วันนี้จะพานั่งรถไปเที่ยวที่ Chamonix เมืองเล็กๆ ในฝรั่งเศส จุดเริ่มต้นของการเดินทางสู่ยอดเขามองบลังต์ ที่สูงที่สุดในยุโรป กับเมือง Cran-Montana สกีรีสอร์ทของแคว้น Wallis

Chamonix เป็นหมู่บ้านเล็กๆ ที่อยู่ในประเทศฝรั่งเศส ตรงพรมแดนระหว่างสามประเทศ คือ สวิส ฝรั่งเศส และ อิตาลี

จากเมือง Sion เราขับรถตามถนน Autobahn สาย A9 มาจนถึงเมือง Martigny ก่อนที่จะแยกเข้าสู่ถนนสายเล็กๆ ที่ลดเลี้ยวไปตามเทือกเขา พอออกจากเมือง Martigny ขึ้นเขามาได้หน่อยนึง เราก็หาที่จอดรถแวะถ่ายรูป บริเวณที่เรามาเที่ยว เช่นเมือง Sion, Leukerbad หรือเมือง Martigny เป็นเขตที่เรียกว่า Rhonetal เป็นเมืองที่อยู่ริมแม่น้ำ Rhone

มองมุมสูงลงไปจะเห็นเมือง Martigny เล็กมากเลย

ถนนที่ขับจากเมือง Martigny มายัง Chamonix เป็นถนนเส้นเล็กมากที่ซ่อนตัวอยู่ในหุบเขา ที่บอกว่าซ่อนตัวอยู่ก็เพราะว่า ถ้ามองจาก Autobahn จะมองไม่เห็นถนนสายนี้เลย แถมพอเข้ามาบนถนนเส้นนี้ปุ๊บ ก็จะมองอะไรอย่างอื่นไม่เห็นเลย นอกจากภูเขาทั้งด้านหน้าและด้านหลัง นอกจากเวลาที่ขับรถผ่านหมู่บ้านที่เล็กจิ๋ว ก็จะเห็นบ้านน้อยตั้งอยู่เรียงห่างๆ กันไป ประปราย

บ้านเรียงกันแบบประปรายริมถนนที่จอดแวะถ่ายรูป ขับรถตามถนนเล็กๆ อย่างนี้สบายจริงๆ เหมือนกับว่าถนนสายนี้เป็นของเรา

ด้านหน้าเป็นภูเขา แอบเสียดายที่หน้าหนาวพระอาทิตย์ขึ้นช้า ภาพเลยมืดไปหน่อย ถนนเส้นนี้ มีรถค่อนข้างเยอะเหมือนกัน แต่ว่าโชคดีที่ตอนหยุดถ่ายรูปไม่มีรถแล่นมาเลย

หันไปมองทางด้านหลัง ก็เป็นภูเขาเหมือนกัน ถูกล้อมรอบด้วยภูเขาจริงๆ มีป้ายบอกเส้นทางเดิน Trekking ด้วยมีใครอยากจะเดินสัมผัสหิมะบ้างมั้ย

หลังจากที่ขับรถไป ถ่ายรูปไป ในที่สุดเราก็มาถึง Chamonix กันแล้ว ตัวเมือง Chamonix เล็กมากๆ เลย เราว่าบางทีเล็กกว่าเมือง Zermatt ด้วยซ้ำ แต่ถึงอย่างไรก็ตาม เมืองนี้ก็มีนักเที่ยว นักเล่นสกีจากทุกสารทิศเนืองแน่นไปหมด เราวนหาที่จอดรถอยู่ตั้งนาน จนในที่สุดก็ได้ไปจอดที่หน้าสถานีรถไฟพอดี เสียค่าจอดรถชั่วโมงละ 1 ยูโร ตอนไปถึงเมือง Chamonix ก็ประมาณสิบโมงครึ่งเกือบๆ 11 โมง แต่ว่าดูสิ พระอาทิตย์ยังขี้เกียจอยู่เลย ในตัวเมืองมืดไปหมด  

อันนี้หลักฐาน ถ่ายมาฟ้องชาวพันทิบว่าพระอาทิตย์ที่ Chamonix นี่ ขี้เกียจกว่าที่อื่นๆ จริงๆ สายตั้ง 11 โมง ยังมืดตึ๊ดตื๋อ

