จิตวิทยากับการโกหก
ไม่มีใครในโลกที่ไม่เคยโกหก คนบางคนโกหกบ่อย แต่บางคนนาน ๆ ครั้ง ถึงแม้ศีลข้อหนึ่งของพุทธศาสนา และบัญญัติข้อหนึ่ง ของคริสต์ศาสนาจะสั่งห้ามคนโกหกก็ตาม แต่เราก็ยังทำ พวกเราคงแปลกใจไม่น้อย เมื่อรู้ว่าวงการจิตวิทยาเริ่มให้ความสนใจ เกี่ยวกับการโกหกอย่างจริงจัง เมื่อไม่นานมานี้เอง แม้แต่ S .Freud นักจิตวิทยาผู้มีชื่อเสียงเองก็มิได้เคยถูกกล่าวถึงจิตวิทยาของพวกชอบโกหกพกลมทั้งหลายเลยพจนานุกรม Encyclopedia of Psychology ที่ตีพิมพ์เมื่อ 13 ปีก่อนนี้ได้กล่าวถึงการโกหกแต่เพียงสั้นๆ เท่านั้นเอง
คนเราจะมีชีวิตอยู่อย่างปกติสุขหรือไม่ ถ้าไม่โกหกเลย สำหรับเรื่องนี้นักจิตวิทยาที่กำลังศึกษาพฤติกรรมโกหกของมนุษย์ได้พบว่า การโกหกเป็นพฤติกรรมปกติของคนทั่วไป และขั้นตอนหรือเหตุผลที่ทำให้คนพูดโกหกนั้นลึกลับ และซับซ้อนพอสมควร
เมื่อไม่นานมานี้เอง B. DePaulo นักจิตวิทยาแห่งมหาวิทยาลัย Virginia ในประเทศสหรัฐอเมริกา ได้ศึกษาคน 147 คน ที่มีอายุระหว่าง 18 - 71 ปี โดยทำให้คนเหล่านั้นบันทึกข้อมูลที่ตนโกหกในเวลา 1สัปดาห์ เธอได้พบว่าภายในเวลาดังกล่าวคนส่วนมากจะโกหกกันวันละครั้งหรือสองครั้ง (คือบ่อยพอ ๆ กับการแปรงฟัน) ชายและหญิงที่สนทนากันนานเกิน 10 นาที มักจะห้ามใจที่จะไม่โกหกกันไม่ได้ และในกรณีลูกกับพ่อแม่การโกหกเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงแทบไม่ได้เลย
ในวารสาร Psychology Today ฉบับเดือนพฤษภาคม และมิถุนายน พ.ศ.2540 นี้ L. Saxe นักจิตวิทยาแห่งมหาวิทยาลัย Brandeis ในสหรัฐอเมริกาได้รายงานว่าถึงแม้สังคมจะกำหนดให้คนเราพูดความจริง แต่ในขณะเดียวกันสังคมก็สนับสนุนให้เราโกหกด้วย โดยมักจะให้รางวัลกับคนโกหก เช่น เวลาใครมาทำงานสาย หากเขาพูดความจริงว่าเมื่อคืนเที่ยวดึกไปหน่อยเลยหลับเลยเวลา เขาก็จะถูกคาดโทษ แต่หากเขาอ้างว่าเพราะรถติด โทษที่เขาได้รับก็จะไม่รุนแรง คนมีอาชีพทนาย ตำรวจสอบสวน หรือผู้สื่อข่าว (ที่ไม่รับผิดชอบ)มักจะมีนิทานให้สังคมรับรู้ตลอดเวลา หรือแม้แต่คนที่รักกัน บางครั้งก็มิวายที่จะต้องโกหกกัน สถิติที่ D.Hollander นักจิตวิทยาแห่งมหาลัย Missouri ในสหรัฐอเมริกาได้รวบรวมมาชี้บอกว่าในการสำรวจบรรดานิสิตหนุ่ม-สาวของมหาวิทยาลัยเมื่อ 4 ปีก่อนนั้น เธอได้พบว่า 85% ของนิสิตที่เป็นแฟนกันให้ข้อมูลเกี่ยวกับคนรักเก่าที่ไม่เป็นจริง