Letter from Lisbon ฉบับที่ 3 สวัสดีจ้ะ เพื่อนรัก 27 ธันวาคม 2549 จริงๆ แล้ววันนี้เป็นวันที่ 4 ซึ่งเป็นวันสุดท้ายในลิสบอน เมืองหลวงของโปรตุเกสล่ะนะ บ่ายวันนี้ชั้นจะนั่งเครื่องบินกลับเยอรมันแล้วนะแก อ๊ะๆ แต่อย่างเพิ่งงงว่าวันที่ 3 หายไปไหน ทำไมชั้นไม่เขียนจดกมายของวันที่ 3 ถึงแก สาเหตุก็เป็นเพราะว่า โปรแกรมของวันที่ 3 มันไม่ค่อยมีอะไรมากนัก ชั้นก็แค่ไปเที่ยวเมือง Sintra (ซินทรา) อีกรอบแล้วก็ไปเดินเล่นในเมืองนิดหน่อย ชั้นก็เลยยกนวบยอดมาเขียนรวมกับวันที่ 4 เลยไง เอาเป็นว่าเริ่มเล่าของวันที่ 3 ในสิลบอนก่อนก็แล้วกัน วันที่ 3 ของทริปนี้ (26 ธันวาคม 2549) ก็อย่างที่เกริ่นให้อ่านตั้งแต่ต้น วันนี้ชั้นจะไปเที่ยวเมืองซินทรากัน ส่วนอาหารเช้าก็เหมือนเดิน การเดินทางจากโรงแรมมาเมืองซินทราก็เหมือนเมื่อวานอีกนั่นแหละ ชั้นก็เลยขี้เกียจเล่าซ้ำแล้วล่ะ เอาเป็นว่าตอนนี้ชั้นก็พาแกมายืนอยู่ที่สถานีรถไฟเมืองซินทราเลยแล้วกันนะ เฮ้อ บรรยากาศวันนี้ค่อยครึกครื้นกว่าเมื่อวานนิดนึง แต่ก็แค่นิดเดียวเท่านั้นจริงๆ นะ มีนักท่องเที่ยวบ้าง แต่ก็ไม่มากเท่าไหร่ แกลองจินตนาการดูก็แล้วกัน เอาเป็นประมาณว่าน้อยกว่าคนที่ยืนรอต่อแถวเข้าชมพิพิธภัณฑ์ลุฟฟ์ หรือพระราชวังแวร์ซายส์ซัก 10 เท่าล่ะมั้ง แต่ก็ดีเหมือนกัน ไม่วุ่นวายดี แต่ก็เสียวอีกเหมือนกันว่าวันนี้จะมีรถเมล์พาเราไปชามปราสาท Palacio de Pena หรือที่เรียกว่า Pena National Palace รึเปล่า จากสถานีรถไฟ เราก็ไปขึ้นรถบัสต่อไปยังปราสาทเลย เจ้าหน้าที่บอกว่ามีรถแล่น อ๊ะๆ อย่างเพิ่งดีใจ เนื่องจากวันนี้ยังถือว่าเป็นวันหยุดคาบเกี่บววันคริสมาสต์อยู่ ปราสาทก็เลยเปิดให้ชมแต่ส่วนที่เป็นสวน กับประตูชั้นแรก ที่จะเห็นแต่ด้านนอกของปราสาทเท่านั้น ส่วนด้านในของปราสาทไม่เปิด แต่อย่างไรก็ตามชั้นก็ตัดสินใจที่จะไปดูอยู่ดี ก็มาถึงที่แล้วนี่เนอะ ทำไงได้ หลังจากเสียตังค์ค่ารถเมล์ไป-กลับคนละ 3.50 ยูโร รถเมลล์ก็พาชั้นและเพื่อนร่วมทางคนอื่นๆ ที่ไม่รู้จักกันประมาณ 10 กว่าคน (ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นคนเอเชีย) ผ่านเส้นทางเล็กๆ ที่รถบัสสวนกันไม่ได้ ขึ้นเขาที่สูงชัน มาจนถึงหน้าประตูกปราสาทล่ะ จากนั้นก็จ่ายค่าเข้าอีกคนละประมาณ 3 ยูโรมั้งเพื่อเป็นค่าผ่านประตู โอโห ด้านในสวนกว้างขวางดีแท้ ปราสาทแห่งนี้เป็นปราสาทที่สร้างอยู่บนภูเขาสูง