โดยส่วนตัวของเรา เราว่าตัวเมือง Chamonix ไม่ค่อยมีอะไรเท่าไหร่ อาจจะเป็นเพราะว่าเราไม่ได้ขึ้นไปชมยอดเขามองบลังต์ด้วย ก็ค่าขึ้นนี้ก็แพงจับจิตจับใจ ไปถามที่ Tourist information เค้าว่าค่าขึ้นไปกลับปาเข้าไป 40 ยูโร โอ้ มาย กอดดดดด แพงจริงๆ นะเนี่ย แล้วอีกอย่าง หน้าหนาวขึ้นไปก็คงได้แต่ไปยืนเหยียบหิมะ เพราะว่าเราก็เล่นสกีไม่เป็น แล้วก็ไม่คิดอยากจะเล่น ก็เลยไม่ได้ขึ้นไป ได้แต่เดินเล่นในตัวเมือง

ทางรถไฟจ้า เมืองนี้มีรถไฟมาถึง เผื่อใครอยากจะมาเที่ยว

ถ้าเราจะบอกว่าเมือง Chamonix ของฝรั่งเศสก็คงจะเทียบได้กับเมือง Zermatt ในสวิสก็คงไม่ผิดหรอกมั้ง เพราะว่าทั้งสองเมืองก็มีอะไรคล้ายๆ กันหลายอย่าง

ทั้งสองเมืองเป็นเมืองท่องเที่ยวที่สำคัญ มีจุดขายเป็นยอดเขาเหมือนกัน คือที่ Chamonix ก็มี Mont Blanc เป็นจุดขาย ในขณะที่ Zermatt ก็มี Matterhorn นอกจากในฤดูหนาวที่เมืองทั้งสองต่างก็เป็นสกีรีสอร์ท ในหน้าร้อนทั้งสองเมืองนี้ก็เป็นแหล่งท่องเที่ยว สวรรค์สำหรับคนที่ชื่นชอบการเดิน Trekking

นอกจากนั้นเมืองทั้งสองก็เป็นเมืองเล็กๆ น่ารักเหมาะกับการเดินเล่นในตัวเมือง มีถนนชอบปิ้งสายหลักอยู่แค่ถนนเดียว มีแม่น้ำสายเล็กๆ ไหลผ่านตัวเมือง

ส่วนที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด ก็คือ เมือง Zermatt จะไม่อนุญาตให้ขับรถขึ้นไป เป็น car free resort แต่ที่ Chamonix ยังอนุญาตให้ขับรถไปได้อยู่

แม่น้ำสายเล็กๆ ในเมือง

เราเดินเล่นอยู่ในตัวเมือง Chamonix จนถึงเกือบๆ บ่ายโมง เราก็ขับรถกลับตามเส้นทางเดิม

พอออกจากเมือง Chamonix มาได้หน่อยเดียวเท่านั้นแหละ มีความรู้สึกเหมือนกับว่า แสงสว่างได้กลับมาเยือนโลกมนุษย์อีกครั้งหนึ่ง ทั้งๆ ที่เวลาห่างกันเพียงไม่ถึงสิบนาทีแค่นั้นเอง แค่โผล่พ้นเงาของภูเขาสูงมาหน่อยเดียว ธรรมชาติสร้างความแตกต่างได้มากมายขนาดนี้เชียวหรือนี่

อันนี้แวะถ่ายรูปแถวๆ เมือง Les Praz de Chamonix

โบสถ์ที่อยู่ข้างทาง ขับรถผ่าน เหลือบไปเห็นแว้บๆ ก็เลยต้องหาที่กลับรถ แล้วแวะไปเที่ยวซักหน่อย มุมนี้ชอบมาก

อันนี้มีเก้าอี้ให้นั่งเล่นด้วย

มุมเดิมกับฟ้าใสๆ และหิมะขาวๆ ชอบต้นไม้โกร๋นๆ ที่ไม่มีใบแบบนี้จังเลย เราว่า เข้ากับบรรยากาศหน้าหนาวดี

