|
1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 |
8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 |
15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 |
22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 |
|
|
|
|
|
|
|
สวัสดีวันมาฆบูชาค่ะ
ความจริงไม่ได้ตั้งใจจะอัพบลอกเลยเพราะงานยุ่งมากๆ ต้องเตรียมสอบสัมภาษณ์วันพฤหัสนี้ด้วย แต่พอดีเหลือบไปเห็นว่าวันนี้เป็นวันมาฆบูชา เลยขออัพซะหน่อยนะคะ
ธรรมะของแม่ค่ะ
อิทัปปัจจยตา
อิทัปปัจจยตา = ตถตา = เช่นนั้นเอง = เมื่อมีสิ่งนี้เป็นปัจจัย สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น นี่คือ “หัวใจ” ของพุทธศาสนา ที่แท้จริง พระพุทธเจ้าท่านสรุปเรื่องที่ สำคัญทุกๆเรื่องไว้ในคำสั้นๆว่า ตถตา = ความเป็นอย่างนั้น หรือว่า ธรรมธาตุ = เป็นธาตุแห่งธรรม หรือ ธาตุตามธรรมชาติ
อย่าให้อะไรที่เป็นความหมายว่า เป็นตัวตน: ตัวกู ตัวเรา ของเรา ของเขา ของตนขึ้นมา นั่นเป็นอวิชชา - เป็นความโง่ แล้วก็เกิดกิเลส คือ โลภะ โทสะ โมหะ แล้วก็เป็นความทุกข์ (เพราะเกิดปฏิจจสมุปบาทเต็มสาย)
แต่ว่ามันมีสิ่งที่ตรงกันข้ามกับอวิชชา คือ วิชชา - แสงสว่าง ปัญญจักษุ : มันก็เลยไม่มีทางเกิดกิเลสเป็นความโลภ ความโกรธ ความหลง ก็ไม่มีทางที่จะเป็นทุกข์ นี่คือคุณค่า หรือประโยชน์ของอิทัปปัจจยตา ในเมื่อเรารู้ คือเห็นอิทัปปัจจยตา = ตถตา (เช่นนั้นเอง)ถึงที่สุดไม่มีเหลือ ก็เลยสิ้นกิเลส สิ้นอาสวะทั้งปวง แล้วก็ดับทุกข์ทั้งปวงถึงนิพพาน
“อาสวะ” : คือสิ่งที่ เกิด-ดับ และ “เพิ่งเกิด” เหมือนกัน มันเกิดเพิ่มเรื่อย มีอาการหมักหมมพร้อมที่จะดันออก ถ้าคนมี “อวิชชา” : อวิชชา คโต คือประกอบอยู่ด้วยอวิชชา ไปแล้วด้วยอำนาจของอวิชชา ก็นำไปสู่ “อาสวะ” ได้คือ ความเคยชิน หมักหมม ที่จะเกิดกิเลสชนิดไหน : เขาก็จะยัง “อัตตภาพ” ให้เกิดขึ้นจาก อาสวะนั้นๆ
“อัตตภาพ” หรือ ภาวะแห่งตัวกู มันเกิดได้ในวันหนึ่งหลายๆหน แล้วเข้าไปเสวยกามอย่างใดอย่างหนึ่งบ้าง เข้าเสวยเวทนาอย่างใดอย่างหนึ่งบ้าง เพราะโง่เข้าไปหาอาสวะอย่างใดอย่างหนึ่งบ้าง อย่างนี้แหละคือ “ตัวเรา” มันไม่มีตัวตนที่แท้จริง: เป็นเพียงความรู้สึกนึกคิดว่าเป็นตัวเป็นตน
ทีนี้เวลาใด กิเลสมันเกิด มันทำให้เราอยู่นิ่งไม่ได้ มันก็ ยืน เดิน นั่ง นอน ไปตามเรื่องตามราว ที่เต็มอยู่ด้วยกิเลส ง่วน หมกมุ่น กลัดกลุ้มอยู่ด้วยกิเลสทุกๆอิริยาบท เรียกว่า เคลื่อนไหววุ่นวายอยู่ด้วย “จิตมีกิเลส” (จิตของปุถุชน เพราะตามกิเลสไปเรื่อย ไม่ได้กำหนดรู้)