ดังนั้นสวนในอาณาบริเวณนี้ก็จะมีลักษณะเป็นเนินสูงๆ ต่ำๆ สลับกันไป ชั้นก็หันซ้ายมองขวา เอ ทำไมไม่เห็นปราสาทซักทีฟระ อ้าวแล้วเพื่อนร่วมทางที่มาด้วยกันเค้าหายไปไหนกันหมด อ้อ นั่นเอง มีรถเมล์รางคันเล็กๆ จอดอยู่ตรงโน้นแน่ะ บางคนก็เดินไปขึ้นรถ แต่บางคนก็เดินหาบเข้าไปในสวน ชั้นเลยเดินไปถามพนักงานขับรถ ปรากฏว่า ถ้าจะไปปราสาทต้องเดินขึ้นเขาต่อไปอีก แต่ถ้านั่งรถรางก็ต้องจ่ายเงินอีดคนละ 1 ยูโร ด้วยความขี้เกียจก็เลยจ่ายตังค์เค้าไป แล้วนั่งสบายๆ ไปจนถึงหน้าปราสาท แต่นแต๊น ถึงแล้วจ้า Pena National Palace เป็นไงล่ะ อึ้ง ตะลึง ไม่คิดใช่มั้ยล่ะ ว่าปราสาทจะมีสีสันฉูดฉาดอะไรปานนั้น แกลองดูรูปสิ ![]() ![]() Pena National Palace หรือ Palacio Nicional de Pena สร้างขึ้นบนยอดเขาที่สูงที่สุดของเมือง Sintra เลยเชียวนะ ตอนสมัยก่อนโน้น บริเวฯพื้นที่ตรงเนี้ยเป็นแค่โบสถ์เก่าๆ หลังนึงเท่านั้นเอง แต่ตอนที่เกิดแผ่นดินไหวในปี ค.ศ. 1755 น่ะ ทุกอย่างในลิสบอนก็ถูกทำลายลงหมดเลย ความรุนแรงของแผ่นดินไหลก็แนงมาถึงที่นี่แน่ะ โบสถ์เก่าหลังนี้ก็เลยเหลือแต่ซาก มีก็แต่เพียงห้องสวดมนต์เท่านั้นที่ไม่ถูกทำลายลงไป ต่อมาก็มีเจ้าชายรูปงามองค์หนึ่ง ชื่อว่า D. Fernando of Saxe Coburg-Gotha มาเดินเล่นในเมือง Sintra แล้วก็เกิดหลงรักเมืองนี้ขึ้นมา ก็เลยมาสร้างปราสาทแห่งนี้ในประมาณราวปี ค.ศ. 1838 แทนที่โบสถ์เดินที่ถูกทำลายไป เจ้าช่นองค์นี้ ภายหลังก็ได้ขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์ปกครองประเทศโปรตุเกสเป็นเวลานานหลายปี (นิทานของชั้น จบแบบ Happy Ending มั้ยแก) ถ้าแกลองเปรียบเทียบปราสาทนี้กับปราสาทอื่นๆ ในยุโรปน่ะ แกจะเห็นว่ามันต่างจากปราสาทอื่นๆ มากๆ เลยนะ ก็เพราะว่าปราสาทเนี้ยเป็นศิลปะแบบ Manueline ฮ่าๆๆ ไม่รู้จักใช้ป่ะ ชั้นก็ไม่รู้จักเหมือนกัน แต่ในฐานะเพื่อนที่ดีก็เลยต้องไปกระเสือกกระสนมาเล่าให้แกฟัง Manueline เป็นศิลปะในยุคปลายๆ ของโกธิค เข้าสู่ช่วงต้นของยุคเรเนสซองส์ นิยมสร้างกันแพร่หลายในโปรตุเกส สเปน เป็นศิลปะที่เป็นการผสมผสานกันของพวกชนเผ่ามัวร์ อิลสาม แล้วก็โกธิค เอาเป็นว่า รู้แค่นี้ก็พอล่ะ อย่าง โบสถ์ใหญ่ในเมืองลิสบอน แล้วก็ Belem ที่ชั้นเล่าให้แกฟังตั้งแต่วันแรกก็เป็นศิลปะแบบ Manueline ด้วยเหมือนกัน ครั้งแรกที่ชั้นเห็นปราสาทหลังนี้นะแก