เริ่มเดินทางกลับเข้าสู่สวิสอีกครั้งแล้ว บ้านเรือนที่อยู่อาศัยในเขตเทือกเขา เห็นบ้านเรือนอย่างนี้มาก็ตั้งมากมาย ดูโดดเดี่ยวจังเลย จะเหมือนกับอยู่ตามท้องถิ่นทุรกันดารในเมืองไทยมั้ยเนี่ย สงสัยเหมือนกันว่าเค้าซื้อของกันที่ไหน ต้องขับรถไปซื้อที่เมืองใหญ่ๆ กันเลยรึเปล่า แล้วถ้าเกิดอยากเดินห้างจะทำยังไงเนี่ย

ตอนนี้มาถึงที่ที่เราจอดรถถ่ายรูปกันตอนเช้าแล้วค่ะ แวะอีกก็สวยอีก แต่ตอนบ่าย มีคนแอบมาจอดรถเล่นสกีแบบไม่เสียเงินด้วย ร่องรอยยังคงมีเหลือให้เห็นเป็นหลักฐาน

บ้านหลังนี้ดูแล้วคิดถึงกระท่อมปลายนาในละครไทยแบบที่มีพระเอกมีไร่อะไรประมาณนั้น แต่อันนี้คงเป็นกระท่อมเชิงเขาแทน

ในรูปจะเห็นว่ามีจอดรถเรียงกันอยู่สองคัน เค้ามาจอดรถเล่นสกีกันค่ะ แบบว่าปีนขึ้นไปบนเขาสูงๆ เอง แล้วก็ไหลลงมาด้วยสกี เสร็จแล้วก็ปีนขึ้นไปเล่นใหม่ ดูเค้าเล่นก็สนุกดีเหมือนกัน

ขับมาได้หน่อยเดียวก็แวะถ่ายรูปอีกล่ะ วันนี้จะไปถึงไหนมั้ยเนี่ย แต่ว่าหลายปีมาแล้ว ที่ไม่ได้เที่ยวหน้าหนาวแบบนี้ ปีนี้ไหนๆ แล้ว ยังไงก็ต้องลงไปย่ำๆ สัมผัสหิมะให้เต็มที่ซักหน่อย หิมะหนามาก สังเกตบนหลังคาบ้านสิ ขาวโพลนไปหมดเลยจริงๆ

เข้าไปใกล้ๆ ก็จะรู้ว่าเป็นที่เก็บไม้ฟืนที่ใช้ก่อไฟในเตาผิง เพิ่มความอบอุ่นในฤดูหนาว แต่ว่าตอนนี้ไม้มันเปียกหิมะหมดแล้วอ้ะ แล้วจะยังใช้ได้อยู่มั้ยเนี่ย

มองไปเห็นภูเขาหิมะอยู่ไกลๆ

ยังเดินเล่นอยู่ที่เดิม ชอบมาก ถึงแม้ว่าอากาศจะหนาวมากถึง -9 องศา แต่เห็นท้องฟ้าสดใสอย่างนี้ แล้วก็อากาศสดชื่นมากๆ เลย เดินเพลินจนลืมหนาวไปได้เหมือนกัน

หิมะหนามากๆๆๆๆๆๆ

ลานหิมะกว้างๆ รูปสุดท้ายบนเส้นทางขากลับจาก Chamonix มาที่ Martigny

ตอนนี้เรากลับมาอยู่แถวๆ เมือง Martigny อีกครั้ง พอเข้าเขตตัวเมืองที่อยู่ต่ำลงมาหน่อย อากาศก็จะอุ่นขึ้น ตามไหล่เขาก็จะมีการทำไร่ไวน์ในหน้าร้อน ตอนที่เราไป เรายังเห็นเพียงแค่ไร่โล่งๆ ที่ถูกตัดแล้วก็เตรียมปรับสภาพดินไว้ปลูกในหน้าร้อนถัดไป 

กลับเข้ามาสู่ Autobahn อีกครั้ง คราวนี้กำลังจะมุ่งหน้าไปเที่ยวที่เมือง Cran-Montana บนถนนใหญ่เส้นนี้จอดรถถ่ายรูปไม่ได้ อันนี้ถ่ายจากในรถ

รูปสุดท้ายบน Autobahn ก่อนที่จะแยกเข้าสู่ถนนสายเล็กอีกครั้งเพื่อไปต่อยังเมือง Cran-Montana 

