Letter from Lisbon ฉบับที่ 2 หวัดดี ชั้นกลับมาเขียนจดหมายถึงแกต่อล่ะนะ โทษทีที่หายหน้าไปซะหลายวัน แกคงไม่ว่าอะไรนะ แต่ชั้นสัญญาว่าชั้นจะเขียนเล่าเรื่องตอนที่ชั้นไปเที่ยวให้แกอ่านให้ครบทุกตอน ไม่ให้มีขนาดตกบกพร่องเลย เริ่มเรื่องกันดีกว่า 25 ธันวาคม 2549 ฮ้าววว ชั้นตื่นแล้วล่ะแก วันนี้ตื่นตั้งแต่ 7 โมงเช้า กะว่าจะไปสวาปามอาหารเช้าของโรงแรมแล้วก็จะได้รีบออกเดินทาง โอ้โห อย่าให้เซด (said) เลยว่ะ อาหารเช้าทำไมมันมากมายขนาดนี้ฟระเนี่ย ก็บอกแล้วว่าโรมแรมนี้หรูที่สุดเท่าที่ชั้นเคยไปเลยไง ก็เลยตื่นตาตื่นตากับอาการเช้าอยู่พอสมควร ห้องอาการก็ดูดี๊ ดูดี จนชั้นต้องเดินนั่งแบบกระมิดกระเมี้ยน ผู้ดีหน่อย เดี๋ยวพนักงานเสริ์ฟเค้าจะว่าเอา พอนั่งปุ๊บนะแก ก็มีพนักงานเดินมาถามว่า จะรับชา กาแฟดีคะ แต่เด็กดีอย่างชั้นก็สั่งแต่ชอคโกแลตร้อนไปน่ะ หลังจากที่สั่งไปแล้วชั้นก็เดินสำรวจอาหารเช้า มีทั้งแบบขนมปังก้อนแข็งแบบที่มีขายทั่วไปในประเทศเยอรมัน ซึ่งเป็นแบบที่ชั้นคุ้นเคยที่สุด มีทั้งขนมปังแผ่นแบบอเมริกัน แซนวิช นอกจากนั้นก็ยังมีครัวซองต์ ขนมปังลูกเกด พายแบบต่างๆ เดินสำรวจต่อไปอีกด้านหนึ่งก็จะมีข้าวผัดแบบจีน ซุป ไข่ดาว ไข่คน ส่วนมุมเนื้อก็จะมีพวกไว้กรอกรมควันชนิดต่างๆ แฮม เบคอน ไก่ทอด โอย ทำไมมันสารพัดอย่างขนาดนี้เนี่ย พอตักอาหารใส่จานมานั่งที่โต๊ะ พนักงานก็เอาชอคโกแลตร้อนมาเสริ์ฟพอดี แถมสั่งเครื่องดื่มต่อได้อีก ทานอาหารเช้าเสร็จก็ทางผลไม้ล้างปากพอเป็นพิธี เสร็จแล้วก็เตรียมตัวออกเดินทางได้ เพราะนี่ก็เก้าโมงกว่าๆ แล้วล่ะ พอออกจากโรงแรมปุ๊บ ชั้นก็เดินไปที่สถานีรถไฟเลยแก วันนี้ไม่หลง เพราะว่าเมื่อวานตอนหลงทางหนแรกก็เดินสำรวจเส้นทางซะชำนาญหมดแล้ว วันนี้เราจะเมือง Sintra กันนะแก เมือง Sintra เนี่ยอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของลิสบอนประมาณ 30 กิโลเมตร ถ้านั่งรถไฟจากแถวๆ โรงแรมก็ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงน่ะ เออ แต่ที่นี่ดีนะ ค่ารถไม่แพงเหลย ซื้อตั๋วไปกลับก็ประมาณ 5 ยูโร นั่งรถชมบ้านเมืองเค้าไปเรื่อยๆ แป๊บเดียวก็ถึงแล้ว นี่ๆ รู้เปล่า ระกว่างทางชั้นนั่งรถผ่านสนามฟุตบอลของทีมเบนฟิก้าด้วยล่ะ แต่ว่าแกคงไม่รู้จักหรอก ก็แกไม่ได้ดูบอลนี่เนอะ 30 นาทีผ่านไป ไวเหมือนโกหก ตอนนี้ชั้นมาถึงเมืองซินทราแล้วนะ เดินจากสถานีรถไฟแค่ 10 นาทีก็ถึงตัวเมืองแล้วล่ะแก