เมื่อวานซืน ต้องบอกลาเพื่อนสนิทอีกคน คนที่ครั้งหนึ่ง เราเกลียดมันฉิบเป๋งเลย..
“มันไม่เคยมากรุงเทพฯ ฝากด้วยนะ” นั่นเป็นคำสั่งเสีย เง้อ! คำฝากฝังจากโซเร็น เพื่อนชาวเดนมาร์ก ที่ได้ย้ายตูดขาว ๆ ไปลัลล้าอยู่อังกอร์วัดเป็นที่เรียบร้อยแล้วในขณะนั้น เออ ฝาก ก็ฝากวะ เต็มที่ก็พาไปเข้าวัดเข้าวา นั่งเรือเที่ยว

“ผมไม่ชอบกรุงเทพ” ผู้ชายตัวสูงชะลูด ผอมสลิม ในวัยยี่สิบต้น ๆ พูดใส่หน้าเราหน้าตาเฉย นี่เหรอฟระ เพื่อนเอ็ง แหม น่าคบจริงๆ คนนี้แหละ แอนนัส จอมมหากาฬสุดยอดแห่งคนเอาใจยากที่สุดคนหนึ่งของโลก กินเนสบุ๊คน่าจะมีบันทึกไว้ให้รู้แล้วรู้รอดไป

เรายังยืนอึ้งอยู่ที่เดิม ตาปริบๆ
“ไม่รู้ซิ ผมไม่รู้สึกรีแลกซ์เลย เวลาที่อยู่กรุงเทพฯ พรุ่งนี้ว่าจะไปแล้วล่ะ” เออ ไปก็ไป ไปที่ชอบ ๆ เถอะพ่อ..
“แล้วจะไปยังไงล่ะ”
“ผมอยากซื้อมอไซค์ซักคัน จะขี่ขึ้นไปเชียงใหม่” จะบ้าเรอะ ไปถูกเหรอนั่นน่ะ แล้วมอไซค์สกุ๊ตเตอร์จ่าบกับข้าวกะหนุงกะหนิงนี่นะ ริอ่านจะขี่ขึ้นเชียงใหม่ จะพ้นอยุธยาหรือเปล่าเหอะมรึง แหม๊...

แต่จนแล้วจนรอด แอนนัสก็ไม่ได้ซื้อมอเตอร์ไซค์อย่างที่หวังไว้ เพราะถูกเราจับขึ้นรถไฟแทน
“ทำไมไม่ไปรถนอน เที่ยวกลางคืนล่ะ ถึงเชียงใหม่เช้าพอดี” เราถามด้วยความงงงวย เมื่อหมอนี่บอกว่า อยากจะไปรถเที่ยวเช้า แล้วไปแวะลงที่เมืองไหนก็ได้กลางทางก่อนที่จะจับรถอีกขบวนต่อไปเชียงใหม่
“ใคร ๆ ก็ไป กรุงเทพฯ เชียงใหม่ ภูเก็ต น่าเบื่อจะตาย ผมอยากไปที่ที่ทัวร์ริสต์ไปกันน้อย ๆ บ้างอ่ะ เอามันส์”

เราเลยบอกให้มันไปลงลพบุรี

“แน่ใจนะว่าอยากลงอ่ะ มีแต่ลิง ไม่มีอะไรอลังการหรอกนะ”
”แน่ๆๆ”

แล้วมันก็ไปลงลพบุรีจริง ๆ

วันเดียวกันนั้น เราออนไลน์ MSN เห็นชื่อแอนนัสก็เลยทักว่าเป็นไงบ้าง
”โคตรเบื่อเลย” อ้าว
”มีแต่ลิง” ก็ชั้นบอกแกแล้วววววววววววว....




จากนั้นประมาณหนึ่งอาทิตย์ เราต้องไปเจอแอนนัสที่เชียงใหม่ เพื่อเดินทางไปลาวพร้อมกัน เพราะนัดโซเร็นไว้ที่หลวงพระบาง (เป็นการนัดเจอที่ไกลที่สุดเท่าที่เคยนัดใครมาในชีวิตนี้เลยนะนั่น ไม่ได้นัดเจอสยาม ไม่ได้นัดสะพานควายนะ เฮ้ย เจอกันหลวงพระบาง)

โชคชะตาเล่นตลกอีกแล้ว เรารู้ว่าถ้าไปกับแอนนัสสองคน ต้องกร่อยแน่นอน เราเลยถามเพื่อนอีกคนซึ่งเป็นลูกครึ่งมาเลย์-อังกฤษ ชื่อ “ร็อบ” ว่าอยากไปด้วยไหม เรากับร็อบเพิ่งรู้จักกันประมาณ 3 วัน เราก็ถามไปตามมารยาทงั้นแหละ ตอนที่ร็อบถามว่ามีแผนไปไหนป่าว
”ไปลาว อีก 3 วันเนี่ยจะไปและ”
“อ๋อๆ..” แล้วก็เงียบกันไปครึ่งนาที
“เออ...ไปมะ สนใจไปด้วยกันป่ะ ไปได้นะ” ร็อบใช้เวลาคิด 3 วินาที
”ชัวร์!! พรุ่งนี้ทำวีซ่าโลด!”