หิมะในบางเขตที่อยู่ไม่สูงมากนักเริ่มละลาย

ทางแยกเลี้ยวเข้าบ้านที่อยู่ริมทาง ถ้าได้อยู่ย้านอย่างนี้น่าจะมีความสุขเหมือนกันนะเนี่ย ดูเงียบสงบไม่วุ่นวายดีจัง เห็นแล้วอยากมีซักหลัง 

ตรงนี้ก็จอดรถเดินเล่นอยู่นานพอสมควร เดินเล่นก็คือเดินลงไปตามถนนเจ้าบ้านคนนั่นแหละ ตอนเดินขึ้นเขามาที่รถก็เหนื่อยเอาการ

เดินเล่นถ่ายรูปสบายใจ อันนี้ซูมๆ มาฝาก

เลื่อนมุมกล้องไปเรื่อยๆ

แพทเทริ์นของต้นไม้แบบที่สุดแสนคลาสสิคในฤดูหนาว

สถานที่ถ่ายทำ คือ บริเวณเดิม ยังไม่ไปถึงไหนเลย สวยทุกที่ บางทีมานั่งคิดๆ ดู สวิสนี่ ไม่ต้องไปที่ดังๆ แพงๆ ก็ได้ สวยเหมือนกันหมด 

นานพอสมควรเลยที่เราหยุดแวะเที่ยวกันที่นี่ แต่ก็สวยสมใจอยาก 

รูปนี้ชอบเป็นพิเศษ ทั้งๆ ที่วิวดูๆ แล้วก็ไม่มีอะไรเลย แต่ชอบแสง แล้วก็องค์ประกอบของภาพ เลยเอาไว้ให้ดูกันเป็นรูปสุดท้าย ก่อนที่จะพาไปเที่ยว Cran-Montana 

ในที่สุด หลังจากที่จอดแวะถ่ายบ่อยมากๆ เราก็มาถึงเมือง Cran-Montana จนได้ ตรงนี้ถ่ายจากลานจอดรถ จอดฟรี ไม่เสียเงิน แต่วนอยู่สามรอบกว่าจะหาที่เสียบแทนรถคันที่เพิ่งออกไปได้

ลานกว้างๆ ที่เห็นในรูปเป็นทะเลสาบ แต่ตอนนี้น้ำในทะเลสาบกลายเป็นน้ำแข็งไปหมดแล้ว เลยมีคนเอาเลื่อนมาเล่นกับลูกๆ เยอะเหมือนกัน ส่วนที่สูงขึ้นไปหน่อยเป็นที่เล่นสเก็ต

 ทะเลสาบใหญ่เหมือนกัน เอารูปเด็กเล่นเลื่อนมาให้ดู 

โรงแรมสองหลังนี้ เจอแดดเต็มๆ ใครจะมารับแดดก็รีบออกมาเลย เผลอแป็บเดียวแดดก็หุบหมดแล้ว

ตอนแรกเราจอดรถไว้ตรงทางเข้าตัวเมือง เห็นว่าตัวเมืองน่าสนใจดี ก็เลยขับรถออกมาหาที่จอดในตัวเมือง แต่ว่ารถติดมาก ไม่น่าเชื่อเลย รถเต็มไปหมด แน่น หาที่จอดไม่ได้เลย จะเลี้ยวกลับไปจอดที่เดิมก็ไม่ได้แล้วเพราะว่าเป็นวันเวย์ ติดอยู่ประมาณเกือบยี่สิบนาที พอหาที่จอดรถได้ แดดหุบหมดเลย เหลือแสงแค่นี้เองอ้ะ

ลานกว้างๆ ที่เห็นนี้ ไม่แน่ใจว่าเป็นทะเลสาบรึเปล่า ในเมืองนี้ มีทะเลสาบตั้งสามลูกแน่ะ แต่ว่าตอนนี้เป็นน้ำแข็งไปหมดเลย

ที่ว่าไม่แน่ใจว่าเป็นทะเลสาบรึเปล่าก็เพราะว่า ตอนหน้าร้อนเมืองนี้ก็มีชื่อเสียงเรื่องการเป็นสวรรค์ของนักไดรฟ์กอล์ฟเหมือนกัน ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นสนามกอล์ฟก็ได้ เห็นมีเนินแล้วก็มีธงปักอยู่

อันนี้เป็นรูปสุดท้ายของวันนี้แล้ว เป็นร้านอาหารริมทางระหว่างขับรถลงเขากลับบ้าน