แต่ว่าบรรยากาศในเมืองนี้ทำไมมันช่างเงียบเหงาวังเวงอย่างนี้ฟระ มีนักท่องเที่ยวนับคนได้ ดูเหมือนไม่ใช่เมืองท่องเที่ยวสำคัญที่ในหนังสือแนะนำให้มาเลยอ้ะ ในหนังสือบอกว่า เมืองนี้เนี่ยเป็นเมืองแห่งการนั่งรถตระเวณชมปราสาท พระราชวังเลยนะ เค้าว่ามีปราสาทให้ชมทั่วเมืองเลย แต่ที่เด่นๆ ที่ชั้นอยากจะไปก็ คือ Palacio de Pena แต่ว่าจากในตัวเมืองเนี่ย ต้องนั่งรถออกไปอีกประมาณ 20 นาที ชั้นก็เลยเดินไปรอรถที่ป้ายรถเมล์ แต่ รอแล้วรอเล่า ไม่เห็นใครมายืนรอรถเมลล์เป็นเพื่อนชั้นเลย มันผิดปกติเมืองท่องเที่ยวนะเนี่ย ก็เลยตัดสินใจเดินไปถามร้านขายของฝั่งตรงข้าม ปรากฏว่า วันนี้ปราสาทมันปิด แล้วมันเป็นวันหยุด ไม่มีรถแล่น แป่วววววววว เอาแล้วมั๊ยล่ะ ความซวยมาเยือนตั้งแต่เช้า โธ่ ตรูอุตส่าห์ถ่อสังขารมา แล้วจะทำยังไงดีเนี่ย แต่ก็เอาวะ ไหนๆ ก็ (เสียค่ารถไฟ) มาถึงที่นี่แล้ว เดินเที่ยวซักหน่อยก็แล้วกัน แล้วค่อยนั่งรถกลับไปเที่ยวที่ลิสบอนตอนบ่าย แล้วถ้าพรุ่งนี้มีรถวิ่ง ค่อยมาอีกรอบก็ได้ฟระ (เล่ามาถึงตอนนี้ก็เริ่มหงุดหงิดขึ้นเล็กน้อย) เดินเล่นได้ซักพัก ชักเริ่มเบื่ออ้ะแก เพราะว่าคนมันดูโหวงเหวงไปหมด เลยตัดสินใจนั่งรถกลับตัวเมืองลิสบอน เอาเป็นว่าวันพรุ่งนี้ชั้นจะไปเที่ยวที่เมืองซินทราเผื่อแกอีกรอบแล้วกันนะ พอมาถึงตัวเมืองลิสบอนชั้น ชั้นก็ต้องเริ่มกางหนังสือนำเที่ยวอีกรอบ ดูซิว่าเค้าแนะนำให้ไปไหนบ้าง กวาดสายตาอ่าน 1 รอบ อ้อ เค้าแนะนำให้ไปเดินในเขต Alfama ซึ่งเป็นเขตเมืองเก่ามากๆ ของลิสบอน เส้นทางการเดินก็จะเป็นทางขึ้นเขาซะเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็ไม่หนักหนาสาหัสสากรรจ์มากเท่าไหร่หรอก ขาไปเดินขึ้น ขากลับก็ต้องเดินลง ก็แบบว่า ลำบากในวันนี้เพื่อสบายในวันหน้าไงแก เดินขึ้นแป๊บเดียวก็เห็นโบสถ์นี้ตั้งเด่นเป็นสว่าอยู่ ตอนแรกก็ไม่ได้คิดอะไร เพราะว่าดูโบสถ์ก็ธรรมด๊า ธรรมดา แต่เห็นนักท่องเที่ยวหยุดถ่ายรูปกันเยอะ ก็เลยเอาซะหน่อย โบสถ์ Se Patriarcal เป็นโบสถ์ที่เก่าที่สุดของเมืองลิสบอนเลยนะ สร้างขึ้นมาตั้งแต่สมัย ค.ศ.