นั่นเป็นที่มาของร็อบ..

เราเลยไปเจอแอนนัสที่เชียงใหม่ ร็อบเป็นคนสูบบุหรี่จัด ส่วนแอนนัส เป็นคนบ้ากีฬาทุกประเภท ตอนแรกเรานึกว่าเค้าเรียนเอกชีววิทยาเหมือนโซเร็น (เพราะโซเร็นบอกว่าเป็นเพื่อนในชั้นเรียนที่มหาลัย.. แต่มารู้ทีหลังว่าแอนนัสเรียนเอกวิทยาศาสตร์การกีฬา แต่โทชีวะฯ ก็โทมันไปงั้น ๆ เพราะต้องใช้เวลาเรียนจบไปเป็นครู)

”ใครสูบบุหรี่ในห้อง” แอนนัสเพิ่งกลับมาจากวิ่งออกกำลังกายประจำวัน เหงื่อโทรม ยืนทำจมูกฟุดฟิดอยู่ในห้องแบบ dorm ที่เราแชร์กัน 3 คน (มี 4 เตียงใน 1 ห้อง)
“เอ้อ ผมเองอ่ะ เพื่อน ขอโทษๆๆๆๆ มันเคยชิน” ร็อบตกใจจริงๆ เพราะลืมไปสนิทว่าห้องนี้ยังมีคนไม่สูบบุหรี่อยู่คนนึง แล้วแอนนัสก็เดินบ่มพึมพำออกจากห้องไป

เราออกไปนั่งกินข้าวกับร็อบที่บริเวณที่เกสต์เฮาส์เค้าจัดไว้สำหรับเป็นร้านอาหารเล็ก ๆ ก็ติด ๆ กันกับห้องที่เราพักนั่นแหละ กินอิ่ม กำลังนั่งเรอกันอยู่ แอนนัสก็โผล่มามีผ้าเช็ดตัวพันเอวอยู่ผืนเดียว
”เฮ้ย”
“ฮึ??” เรากับร็อบได้งงอีกรอบ
“พวกยูล็อกห้องกันหรือเปล่าน่ะ ออกมานี่น่ะ”
”เอ่อออ...เปล่า...”
“คราวหลังล็อกด้วยซิ! ในนั้นน่ะมีแต่ของมีค่าทั้งนั้นรู้มั้ย??”

นั่นคือที่เชียงราย..

ที่เชียงใหม่เราก็โดนแอนนัสดุกันมาแล้วถ้วนหน้า
“You guys, จากตรงนี้ไป ห้าม! สูบบุหรี่เด็ดขาด ผมเหม็นควัน” เออก็จริงของมัน แต่บอกกันดี ๆ ก็ได้นี่หว่า คนอะไร ดุโคตร

ตลอดเวลา 4 วันที่เราอยู่ด้วยกันเกือบจะตลอดเวลา ยกเว้นแต่ตอนเข้าส้วม ยิ่งบนเรือช้าแล้วยิ่งไม่มีทางเลือกเลย เพราะไปไหนไม่ได้ ติดอยู่ด้วยกันบนเรือตั้งแต่เช้ายันเย็น จนมาถึงปากแบ่ง กลางทางระหว่างเชียงของ กับ หลวงพระบาง เราก็เดินหาเกสท์เฮาส์เองคนเดียว โดยไม่ได้ถามใครว่าจะพักที่ไหนกัน เพราะไม่อยากให้คิดว่าเราไม่สามารถพึ่งตัวเองได้ หรือเป็นผู้หญิงตัดสินใจเองไม่เป็น

เราได้เกสต์เฮาส์ราคาคืนละ 100 บาท ห้องก็สะอาดพอ ห้องน้ำรวม ร็อบนั้นพักที่เกสต์เฮาส์ติด ๆ กันนั่นแหละ เราวางของในห้องเรียบร้อยก็ออกมาข้างนอก รอสองหนุ่มว่าเมื่อไหร่จะเสร็จจะได้ออกไปกินข้าวกัน แล้วเราก็ยังเห็นแอนนัสเดินแบกเป้ไปมาอยู่
”ผึ้ง ได้ห้องแล้วเหรอ”
”อื้อ คืนละ 100”
“เป็นไงบ้าง”
“ก็โอเคนะ” แอนนัสยืนหันไปหันมา เหมือนจะถามอะไร แต่ไม่ถาม
”ถ้าเธอยังไม่ได้ตัดสินใจพักที่ไหน จะแชร์ห้องกันก็ได้นะ มันมีสองเตียง เราไม่ถืออ่ะ”
”แหม!!! กำลังจะถามพอดีเชี๊ยว!!!” แล้วแอนนัสก็มาแชร์ห้องกับเรา แล้วเราก็แทบจะไม่ได้คุยอะไรกันเลย ต่างคนต่างอ่านหนังสือของตัวเอง เราง่วงเลยขอนอนก่อน แอนนัสอ่านหนังสือจนไม่มีไฟฟ้าจะให้อ่าน (ที่นั่นไฟดับสี่ทุ่ม) ก็ยังอุตส่าห์จุดเทียนอ่านต่อ! อะไรมันจะสนุกขนาดนั้น ถ้าไฟไหม้มุ้งนะมรึ๊งงงง...

