เมื่อยักษ์ยังหลับอยู่ การโค้ชพัฒนาจุดแข็งจึงล้มเหลว
ติ๊ก อดีตอาจารย์สาวมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง เพิ่งพลิกผันตัวเองจากอาชีพอาจารย์สู่การเป็นนักธุรกิจสาวได้ไม่กี่เดือน เธอเป็นคนที่ดูมีพลังเหลือเฟือ ทำอะไรได้ดูน่าสนุกสนาน และช่างคิดสร้างสรรค์ไปได้เสียทุกเรื่อง เธอทำให้ชีวิตตัวเองดูตื่นเต้นมีชีวิตชีวาได้อยู่ตลอดเวลา และมีความสุขกับการได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ รู้จักเพื่อนใหม่ๆสังคมใหม่ๆ เสมอ
สิ่งที่เธอทำให้เพื่อนๆ ประทับใจได้ คงหนีไม่พ้นพรสวรรค์ด้านการสื่อสารของเธอ ทั้งจังหวะการพูด น้ำเสียงการพูด ถ้อยคำที่ใช้พูดดูเหมาะเจาะลงตัว ราวกับเธอเตรียมสุนทรพจน์มาเป็นอย่างดี แต่เพื่อนๆ ก็ถึงกับอึ้งเมื่อเธอบอกว่า ก็ไม่ได้เตรียมอะไรมากมายค่ะ ให้จังหวะและอารมณ์พาไปเท่านั้นเอง
ในคลาสกิจกรรมการเรียนรู้ การโค้ชเพื่อพัฒนาจุดแข็ง ของ Executive Coaching Scholarship โดย อ.เกรียงศักดิ์ นิรัติพัฒนะศัย เธอได้กลายเป็นหนึ่งในกรณีฝึกฝนการพัฒนาจุดแข็งจากพรสวรรค์ที่เธอมีอยู่ สิ่งที่เธอคิดว่าเธอน่าจะพัฒนาได้มากกว่านี้กลับทำให้เพื่อนๆในคลาสรู้สึกประหลาดใจ
โค้ช : อ.ติ๊ก คิดว่าอยากพัฒนาจุดแข็งของตัวเองในเรื่องอะไร โดยจุดแข็งนั้นๆสามารถสร้างความแตกต่างให้กับตัวอาจารย์เองได้
อ.ติ๊ก : คิดว่า อยากพัฒนาทักษะการสื่อสารเรื่องการพูดและการทำสื่อมีเดียเพื่อปลุกกระแสค่ะ
โค้ช และกลุ่มเพื่อนๆ สะท้อนความคิดเห็นที่หลากหลาย และได้ข้อสรุปกันว่าสิ่งที่อดีตอาจารย์สาวกำลังอยากจะพัฒนาจุดแข็งนั้น เป็นเพียงแค่ การใช้ (Utilize) พรสวรรค์ที่มีอยู่แล้ว ไม่ได้พัฒนาให้สิ่งนี้กระโดดข้ามขั้นแบบก้าวกระโดดแต่อย่างใด หลายๆคน พยายามท้าทายให้เธอคิดใหญ่ ปลุกยักษ์ในตัวเองให้ตื่นขึ้นเถิด แต่ดูเหมือน ณ ขณะนั้น จิตใจของอดีตอาจารย์สาวได้มีปฏิกิริยาต่อต้านต่อคำท้าทายเหล่านั้นไปเสียแล้ว ดังนั้น กระบวนการโค้ชเพื่อพัฒนาจุดแข็งของเธอจึงต้องยุติลง
ทำไมการโค้ชครั้งนี้จึงต้องยุติลง ?