ที่ 12 แน่ะ แต่เดิมที่ตรงนี้เนี่ย เป็นที่ตั้งของสุเหร่า แต่พอยุคของมุสลิมในลิสบอนเสื่อมลง สุเหร่าก็ถูกทำลาย แล้วก็สร้างโบสถ์นี้ขึ้นมาแทน จากโบสถ์นี้ก็เดินมาขึ้นเนินมาเรื่อยๆ ก็จะเจอจุดชมวิว ที่จะเห็นสภาพบ้านเมืองของลิสบอนแล้วก็มีแบล๊คกราวด์เป็นมหาสมุทรแอตแลนติกในมุมสูงแบบนี้ล่ะแก สวยใช่มั้ยล่ะ ชั้นใช้เวลายืนโพสต์ท่าถ่ายรูปอยู่ตรงนี้เป็นนานสองนานเลยนะแก บรรยากาศตรงนี้ดีมากเลย ถึงแม้ว่าจะมีนักท่องเที่ยวเยอะไปซะหน่อยก็เถอะ แต่ก็ยังพอทำเป็นลืมๆ ไปได้บ้าง เพราะว่า มีศิลปินข้างถนนมาเล่นดนตรีแล้วก็ร้องเพลงให้ฟังเพลินๆ เลยไปคุยกับเค้าซะหน่อย ถามไปถามมา ปรากฏว่าเป็นชาวเยอรมันมาเที่ยวลิสบอน แต่เป็นไงมาไงไม่รู้ มาบอกชั้นว่าทำของหาย เลยต้องมาเล่นดนตรีหาเงินประมาณนี้แหละ จากมุมที่ชั้นยืนอยู่ตรงนี้ ถ้าหันหน้าไปทางซ้ายนิดหนึ่ง ก็จะไม่เห็นมหาสมุทรแล้วล่ะ แต่จะเห็นตึกหอคอยคู่ตั้งอยู่บนเนินเขาแบบนี้ จริงๆ แล้วตึกที่ว่ามันคืออะไรชั้นก็ไม่รู้หรอก แกอย่าเพิ่งมาว่าชั้นนะ ชั้นขี้เกียจอ่านอ้ะ แล้วก็หาไม่เจอด้วย แค่เห็นว่ามันสวยดีเฉยๆ ก็เลยถ่ายรูปมาฝากแกน่ะ เผื่อว่าแกจะอยากมาเที่ยวที่นี่บ้าง ในความรู้สึกของชั้นเนี่ยนะ ลิสบอนเป็นเมืองหลวงที่มีอะไรแตกต่างไปจากเมืองหลวงอื่นๆ ของยุโรปอย่างเบอร์ลิน หรือว่าปารีสเยอะเหมือนกันนะแก โดยเฉพาะอย่างยิ่งความแตกต่างทางวัฒนธรรม สังเกตจากสิ่งปลูกสร้างส่วนใหญ่จะการผสมผสานศิลปะแบบ Moorish ซึ่งเป็นของชนเผ่า Moor ที่นับถือศาสนาอิสลามแล้วย้ายข้ามเขตจากประเทศโมรอคโคมาอย่ในแถบสเปนและโปรตุเกสเมื่อนานมาแล้ว เอาล่ะ ถ้าจะให้เล่าต่อแบบลึกๆ ชั้นก็ไม่ค่อยรู้เรื่องหรอกนะ เดี๋ยวพาแกเดินไปจุดชมวิวต่อดีกว่า ชมวิวกันพอหอมปากหอมคอแล้วนะ เดี๋ยวชั้นจะพาแกไปเดินเล่นที่ Castle of Sao Jorge ซึ่งตั้งอยู่บนเนินเขาสูงที่สุดใจกลางเมืองลิสบอน แต่ว่าเดินจากตรงที่ชั้นยืนอยู่นี่ไปก็ไม่ไกลเท่าไหร่หรอก นี่ไง Castle de Sao Jorge (ไอ้ที่เป็นตึกหินๆ ที่อยู่บนเนินเขานั่นแหละ) อันนี้เป็นมุมที่มองมาจากตัวเมืองลิสบิน ชั้นมาให้แกดู แกจะได้นึกภาพออกว่า ไอ้เจ้าปราสาทนี้มันอยู่สูงขนาดไหน ปราสาทอันนี้ก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของสิ่งก่อสร้างแบบ Moorish จริงๆ แล้วปราสาทนี้มีตั้งแต่สมัยโรมันโน่นแน่ะ (แกลองสังเกตดูซิว่า ถ้าสิ่งก่อสร้างที่ทำจากหินก้อนใหญ่ๆ น่ะ ส่วนมากจะสร้างมาตั้งแต่สมัยโรมันทั้งนั้นแหละ) แต่ในสมัยศตวรรษที่ 12-13 ชาว Moor ก็ได้มาตั้งรกรากที่นี่ แล้วก็มีการก่อสร้างเพิ่มเติมจนกลายเป็นศิลปะแบบ Moorish อย่างทุกวันนี้ ปราสาทแห่งนี้เนี่ยเป็นที่อยู่ของกษัตริย์โปรตุเกสในสมัยนั้นจนกระทั่งปี ค.