พวกหนึ่งเคลื่อนไหวอยู่ด้วย “จิตล้วนๆ” ไม่ได้มีกิเลส (จิตของพระอรหันต์ ที่ท่านกำหนดรู้อยู่ตลอดเวลา) อิริยาบทของคนเรามีเท่านี้ คือมองให้เห็นอย่างนี้ เพื่อจะรู้จักสิ่งที่เรียกว่า อิทัปปัจจยตา (เช่นนั้นเอง)
อิทัปปัจจยตา นี้เป็นมัชฌิมาปฏิปทา ปฏิจจสมุปบาทฝ่ายที่ทำให้เกิดทุกข์ เรียกว่า สมุทยวาร เมื่อกำลังเป็นไปอยู่ เป็น มิจฉาปฏิปทา ปฏิจจสมุปบาทฝ่ายที่ดับทุกข์ เรียกว่า นิโรธวาร เมื่อกำลังเป็นไปอยู่เป็น สัมมาปฏิปทา
ถ้า เห็นอิทัปปัจจยตาจริงๆ แล้ว ท่านจะไม่พูดว่า “มี” หรือจะไม่พูดว่า “ไม่มี” อิทัปปัจจยตานั้น มันแล้วแต่ปัจจัย เมื่อมีสิ่งนี้เป็นปัจจัย สิ่งนี้จึงเกิด มีเท่านั้นเอง เกิดขึ้นแล้วก็ชั่วขณะเท่านั้น จึงไม่ควรจะพูดว่า “มี” ไม่ควรจะพูดว่า “ไม่มี” ทีนี้ก็มีอีกเรื่องหนึ่ง คือ เรื่องกรรม ถ้าจิตมีกิเลสมันก็ทำกรรม กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ถ้ามีการทำกรรม มันก็มีวิบาก คือผลของกรรม
เมื่อไรเรียกว่า ทำกรรม?
เมื่อไรมี “อวิชชา” เมื่อนั้นทำกรรม เมื่อใดอวิชชาเกิด เมื่อนั้นทำกรรม! ถ้าจิตอยู่เฉยๆไม่มีอวิชชาเกิดขึ้นมา ก็ยังไม่ได้ทำกรรม พออวิชชาเกิด เมื่อนั้นทำกรรม จึงต้องศึกษาให้ถ่องแท้ว่า อย่างไหนเป็นอวิชชา และศึกษาให้ถ่องแท้ถึง ปฏิจจสมุปบาท ด้วย
Create Date : 10 กุมภาพันธ์ 2552 |
|
6 comments |
Last Update : 10 กุมภาพันธ์ 2552 10:22:06 น. |
Counter : 1925 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: Cobie 11 กุมภาพันธ์ 2552 16:52:28 น. |
|
|
|
| |
โดย: be-oct4 16 กุมภาพันธ์ 2552 7:11:06 น. |
|
|
|
| |
โดย: มาดามอุ้ย 16 กุมภาพันธ์ 2552 14:49:54 น. |
|
|
|
|
|
|
|
Location :
Los Angeles United States
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]
|
สิ่งทั้งหลายเป็นไปตามเหตุ ตามปัจจัย มีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ไม่มีสิ่งใดหลีกพ้นแห่งกฎของธรรมชาตินี้ไปได้
พระพุทธเจ้าทรงเปรียบเทียบมนุษย์กับดอกบัว4ประเภท (บัวสี่เหล่า)คือ 1.ดอกบัวที่อยู่พ้นน้ำ เมื่อต้องแสงพระอาทิตย์ก็จะเบ่งบานทันที (อุคฆฏิตัญญู) 2.ดอกบัวที่อยู่ปริ่มน้ำ ซึ่งจะบานในวันถัดไป (วิปัจจิตัญญู) 3.ดอกบัวที่อยู่ใต้น้ำ ซึ่งจะค่อยๆโผล่ขึ้นเบ่งบานได้ในวันหนึ่ง (เนยยะ) 4.ดอกบัวที่จมอยู่โคลนตม ไม่มีโอกาสโผล่ขึ้นพ้นน้ำเพื่อเบ่งบานได้อีก (ปทปรมะ)
ฉันกำลังก้าวไปข้างหน้าเพื่อที่จะเป็น"บัวพ้นน้ำ" นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมถึงเป็น lotus2b
มโนปฺพพงคมา ธมมา มโนเสฏฐา มโนมยา ธรรมทั้งหลายมีใจนำหน้า มีใจประเสริฐที่สุด สำเร็จแล้วแต่ใจ
|
|
|
|
|
|
|