และในขณะที่กำลังดูใจอยู่นั้น หนึ่งในสามของคู่รักจะเล่าอะไรๆ ที่ไม่จริงถึง30% และถึงคนรักกันจะโกหกกันบ่อยก็ตาม แต่พอเป็นสามี-ภรรยากันปริมาณการโกหกจะลดลงเหลือเพียง 10% เท่านั้นเอง (นี่คือตัวเลขในระยะแรกๆ ของการแต่งงาน ตัวเลขอาจจะเพิ่มสูงมาก ถ้าการสมรสนั้นล้มเหลว) และคนทั่วไปมักจะโกหกเรื่องที่ร้ายแรงที่สุดกับคนที่ใกล้ชิดที่สุด
นักจิตวิทยาได้พบว่า ถึงแม้ว่าเรื่องโกหกบางเรื่องจะทำให้สัมพันธภาพระหว่างคนสองคนถูกกระทบกระเทือนก็ตาม แต่การโกหก ในบางกรณีก็ทำให้สังคมดำเนินไปได้ด้วยดี เพราะในบางครั้งเราจำต้องโกหกเพื่อถนอมความรู้สึกของคนอื่น เช่นเวลาเราพูดว่า ในสายตาผมคุณสวยที่สุดในโลก เป็นต้น วัฒนธรรมของชาติก็มีส่วนในการกำหนดให้คนโกหก เพราะอ้างเจตนาดี เช่นได้มีการสำรวจพบว่า50% ของคนอเมริกันเชื้อสาย เกาหลีคิดว่าคนที่ถูกตรวจพบว่าเป็นมะเร็งควรจะรู้ความจริง ในขณะเดียวกันคนอเมริกันเชื้อสายยุโรปถึง 90% จะมีความเห็นว่าคนเป็นมะเร็ง ควรจะได้รับรู้ความจริง
นักจิตวิทยายังพบอีกว่าสตรีมักจะโกหกเพื่อถนอมความรู้สึกของคนใกล้ชิด และบุรุษมักจะปดในเรื่องที่เกี่ยวกับตนเอง จะยังไง ก็ตามเวลาชายและหญิงจะจับโกหกเพื่อนฝูง ความสามารถของชายและหญิงในเรื่องนี้จะแตกต่างกัน โดยผู้หญิงจะจับโกหกได้ดีกว่าผู้ชาย และเมื่อความสัมพันธ์ระหว่างกันยิ่งลึก ผู้หญิงก็จะ ยิ่งอ่านใจได้ดีขึ้นๆ (สามีทั้งหลายโปรดสำเหนียกข้อสังเกตนี้ให้ดี)
Saxe มีความเชื่ออีกว่าบุคคลใดก็ตามที่ตกอยู่ใต้ความกดดันมากๆ จะโกหกทันที ดังรายงานของ DePaulo ในวารสาร Journal of Personality and Social Psychology ฉบับเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมานี้ว่า การที่คนเราชอบปดเพราะมีความต้องการจะสร้างความประทับใจกับคนรอบข้างจนเกินความพอดี คนที่ชอบแสดงออก คนที่มีความมั่นใจว่าสวยหรือหล่อ เมื่อตกอยู่ในสถานการณ์ถูกบังคับ จะโกหกทันที ในทางตรงกันข้ามคนที่โกหกน้อยที่สุดมักจะเป็นคนรู้สึกรับผิดชอบสูง เพื่อนเพศเดียวกันที่สนิทกันมักจะไม่โกหกกัน คนที่ตกอยู่ในสภาพเศร้าซึมก็จะไม่โกหกเหมือนกัน ทั้งนี้ไม่ว่าจะโกหกตัวเองหรือคนอื่นก็ตาม เรามีวิธีจับโกหกหรือไม่ เราทุกคนรู้ดีว่าเวลาเราเล่นโป๊กเกอร์ เซียนทั้งหลายมักจะตีหน้าตายสนิทจนเราอ่านอะไรไม่ออก คนที่โกหก เก่งก็เช่นกัน อุปกรณ์วิทยาศาสตร์ เช่น เครื่องจับเท็จ ก็ช่วยอะไรไม่ได้เลย