ความในใจที่อยากระบายออก ออกจากโรงพยาบาลมาได้ 6 สัปดาห์แล้ว เต็มไปด้วยเรื่องราว เพิ่งมีเวลามานั่งทบทวนตัวเอง 3 - 4 เดือนที่ผ่านมา ต้องยอมรับว่าบกพร่องในหน้าที่ไปมากมายหลายเรื่อง เพราะในสมองไม่โล่งไม่โปร่ง คิดหลายเรื่องวนไป จนบางครั้งถึงกับถามตัวเองว่า "เอ้ยนี่เราใกล้บ้าแล้วใช่ไหม" ปัญหาครอบครัวเรื่องใหญ่มาก เพราะมันดึงเอาความสุขไปจากความรู้สึก หลายครั้ง มันรู้สึกว่างเปล่า เศร้า สิ้นหวัง จากข้างในลึกๆ เมื่อก่อน ครอบครัวเป็นครอบครัวใหญ่ รักใครกลมเกลียวกันดีมาก ทำอะไรทำด้วยกัน ไปไหนไปกัน หัวเราะด้วยกัน มีอะไรก็แบ่งปันกัน มีแต่เรื่องสนุกเรื่องดีดี มีเหตุให้แตกแยกกันเพราะเงินตัวเดียว ตากับยาย มีลูก 4 คน - ลูกสาว 1 ลูกชาย 3 แม่เป็นลูกสาวคนเดียวและเป็นคนโต ตากับยายจึงไว้วางใจให้เก็บเงิน แม่ก็เป็นคนซื่อๆ พ่อกับแม่ตัวเองบอกให้ทำอะไรทำตามนั้น เก็บเงินเก่ง ประหยัดมาก แม่ไม่ได้เรียนจบสูงเท่าน้องชาย เพราะมีปัญหาทางการเรียน เป็น learning disorder แม่ตอน 5 ขวบเคยป่วยเป็นไอกรนจนชัก จึงมีพัฒนาการทางความคิด ช้ากว่าปกติ หลาย หลายปีก่อน ตากับยายขายที่ดินส่วนหนึ่ง ได้เงิน 300,000 บาท (ปี 2005)และ 1,000,000 บาท (ปี 2011) ตากับยายไม่มีเงินเดือน ไม่มีอาชีพ ไม่มีเงินบำนาญ แต่มีที่ดินที่เป็นมรดกจากตาทวดที่มีไว้สำหรับทำนาทำสวน ในส่วนของที่ดินที่เป็นที่นา ได้แบ่งเป็นมรดกให้ลูกทุกคนเท่าเทียม ลูกชายได้เท่ากันทุกคน ลูกสาวได้มากกว่าเล็กน้อย และส่วนที่เหลือเพียงเล็กน้อยได้แบ่งขายไปข้างต้น เงินที่ได้จากการขายที่ครั้งที่2 ตากับยายแบ่งเงินสดให้ลูกๆ ไปใช้เล็กน้อย (ลูกชาย 3 คน ได้คนละ 50,000บาท ลูกสาวได้ 100,000บาท)) และนำเงินทำบุญทอดกฐิน 2 ครั้ง ครั้งละ 100,000 บาท (รวม 200,000บาท) ทำบุญสร้างโบสถ์สมทบไปร่วม 200,000บาท และใช้จ่ายในชีวิตประจำวันเรื่อยมา ลูกๆ คนอื่นๆไม่ได้ส่งเงินให้ตายาย แต่มีมาขอยืมเงินตายายบ่อยๆ เพราะเงินไม่พอใช้ ตอนตากับยายเสียชีวิตก็นำเงินนั้นใช้ในการจัดงานศพ ลูกหลานไม่ต้องออกเงินให้ลำบาก แต่มันมีปัญหาที่ว่า ลูกบางคนมองว่า เงินของพ่อแม่นั้น ตนควรจะได้ส่วนแบ่งด้วย เมื่อพ่อแม่ขายที่ดินแต่ไม่แบ่งให้ จึงมีบางคนน้อยใจ และโกรธพ่อกับแม่ตนเอง เงินก้อนที่เหลือสุดท้าย ตอนยายมีชีวิตอยู่ ราว ๆ 6 แสนบาท แม่ตัดสินใจใช้เงินส่วนนั้นสร้างบ้านหลังเล็กๆ เพื่อหวังให้ยายกับตาอยู่อาศัยช่วงสุดท้ายของชีวิต แต่ระหว่างต่อรองแบบบ้าน ตาก็ด่วนจากไปเสียก่อน โครงการบ้านเล็กยังดำเนินต่อไป ใช้เงินในการสร้างบ้านใหม่ขนาด 57 ตรม. รวมราวๆ 7 แสนบาท โดยยายได้อยู่บ้านนั้น 1 ปี ก่อนจากไปอีกคน มีพี่น้องบางคน มองว่าแม่ฮุบสมบัติ ทั้งที่จริง ทรัพย์สินทุกอย่างยายจัดการถ่ายโอนให้ลูกๆไปทั้งหมด และโอนกรรมสิทธิ์ให้แม่ทั้งหมดตั้งแต่ยังมีชีวิตอยู่และสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ ในส่วนของแม่จะได้มากกว่าเพราะ 1) แม่ไม่ได้เรียนหนังสือเท่าพี่น้องคนอื่น 2) แม่ไม่มีอาชีพ ไม่มีรายได้ประจำ ไม่มีเงินบำนาญ 3) แม่ดูแลตากับยาย 4) แม่เป็นลูกสาวคนโตและลูกสาวคนเดียวของตากับยาย ญาติบางคนก็มองว่าตากับยายไม่ยุติธรรม หากพวกเขาทำอะไรตากับยายไม่ได้ ด้วยเหตุที่กล่าวมา ความชิงชังทั้งหมดจึงโถมลงที่แม่ และแม่ก็เครียด เพราะไม่รู้จะทำอย่างไรให้ทุกคนพอใจ อารมณ์เหมือนละคร "เลือดข้นคนจาง" ไม่มีผิด วันดีคืนดีก็เดินมาหาเรื่อง ถึงขั้นลงไม้ลงมือตบตีแม่ ด่าทอ ดูถูกสาระพัด เราผู้เป็นลูกบอกได้คำเดียวว่าช้ำใจกับการกระทำของญาติซึ่งเป็นพี่น้องร่วมสายเลือดของแม่มาก ทำอะไรไม่ได้ นอกจากหาวิธีแก้ไขตามกรณีไป หากล้องวงจรปิดมาติดตั้งที่บ้าน เพื่อบันทึกพฤติกรรมของญาติๆเวลาเข้ามาระรานแม่ อยากพาแม่ย้ายหนีจากตรงนั้น ทำไม่ได้... แม่ก็ว่า... ที่นี่บ้านแม่ แม่คุ้นเคยกับที่นี่ มีเพื่อนๆอยู่ที่นี่ หมาแมวจะอยู่ยังไง ลูกชายก็ห่วง (พี่ชายเราเอง) ไม่พร้อมที่จะไปเริ่มต้นใหม่ที่ไหน ตอนนี้แม่มีปัญหาสายตา ต้อหินฉับพลัน ตาบอดข้างขวา เหลือตาข้างเดียว แต่แม่ก็ยังยึดมั่นที่จะอยู่ที่บ้านต่อไป ฉะนี้ จึงได้แต่เครียด และปลง.... ส่วนพี่ชาย นับวันสติสัมปชัญญะเริ่มถดถอยเพราะสุราและยาเสพติดที่กระหน่ำทุกๆวัน การงานไม่ใส่ใจ แต่ก็ไม่ได้ช่วยประหยัด เพราะถึงไม่ได้หาเงินเอง แต่ก็ใช้เงินของคนอื่น (แม่) เก่งมาก เลี้ยงเพื่อนทุกคน เปย์ให้กับทุกคน กินเหล้ามีกับแกล้มเลี้ยงเพื่อนทุกวัน ค้างจ่ายทุกร้านค้า