The German Alpine: เที่ยวเมือง Garmisch-Partenkirchen และ โบสถ์ Ettal

วันนี้เป็นวันที่สามของทริปนี้ ซึ่งจริงๆ แล้วเราควรจะอยู่เที่ยวต่อในเมือง Mittenwald แต่เนื่องจากเมื่อวานเราเดิน Trekking กันเสร็จเรียบร้อยแล้ว แถมตัวเมือง Mittenwald ยังเป็นเมืองเล็กๆ ซึ่งถ้าใครไม่ชอบเดินป่า ก็ใช้เวลาเที่ยวในเมือง Mittenwald แค่ครึ่งวันก็น่าจะเพียงพอแล้ว

วันนี้เราก็เลยไม่รู้จะเที่ยวอะไรใน Mittenwald ก็เลยต้องวางแผนกันใหม่อีกครั้ง แล้วก็ตกลงกันได้ว่า วันนี้จะขับรถไปเที่ยวที่ แถวๆ เมือง Garmisch-Partenkirchen และโบสถ์ Ettal

หลังจากที่เมื่อวานตอนเย็นมีฝนตก วันนี้อากาศก็ยังไม่มีทีท่าว่างจะดีขึ้นเลย แต่อย่างไรก็ตามเราก็ตัดสินใจขับรถมาเรื่อยๆ ตยมาถึงเมือง Garmisch-Partenkirchen

เมือง Garmisch-Partenkirchen เป็นเมืองเล็กๆ ที่อยู่ในเทือกเขาแอลป์ ในเขตที่เรียกว่า Wetterstein-Gebirge ซึ่งเป็นคนละเขตกับเทือกเขาแอลป์ในเมือง Mittenwald (ซึ่งเรียกว่า Karwendel-Gebirge)

จริงๆ แล้วเมือง Garmisch-Partenkirchen แบ่งเป็นสองเขต คือ เขต Garmisch และเขต Partenkirchen

ตอนที่เรามาถึงยังเป็นช่วงสายๆ ประมาณสิบโมงกว่าๆ แถมยังเป็นวันอาทิตย์ที่เงียบเหงา มีฝนตกพรำๆ เมืองทั้งเมืองก็เลยดูเงียบสงบ มีเพียงเราและนักท่องเที่ยวอีกเพียงแค่สองสามคนออกมาเดินเล่น

สภาพถนนคนเดินของ Garmisch-Partenkirchen



บ้านที่มีลวดลายน่ารักๆ ที่ตั้งอยู่บริเวณตัวเมือง



จริงๆ แล้ว ถ้าไม่ใช่วันอาทิตย์ที่มีฝนตกพรำอย่างนี้ ถนนเส้นนี้จะเป็นถนนที่มีชีวิตชีวามากเลยทีเดียว สองข้างถนนก็มีลักษณะคล้ายๆ กับถนนคนเดินใรเมือง Mittenwald คือ มีร้านขายของที่ระลึก ร้านขายของ ร้านอาหาร และร้านเครื่องดื่ม แต่วันนี้อากาศไม่เป็นใจให้เราเสียเลย เดินไปก็รู้สึกหดหู่ไป เมือง Garmisch-Partenkirchen กลายเป็นอีกเมืองไปเลย ไม่เหมือนที่เคยแวะผ่านมาเมื่อปีที่แล้ว

เราเดินเล่นในเมืองนี้อีกไม่นาน เราก็ตัดสินใจไปเที่ยวต่อที่โบสถ์ Ettal ซึ่งตั้งอยู่บนถนนที่มุ่งหน้าสู่เมือง Oberamagau

ก่อนหน้านี้ เราไม่เคยนึกมาก่อนเลยว่า โบสถ์แห่งนี้จะมีนักท่องเที่ยวมาเยี่ยมชมเยอะขนาดนี้ เพิ่งมารู้จักโบสถ์นี้ก็ในทริปนี้แหละ พอมาถึงหาที่จอดรถ ปรากฏว่าเราได้เห็นรถทัวร์จอดเรียงกันเป็นแนวจนเต็มลานจอดรถเลย

โบสถ์ Ettal ที่เราเรียกสั้นๆ นั้นมีชื่อจริงว่า Klosterkirche Ettal เป็นโบสถ์แบบบารอคขนาดใหญ่

หลังจากที่เราจอดรถไว้ เราก็เดินเรื่อยๆ มาที่ทางเข้าโบสถ์ ซึ่งเป็นลักษณะคล้ายอุโมงค์สั้นๆ ที่มีเพดานเป็นรูปทรงโค้งๆ พอผ่านอุโมงค์ที่เป็นทางเข้ามา เราก็พบสิ่งก่อสร้างที่ถือว่าเป็นสถาปัตยกรรมสไตล์บารอคที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งของเขต Oberbayern



ภายในพื้นที่บริเวณโบสถ์มีตึกสูงประมาณสองชั้นล้อมรอบสนามหญ้าที่อยู่ด้านหญ้าตัวอาคารทั้งสามด้าน ส่วนอีกด้านหนึ่งก็เป็นตัวโบสถ์ตามที่เห็นในรูปด้านบน

ตอนนี้อากาศเริ่มดีขึ้นมาหน่อยหนึ่ง ทำให้เราเริ่มมีกำลังใจที่จะเดินขึ้นไปชมโบสถ์ Ettal จากมุมสูงกัน เราจึงเดินออกจากตัวอาคารไปทางด้านนอก เดินผ่านลานจอดรถขึ้นเขาไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเจอมุมนี้



เสร็จจากเดินเที่ยวชมโบสถ์ Ettal เราก็เคลื่อนขบวนกลับไปที่เมือง Garmisch-Partenkirchen อีกรอบ เนื่องจากเรายังมีเวลาเหลืออีกเยอะสำหรับการเที่ยวในวันนี้

เมื่ออากาศเริ่มดีขึ้น เมือง Garmisch ก็ไม่ได้เงียบเหงาเหมือนเมื่อตอนเช้าอีกต่อไป เริ่มมีผู้คนออกมาเดินเล่นกันมากขึ้น ทำให้ตัวเมืองกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งหนึ่ง

ถนนเล็กๆ ในเขตที่อยู่อาศัยของชาวบ้านในเมือง Garmisch



นอกจากเมือง Garmisch-Partenkirchen จะเป็นเมืองเล็กๆ ที่มีบ้านลวดลายสวยงามตามสไตล์บาเยิร์นแล้ว เมือง Garmisch-Partenkirchen ยังถือได้ง่าเป็นประตูสู่ยอดเขาที่สูงที่สุดในเยอรมันอีกด้วย นั่นคือ Zugspitze ซึ่งมีความสูงถึง 2962 เมตร แต่เราไม่ได้วางแผนที่จะขึ้นไปบนนั้นก็เลยได้แต่เที่ยวในตัวเมือง แล้วก็เดินเล่นเย็นๆ ใจ ที่ทะเลสาบเล็กๆ แห่งหนึ่งบนทางผ่านระหว่างขับรถกลับที่พักในเมือง Mittenwald

สรุปว่าวันนี้เราก็เดินเล่นชิวๆ ไม่ได้เน้นหนักเหมือนเมื่อวานนี้ ส่วนตอนบ่ายแก่ๆ เราก็ขับรถไปเที่ยวที่เมือง Landsberg am Lech กันต่อ โดยได้แวะเที่ยวที่ Hohenpeißenberg กันก่อน

Hohenpeißenberg เป็นเขตที่ราบสูง ตั้งอยู่บนถนนสาย 472 ซึ่งแยกมาจากเมือง Schongau ที่ราบสูงแห่งนี้อยู่สูงจากระดับน้ำทะเล 988 เมตร เมื่อขับรถมาถึงจุดบนสุดของที่ราบสูง Hohenpeißenberg แล้ว เราก็รู้สึกเหมือนกันว่าถูกโอบล้อมไปด้วยเทือกเขาแอลป์ เนื่องจากไม่ว่าจะหันไปทางไหน เราก็จะเห็นเทือกเขาแอลป์ที่ตั้งอยู่ในเขตต่างๆ เต็มไปหมด



เราแวะเที่ยวที่ Hohenpeißenberg นานพอดูทีเดียว เนื่องจากต้องขับรถออกมานอกเส้นทางนิดหน่อย แต่ก็ถือว่าคุ้มเหมือนกันสำหรับทริปที่มีเวลาเหลือเฟืออย่างทริปนี้

ต่อจากนั้น เราก็ขับมุ่งหน้าตรงดิ่งไปยังเมือง Landsberg am Lech เลย เราไม่อยากไปถึงที่เมืองนี้เย็นเกินไป เนื่องจากว่า เรายังไม่มีที่พัก ก็เลยต้องเผื่อเวลาไว้หาที่พักด้วย

เราไปถึง Landsberg am Lech ตอนเกือบๆ หกโมง ถึงเป็นช่วงที่พระอาทิตย์เริ่มที่จะคล้อยต่ำลง แสงอาทิตย์ในช่วงยามเย็นอย่างนี้สวยมาก ถูกใจเราที่สุด จากที่คิดว่าพอมาถึงเมืองปุ๊บจะหาที่พักทันที ก็กลายเป็นว่า พอมาถึงเมืองปุ๊บ ก็หาที่จอดรถ แล้วก็แบกเป้สะพายกล้อง หามุมงามๆ ถ่ายรูปทันที

อันนี้ก็เป็นรูปที่ถ่ายอยู่บริเวณแถวๆ ที่จอดรถนั่นแหละ



หลังจากนั้นเราก็ขับรถไปหาที่พัก แล้วก็ออกมาหาอาหารเย็นกินกัน เย็นวันนี้ได้กินข้าวมื้อแรกในรอบสองวัน ร้านอาหารที่ไปกิน ก็เป็นร้านอาหารจีนที่ตั้งอยู่ในตัวเมือง

วันรุ่งขึ้นจะพาเที่ยวที่ Landsberg am Lech ต่อ

...Click here to continue reading...

Create Date : 14 กันยายน 2551 Last Update : 23 กันยายน 2551 18:58:02 น. Counter : 5071 Pageviews.		9 comments
Share Tweet