เมื่อมาถึงหลวงพระบาง ได้เจอเพื่อนเก่าของเราทั้งคู่ “โซเร็น” ก็ออกอาการระริกระรี้กันใหญ่ เพราะคราวนี้ครบแก๊งค์ แต่บางทีเราก็แยกกันไปนู่นไปนี่เหมือนกัน ส่วนมากเราจะไปกับร็อบ เพราะมันเพื่อนเรานี่ ส่วนโซเร็นไปกับแอนนัส แต่ในที่สุดแล้วก็กลับมากินข้าวเย็น ออกไปกินเบียร์ด้วยกันครบ 4 คนทุกวัน

ทริปในลาวเป็นไปได้ด้วยดี ถึงแม้แอนนัสจะทำตัวน่ารำคาญในสายตาของเพื่อน ๆ บ้างบางที แต่ก็ไม่มีใครถือสา (มีแต่เรานี่แหละที่แอบเกลียดมันเงียบ ๆ) วันที่จี๊ดขึ้นมาเลยคงเป็นวันที่แอนนัสประกาศว่า
”ผมไม่อยากกินอาหารเอเชีย” คือ ถ้าอยู่กรุงเทพฯก็ว่าไปอย่าง อีนี่ พูดตอนอยู่ที่ “บ้านน้ำเนิน” ที่ใดซักแห่งในเขตโพนสะหวัน ภาคเหนือของ สปป. ลาว!

แล้วพยายามให้เราถามจากชาวบ้านแถวนั้นว่ามีแซนด์วิชขายป่าว (ข้าวจี่ บาแก็ตต์ แล้วแต่จะเรียก) แต่หมู่บ้านนั้นมันเล็กโคตร หามาม่า หรือ เฝอกินได้ก็หรูแล้วโว้ย

”แล้วมันจะกินอะไรของมันวะ” โซเร็นเองยังทนเพื่อนตัวเองไม่ได้

มารู้ตอนหลังว่า แอนนัสไปกิน Papaya salad เพราะนึกว่ามันจะเหมือนสลัดแถวบ้านตัวเอง แต่มันคือ ส้มตำนี่แหละ นั่นมันฮาร์ดคอว่ากินเฝออีกน่ะนั่นน่ะ แต่เห็นสภาพแอนนัสหน้าแดงเป็นไฟแดงสี่แยก กินน้ำหมดเป็นลิตร ๆ แล้วก็อดสมน้ำหน้าไม่ได้ เชอะ ไงล่ะ ไม่กินอาหารเอเชีย กร๊ากกกกกกกกกกกกกกก!!!

แล้ววันนั้นก็เป็นวันนรกที่สุดในทริปนี้ เราสามคนไปติดแหง็กอยู่ที่ “สามแยก” ที่ไม่มีอะไรเลย รถบัสมาปล่อยเราลงตรงนี้ เพราะแอนนัสผู้วางแผนการทั้งหมดคิดว่า เราควรจะไปเมืองเวียงทอง (เมืองเฮี้ยม) กันก่อนจะไปหนองเขียว แต่รถที่จะไปเมืองนั้น มันผ่านที่สามแยกเท่านั้น หมายถึงว่าเราต้องไปนั่งรอรถ แบบไม่รู้ชะตากรรม
”เฮ้ย เดี๋ยวรถก็มา” แอนนัสยังคงเชื่ออย่างนั้น แต่เวลาผ่านไป จากบ่ายโมง เป็นบ่ายสอง เป็นบ่ายสาม และ สี่โมงเย็น..จนเราคิดกระทั่งจะโบกรถเทรลเลอร์ที่ส่งเบียร์ลาวไปลงที่ไหนก็ได้ แต่เค้าดันไปคนละทางกับที่เราจะไปเลยต้องติดอยู่ที่นั่นกันต่อ

”เป็นไงละมึง ทำไงล่ะคราวนี้” โซเร็นพูดไปขำไปในชะตากรรมของตัวเอง

แล้วเราก็ได้ติดอยู่ที่นั่นจริง ๆ คืนนึง หมู่บ้านที่ไม่มีอะไรเลย หมู่บ้านที่ตั้งอยู่ริมทางหลวงสายหนึ่งของโพนสะหวัน ทางหลวงที่นาน น๊านนนน จะมีรถผ่านมาซักคัน แต่มีร้านที่เราพอจะหาซื้อเครื่องดื่ม ขนมขบเคี้ยวได้ ก็ร้านโชว์ห่วยนี่แหละ วันนั้นเรากับโซเร็นเลยซัดเบียร์กันเข้าไปเต็ม ๆ เพราะมันไม่มีอะไรทำ แล้วมีคนลาวนั่งกินเบียร์กันอยู่แล้ว 3-4คน แถมสาวใหญ่เจ้าของร้านก็คอแข็งเป็นบ้า เลยรู้สึกว่า เฮ่ย ยอมไม่ได้ว้อย

