซ้ำหมอยังอุตส่าห์มีน้ำใจนักกีฬา รอให้พ่อเจ้าประคุณโดดใส่ก่อนอีกแน่ะ นัดเดียว เพียงนัดเดียวเท่านั้น ที่ลั่นออกไปจากปลายลำกล้อง 30-06 กระบอกนั้น กระสุนนัดนั้นพุ่งเข้ากลางแสกหน้า ส่งผลให้มันตายคาที่แทบจะกลางอากาศเลยทีเดียว ตั้งแต่เกิดมาเข้าป่าล่าสัตว์ก็หลายหน ไม่เคยเห็นใครกล้าบ้าบิ่นเหมือนพรานคนนี้สักคน ถ้าไม่บ้าก็ต้องแน่จริงๆ ถึงจะทำอย่างนั้นได้ จ้างให้อีกสิบหมื่นร้อยหมื่น ก็ไม่เอาด้วยหรอก ตายเสียเปล่า

หลังจากแนะนำตัวกันพอเป็นพิธีแล้ว เชษฐาก็เริ่มต้นตั้งคำถามกับนายพรานถึงนายชด ประชากร ทันที ซึ่งรพินทร์เองก็ตอบกลับอย่างที่เราพอจะทราบกันดีอยู่แล้ว จากจดหมายที่เค้าตอบกลับมาให้ทนายของเชษฐา รพินทร์ยอมรับว่าเคยพบกับนายชด ประชากร เมื่อปีกลายก่อนที่นายชด ประชากร จะออกเดินทางหายเข้าไปในป่าเพื่อมุ่งไปยังเทือกเขาพระศิวะ ซึ่งพรานรพินทร์ก็บอกกับเราว่า เทือกเขาลูกนั้นเป็นเพียงแค่นิยายที่เล่าสืบกันมา เชษฐาบอกกับ รพินทร์ว่า นายชด ประชากรผู้นี้ แท้จริงแล้วก็คือ หม่อมราชวงศ์อนุชา วราฤทธิ์ ผู้เป็นน้องแท้ๆ ของเขา และเป็นพี่ชายของคุณหญิงดาริน เชษฐาแจ้งจุดประสงค์ที่พวกเราเดินทางมาพบเขาก็เพื่อต้องการจ้างให้เขานำทางพวกเราไปยังเทือกเขาพระศิวะ เพื่อตามหานายชด ประชากร หรือคุณชายอนุชา รพินทร์ปฏิเสธแทบจะทันทีที่เชษฐาบอกจุดประสงค์ของพวกเราจบ เท่าที่ฟังจากปากของเขา พรานรพินทร์เชื่อว่า การเดินทางไปเทือกเขาพระศิวะจะต้องประสบความหายนะอย่างแน่นอน เชษฐาพยายามรบเร้าให้รพินทร์รับจ้างนำทางให้พวกเรา ซึ่งในที่สุดดูเหมือน รพินทร์จะเริ่มใจอ่อน เพราะบอกกับเราว่า เขาขอกลับไปนอนคิดก่อนและจะมาให้คำตอบในวันพรุ่งนี้

หลังจากที่รพินทร์กลับออกไปแล้ว นายอำพลถึงเผยให้พวกเรารู้ว่า พรานรพินทร์มีอดีตเป็นนายตำรวจตะเวนชายแดน มียศเป็นร้อยตำรวจเอก แถมเป็นนักเรียนนายทหารจากเยอรมันทีเดียว คิดไว้อยู่แล้วหมอนี่ต้องไม่ใช่พรานธรรมดาๆ แน่ ดูการพูดการจาอย่างกับคนที่ได้รับการศึกษามาเป็นอย่างดี สำคัญไม่เบาเลยสำหรับพรานบ้านนอกคนนี้