สำหรับการโค้ชเพื่อพัฒนาจุดแข็งนั้น จะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้จริงก็ต่อเมื่อผู้ถูกโค้ชต้องการหรือมีแรงบันดาลใจที่จะเปลี่ยนแปลงจริง แต่สำหรับกรณีของอดีตอาจารย์สาวคนนี้ ดูเหมือนจะเป็นโจทย์ที่ยากเกินไปเสียแล้ว เพราะ เธอยังไม่มีแรงบันดาลใจที่จะเปลี่ยนแปลงนั้นเอง
และเมื่ออดีตอาจารย์สาวกลับมาย้อนถามตัวเอง ว่า อะไรเป็นเหตุผลที่เธอไม่คิดจะพัฒนาจุดแข็งเรื่อง การพูด ซึ่งเป็นพรสวรรค์ที่มีดั่งฟ้าเบื้องบนประทานมา ให้มีศักยภาพเกินขอบเขตที่เธอเป็นอยู่ อะไรกันแน่นะที่เป็นความเชื่อเบื้องหลังที่ฉุดรั้งจิตใจของเธอ มันคืออะไรกันแน่
เธอใช้เวลาใคร่ครวญเรื่องราวต่างๆในชีวิตที่ผ่านมาของเธอ อย่างพินิจพิเคราะห์ แต่ก็ไม่ได้ใช้เวลายาวนานเกินไป เพราะเธอเป็นคนคิดอะไรรวดเร็วเสมอ และแล้วคำตอบที่เธอตอบกับตัวเองได้ คือ ฉันไม่ได้ต้องการที่จะเป็นเบอร์หนึ่ง เพราะฉันรู้สึกไม่มั่นคงกับการเป็นเบอร์หนึ่ง
และภายใต้ความเชื่อนี้เองที่กำหนดพฤติกรรมที่ผ่านมาของเธอ เธอไม่เลือกที่จะพัฒนาศักยภาพของตัวเองให้โดดเด่นระดับเป็นเลิศ เช่น เธอตัดสินใจที่จะไม่เรียนต่อปริญญาเอกในสาขาวิชาที่เธอเคยสอนอยู่ในมหาวิทยาลัยทั้งๆที่ก็ไม่ใช่เรื่องยากลำบากที่เธอจะทำ, เธอเลือกที่จะทำสิ่งต่างๆแค่ในระดับ ดี จากนั้นเธอก็เปลี่ยนความสนใจไปทำสิ่งอื่นๆต่อ เป็นต้น
สำหรับเธอแล้ว เธอ เลือกที่จะทำสิ่งสามสิ่งให้ได้แปดสิบ แทนที่จะเลือกทำสิ่งสิ่งเดียวให้ได้ร้อย เพราะมันทำให้เธอรู้สึกมั่นใจ และมีความสุขมากกว่า
คำถามที่น่าสนใจสำหรับการโค้ชในครั้งนี้ คือ เราจำเป็นต้องท้าทาย หรือผลักดันให้เธอเปลี่ยนความคิดหรือไม่ การเปลี่ยนความเชื่อของเธอจะมีผลดีต่อเธอ หรือต่อสังคมอย่างไร .. คำตอบที่ได้กลับมา คงเป็นประเด็นถกเถียงกันไม่สิ้นสุด
บ้างก็บอกว่า ได้โปรดผลักดันปลุกเธอให้ตื่นเถิด
บ้างก็บอกว่า เสียดายของดีในตัวเธอ
บ้างก็บอกว่า เราต้องเคารพการให้คุณค่ากับชีวิตของเธอเอง
บ้างก็บอกว่า ก็ไม่เห็นเสียหายคนเราอาจจะเลือกที่จะเกือบเก่งในหลายเรื่องมากกว่าเก่งสุดๆแค่เรื่องเดียว
แต่ไม่ว่าจะเป็นความคิดเห็นใดๆ ท้ายที่สุดแล้ว คนที่จะตัดสินใจก็คือตัวเธอเอง ณ วันนี้เธออาจจะยังมีความเชื่อบางประการที่ยังไม่อยากที่จะเปลี่ยนแปลง แต่เราหวังว่า สักวันหนึ่ง อาจจะมีเป้าหมายบางอย่างที่ทำให้เธอเลือกเปลี่ยนความเชื่อนี้ และปลุกยักษ์ในตัวเธอเพื่อสร้างผลลัพธ์ที่น่าอัศจรรย์อย่างเหลือเชื่อให้กับโลกนี้ได้ ...พวกเราหวังให้เป็นเช่นนั้น ณ เวลานี้ อาจจะยังไม่ใช่เวลาของยักษ์ในตัวเธอ แต่ไม่ได้หมายความว่า ยักษ์ในตัวเธอจะไม่ถูกปลุกขึ้นมา