ผล.. โซเร็นเมากระทั่งไปนั่งกอดหมาขี้เรื้อนอยู่กลางถนน โอ๋ ๆๆ หมาน่ารัก
เราถึงขั้นเดินชนข้างฝาตอนไปห้องน้ำ แถมไม่ยอมกลับเข้าไปนั่งเก้าอี้ด้วย แต่กลับนั่งกอดเสาอยู่หน้าร้านแทน (ตอนนั้นก็รู้ตัวนะ แต่ไม่รู้ทำไปทำไมเหมือนกัน มันเหมือน ต้องหาอะไรเกาะ กลัวหล่นจากโลก รู้สึกไม่ค่อยมั่นคง โลกมันเอียง ๆ อะไรประมาณนั้น) เริ่มมืดแล้ว โซเร็นเอาหัวโหม่งโต๊ะดังโครม คิดดูว่าเมาขนาดไหน ทั้ง ๆ ที่ปรกติหมอนี่เป็นคนกินเบียร์ดุมาก เคยเข้าโรงพยาบาลที่เดนมาร์กตอนรับน้องที่มหาลัย เพราะกินเบียร์เข้าไปหลายสิบขวดแล้วไม่ยอมอ้วกออกมา หมอบอกว่าถ้ามาโรงบาลช้ากว่านี้ ตายชัวร์

เรานึกแล้วสยอง ถ้ามันตายที่นี่ล่ะ กรูจะทำยังไง ไม่ได้การ เอามันกลับไปนอนที่ห้องดีกว่า (เราได้ห้องพักแบบที่ชาวบ้านเค้าเอาไม้มากั้นเป็นห้องง่าย ๆ ข้างในมีฟูก 4-5 ผืน รวมกับกะละมังใส่เมล็ดพืช กระสอบใส่อะไรไม่รู้เต็มไปหมด แต่ก็นอนได้.. คืนละ 40 บาท!)

แล้วสิ่งที่เราไม่ได้คาดว่าจะเกิดกับเราในลาว มันก็เกิดที่นี่ คนลาวที่นั่งกินเบียร์อยู่ด้วยกัน เห็นว่าโซเร็นเมามาก จะเดินยังไม่ไหว เราประคองกลับมายังเดินล้ม เดินล้ม หมอนั่นเลยเข้ามาทำทีว่าจะเข้ามาช่วย แต่เปล่า มันเข้ามาลวนลามเรา แถมมันมากัน 3 คนด้วย แต่อีกสองคนยืนอยู่ห่าง ๆ

ตอนนั้นเราคิดในใจ ที่นี่ที่ไหนก็ไม่รู้ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น ไม่มีใครรู้เห็นแน่นอน ทำยังไงดีๆๆๆๆๆๆ!!!

เราพาโซเร็นกลับมาที่ห้องจนได้ ด้วยความทุลักทุเลสุด ๆ ไอ้บ้านั่นมันตามเข้ามาถึงห้อง!!! เราทั้งผลักทั้งขอร้องมันก็ยังพยายามลวนลาม เราตกใจสุด ๆ

แอนนัส...

เรานึกขึ้นได้ว่าแอนนัสขอตัวไปนอนนานแล้ว เพราะวันนั้นไม่ค่อยอยากกินเบียร์ เราเลยรวบรวมสติแล้วผลักไอ้เชี่ยนั่นออกไปแล้วตะโกนสุดเสียง
”แอนนัสสสสส!!!!!แอนนัสสสสส..!!!!! ช่วยด้วย!!!” ไอ้เวรนั่นชะงักไปพักหนึ่ง พอเห็นแอนนัสวิ่งออกมาจากห้อง มันก็รีบวิ่งหนีไป!

เราหมดสภาพ.. หายเมา ตกใจ สติแตก หลอน หวาดระแวง ทุกอย่าง ไม่รู้จะอธิบายยังไง ได้แต่นั่งร้องไห้โฮๆ แอนนัสถลาเข้ามากอด ทั้งกอดทั้งปลอบ แล้วก็ลูบหัวเรา ปากก็พูดซ้ำไปซ้ำมาว่า โธ่เอ๊ย.. ผมนี่มัน... ผมไม่น่าปล่อยเธอไว้เลย ไม่น่าเลย ไม่น่าปล่อยเธอไว้กับพวกนั้นเลยจริง ๆ

เราพยายามตั้งสติแล้วบอกให้แอนนัสรีบออกไปจดทะเบียนกระบะคันสีบรอนซ์คันนั้น คันที่ไอ้เวรนั่นมันขับมา แต่พอออกไปมันก็หายไปแล้ว ทั้งคนทั้งรถ

