ตอนที่ 3. การเดินทางสู่ นาขั้นบันได บ้านป่าบงเปียง
ขอเกริ่นนำเกี่ยวกับ "บ้านป่าบงเปียง" คร่าวๆ ก่อนนะค่ะ Smiley

 นาขั้นบันได บ้านป่าบงเปียง
เป็นหมู่บ้านของชาวกะเหรี่ยงปกาเกอะญอ หรือ กะเหรี่ยงสกอร์ หรือ กะหร่าง แต่เราไม่ขอเรียกพวกเขาว่า "กะเหรี่ยง" แต่จะเรียกว่า "ชาวปกาเกอะญอ" ค่ะ 

         นาขั้นบันได บ้านป่าบงเปียง อยู่เกือบจะสุดปลายของ อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่ อยู่เยื้องออกมาทางด้านหลังของดอยอินทนนท์  การเดินทางมาที่นี่ค่อนข้างจะโหดร้ายต่อยานพาหนะเดินทางสักหน่อย เนื่องจากยังเป็นเพียงทางลูกรัง  เมื่อฤดูฝนผ่านไป เส้นทางลูกรังก็จะกลายเป็นหลุมเป็นบ่อ เลาะตามไหล่เขาไปเรื่อย ควรใช้รถขับเคลื่อน 4 ล้อ หรือ โฟร์วีล เท่านั้น แต่นักท่องเที่ยวส่วนมากนิยมมาเที่ยวกันช่วงฤดูทำนา ในหน้าฝนเพราะต้นข้าวกำลังเจริญงอกงาม เขียวขจีไปทั่วท้องทุ่ง

ช่วงฤดูทำนาของ "บ้านป่าบงเปียง" คือระหว่าง

เดือนสิงหาคม น่าจะเป็นช่วงที่เพิ่งปักดำนาไปได้ 1-4 สัปดาห์ต้นข้าวจึงยังไม่โต

ต้นเดือนกันยายนถึงเดือนตุลาคม นาข้าวที่บ้านป่าบงเปียงจะโตเต็มวัยเป็นสีเขียวเข้ม เขียวขจีไปทั่วท้องทุ่ง

มื่อเข้าสู่ช่วงเดือนพฤศจิกายน – ธันวาคม นาข้าวก็จะกลายเป็นสีทอง 


การเดินทาง : บ้านป่าบงเปียงเข้าได้ 2 ทาง แต่สะดวกสุดก็คือเส้นทางอินทนนท์-แม่แจ่มจากดอยอินทนนท์ ไปทางแม่แจ่ม เลี้ยวเข้าไปทางน้ำตกแม่ปานเลยที่ทำการน้ำตกไปตามทางลูกรังอีกราว 2 กม. เส้นทางระยะนี้ถ้าให้ดีควรเป็นรถโฟร์วีลส์หรือกระบะแรงดี หรือจะเช่ารถสองแถวเหลืองสายจอมทอง-แม่แจ่ม ก็มีวิ่งบริการนอกเส้นทางเช่นกัน

      ตามแผนที่วางไว้ว่าเช้ามาจะได้ขึ้นดอยอินทนนท์เลย และเบื่อบรรยากาศแบบรีสอร์ท ตื่นมาเห็นวิวดอกไม้ ผู้คนเจี๊ยวจ๊าวแล้ว หาข้อมูล เห็นรีวิวคนอื่นก็ตกหลุมรัก "บ้านป่าบงเปียง" ในทันที เพราะเราอยากเห็นวิวนาขั้นบันไดสวยๆ ที่ไม่ต้องดั้นด้นเดินทางไปถึงหยวนหยาง หรือ ซาปา ประเทศเวียดนาม (เห็นม๊ะว่า ประเทศไทยก็ไม่แพ้ชาติใดในโลก)


(ขอขอบคุณภาพประกอบการรีวิว จาก คุณขุนแผน คีย์บอร์ด ในเว็ป Pantip.com)


(ขอขอบคุณภาพประกอบการรีวิว จาก คุณ jt.man ในเว็ป Pantip.com) และขอบคุณบุคคลท่านอื่นอีกมากมายที่ไม่ได้กล่าวถึงหรือยกตัวอย่างรูปภาพ ณ ที่นี้ เพราะถ้าพวกคุณไม่รีวิว เราก็จะไม่เห็น และไม่ดั้นด้นไปให้เห็นกับตาตัวเอง

          แต่สิ่งที่ยากกว่านั่นคือเบอร์ติดต่อคุณวิชัย ไม่ค่อยมีใครรีวิว และที่สำคัญคือ คุณวิชัยมีเบอร์โทรแค่เบอร์เดียวเท่านั้น  ....ณ วินาทีนั้น...