และเริ่มมีอาการหลอน หลงผิดว่าจะมีคนมาทำร้ายตนเอง ..... แก้ปัญหาไม่ได้... บางครั้งรู้สึกท้อจากข้างใน เพราะผิดหวังกับความสัมพันธ์ภายในครอบครัว ความรักใคร่สามัคคี หายไปไหน ไม่คิดว่าความชิงชัง ความริษยา ความโลภ มันจะมากมาย และบ่อนทำลายมิตรภาพสายใยรักได้มากขนาดนี้ ทุกวันนี้ มาทำงานแบบแยกร่างแทบไม่ได้ ในสมองเต็มไปด้วยปัญหาต่างๆ นานา การงานเริ่มไม่มีประสิทธิภาพ 2 สัปดาห์ที่แล้ว ทำงานพลาดไม่น่าให้อภัย จิตใจก็เหม่อลอย น้ำตาไหลไม่รู้ตัว เศร้าท้อ เหนื่อย เพลีย ไม่รู้จะแก้ไขปัญหาอะไร/อันไหนก่อน สู้เฉพาะหน้าไปวันๆ บางทีคิดว่า ถ้าป่วยและตายไปเสียเลย ก็น่าจะหมดทุกข์หมดโศก แต่พอคิดถึงแม่ ก็กลับมาฮึดใหม่ เท่าที่ไหว ที่ผ่านมาป่วย 6 ปี อยู่มาได้เพราะมี "แม่" คิดกับตัวเองตลอดว่า ถ้าไม่มีแม่แล้ว จะปล่อยตามธรรมชาติ ไม่ขนขวายหาทางรักษาใดๆ ให้เหนื่อย ให้เจ็บทรมาน แค่ปล่อยให้ร่างกายเสื่อมสังขารไปตามโรคภัยนั้นๆ ไม่ทุกข์ ไม่ร้อนหรือหนาว ไม่กังวล ไม่เศร้า ไม่เครียด ใจอยากเสกใบไม้ให้เป็นเงิน หรือต้องมีเงินมากๆ จะได้แก้ปัญหาทุกอย่าง แต่ถึงตรงนี้ ก็มองหาหนทางข้างหน้าไม่เจอเลยจริงๆ ได้แต่มองแค่เรื่องตรงหน้า เฉพาะปัจจุบันตรงหน้า ไม่คาดหวังกับสิ่งใด สู้ไปวันวัน
ขอให้ธรรมะ ความดีที่ทำ ช่วยให้เหตุการณ์ดีขึ้นด้วยครับ
โดย: ปัญญา Dh วันที่: 6 ธันวาคม 2565 เวลา:21:37:46 น.
คุณแม่คือรักแท้ คือกำลังใจที่ยิ่งใหญ่นะคะ ขอให้ทุกปัญหาคลี่คลาย ส่งกำลังใจให้คุณหน่อยค่ะ โดย: Sweet_pills วันที่: 7 ธันวาคม 2565 เวลา:0:39:44 น.
แนะนำให้โอนทรัพย์สมบัติและเงินของแม่มาเก็บไว้ที่คุณเดหลีดีกว่า
เพราะดูจากพฤติกรรมของพี่ชายแล้วไน่นานคงผลาญหมดแน่ แถมยังเป็นประเด็นให้ลุงๆ อาๆ เอาไปนินทาว่าผลาญทรัพย์อีกจ้า โดย: หอมกร วันที่: 7 ธันวาคม 2565 เวลา:8:12:28 น.
ขอบคุณคุณหน่อยที่แวะชมเมนูบ้านต๋านะคะ
คุณหน่อยนอนหลับฝันดีคืนนี้ค่ะ โดย: Sweet_pills วันที่: 8 ธันวาคม 2565 เวลา:0:34:00 น.
ขอให้สุขภาพคุณเดหลังสมบูรณ์
กระเตื้องขึ้นโดยเร็ววัร เพื่อเป็นกำลังสำคัญสำหรับคุณแม่ต่อไป เป็นกำลังใจค่ะ โดย: เริงฤดีนะ วันที่: 9 ธันวาคม 2565 เวลา:12:33:59 น.
|
บทความทั้งหมด
|