เรารู้ตัวอีกที ก็รู้ว่าตัวเองนั่งกอดกระเป๋าเป้ใบใหญ่ของแอนนัสอยู่ กอดไปร้องไห้ไป แบบขวัญกระเจิงมาก ๆ สภาพเราตอนนั้นมันคงดูไม่ได้เอาเลย แอนนัสมานั่งลงข้าง ๆ
“ไม่เป็นไรแล้ว มันไปแล้ว..” เราเห็นเค้าน้ำตาซึม ๆ ไปกับเราด้วย
“ไปนอนเถอะ นะ.. พยายามนอนให้หลับ.. พรุ่งนี้เราจะไปจากที่นี่แต่เช้า ผมสัญญาเลย ผึ้ง ฟังอยู่เปล่า? มา นี่ มีเตียงอีกเตียงใกล้ ๆ ที่ผมนอน เธอย้ายมานอนที่นี่ละกัน” เราเลยย้ายไปนอนตรงนั้น แต่ก็นอนไม่หลับ ยังตกใจไม่หาย เลยนอนไปสะอื้นไป ตอนนั้นมันคงน่าอนาถมากจริง ๆ

“ผึ้ง..”
”ฮึ?... “ เรายังสะอื้นไม่หยุด
”ชอบฝนมั้ย..?”
“....................” (ปาดน้ำตา ไม่รู้จะพูดอะไร)
“บางทีผมพยายามจะนับนะ ฝนที่ตกบนหลังคา ว่ามันตกลงมาซักกี่เม็ดกันนะ.. แต่ก็ไม่เคยนับได้ซักที แต่ฟังไปมันก็เพลิน ๆ ดีเธอว่ามั้ย?” ตอนนี้เรารู้แล้วว่า แอนนัสมันไม่ได้ชอบฝง ชอบฝนอะไรหรอก แต่ผู้ชายคนนี้กำลังพยายามดึงสติเรากลับคืนมา โดยการชวนคุย พยายามให้เราคิดเรื่องอื่น..

มันทำให้เราน้ำตาไหลอีกรอบ.. แต่เป็นความรู้สึกขอบคุณคนคนนี้มาก ๆ เรารู้สึกผิดมากที่เคยเกลียด เคยหมั่นไส้ ผู้ชายคนนี้ คนที่ถ้าคืนนี้เค้าไม่อยู่ เราก็ไม่อยากจะเดาว่าเหตุการณ์มันจะจบลงยังไง..

ณ วันนี้ ฝนตกเมื่อไหร่ เราต้องนึกถึงประโยค “เธอชอบฝนไหม..” ทุกครั้ง..

เราแยกกลับมาเมืองไทยคนเดียว ส่วนสองหนุ่มอยู่เที่ยวลาวต่ออีกเกือบครึ่งเดือน

แล้วโซเร็นก็กลับมาถึงกรุงเทพฯก่อน เจอหน้ามันทีไรก็ดีใจทุกครั้ง ยังดูเมาเหมือนเดิม ให้ตายเถอะ นี่มันช่างเป็นแกจริง ๆ เลยว่ะ.. รู้จากโซเร็นว่าแอนนัสบอกว่าจะอยู่เที่ยวอีสานซัก 4-5 วัน เราก็งง ๆ แอนนัสนี่นะ? เที่ยวอีสาน มันขี้เบื่อจะตายไป

แล้วก็เป็นไปอย่างที่เราว่า

ผ่านไป 2 วัน แอนนัสก็กลับมาถึงกรุงเทพฯ พร้อมกับเรื่องที่ว่าพบสาวบนรถไฟ อุตส่าห์ลงทุนตามไปถึงบ้านแต่ก็ไม่มีโอกาสไปไกลกว่าแค่รั้วบ้านสาว

“เซ็งเป็ด”

เราออกไปดูบอล กินเบียร์กันอย่างฮาเฮ คุยกันเรื่องทะลึ่ง ๆ กันจนขำน้ำตาเล็ด ยิ่งสนิทมากเท่าไหร่ เรื่องเฮฮาลามกจกเปรตมันก็ยิ่งทะลักออกมามากขึ้นเท่านั้น

บอกไปแล้วใช่มั้ย ว่าแอนนัสเป็นผู้ชายที่บ้ากีฬาทุกประเภท แต่เพื่อน ๆ ไม่เคยมีใครคิดว่า...
“เวลากรูกุ๊กกิ๊กกะแฟน ชอบให้แฟนเอาเสื้อบอลมาใส่ว่ะ โอ๊แม่เจ้า สยิวกิ้ววว !!!”
จบประโยคเท่านั้นแหละ ทุกคนในวง (อีก 3 คน)อึ้งกันไป 5 วิ แล้วระเบิดหัวเราะก๊ากกกกกกกกก!!! แอนนัสมองไปรอบ ๆ วงแล้วยิ้มเหวอ ๆ แบบ เอ๊า ก็กูชอบของกูแปลกตรงไหนวะ เพื่อนเวรนี่

“ไอ้บ้า มรึงนี่มันเข้าขั้นบ้ากีฬาเกินไปแล้ว นี่ นี่ นี่ กรูแนะนำ คราวหน้า มึงเอานกหวีดไปเป่าด้วยดิ !! 55555!!! ปรี๊ด ปรี้ ปริ๊ด!!” โซเร็นปาดน้ำตาที่ไหลออกมาจากการหัวเราะจนท้องแข็ง

ตามมาด้วย เจมส์ เพื่อนจากนิวยอร์ค “ว่าแต่เลือกชื่อด้วยป่าววะ แบบเฮ้ย วันนี้อยากจ้ำจี้กะซีดาน หรือว่าอะไรทำนองนี้ 555 โอยย ไม่ไหวแล้ว ปวดท้อง..”