          เราภาวนาขอให้โทรติดต่อได้ ภาวนาขอให้เราโชคดีมีห้องว่าง ในที่สุดโชคก็เข้าข้างเรา ดีใจมาก....กกก  เราตัดสินใจจองที่พักที่นี่กับคุณวิชัย คืนวันที่ 26 ธันวาคม 2556 1 คืน ในราคา 1,000 บาทต่อ 2 คน พร้อมอาหาร 2 มื้อ คือ มื้อเช้า และมื้อเย็น (ดีจัง ไม่ต้องออกไปหาซื้อของกินเอง) เมื่อแผนการทุกอย่างที่เตรียมไว้เป็นไปตามเป้าหมาย เรากับคุณแฟนก็ลั้นลา เฮฮา ปาจิงโกะ ไปเรื่อยเฝ้ารอวันเวลาไปเที่ยวเชียงใหม่ (ยัง..มันยังไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นบ้าง...ยังไม่สำเนียก เพราะมันยังไม่ถึงเวลา) 5555

...................Smiley.....Smiley.......Smiley.......Smiley.....Smiley......Smiley....Smiley.................

         ร่ายยาวมากแหละมาเข้าเรื่องกันดีกว่าจ้า ระยะเวลาเดินทางกับสายการบิน Thai Lion Air จาก กรุงเทพฯ สู่เชียงใหม่ ใช้เวลาแค่ 55 นาทีเองคะ เร็วมาก ยังไม่ทันหลับเลย พอรับกระเป๋าก็เดินแบกเป้ที่สองใบหนักรวมกันได้ 14 กิโล (ชั่งตอนโหลดกระเป๋าขามา) เราสองคนต้องหาทางไปสามแยกฟ้าธานีให้ได้ก่อน เลยออกเดินไปทางหน้าทางเข้าสนามบินตรงถนนใหญ่ (มีรถแดงขับวนเข้ามาในสนามบิน แต่ไม่ไปที่เราต้องการเลยต้องหาวิธีไปใหม่) ไม่ถึง 5 นาทีมีตุ๊กๆ บีบแตรเรียก ต่อรองราคากันได้ที่ 70 บาท จาก 80 ต่อไป 50 แกไม่ยอม Smiley เราเลยให้แกส่งหน้าร้านซะเลย เพราะถามแล้วแกบอกว่ารู้จักร้านไบกี้ ที่สามแยกฟ้าธานี เพราะคนมาเช่ารถเยอะ (ค่อยโล่งใจหน่อย นึกว่าร้านกะโหลก กะลาซะแล้ว)  นี่คือรูปข้อมูล ราคา ที่หามาได้จากทางอินเตอร์เน็ทจ้า



แผนที่ร้านเอามาจากเฟสบุ๊ค ของร้านเล Bikkychiangmai

ที่อยู่ 117 ถ. ห้วยแก้ว ต. สุเทพ อ.เมืองเชียงใหม่ 50200

โทร. 080 122 0985 หรือ 082 902 7890 (เวลาทำการ : 8.00 - 18.00 น.)

                                                                                                                   อีเมล์ : bikkychiangmai@hotmail.com หรือ //www.bikkychiangmai.com



จัดการเลือกรถปุ๊บ ทำสัญญา ตรวจเช็คสภาพรถ อุปกรณ์ต่างๆ ก็จ่ายเงินเลยจ้า (ที่ร้านจะออกสำเนาใบเสร็จและสำเนาใบสัญญาเช่ารถให้เราเก็บไว้ด้วยนะ พร้อมขอเก็บบัตรประชาชนไว้ด้วย เราเลยเอาของเราให้ไป เพราะคุณแฟนเป็นคนขับ เดี๋ยวตำรวจเรียกดูแล้วไม่มีจะเดือดร้อน) ต่อไปก็ออกเดินทางไปหาปั๊มเติมน้ำมันเต็มถังก่อนขึ้นมุ่งหน้าขึ้นดอย และก็แวะทานข้าวกลางวันที่ตลาดแม่เหียะ ตุนเสบียงไส้อั่วไป 2 ขีด ข้าวเหนียวอีก 10 บาท กันไว้เผื่อหิว 