ชั้นก็นึกถึงปราสาทนอบชวานสไตน์ในเยอรมันเลยนะแก ชั้นว่ามันก็มีส่วนคล้ายๆ กันเหมือนกันนะ แกคิดเหมือนชั้นมั้ย พอกลับมาอ่านดู ปรากฏว่าปราสาทหลังนี้ได้ชื่อว่าเป็นนอยชวานสไตล์แห่งโปรตุเกสจริงๆ ด้วยล่ะ แต่ว่าปราสาทนี้สร้างก่อนปราสาทนอยชวานสไตล์ตั้ง 30 ปีเชียวนะ น่าเสียดายที่วันนี้เค้าไม่เปิดให้เข้าไปชมด้านใน ก็เลยไม่มีรูปด้านในปราสาทมาเม้าท์ให้แกฟัง เอาเป็นว่าโชคดีที่เจ้าชายคนสร้างปราสาทเค้ายังสร้างสวนที่มีพืชพันธ์หลายชนิดไว้ให้ชั้นไปเดิมชม ถ้าเค้าไม่สร้างเอาไว้ ชั้นคงต้องนั่งรถกลับตั้งแต่ 20 นาทีแรกที่มาถึง สวนที่นี่ ขอบอกใหญ่มาก เป็นสวนที่สร้างไว้บนเนินเขา จากจุดนี้ชั้นก็จะพาแกไปดูปราสาทนี้แบบเต็มๆ กันล่ะนะ ต้องเดินลัดเลาะสวนนี้ตั้งนาน แถมยังต้องปีนขึ้นไปบนยอดเขาอีก โอ้ ลำบากมากมาย สูงก็สูง กลัวตกชะมัด แต่ไหนๆ ก็มาแล้ว ต้องไปถ่ายมาให้ได้ ![]() จากปราสาทแห่งนี้ชั้นก็นั่งรถกลับมาที่ตัวเมือง Sintra ล่ะ ในตัวเมืองก็มีปราสาทที่น่าสนใจอีกอันซึ่งซึ่งมีประวัติยาวนานกว่า Pena National Palace ซะอีก ปราสาทที่ว่านี้ก็คือ Sintra National Palace ที่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง Sintra ด้วยความที่ทั้ง 2 ปราสาทมีประว้ติศาสตร์ที่น่ามนใจ ทางองค์การยูเนสโก ก็เลยจัดให้ทั้ง 2 ปราสาทเป็นส่วนหนึ่งของมะดกโลกทางวัฒนธรรมของเมือง Sintra (Cultural Landscape of Sintra) ![]() Sintra National Palace ถูกสร้างขึ้นตังแต่สมัยที่มีชาวมัวร์อพยพเข้ามาอยู่ในโปรตุเกสในช่วงศตวรรษที่ 15 โน่นแน่ะ ต่อมาก็มีการเปลี่ยนแปลงผู้ปกครองเมืองพร้อมกับการต่อเติมปราสาทนี้ขึ้นมาใหม่เรื่อยๆ ปราสาทแห่งนี้ก็เลยมีศิลปะของชาวมัวร์แบบดั้งเดิมผสมผสานกับศิลปะแบบ Manueline ปราสาทหลังนี้ถูกใช้เป็นที่อยู่ของกษัตริย์หลายๆ คนของโปรตุเกส จนกระทั่งระบบกษัตริย์ค่อยๆ ล่มสลายไปปราสาทแห่งนี้ก็เลยกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวให้ชั้นได้มาเที่ยวอยู่นี่แหละ ตอนนี้ชั้นจะเดินกลับไปที่สถานีรถไฟแล้วนะแก ระยะทางระหว่าง Sintra national palace ไปสถานีรถไฟก็แค่ประมาณ 1 กิโลเมตร เลยเดินไปดีกว่า ขี้เกียจรอรถ ระหว่างทางก็เดินผ่านอ่างน้ำพุ เรียกว่าอ่านน่ะถูกต้องแล้ว เพราะว่ามันไม่ใช่น้ำพุที่พุ่งออกมาจากใต้ดินแบบสูงๆ ที่เคยเห็นอ้ะ ลองดูในรูปดิ แล้วแกก็ลองคิดดูดิ๊ว่า