แอนนัสโดนอำจนเละ เลยพยายามทำเป็นไม่สนใจ ได้แต่ยิ้ม ๆ แบบ เอ๊อ มึงล้อไปล้อไป แล้วก็หันไปขัดสีฉวีวรรณรองเท้าสตั๊ดคู่ใหม่เอี่ยมที่เพิ่งซื้อมาจากเซ็นทรัลลาดพร้าว
”งาม.. งามแต้ๆ” ว่าไปก็ลูบไล้รองเท้าไป

ก็บอกแล้ว มันบ้า...!

อยู่ กทม กันได้ 4 วันโซเร็นก็บ๊ายบายเมืองไทย หลบไปดำน้ำที่สิปาดันมาเลเซีย แล้วจะไปนิวซีแลนด์ต่อ แซ้ดมากเมื่อต้องบอกลากันจริง ๆ แล้ว ไม่ใช่ว่าเฮ้ย แล้วเดี๋ยวอีก 2 เดือนเจอกันที่กรุงเทพฯ อีกแล้ว.. หลังจากนิวซีแลนด์ โซเร็นก็จะกลับเดนมาร์กเหมือนกัน

ถึงแม้ว่าโซเร็นเพื่อนของเราสองคนคนนี้จะหนีเราไปดำน้ำอย่างเห็นแก่ตัวแล้ว แต่แอนนัสก็ยังอยู่เมืองไทย และยังโทรมาทักทายเราเมื่อวันที่เค้ากลับมากรุงเทพฯ หลังจากไปขลุกอยู่เกาะช้างกับสาวชาวสวีเดนอยู่เกือบอาทิตย์ :-)

ตลกดี วันนั้นฝนก็ตกอีกแล้ว เรายืนถือร่มที่เปียกฝน น้ำหยดลงพื้นแหมะ ๆ
”เอ๊ะ ชื่อ Anders จากเดนมาร์ก ไม่มีเช็คอินนะคะ” รีเซปชั่นเค้าบอกอย่างงั้น เอ๊า ก็มันบอกให้เรามาเจอที่เกสต์เฮาส์นี้ เราเลยคิดว่าคงไม่ได้เจอแล้วมั้ง เลยเตรียมตัวกลับ พอดีได้ยินใครเรียกไม่รู้ หันไปเลยเห็นร่างโย่งๆ คุ้นตา ตัวเปียกโชก ผมดูจะยาวกว่าเดิมนะ..
“เฮ้ยยยยยยยยย...ย..ย.ย..!!!”
“เฮ้ยยยยยยยยยยยยยยยยย...ย..ย.ย..!!!” ต่างคนต่างเฮ้ย แล้วกอดกันอย่างโคตรคิดถึงเอ็งเลย
“โอโหๆๆ ผึ้งเอ๊ยยย แกๆๆ ชั้นมีเรื่อง update บาน! ดีใจมากที่ได้เจอแกอีก”
“555 มีไรป่ะเนี่ย”
“เออ! เจนนี่ อ่ะ”
“ใครวะ”
“เจนนี่! สาวสวีเดนที่ชั้นไปเกาะช้างด้วยไง”
“อ๋อเออเป็นไง อิอิ”
“แม่งโคตรแปลกคนเลยแก!! วันก่อน มันถามชั้น นี่ นี่ ช่วยตัวเองบ่อยมั้ย กรูก็ เฮ้ย! บ้าเหรอ ถามไรแบบนี้ ไม่มีไรจะคุยแล้วเหรอไงวะ 555” แล้วก็ตามมาด้วยเรื่องพิลึกพิลั่นของสาวคนนี้อีกบานตะไท แล้วฟังแล้วต้องอึ้ง ว่าคนแบบนี้ก็มีด้วย
“เออนี่ วันที่ 7 กรกฎานี่วันเกิดชั้นล่ะ” แอนนัสบอกพร้อมยิ้มกว้าง
“เฮ้ยยยยถามจริงงงง ฉลองที่ไหนดี”
“กลับไปเกาะช้างมั้ง พอดีเพื่อนที่เดนมาร์กจะมา มันดันไปเกาะช้างอีกแระ เซ็งว่ะ แต่ไปก็ไป หุๆๆ”
“ชั้นได้รับเชิญป่าวว้า..” เราแหย่ไปงั้น ๆ แหละ
“เฮ้ย ไปดิ!!”
“เง้อ! ดูก่อน ช่วงนี้ยิ่งจน ๆ อยู่ด้วย”