           ณ เวลานั่นก็บ่ายสองโมงครึ่งแล้ว จาก อ.เมืองเชียงใหม่ไปบ้านป่าบงเปียง ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง ต้องรีบทำเวลามุ่งตรงไปอำเภอแม่แจ่มอย่างเดียวแล้ว กว่าจะได้ขึ้นดอยต้องผ่านตั้ง 4 อำเภอ คือ  อ.เมืองเชียงใหม่ - - - อ. หางดง - - - อ.สันป่าตอง - - - อ.จอมทอง แล้วถึงใช้เส้นทางขึ้นดอยอินทนนท์ จากเชิงดอย หรือตีนดอยไปอีกประมาณ  24 -25 กิโล (ใครจะไปรู้ฟระ ว่ามันไกลขนาดนี้ ขับไปก็จะ 200 กิโลแล้วอ่า) พอถึงจุดตรวจที่ 1 (ทางขึ้นอุทยานฯ จะมีเจ้าหน้าที่เก็บเงินค่าขึ้นดอยดินทนนท์ เราก็บอกว่าเราจะไป อ. แม่แจ่ม ก็ไม่ต้องเสียเงินค่า ผ่านได้ฟรีโลด เอาละมาดูตามแผนที่นะค่ะ (พอย่อขนาดแล้วมองตัวหนังสือไม่ชัดเลยจัดเต็มขนาดใหญ่จ้า)

เราต้องขับรถให้ไปเจอด่านตรวจจุดที่ 2 ก่อน แล้วจึงเลี้ยวซ้ายแยกออกมา (เราจะทำรีวิวให้อย่างละเอียดเลยค่ะ เพราะเราหลงกันมาแล้ว จำได้แต่ว่าเจอด่านตรวจจุดที่ 2 ก่อน แล้วจึงเลี้ยวซ้าย แค่นั้น เรากะคุณแฟนก็ขับตรงไปเรื่องๆ จนมีป้ายบอกว่า "แม่ฮ่องสอน อีก 187 กิโล" เอ๊ะ ยังไงหว่า?? Smiley ทางก็คดเคี้ยว หักศอก หักมุม ได้ใจมาก ดูเวลาก็ 17.00 น. แล้ว คุณแฟนเริ่มบ่นปนด่า เลยโทรถามคุณวิชัย ปรากฏว่าเราขับเลยมาไกลเป็น 10 กิโลแล้ว Smiley จะไปทะลุแม่ฮ่องสอนแล้ว กรรมต้องขับย้อนกลับไปอีก (แผนที่ก็มี แต่ลืมหยิบมาดู) จะถามคนแถวข้างทางก็ไม่มี ถึงมีก็ไม่ใช่คนพื้นที่ 

           โอ้ว....นรกบังเกิด เป้ก็หนัก หลงทาง เถียงกันอีก จะมืดแล้วด้วย Smiley คุณวิชัยบอกให้เราย้อยกลับมาตรงน้ำตกแม่ปานค่ะ

       นี่ค่ะพถึงเลยจุดตรวจที่ 2 มา 100 เมตรก็เลั้ยวไปทางซ้ายนี่เลย ป้ายเขียนว่า้น้ำตกแม่ออกฮู" / "น้ำพุร้อนเทพพนม" /"ศูนยหัตถกรรมผ้าตีนจกแม่แจ่ม"


พอขับไปเห็นป้ายตามรูปนี้ให้ไปทางขวานะจ๊ะ 

(อย่าไปทางซ้ายแบบเรา เดี๋ยวหลง)



ซูมป้ายให้ดู



ไปทางเข้าน้ำตกห้วยทรายเหลืองนี่ละ ถูกต้อง (เราขับย้อนมายืน เออๆ กับคุณแฟน จะหาคนถามก้ไม่มี สัญญาณโทรศัพท์ก็ไม่มี ทั้ง Dtac และ AIS เน่าสนิท ซวยละตรูยังไม่ถึงที่พักเลย 17.10 น. แล้วอะ Smiley โชคดีที่มีพี่คนหนึ่งขับรถออกมาจากทางเข้าน้ำตกห้วยทรายเหลือง เราเลยถามว่าทางไปน้ำตกแม่ปาน หรือ ป่าบงเปียงใช่ไหม พอพี่แกบอกว่าใช่ เรางี้ กระโดดขึ้นรถกันสุดฤทธิ์ เพราะแกบอกว่ารีบๆ เข้าไปเลยจะเย็นแล้ว ทางมันไม่ค่อยดี ไปอีกประมาณ 8 กิโล )