ชั้นควรจะเรียกเจ้านี่ว่าอะไรดี ![]() เห็นไอ้กลมๆ ตรงกลางนั่นเปล่า นั่นแหละ มันเคยมีน้ำพุมาก่อน อันนีเป็นบ่อน้ำพุที่สร้างขึ้นมาตั้งแต่สมัยของชาวมัวร์เลยนะ แกว่ามะ มันดูเป็นแบบแขกๆ เนอะ แปลกไปอีกแบบเหมือนกัน ก็เงี้ยแหละนะ ประเทศเค้าอยู่ตรงชายฝั่งมหาสมุทรแอตแลนติก พอข้ามมหาสมุทรไปก็เป็นพวกชาวโมรอคโค สงสัยสมัยไปล่าอาณานิคมก็เลยได้รับอิทธิพลมาเนอะ (ป.ล. อันนี้ชั้นคิดเอาเองนะแก อย่าเชื่อมากนัก) เอาล่ะก่อนกลับไปที่ลิสบอนก็ถ่ายภาพนี้ทิ้งท้ายเมือง Sintra มาให้แกดูเป็นรูปสุดท้ายละกัน ![]() มาถึงสถานีรถไฟใจกลางเมืองลิสบอน ชั้นก็เดินขึ้นเล่นไปเรื่อยๆ ไม่มีอะไรมาก ก็แค่เดินตามถ่ายรูปสวยๆ ที่เห็นเห็นตามโปสดาร์ดที่วางขายตามร้านค้าในตัวเมือง หรือที่เห็นในหนังสือท่องเที่ยว จากสถานีรถไฟชั้นก็เดินตามถนน Avenida daLiberdade ซึ่งเป็นถนนสายที่ชั้นคิดเอาเองว่าใหญ่ที่สุดในลิสบอนขึ้นเนิมาเรื่อยๆ จนมาเจอ Praque Eduardo VII จากมุมนี้ถ้ามองไปทางมหาสมุทรแอตแลนติกก็จะเห็ยสภาพบ้านเมืองบางส่วนของลิสบอน โดยมีมหาสมุทรแอตแลนติกเป็นแบล็คกราวน์ แบบรูปล่างสุดของรูปที่เห็นข้างล่างเนี้ยแหละ ![]() น่าเสียดายที่ชั้นมาถึงตอนบ่าย เวลาถ่ายถ่ายรูปก็เลยย้อนแสงนิดหน่อย แกก็จินตนาการเองก็แล้วกันนะว่าด้านหลังที่เห็นเป็นสีฟ้าอ่อนมากๆ นั่นล่ะ มหาสมุทรแอตแลนติก สวนนี้เป็นสวนที่ใหญ่ที่สุดในตัวเมืองลิสบอนเลยนะ แต่ว่ากล้องชั้นเก็บรูปมาให้แกดูไม่หมดอ้ะ ขด้านหญ้าของสนามหญ้าก็มีทางเดินเล็กๆ ทั้งสองข้าง เค้าสร้างให้ดูสมมาตรน่ะ เนี่ยว่านะ ตอนหน้าร้อนต้องมีหนุ่มๆ สาวๆ ออกมานอนอาบแดดกันตรึมแน่ๆ เลยอ้ะ น่าเสียดายจังมาหน้าหนาว สวนเลยโล่งโหลงเหลงอดดูชายหนุ่มมานอนอาบแดด เออ แกรู้เปล่าว่า ชื่อของสวนนี้เป็นชื่อของกศัตริย์ของอังกฤษเชียวนะ เป็นกษัตริย์ที่แวะมาเที่ยวเมืองลิสบอนเมื่อตอนปี 1903 โน่นแน่ะ ส่วนอีก 2 รูปที่อยู่ข้างบนก็ไม่รู้ว่าเป็นอะไร เห็นสวยดี ตั้งอยู่ใกล้ๆ กับจุดที่ยืนอยู่ เลยถ่ายมาแบ่งกันดู จะเดินถนนสายเดิมกลับเข้าเมืองล่ะนะ พอใกล้ๆ จะถึงตัวเมืองก็เห็นลานกว้างๆ ก็เลยไปยืนกลางลาน แล้วก็หมุนรอบตัว ถ่ายทุกมุมมาให้แกดู รูปแรกก็เป็นมุมมองที่จะเห็นบ้านเรือยที่ตั้งอยู่บนเนินเขาของเมืองลิสบอน เห็นต้นไม้สีเขียวๆ นั่นมั้ยล่ะ ตรงนั้นก็ที่เมืองวานชั้นเดินขึ้นไปดูวิวแล้วถ่ายรูปมาให้แกดู