แต่เราก็ไปจนได้ แอนนัสอยากให้เราไปด้วย เพราะเพื่อนที่มาจากเดนมาร์ก คือ ไม กับ แมส แต่แฟนกัน กลัวว่าตัวเองจะไปเป็นก้างขวางคอเค้าคนเดียวว่างั้นเหอะ เลยชวนเราไปร่วมชะตากรรมด้วย

ตอนแรกเราก็ไม่ค่อยสนิทกับคู่นี้เท่าไหร่ แต่ทุกอย่างมันต้องใช้เวลา เราไปเกาะช้าง ไปฉลองวันเกิดในแอนนัส กัน ได้มีเวลาคุยกันมากขึ้น แล้วมันก็กลายเป็นว่าเราก็สนิทกับไมและแมสไปด้วยโดยปริยาย ไมนั้นน่ารักมาก ยิ้มตลอด แมสออกแนวพูดน้อยต่อยหนัก ปล่อยมุขแบบหน้าตาย

”ผึ้ง ถ้าไปโคเปนเฮเกน บอกไม นะ ไปอยู่อพาร์ทเมนต์ไม ได้เลย เพราะไมไปนอนที่บ้านแมสอยู่แล้วบางทีอพาร์ทเมนต์ของไมไม่มีใครอยู่หรอก”

เราไม่เคยคิดว่า แค่การเปรยประโยคสั้น ๆ ว่า “แถวยาวเนอะ..” ในวันนั้นที่บังเอิญโซเร็นมันยืนอยู่ต่อแถวข้างหน้า จะนำให้เรามาพบกันเพื่อนใหม่ที่โคตรดีกะเราขนาดนี้ จากโซเร็น มา แอนนัส จากแอนนัส มา ไมกับแมส.. บางทีโชคชะตาก็พาคนมาพบกันแบบแปลก ๆ..

แอนนัสกลับบ้านไปแล้วเมื่อสองวันก่อน จากวันแรกที่ได้รู้จักกันเมื่อสองเดือนที่แล้ว..
“ชั้นโคตรเกลียดแกเลยตอนนั้น” เราบอกแอนนัสขำ ๆ ระหว่างที่เราขับรถกลับกันจากกาญจนบุรี
”เออ นึกว่าชั้นไม่รู้เหรอไง”
“เฮ้ยยยย เหรอ! ถามจริง!”
“เออดิ โห ก็ออกจะดูง่ายขนาดนั้น น้ำเสียงเย็นชา พูดจาเสียดสี ชิชะ..”
“5555..!!”
“แต่ก็ขอโทษนะที่ผมก็ซีเรียสไปหน่อยน่ะ บางที หลาย ๆ คนก็บอกเหมือนกัน มันแก้ไม่ได้ซักที”
”ขอท่งขอโทษไรกัน น้ำเน่าฟร่ะ”
“เอ๊ะ ไอ้นี่”



ณ วันนี้เราพูดได้เต็มปากเลยว่าแอนนัสเป็นหนึ่งในเพื่อนรักของเราไปแล้ว เคยลองนึกดู มีกี่ครั้งกันนะ ที่เราเคยบอกเพื่อนจากปากเราว่า เฮ้ย ชั้นรักแกนะ กูรักมึงนะ.. จำได้ครั้งนึงเพื่อนสาวที่สนิทที่สุด นิสัยมันออกจะบ้า ๆ บอ ๆ มีวันนึงกินเหล้ากันจนกรึ่ม ๆ มันก็บอกว่า
“ไหน ๆ ก็เมาแล้ว เฮ้ย ชั้นรักแกว่ะ แกด้วย แกด้วย แก แกด้วย ชั้นร้ากกกกพวกแกว่ะ ” (จิ้มไปที่เพื่อนจนครบทุกคน)
“บอกไว้ก่อน เดี๋ยวตายแล้วไม่ได้บอก 5555 เฮ้ย.. ชั้นซีเรียสนะว้อย” ว่าแล้วมันก็สลบไป กรนคร่อก ๆ

มันคงไม่ได้ยินที่เราตอบไปว่า “เออ กูก็รักมึง” : )

วันนั้นเป็นวันสุดท้ายของทริปเอเชียของแอนนัส เราขับรถไปกาญจนบุรีกัน ตอนเราเดินอยู่บนสะพานข้ามแม่น้ำแคว มองลงไป โอ่ เสียวเว้ย
“นี่ถ้าเป็นที่เดนมาร์ก ไม่มีทางปล่อยไว้งี้หรอก คงต้องหาตะกรงตะแกรงอะไรมาปิดกันให้วุ่น” แอนนัสมองดูช่องข้าง ๆ รางรถไฟ ที่มองลงไปเป็นแม่น้ำแคว
”นี่มันเมืองไทย มิใช่เดนมาร์กนี่หว่า” เราพูดยิ้มๆแล้วบอกว่า “ถ้าชั้นตกลงไปนี่แกไปตามเก็บชั้นที่แพดิสโก้ข้างหน้านู่นละกันนะ 5555”
แอนนัสหันมายิ้มแล้วบอกว่า
“จะบ้าเหรอ ถ้าแกตกลงไป ชั้นจะโดดลงไปช่วยเดี๋ยวนี้เลย”

………ไม่ให้รักมันได้ไง เพื่อนแบบนี้.......