พอเข้าไปจะเหมือนเป็นอุทยานเราก็ตรงเข้าไปถามทางกับเจ้าหน้าที่ แกก็ชี้ให้ตรงขึ้นไปตามป้ายเลย แกบอกว่าอีกประมาณ 5 กิโล (โอ้ว..แม่เจ้า จะถึงไหมวันนี้ Smiley) คุณแฟนเริ่มบ่นเป็นตาแก่ตลอดทาง



พอเจอทางเข้ายิ่งบ่นหนักกว่าเดิม อารมณ์บูดแล้ว ที่เรากลัวกว่าก็คือ ถ้ายางรถแตกตรูจะทำไงกันละเนี่ย จะหาร้านที่ไหน ใครจะมาเปิดร้านบนดอยวะ แต่มาแล้ว ไม่ถอยหลังอะ สู้โว้ย





เชื่อแล้วว่า 5 กิโลแม้วจริงๆ ถนนพอๆ กับเกาะเสม็ดเลยอะ ไอ้เราก็ดันขับมอไซต์กันมาได้ ไหนจะแบกแป้อีกตั้ง 2 ใบ กระเป๋าอีก 1 ใบใหญ่ รวมแล้วน้ำหนักเกือบ 200 โล



ไปถึงทางเข้าหมู่บ้าน 18.00 น. พอดี กว่าจะสื่อสารกับคุณแม่พี่วิชัยรู้เรื่อง และกว่าจะเดินไปที่พัก กว่าจะได้ทานข้าวเย็นก็มืดละ ระหว่างสำรวจที่พักก็ขอเก็บรูปพระอาทิตย์ตกดินหน่อยละกัน



        ยังไม่ทันหกโมงครึ่งก็มืดแล้ว และที่สำคัญอุณหภูมิลดลงเร็วมาก หนาวขนาด เย็นจมูกมาก และที่สำคัญคุณแฟนเราดันไปรีบเปิดสวิตซ์ำไฟ โดยที่ไม่ถามเจ้าของบ้านเขาก่อนว่าต้องต่อยังไง ผลปรากฏว่าไฟติดมาพรึ่บเดียวไม่ถึง 2 วินาที แล้วก็ดับสนิททั้งกระท่อมมน้อยปลายทุ่งนาขอฉัน Smiley (มันหน้านัก ฮึมๆ) พอเราเดินไปดู คุณแม่พี่เขายังใจดีชี้ไปที่เทียนไขที่เหลือน้อยนิด "เราก็บอกว่าไม่มีไฟแช๊ค/ขอที่จุดเทียน/ขอไฟด้วยค่า ใช้มันทุกคำพูดที่คิดว่าจะสื่อสารกันรู้เรื่อง แล้วก็แจ้งขอเทียนเพิ่มด้วยค่า" ระหว่างรอเทียน ไฟแช๊ค และอาหารเย็น ก็ต้องใช้แสงสว่างจากโทรศัพท์มือถือไปพลางๆ หนาวก็หนาว Smiley สักครู่คุณแม่ก็เดินมาพร้อมอุปกรณ์ดำรงชีพแบบพื้นบ้านตามที่เราขอไป (น่ารักที่สุด แต่...เทียนมันอันเท่านิ้วชี้ และยาวแค่ 3 นิ้วเอง จะจุดพอไหมเนี่ย Smiley (โถ...ชีวิตหญิงมิเคยลำเค็ญ เยี่ยงนี้มาก่อนเลย 555 ล้อเล่นจ๊ะ ขอบอกว่ามันสนุกมาก พ่อเราสอนให้อดทน ให้ลุยๆ แบบลูกทุ่งมาตั้งแต่เด็ก แค่นี้จิ๊บๆ ส่วนคนที่เรื่องมากกลับกลายเป็นคุณแฟนเรา ที่เป็นชายอกสามศอกแท้ๆ Smiley สงสัยจะเกิดมาสลับเพศกันมากกว่า) 