เอาเถอะ เชษฐาทิ้งคำถามไปแล้ว ที่เหลือก็แค่รอคำตอบจากหมอเท่านั้น พรุ่งนี้ก็คงรู้ผล จะได้เดินทางร่วมกันหรือไม่ เดี๋ยวคงได้รู้กันไป ให้ตายซิ !! ถ้าหมอตอบตกลง คงดีไม่น้อย บอกตามตรงรู้สึกถูกชะตาหมอนี่ชอบกล ถึงแม้จะยังแปลกๆ อยู่บ้างก็เถอะ เชษฐาก็คงยินดีหากได้หมอมาเป็นพรานนำทาง ดูจากสีหน้าท่าทางก็พอรู้อยู่ แต่ยายน้อยนี่สิจะว่ายังไง ศรศิลป์ไม่กินกันตั้งแต่แรกเจอแบบนี้ นี่เดินทางไปด้วยกัน มิไปฆ่ากันตายเอาในป่าหรอกรึ หวั่นใจจริงๆ

แต่ยังไง ก็ถือได้ว่าปัญหาหนักอกของเราได้รับการแก้ไขไปแล้วเปลาะนึง จะ ไปฆ่าไปแกงกันยังไง ก็ค่อยมาว่ากันอีกที เป็นปัญหาข้างหน้าค่อยหาทางแก้ไขเอาทีหลังก็ยังไม่สาย อีกอย่างก็ยังไม่รู้เลยว่าจะได้พรานคนนี้มานำทางให้รึเปล่า เพราะเท่าที่ฟังดู เส้นทางที่พวกเราจะต้องใช้เดินทาง คงไม่ใช่เส้นทางที่เขาอยากจะนำทางเราไปสักเท่าไหร่หรอก สุดแล้วแต่บุญแต่กรรมละกัน ถ้าเขาช่วยนำทางให้เราก็ดีไป แต่ถ้าไม่ก็ค่อยมาว่ากันอีกที

********************************************

เสือดำ Leopard(Panter)
ชื่อทางวิทยาศาสตร์: Panthera pardus
ลักษณะทั่วไป
เสือดำเป็นเสือมีขนาดใหญ่รองลงมาจากเสือโคร่ง มีขนสีดำตลอดตัว แต่สังเกตุให้ดีจะมีรอยแต้มจางๆที่เรียกว่า"รอยขยุ้มตีนหมา"
อยู่ในป่าได้ทุกชนิด ทั้งป่าทึบ ป่าโปร่งและป่าที่มีโขดหิน ทนร้อนได้ดีกว่าเสือโคร่งไม่ชอบอาบน้ำอย่างเสือโคร่ง ขึ้นต้นไม้เก่งกว่าเสือโคร่ง
เป็นสัตว์ที่ว่องไวและดุ ปกติแล้วอยู่ตามลำพังตัวเดียว จะอยู่เป็นคู่ในระยะผสมพันธุ์เท่านั้น ชอบกระโดดจากต้นไม้เพื่อจับเหยื่อบนพื้นดิน
และลากเหยื่อขึ้นต้นไม้เพื่อกันไม่ให้สัตว์อื่นมาแย่ง


*** เอื้อเฟื้อภาพโดย naikay ***
 



UPDATE : ตอนนี้บล๊อกเราขยายคอนเทนท์เพิ่มขึ้นอีกช่องทางนะครับ เป็นช่อง youtube สำหรับเด็กๆ ใครเป็นเด็ก หรือสนใจคอนเทนท์แบบเด็กๆ หรือมีลูก มีหลาน ก็รบกวนกดติดตามกันสักนิด เป็นแรงให้เรามีกำลังใจผลิตคอนเทนท์ดีๆออกมาอีกครับ ขอบคุณครับ


Youtube  หมูน้อยลาป่วย!? ทั้งเล่นเป็นคุณครู ทั้งซ้อมเต้น แถมกินไอติมอีก


#หมูน้อยร้อยชั่ง



Create Date : 04 สิงหาคม 2550
Last Update : 16 เมษายน 2562 10:27:26 น.
Counter : 416 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Farn.BlogGang.com

ฟาฬ
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]

บทความทั้งหมด