จนวงการตำรวจปัจจุบันได้ประกาศเลิกใช้เครื่องจับเท็จไปเมื่อไม่นานมานี้เอง สิ่งที่เครื่องจับเท็จจับได้ คือความกลัวของผู้ถูกจับเสียมากกว่า ทั้งนี้เพราะได้มีการพบว่าการที่หัวใจจะเต้นเร็วกว่าปกติ หรือการที่เหงื่อจะตกมากๆ ไม่ได้หมายความว่า คนๆ นั้นกำลังโกหก จุดดับของเครื่องจับเท็จคือ การที่คนบางคนสามารถพูดโกหกได้อย่างสบายใจ ไร้ความกังวลหรือความเสียใจใดๆ หนำซ้ำไม่แสดงพิรุธอะไรๆ ให้เห็นเลย หรือคนที่บริสุทธิ์บางคนเวลาพูดความจริงรู้สึกกลัวผลที่จะติดตามมา เหงื่อจึงออกและหัวใจจึงเต้นเร็วกว่าปกติเช่นนี้เป็นต้น
ดังนั้น เมื่อมีการวิจัยที่ตรวจพบว่าเครื่องจับเท็จทำงานผิดพลาด 25-75% ศาลจึงไม่อนุญาตให้ใช้เครื่องจับเท็จเป็นหลักฐานหนึ่งในการต่อสู้คดี
นักจิตวิทยาหลายคนมีความคิดว่า เมื่ออุปกรณ์วิทยาศาสตร์ไม่สามารถช่วยเราสังเกตหรือจับโกหกได้ เราก็ต้องอาศัยวิธีอื่น เช่น โดยการพิจารณาจังหวะการพูด หรือการเปลี่ยนน้ำเสียง เป็นต้น แต่นักจิตวิทยาเองก็ยอมรับว่าวิธีการที่เราใช้ในการจับโกหกทุกวิธีนั้น ต่างก็มีจุดบกพร่องด้วยกันทั้งสิ้น พูดง่ายๆ คือเรายังไม่มีวิธีใดๆ ที่จะจับโกหกคนได้ผล 100% (คนที่ชอบโกหกคงสบายขึ้นเมื่ออ่านถึงตรงนี้)
จึงเป็นจริงว่า ณ วันนี้การศึกษา ด้านจิตวิทยาของการโกหกได้ทำให้เรารู้สึกว่า การโกหกมิได้เป็นบาปหนักหนาสาหัส ดังที่ได้มีศีลห้ามไว้ตั้งแต่สมัยพุทธกาลอีกต่อไป แต่คนที่ชอบโกหกนั้นก็ต้องรับความจริงข้อหนึ่งว่า เวลาที่พูดโกหกไปแล้วคนพูดจะรู้สึกห่างไกลจากคนฟัง และยิ่งปด ก็ยิ่งรู้สึกห่างเพราะกลัวเขาจะจับได้จะยังไงก็ตาม 75% ของคนที่พูดโกหก หากตรวจพบตอนหลังว่าไม่มีใครจับโกหกได้ก็มีแนวโน้มจะพูดปดอีก ส่วนคนที่จะสาปแช่งหรือประณามคนพูดโกหกไม่ว่าจะในกรณีใดทั้งสิ้นนั้นก็ขอให้ตระหนักว่า หากทุกคน (รัฐบาล นักการเมือง คนขับแท็กซี่ สาม-ี ภรรยา) พูด ความจริงกันทุกเรื่องประเทศชาติจะเป็นอย่างไร ความแตกตื่นจะมีหรือไม่ ความไว้วางใจและความใกล้ชิดจะหมดไปหรือไม่
แต่หากคุณคิดว่าเรื่องที่คุณโกหกนั้นไม่มีพิษหรือเป็นภัยใด ๆ และทำให้คนฟังสุขใจ ก็โกหกต่อไปเถอะครับ คนบางคนชอบให้เขาหลอกครับ
ขอขอบคุณแหล่งข้อมูล //www.ipst.ac.th วิทยาศาสตร์น่ารู้ ศ.ดร.สุทัศน์ ยกส้าน
Create Date : 12 พฤศจิกายน 2549 |
Last Update : 14 พฤศจิกายน 2549 18:43:53 น. |
|
13 comments
|
Counter : 871 Pageviews. |
|
|