       อาหารมื้อเย็นท่ามกลางแสงเทียน (ไม่สามารถถ่ายรูปได้เพราะมันหิวมากจนลืมถ่ายรูป อิอิ) จำได้ว่าเป็นผัดผักเหมือนใส่น้ำมันหอย /แกงเลียงที่มีฟักทองเยอะ/น้ำพริกปลากระป๋อง/และผักอะไรก้ไม่รู้ที่เย็นๆ เหมือนบวบก็ไม่ใช่ แตงก็ไม่เชิงทานเข้าไปแล้วรสชาติจืดๆ แต่ชื่นใจดี   ยังดีนะที่คุณแฟนยังนึกขึ้นได้ว่าไม่มีน้ำเปล่าทานเลยขอคุณแม่ให้เอามาให้ (เดือดร้อนคนสูงวัยเดินไปเดินกลับ ทางก็มืดไม่มีไฟเลย สงสัยแกจะชินถิ่นตนเอง เดินไปได้โดยที่ไม่มีไฟฉายหรือเทียน (ความสามารถเฉพาะบุคคลห้ามลอกเลียนแบบ 555) คุณแม่กลับมาพร้่อมน้ำเปล่า 2 ขวด พร้อมแก้วอีก 6 ใบ (เออ...หนูมา 2 คนค่ะ เห็นใครมาด้วยอ่า Smiley) และที่สำคัญคุณแม่เอาไฟฉายแบบที่คาดหัวได้ ประมาณว่าไฟฉายส่องกบไรเงี่ย มาให้ด้วย 1 อัน รักคุณแม่พี่วิชัยจัง มีไฟแล้ววุ้ย จากนั้นเราก็เดินไปดูสวิตซ์ำไฟเจ้าปัญหา โอ้ว...แม่เจ้ามันเป็นแบบใช้แบตเตอร์รี่รถยนต์ขนาดใหญ่ต่อเอา มีสายไฟให้เสียบ มีกล่องบอกระดับไฟ 3 ระดับ คือ สูง/กลาง/ต่ำ (เรื่องแบบนี้พ่อไม่เคยสอนอ่า Smiley ช่างมันละกัน ดันดุรังต่อเองมันจะเสี่ยงต่อชีวิตและทรัพย์สิน  งั้นขอลงสำรวจห้องน้ำข้างกระท่อมน้อยก่อนเลย กะว่าจะอาบน้ำเพราะเน่ามากเดินทางปุเลง ปุเลงมาตลอด ปรากฏว่าห้องน้ำไม่มีไฟค่ะ ไม่มีจริงๆ ต้องจุดเทียนอาบ โรแมนติกชะมัด ให้คุณแฟนส่องไฟสำรวจทั่วห้องน้ำไม่มีตัวประหลาดไรอยู่เป็นใช่ได้ ขอเข้าไปอาบน้ำ ล้างหน้า แปรงฟันก่อนเหอะ เปิดก๊อกครั้งแรกนี่.....มือชาเลยอ่า น้ำเย็นมาก..กกกกก ยังกะเอาน้ำเย็นแช่น้ำแข็งก้อนมาราดมือ เอาพอประมาณละกัน ถ้าสระผมคงแข็งตายคาห้องน้ำก่อน แค่ชำระล้างส่วนที่สำคัญให้หายเหม็นเหงื่อ (เย็นจะตาย ยังคิดว่าเหงื่อจะออก บ้าไปแล้วกรู) แถมบังคับให้คุณแฟนยืนเฝ้าหน้าประตูห้องน้ำไว้ด้วย เผื่อมีไรฉันก็วิ่งหนีก่อน 5555




 เล่ามายาวยืดเอาเป็นว่าห้องน้ำสะอาด น่าจะสร้างขึ้นมาเพื่อให้นักท่องเที่ยวโดยเฉพาะ แต่ก่อนคงไม่มี หลังจากที่ไฟไม่มีเราก็ทำไรไม่ได้นอกจากนอนเก็บแรงไว้แว๊นขึ้นดอยอินทนนท์ตอนเช้า จะชาร์จแบตกล้องก็ไม่ได้ ดีนะที่เอาแบตสำรองไอโฟนไปด้วย เลยเล่นมือถือแทน สัญญาณอินเตอร์เน็ทน่ารักมากมีอยู่ไม่เกิน 3 ขึด Smiley แต่ก็ยังเล่นได้น่า ดีกว่าไม่มีเลย ช้่าแต่ชัวร์  มาดูบรรยากาศตอนเช้ากันดีกว่าค่า ตื่นมา 6.00 น. ฟ้ายังมืดสนิทอยู่เลย จะนั่งดูพระอาทิตย์ขึ้นซะหน่อย กว่าฟ้าจะเริ่มสว่างก็ปาไปอีก 15 นาทีจะ 7.00 น. แหละ