ศ. 1511 ก็ได้เปลี่ยนไปใช้เป็นป้อมปราการสำหรับเก็บอาวุธปืน และใช้เป็นที่คุมขังนักโทษ ชั้นว่ากษัตริย์ไม่น่าจะมาอยู่ที่นี่ได้เลยนะแก แกลองเปรียบเที่ยบที่นี่กับพระราชวังแวร์ซายส์ หรือปราสาทนอยชวานชไตน์ดูดิ ที่นี่มีแต่หินเป็นไปหมด ดูไม่ค่อยมีความงดงามอลังการเท่าไหร่เลยอ้ะ ชั้นว่าเปลี่ยนมาใช้เป็นป้อมปราการนี่เป็นความคิดที่ดีมากเลยล่ะ เออ แต่แปลกแฮะที่วันนี้ปราสาทนี้กลับเปิดให้เข้ามาชมฟรี ทั้งๆ ที่สถานที่ท่องเที่ยวที่อื่นปิดหมด แหมมมมม ในความโชคร้าย ก็ยังมีความโชคดีให้เห็นบ้างนะเนี่ย ก็ไม่ถือว่าเลวร้ายเกินไป แกว่ามั้ย ชั้นก็เดินชมปราสาทไปเรื่อยๆ แหละแกตามปราสาคนไม่มีอะไรจะทำ เพราะว่าที่นี่ก็เป็นโปรแกรมสุดท้ายของวันนี้แล้ว จะให้กลับที่พักเลยก็ยังไม่อยากกลับ กลับไปก็ไม่มีอะไรทำ สู้เดินเล่นไปเรื่อยๆ ดีกว่า ชั้นเข้าไปเดินภายในป้อมาเหลี่ยมที่เห็นในรูปข้างบนมาด้วยนะแก ภายในก็มีการเจาะหน้าต่างเอาไว้ สงสัยเอาไว้ส่องข้าศึกที่จะมาบุกรุกซะละมั้ง ชั้นเลยลองมองลอดหน้าต่างออกไปดูบ้าง ตอนนี้ไม่มีข้าศึกแล้วล่ะแก มีแต่วิวสวยๆ แบบนี้ ปราสาทแห่งนี้สร้างขึ้นบนเนื้อที่กว่า 6000 ตารางเมตรเลยนะแก ถ้าลงจากกำแพงปราสาทมาเดินบนพื้นราบของปราสาทบ้างก็จะเจอนักดนตรีมาเป่าฟลุตให้ฟัง พร้อมทั้งขายซีดีด้วย เพราะดีเหมือนกัน มีคนมานั่งเล่นฟังเพลงเย็นๆ ใจเยอะทีเดียว บางส่วนก็มีหินก่อนใหญ่ๆ ตั้งไว้เป็นที่นั่งใต้ร่มเงาไม้แหละแก ไม่รู้ว่าเค้าเพิ่งเอามาตั้ง หรือมีมานั่งแต่สมัยก่อนแล้ว เฮ้อ นี่ก็เย็นมากแล้วล่ะ ทิ้งท้ายปราสาท Sao de Jorge ด้วยรูปนี้แล้วกัน วันนี้ในตัวเมืองครึกครื้นดีอ้ะแก สงสัยว่าเป็นวันคริสมาสพอดีมั้ง เค้าเลยเลยมีการปีดับประดาถนนสายต่างๆ ด้วยไฟรูปร่างสวยงาม ส่วนใหญ่ก็จะเป็นรูปดาว รูปกระดิ่ง ซึ่งก็เป็นรูปทั่วๆ ไปของเทศกาลคริสนั่นแหละนะ ก็ทิ้งท้ายเมืองลิสบอนด้วยสองรูปนี้แล้วกันนะ เดี๋ยวชั้นไปหาอะไรกินก่อนดีกว่า แล้วพรุ่งนี้ช่วยชั้นภาวนาให้ปราสาทในเมืองซินทราเปิดดด้วยนะ จะได้พาแกไปเที่ยวด้วยไง ...Click here to continue reading... สวยมากๆเลบครับ
โดย: MM (ongchai_maewmong ) วันที่: 5 มีนาคม 2551 เวลา:3:49:21 น.
โดย: joblovenuk วันที่: 5 มีนาคม 2551 เวลา:23:00:24 น.
|
Yai Kaew
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 12 คน [?]
Group Blog
|
|||
Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved. |