ส่วนรูปกลางก็เป็นรูปน้ำพุที่ตั้งเด่นอยู่กลางลานกว้าง รูปที่สามก็มีธงชาติโปรตุเกสอยู่ตรงกลาง มีน้ำพุอันจิ๋วด้วย ไม่รู้ว่าสร้างเป็นอนุสรณ์อะไรรึเปล่า ห้ามถาม ดูรูปอย่างเดียวพอ ![]() เดินเล่นต่อไปที่แถวๆ เขต Alfama จริงๆ แล้วเมื่อวานก็ไปเดินมาแล้ว แต่เห็นว่าแดดยังดี เวลายังเหลือ ไม่รู้จะไปไหน ก็เลยไปเดินเล่นอีกรอบก่อนกลับโรงแรม เอารูปนี้ไปดูก็แล้วกันนะ ![]() วันสุดท้ายของทริป (27 ธันวาคม) เฮ้อ วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่ชั้นจะได้เที่ยวลิสบินแล้วนะแก โชคดีชะมัดมาถึงที่นี่อากาศดีทุกวันเลย ตัดสินใจถูกจริงๆ ที่หนีเย็นมาพึ่งร้อนที่นี่ วันนี้ตื่นขึ้นมาชั้นก็จัดการเก็บข้าวเก็บของลงกระเป๋าให้เรียบร้อย กินข้าวเช้า แล้วก็เชคเอ๊าท์ เอากระเป๋าลงมาฝากที่ Reception ก่อนที่จะออกไปเดินเล่นทิ้งท้ายอีกรอบ จริงๆ ก็เที่ยวหมดแล้วล่ะแก แต่ว่าจะให้รออยู่ที่โรงแรมเฉยๆ จนถึงบ่ายสองก็เบื่อตายเลย ออกมาเดินดีกว่า เพราะเดี๋ยวก็ต้องไปนั่งจุ้มปุ๊กอยู่บนเครื่องบินอีกเกือบ 5 ชั่วโมง เอ่อ จริงๆ แล้ววันนี้ก็ไม่มีอะไรจะเล่าอ้ะ นี่ไงล่ะ สาเหตุที่ชั้นเก็บเอาเรื่องราวของเมื่อวานมาเขียนรวบยอดในจดหมายฉบับนี้ เอารูปไปดูเล่นๆ ก็แล้วกัน ![]() มาถึงรูปสุดท้ายละนะ อันนี้เค้าก็ว่าเป็นพระราชวังของพวกแขกอ้ะ ตั้งอยู่บนถนนเส้นเล็กๆ ในย่านแขก (แขกในที่นี้ไม่ใช่แขกแบบอาหรับนะ แต่เป็นแขกโมรอคโคอ้ะ) บนถนนเส้นนี้มีร้านขายอาหารแขกเต็มไปหมด แล้วก็จะมีพวกบริกรมายืนเรียกลูกค้าให้เข้าร้านด้วย แต่กว่าจะหาไอ้พระราชวังแขกที่ว่าเจอก็เดินวนอยู่ตั้งนาน จริงๆ แล้วก็เดินผ่านมาหลายรอบล่ะ แต่ไม่รู้ว่าเป็นที่ท่องเที่ยว เพราะว่าตัวตึกมันก็เป็นแค่ตึกแถวธรรมดาตั้งติดกับร้านอาหารนั่นแหละ ถามคนแถวนั้นตั้งหลายคนกว่าจะเจอ ไปดูรูปพระราชวังแขกปิดท้ายก็แล้วกัน ![]() พระราชวังแขกก็สวยดีเหมือนกันเนอะแกเนอะ ฝาผนังจะประดับประดาไปด้วยกระเบื้องโมเสกหลายสีเต็มไปหมดเลย ไปจริงๆ ล่ะแก ก็ไปส่งจดหมายสามฉบับนี้ให้แกอ่านไง ยังก็ขอให้อ่านจดหมายให้สนุก แล้วถ้ามีโอกาศแกจะมาหาชั้นที่เยอรมันบ้างก็ได้นะ ชั้นจะแนะนำที่เที่ยวให้ บ๊าบ บาย ยัยแก้ว ตามมาเที่ยวค่ะ รูปสวยจัง
![]() โดย: rambujan
![]() |
Yai Kaew
![]() ![]() ![]() ![]() ![]()
Group Blog
|
||||
Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved. |