มองไม่เห็นพระอาทิตย์เลยค่ะ มีแต่หมอกและแสงส่องร่ำไร








นี่หน้าต่างห้องนอนเรา เท่ห์ม๊า ระบบไม้ค้ำยันเชียวนะ ฟ้าสว่างขึ้นมาก 

แต่หมอกยังหนาอยู่ อดเห็นพระอาทิตย์ยิ้มแฉ่งเลย




วิวแบบนี้ จะหาได้ไหมในกรุงเทพฯ ไม่มีค่ะ ไม่มี สวยที่สุด ลืมเมืองกรุงไปเลย คุณพี่วิชัยเดินเอากาแฟ โอวันติล น้ำร้อนมาให้เรา ก่อนทานอาหารเช้าจ้า มาสำรวจรอบๆ บ้านกันดีกว่า




มีป้ายทางขึ้นบ้านเขียนว่า "มาฉิโพ" แปลว่าคนทำนาจ้า

โล่ง โปร่ง สบาย กลางคืนหนาวมากๆๆๆ 



เบอร์ติดต่อคุณพี่วิชัยที่มีอยู่เบอร์เดียว 




ขึ้นบันไดมาก็เจอที่นังรับรองแขกแบบกันเอง



ที่นั่งนอกชานบ้าน หรือระเบียงบ้าน เรียกแบบเก๋ๆ อะนะ (ตรงลูกศรสีแดง คือบ้านคุณพี่วิชัย และครอบครัว พร้อมเพื่อบ้าน ญาติๆ เขาค่ะ น่าจะห่างจากที่เราพักประมาณ 1-2 กิโลได้ กลางคืนเดินมาแบบไม่มีไฟได้ไงอะ นับถือ)




วิวที่เห็นเมื่อมองจากหน้าระเบียงที่พัก สวยสุดๆ  สีออกน้ำตาล ทองๆ เหลืองอร่าม ไปทั่วท้องทุ่ง (ความจริงเราอยากเห็นต้นข้าวเขียวขจีในตอนหน้าฝนมากกว่า น่าจะสวยแบบรูปข้างบนที่โพสไว้ แต่ก็นะมาช่วงปีใหม่ข้าวออกร่วงท้องแก่หมดแล้ว ภาพที่เห็นเลยเป็นแบบนี้



แสงแดดค่อยๆ ไล่มาเรื่อยๆ ค่ะ



ภายในห้องนอนจ้า ไม่มีตัวไรแอบแฝง 




มองไปข้างบ้านมีที่กางเต้นท์ด้วยนะ




ซูมชัดๆ ให้คุณแฟนเดินสำรวจทั่วรอบบ้าน




ใต้ถุนก็ไป




ลงไปกลางทุ่งนาข้าวก็ไป เราไม่ไปค่ะเพราะเตรียมเก็บของเพื่อออกเดินทางต่อ และรออาหารเช้ามาเสริฟ์ 




แมงมุมชักใยกะต้นหญ้าน้อยๆ




เราเดินเล่นถ่ายบนบ้านพอ ไม่อยากลงไปเหยียบต้นข้าวที่เขาปลูกไว้ 




สวยได้ใจจริงๆ ที่เห็นขาวๆ นั่นไม่ใช่ก้อนเมฆนะจ๊ะ แต่เป็นทะเลหมอกหย่อมๆ




แดดเริ่มจ้าขึ้นละ




คุณแฟนขอเท่ห์กะเขามั่ง




Smiley หนาวจนเพี้ยนตาคนนี้




กระท่อม หรือเพิง ที่เห็นอยู่ไม่มีใครเปิดให้พักเลยค่ะ นอกจากของบ้านคุณพี่วิชัยคนเดียว (ตรงลูกศรสีแดงชี้ ไม่รู้ว่าพี่คนนั้นหอบฟาง หรือข้าวกันแน่ แต่ที่รู้ๆ คือแกเดินมาไกลมากผ่านหน้าที่พักเราไปถึงบ้านคุณพี่วิชัยเลย)




อาหารมื้อเช้า ฝีมือคุณแม่พี่วิชัยจ้า มีแกงจืดผักกาดใส่หมู รสชาติออกเปรี้ยวๆ เค็มๆ กำลังร้อนเลย /ไข่เจียว/ อีกสองถ้วยนั่นเป็นน้ำพริกไรก็ไม่รู้เราไม่ได้ทาน/และก็มีผักเหมือนฟักทองก็อร่อยดี  และที่สำคัญคุณแม่ตักข้าวมาให้เยอะมาๆ จนกินกันไม่หมด เสียดายของ แต่กลิ่นข้าวที่นี่จะมีลักษณะพิเศษจนเราจำกลิ่นได้ติดจมูกเลยละ เพราะมันไม่เหมือนข้าวสวยในกรุงเทพฯ ที่ไร้กลิ่น ข้าวสวยที่นี้จะไม่ร่วง ไม่ซุย ไม่เหนียวเกินไป จะนิ่มและเม็ดข้าวจะพองบานแตกออก (ลืมถ่ายรูปอีกละ) กลิ่นหอมแบบแปลกๆ หอมแบบกลิ่นเมล็ดข้าวเขียวๆ ไม่มีกลิ่นสาบนะ สงสัยจะปลูกเอง ผลิตเอง ตำเปลือกข้าวออกเองละมั้ง