ตอนบอกลากัน หมอนี่น้ำตายังปริ่ม ๆ ซะงั้น : ) (หวังว่าคงไม่ใช่อาการแต๋วออก)

แต่แอนนัสเป็นผู้ชายที่เป็น ผู้ช้าย ผู้ชาย บ้าบอล ชอบเหล่หญิง ปากหมา เกลียดแมวและสัตว์น่ารักทุกประเภท (ครั้งนึงมันถึงกับเปรย ๆ ขึ้นมาว่า จะเป็นไงนะ ถ้ามันเตะแมวแบบเต็มตีนเหมือนเตะลูกบอล ผลคือผู้หญิงที่ยืนอยู่แถวนั้น เธอได้ยิน แล้วมองมันแบบรังเกียจๆ 555)

แต่มันก็มีด้านที่เซอร์ไพรส์เราบ่อยๆ เช่น อยู่ดี ๆก็เดินมาหา
"กอดหน่อย กอดหน่อย" แล้วกอดของมันนี่แถวบ้านเราเรียกงูเหลือมรัด หายใจไม่ออก เหมือนจะฆ่ากันให้ตาย ระหว่างที่เราอู้อี้ ๆอยู่ในซอกจั๊กแร้มัน (แหวะ) แอนนัสก็พูดขึ้นมาว่า "ชั้นรักแกว่ะ จริงๆนะ "

เราก็ได้อู้อี้ตอบไป "เอออออออ...อูอ้ออั๊กอึง" (เออกูก็รักมึง)

แอนนัสกลับเดนมาร์กไปแล้ว ...
แต่เราต้องได้เจอกันอีก แล้วจะรอดูว่าวันนั้นฝนจะตกไหม



Create Date : 16 กรกฎาคม 2549
Last Update : 16 กรกฎาคม 2549 19:57:39 น.
Counter : 1071 Pageviews.

5 comments
สวัสดีปีใหม่ ๒๕๖๗ มาช้ายังดีกว่าไม่มา
(2 ม.ค. 2567 07:30:30 น.)
สวัสดีปีใหม่ ๒๕๖๗ มาช้ายังดีกว่าไม่มา
(2 ม.ค. 2567 07:30:30 น.)
สวัสดีปีใหม่ ๒๕๖๗ มาช้ายังดีกว่าไม่มา
(2 ม.ค. 2567 07:30:30 น.)
No. 1259 สาระเกือบมี (ตอนทำงานที่ใหม่ ถูกลองดี) ไวน์กับสายน้ำ
(1 ม.ค. 2567 05:58:05 น.)
  
เดี๋ยวกลับมาต่อครับ อ่านไปได้ครึ่งเดียวเอง
โดย: ราชันย์เมฆา วันที่: 16 กรกฎาคม 2549 เวลา:21:39:00 น.
  
จะว่าขำก็ขำ ฮาก็ฮา แต่อย่าเขียนอะไรให้ซึ้งนักได้ไหม อ่านแล้วน้ำตาซึม

โดย: นราเกตต์ วันที่: 22 กรกฎาคม 2549 เวลา:17:49:25 น.
  
เพิ่งเข้ามาอ่านครั้งแรก มาเพราะคุณนายกอฯ แนะนำไว้ในบล็อกแก สนุกดีครับ

มาครั้งแรกก็มีคำถามเลยครับ ผมสงสัยว่า คนที่แบ็กแพ็คเที่ยวกันทีเป็นเดือนๆ เขาทำได้ยังไงครับ หมายถึงว่า เอาตังค์มาจากไหน ที่ทำงานเขาไม่ว่าหรือ ฯลฯ ทำนองนี้

ขอแอดไว้เป็นขาประจำนะครับ
โดย: คนทับแก้ว วันที่: 27 กรกฎาคม 2549 เวลา:16:51:03 น.
  
เรื่องน่ารักและฮาดีค่ะ คุณผึ้งนี่มีชีวิตที่น่าอิจฉานะคะ ..

ป.ล. กลัวเรื่องที่เจอในลาวเหมือนกันค่ะ เป็นเรื่องที่ไม่อยากจะคิดถึงเลย ..
โดย: Gorgeous Girl วันที่: 3 เมษายน 2550 เวลา:17:33:49 น.
  
อ่านแล้วมันมาก
ทั้งขำ ทั้งซึ้ง
อ่านรวดเดียวจบเลย
ชอบภาษาและสไตล์ของผึ้งมาก
มันดีจิงๆ
ชอบ ชอบ ชอบ
โดย: VHS วันที่: 22 ธันวาคม 2550 เวลา:0:00:08 น.
ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
 *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Beebah.BlogGang.com

beebah
Location :
กรุงเทพ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]

บทความทั้งหมด