ทานอาหารเสร็จ เราจะออกเดินทางกันต่อเวลาตอนนั้น 8.30 น. ละ (ตรงลูกศรชี้ ที่มีวงกลมสีส้ม นั่นคือประตูทางเข้าบ้านกระท่อมน้อยปลายนาของเราจ๊ะ 




ให้ตานี่ไปยืนเป็นพรีเซ็นเตอร์ก่อนเลย



จากหน้ารั้วไม้ตามภาพบน เมื่อมองตรงไปอีกทางยังมีคนขี่มอไซต์แบบเรา

 (ที่ไม่ใช่ Big Bike) เข้าไปด้วยละ เห็นมีป้ายบอกว่าไป "บ้านตีนผาป่าตึง"  ถ้าอยู่หลายวันว่าจะเดินไปสำรวจให้ทั่วสักหน่อย ครั้งหน้าละกัน




เราต้องเดินลงไปเอารถที่บ้านคุณแม่พี่วิชัยค่ะ แกบอกให้เราจอดไว้ที่นั่น (ความจริงมันมีทางที่เอามอไซต์ขับขึ้นไปถึงรั้วไม้หน้าทางเข้าบ้านได้ แต่คุณแม่คงอยากดูแลรถให้ เลยให้จอดไว้ที่หน้าบ้านแก แล้วให่เราเดินไปที่กระท่อมแทน) ระหว่างเดินลงขาแชะสักรูป แฟลชก็ไม่ได้ช่วยให้คุณแฟนขาวขึ้นเลย 555



เมื่อมองย้อนกลับไปตามทางที่เราเดินลงมา อืม...ไกลได้ใจเหมือนกัน ออกกำลังกายแต่เช้า เดินมาไกลเหงื่อไม่ออกเลย หนาวมาก

 (คงเพราะแบกเป้มาด้วย)





ถึงแยกก็จะมีป้ายบอกทางจ้า ขอสักรูปจะได้รู้ว่ามาจริง ไม่ได้โม้




เอากะเขาบ้าง ถึงจะเช้าแต่ก็ยังหนาวอยู่




พอหันไปฝั่งตรงข้ามป้ายที่เราถ่ายก็จะเจอป้ายนี่ค่ะ ทางที่จะไป  

"บ้านตีนผาป่าตึง" 




ก่อนจากขอเก็บภาพคุณแม่กับคุณพ่อพี่วิชัย เป็นที่ระลึกหน่อยละกันนะ (โดยเฉพาะคุณแม่ที่เมื่อวานเราถามว่าต้องออกจากบ้านพักก่อนกี่โมง คุณแม่ก็บอกว่า "เมื่อไหร่ก็ได้ ตามสบายเลย" ) อยากอยู่ต่อนานๆ อะนะ ไว้มีโอกาสเราจะกลับมาอีกแน่นอนค่ะ  ทุกคนที่นี้อัธยาศัยดีมาก (แต่คราวนี้จะมาหน้าฝน ค่อนดู 555 ) 

หมายเหตุ : 

1. ค่าที่พัก 1,000 บาท พร้อมอาหาร 2 มื้อที่นี่ไม่แพงเลยบรรยากาศก็ดี (ถ้าใครรักความสบายก้แนะนำให้กางเต็นท์นอน หรือไปที่อื่นดีกว่าค่ะ แล้วแต่ความชอบส่วนบุคคล)

2. ระยะทาง ไม่ไกลอย่างที่คิด ไม่ได้ลำบากขนาดต้องปีนป่ายไปตามทาง มันแค่เป็นถนนลูกรังแดง ที่มีหลุม มีบ่อบ้างก็เท่านั้น (แอบเห็นว่าบางช่วงมีการลาดยางแต่คงนานมากแล้ว เพราะกร่อนหมด จึงเป็นเหตุให้ทางขรุขระบางช่วง

3. ความปลอดภัย ณ สถานที่ที่ไกลปืนเที่ยงแบบนี้คุณคิดว่าจะมีโจรดั้นด้นมาขโมยของเพื่อ..... ถ้ามีจะคุ้มค่าน้ำมันรถไหมอะ ถ้ากลัวคนพื้นที่ขอบอกได้คำเดียวค่ะว่า ถ้าเราเข้าไปในเขตหมู้บ้านพวกเขา เขาจะมองหน้าเรา แบบว่าเป็นคนแปลกหน้านี่หว่า มาทำไรฟะ พอเขารู้จักเรา ว่าเรามาพักบ้านคุณพี่วิชัย ก็จะไม่มีใครสนใจเรา และยิ้มให้เราอย่างเป็นมิตร แถมยังช่วยอำนวยความสะดวกให้เราด้วย ถามอะไรก็ตอบหมดไม่มีกั๊ก เดินถ่ายรูปบ้านเขาก็ไม่ว่า (กรุงเทพฯ สิน่ากลัวกว่า หรือพวกถิ่นที่ความเจริญเริ่มครอบครองนั่นแหละตัวดีเลย) 

4. บ้านพัก หรือกระท่อมน้อยปลายนา ไม่มีอะไรน่ากลัวค่ะ ไม่มียุง ไม่มีแมลงใดๆ เลย (หรือมันหนาวจนแข็งตาย) มีแต่น้องควาย 5-7 ตัว ที่อยู่หน้าที่พักเราที่ทุ่งนาข้าว ชาวบ้านเขาก้ปล่อยมันไว้แบบนั่น ไม่มีกรงขัง หน้าต่าง/ประตูมีกลอนให้ล๊อคจากข้างในจ้า ไฟฟ้า/แสงสว่างมีใช้ (ถ้าเราต่อเป็น 555) น้ำประปา เห็นมีท่อสีฟ้าต่อลงมาจากยอดเขาที่มีลำธาร มีน้ำตกด้วย น้ำใส ไม่มีกลิ่นเหม็น และที่สำคัญไม่มีกลิ่นคลอรีนแบบเมืองกรุง

**** ที่นี่ไม่มีอะไรให้กลัว นอกจากกลัวไปเอง เพราะเราเคยชิน เคยอยู่กับความสบาย แต่ ณ ตอนที่เราไปอยู่นั่น สิ่งที่เรากลัวมากที่สุดคือ.....เรากลัวใจตัวเองค่ะ......เราหลงนรักที่นี้เข้าแล้ว (ตั้งแต่ยังไม่ได้มาด้วยซ้ำ พอมาสัมผัสจริงยิ่งหลงใหล ชีวิตความเป็นอยู่แบบง่ายๆ สัมถะ ปราศจากสิ่งยั่วยุต่างๆ *****



ระหว่างเลี้ยวออกจากบ้านพี่วิชัยคุณแฟนสนใจการมุงหลังคาของบ้านหลังนี้ 

จึงแชะภาพไว้เป็นที่ระลึก




ภูมิปัญญาท้องถิ่นจริงๆ (สงสัยเหมือนกันว่า ถ้าฝนตกมันจะเอาอยู่เหรอ 

แต่ก็ไม่ได้ถามแหะ)




ติดตามต่อตอนที่ 4. นะจ๊ะ เราจะพิชิตยอดดอยอินทนนท์กัน

ด้วยรถมอไซต์แบบชาวบ้านที่ไม่ใช่ Big Bike นี่ละ




Create Date : 09 มกราคม 2557
Last Update : 29 มกราคม 2557 15:27:30 น.
Counter : 4652 Pageviews.

1 comments
ร้อนนี้ชวนเที่ยว ออบขาน เชียงใหม่ สมาชิกหมายเลข 4313444
(11 เม.ย. 2567 08:07:33 น.)
สักการะองค์พญานาคใหญ่ที่สุดในไทย วัดถ้ำแจง เพชรบุรี นายแว่นขยันเที่ยว
(8 เม.ย. 2567 12:34:14 น.)
ถนนสายนี้..มีตะพาบ ( 349) วันใดที่เธอรู้สึกเหมือนไม่มีใคร peeamp
(8 เม.ย. 2567 12:38:27 น.)
ตะวันยอแสง ที่ ภูคกงิ้ว พายุสุริยะ
(7 เม.ย. 2567 18:27:17 น.)
  
น่าไปมากเลยค่ะ ขอเข้ามาเก็บข้อมูลหน่อยนะคะ
โดย: ิีิbubu IP: 203.146.145.146 วันที่: 27 ตุลาคม 2557 เวลา:16:33:08 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Emilia0412.BlogGang.com

Emmy Journey พากิน พาเที่ยว
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 9 คน [?]

บทความทั้งหมด